ข้ามไปเนื้อหา

การตรวจนับเม็ดเลือดอย่างสมบูรณ์

จากวิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี

การตรวจนับเม็ดเลือดอย่างสมบูรณ์
การวินิจฉัยทางการแพทย์
See caption
ตัวอย่าง CBC หน้าสิ่งพิมพ์ออกซึ่งแสดงผล CBC และการนับแยกชนิดเม็ดเลือด
คำคล้ายกันComplete blood cell count,[1] full blood count (FBC),[2] full blood cell count,[3] full blood examination (FBE),[2] hemogram[4]
MeSHD001772
เม็ดไลน์พลัส003642
LOINCCodes for CBC, e.g., 57021-8
HCPCS-L2G0306

การตรวจนับเม็ดเลือดอย่างสมบูรณ์ (อังกฤษ: complete blood count, CBC หรือ full blood count, FBC) เป็นชุดการตรวจห้องปฏิบัติการทางการแพทย์ที่ให้สารนิเทศเกี่ยวกับเซลล์ในเลือดของบุคคล CBC ระบุจำนวนเม็ดเลือดขาว เม็ดเลือดแดงและเกล็ดเลือด ความเข้มข้นของฮีโมโกลบินและฮีมาโทคริต (ร้อยละปริมาตรของเม็ดเลือดแดง) นอกจากนี้ยังรายงานดัชนีเม็ดเลือดแดง ซึ่งระบุขนาดเฉลี่ยและปริมาณฮีโมโกลบินของเม็ดเลือดแดง และอาจรวมถึงการนับแยกเม็ดเลือดขาว ซึ่งบอกปริมาณเม็ดเลือดขาวชนิดต่าง ๆ

การส่งตรวจ CBC มักเป็นไปเพื่อประกอบการประเมินทางการแพทย์ และสามารถใช้เฝ้าติดตามสุขภาพหรือวินิจฉัยโรคได้ การแปลผลมักใช้การเปรียบเทียบกับพิสัยอ้างอิงซึ่งขึ้นอยู่กับเพศและอายุ ค่าเหล่านี้สามารถนำไปใช้วินิจฉัยโรคบางโรคที่มีนิยามที่อิงจากค่าที่ได้จากการตรวจนับเม็ดเลือดอย่างสมบูรณ์ เช่น ภาวะเลือดจาง และ เกล็ดเลือดน้อย เป็นต้น ดัชนีเม็ดเลือดแดงสามารถให้สารนิเทศเกี่ยวกับสาเหตุของภาวะเลือดจางของบุคคลได้ เช่น การขาดธาตุเหล็กและการขาดวิตามินบี12 และผลการนับแยกเม็ดเลือดขาวสามารถใช้วินิจฉัยการติดเชื้อไวรัส แบคทีเรีย และปรสิต และโรคเลือด เช่น มะเร็งเม็ดเลือดขาว ได้ แต่ทั้งนี้ค่าที่เกินพิสัยอ้างอิงไม่จำเป็นต้องรักษาทางการแพทย์เสมอไป

การทดสอบ CBC ใช้อุปกรณ์ห้องปฏิบัติการพื้นฐานหรือเครื่องวิเคราะห์โลหิตวิทยาอัตโนมัติซึ่งนับเซลล์และเก็บสารนิเทศเกี่ยวกับขนาดและโครงสร้างของเม็ดเลือด เครื่องยังวัดความเข้มข้นของฮีโมโกลบิน และคำนวณดัชนีเม็ดเลือดแดงจากค่าเม็ดเลือดแดงและฮีโลโกลบินที่ได้ นอกจากนี้ยังอาจใช้การตรวจด้วยมือเพื่อยืนยันค่าผิดปกติ ตัวอย่างประมาณร้อยละ 10–25 ต้องยืนยันด้วยฟิล์มเลือด[5] โดยการเกลี่ยป้ายตัวอย่างเลือดและมองผ่านกล้องจุลทรรศน์เพื่อพิสูจน์ยืนยันว่าผลของเครื่องวิเคราะห์สอดคล้องกับลักษณะของเซลล์หรือไม่และเพื่อค้นหาความผิดปกติ ค่าฮีมาโทคริตสามารถหาด้วยมือได้ด้วยการหมุนเหวี่ยงตัวอย่างและวัดสัดส่วนของเม็ดเลือดแดง และในห้องปฏิบัติการที่ไม่มีอุปกรณ์อัตโนมัติ อาจนับเม็ดเลือดได้ภายใต้กล้องจุลทรรศน์โดยใช้ฮีโมไซโทมิเตอร์ (hemocytometer)

ในปี 1852 Karl Vierordt พิมพ์เผยแพร่กระบวนวิธีตรวจนับเม็ดเลือดเป็นครั้งแรก ซึ่งใช้การเกลี่ยเลือดที่ทราบปริมาตรภายใต้สไลด์กล้องจุลทรรศน์และนับเซลล์ทุกเซลล์ ต่อมาในปี 1874 Louis-Charles Malassez ประดิษฐ์ฮีโมไซโทมิเตอร์ซึ่งช่วยให้การวิเคราะห์เม็ดเลือดภายใต้กล้องจุลทรรศน์ง่ายขึ้น ในปลายคริสต์ศตวรรษที่ 19 เพาล์ แอร์ลิช และ Dmitri Leonidovich Romanowsky พัฒนาเทคนิคการย้อมสีเม็ดเลือดขาวและเม็ดเลือดแดงซึ่งยังใช้กันอยู่ในการดูฟิล์มเลือด มีการพัฒนาวิธีการวัดฮีโมโกลบินในคริสต์ทศวรรษ 1920 และ Maxwell Wintrobe ริเริ่มวิธีฮีมาโทคริตวินโทรปในปี 1929 ซึ่งทำให้นิยามดัชนีเม็ดเลือดแดงได้ หลักหมุดในการนับเม็ดเลือดอัตโนมัติ ได้แก่ หลักการ Coulter ซึ่ง Wallace H. Coulter จดสิทธิบัตรในปี 1953 หลักการ Coulter ใช้การวัดอิมพีแดนซ์ไฟฟ้าเพื่อนับเม็ดเลือดและหาขนาดของมัน เป็นเทคโนโลยีที่ยังใช้อยู่ในเครื่องวิเคราะห์หลายชนิด การวิจัยเพิ่มเติมในคริสต์ทศวรรษ 1970 มีการใช้การวัดเชิงแสงเพื่อนับและระบุเซลล์ ซึ่งทำให้เกิดการนับแยกเม็ดเลือดขาวอัตโนมัติ

ความมุ่งหมาย

[แก้]
See caption.
ภาพเซลล์และเกล็ดเลือดในเลือดมนุษย์ เม็ดเลือดแดงซึ่งทำหน้าที่ขนส่งออกซิเจนเป็นเซลล์ที่พบมากที่สุดและทำให้เลือดมีสีแดง; เม็ดเลือดขาวเป็นส่วนหนึ่งของระบบภูมิคุ้มกัน ส่วนเกล็ดเลือดจำเป็นเพื่อสร้างลิ่มเลือด ซึ่งป้องกันการตกเลือด

เลือดประกอบด้วยส่วนของเหลวเรียก พลาสมา และส่วนเซลล์ที่ประกอบด้วยเม็ดเลือดแดง เม็ดเลือดขาวและเกล็ดเลือด[note 1][7] การตรวจนับเม็ดเลือดอย่างสมบูรณ์ใช้ประเมินองค์ประกอบเซลล์ทั้งสามชนิดของเลือด ภาวะทางการแพทย์บางอย่างเช่น ภาวะเลือดจางหรือเกล็ดเลือดต่ำ นิยามว่ามีปริมาณเม็ดเลือดสูงหรือต่ำกว่าปกติ[8] การเปลี่ยนแปลงในระบบอวัยวะหลายอย่างอาจส่งผลต่อเลือด ดังนั้นผล CBC จึงมีประโยชน์ต่อการสอบสวนภาวะต่าง ๆ เนื่องจากการทดสอบนี้ให้สารนิเทศอย่างกว้างขวาง จึงเป็นการทดสอบห้องปฏิบัติการทางการแพทย์ที่ส่งกันแพร่หลายมากเป็นอันดับต้น ๆ[9][10][11]

CBC มักใช้เพื่อคัดกรองโรคโดยเป็นส่วนหนึ่งของการประเมินทางการแพทย์[12] นอกจากนี้อาจส่งตรวจ CBC เมื่อบุคลากรการแพทย์สงสัยว่าบุคคลมีโรคซึ่งส่งผลต่อเม็ดเลือด เช่น ติดเชื้อ การแข็งตัวของเลือดผิดปกติ หรือมะเร็งบางชนิด ผู้ที่ได้รับการวินิจฉัยว่าเป็นโรคที่อาจทำให้ผล CBC ผิดปกติหรือผู้ที่อยู่ระหว่างการรักษาที่อาจส่งผลต่อจำนวนเม็ดเลือดอาจมีการตรวจ CBC เป็นประจำเพื่อเฝ้าติดตามสุขภาพ[4][12] และมักมีการส่งตรวจทุกวันในผู้ป่วยที่รับรักษาในโรงพยาบาล[13] ผลยังอาจบ่งบอกถึงความจำเป็นในการถ่ายเลือดหรือเกล็ดเลือด[14]

การตรวจนับเม็ดเลือดอย่างสมบูรณ์มีการใช้จำเพาะในแพทย์เฉพาะทางหลายสาขา คือ มักทำก่อนผู้ป่วยเข้ารับการผ่าตัดเพื่อตรวจหาภาวะเลือดจาง ตรวจสอบให้แน่ใจว่าระดับเกล็ดเลือดเพียงพอ และตรวจคัดกรองการติดเชื้อ[15][16] รวมทั้งหลังการผ่าตัดเพื่อติดตามการเสียเลือด[12][17] ในวิชาเวชศาสตร์ฉุกเฉิน ใช้ CBC เพื่อสอบสวนอาการหลายอย่าง เช่น ไข้ ปวดท้อง และหายใจลำบาก[18][19][20] และเพื่อประเมินการตกเลือดและการบาดเจ็บ[21][22] มีการติดตามการตรวจนับเม็ดเลือดอย่างใกล้ชิดในผู้ป่วยระหว่างได้รับเคมีบำบัดหรือรังสีบำบัดสำหรับโรคมะเร็ง เนื่องจากการรักษาเหล่านี้จะยับยั้งการผลิตเม็ดเลือดในไขกระดูก และอาจทำให้เกิดระดับการผลิตเม็ดเลือดขาวเกล็ดเลือดและฮีโมโกลบินต่ำรุนแรง[23] การตรวจ CBC เป็นประจำมีความจำเป็นสำหรับผู้ที่รับประทานยาจิตเวชบางชนิดเช่น โคลซาพีนและคาร์บามาเซพีน ซึ่งในกรณีที่หายากอาจทำให้จำนวนเม็ดเลือดขาวลดลงเป็นอันตรายถึงชีวิต (ภาวะแกรนูโลไซต์น้อย)[24][25] ด้วยเหตุว่าภาวะเลือดจางระหว่างตั้งครรภ์อาจส่งผลต่อสุขภาพของมารดาและทารก จึงมีการตรวจ CBC เป็นกิจวัตรในการฝากครรภ์[26] และในทารกแรกคลอด CBC อาจจำเป็นต้องใช้เพื่อสอบสวนภาวะตัวเหลือง หรือใช้นับจำนวนเม็ดเลือดตัวอ่อนในการนับแยกเม็ดเลือดขาว ซึ่งสามารถเป็นตัวบ่งชี้ภาวะพิษเหตุติดเชื้อได้[27][28]

การตรวจนับเม็ดเลือดเป็นเครื่องมือสำคัญในสาขาโลหิตวิทยา ซึ่งศึกษาสาเหตุ การพยากรณ์โรค การรักษาและการป้องกันโรคที่เกี่ยวข้องกับเลือด[29] ผลตรวจ CBC และการตรวจฟิล์มเลือดสะท้อนการทำหน้าที่ของระบบการสร้างเม็ดเลือด (hematopoietic) ซึ่งประกอบด้วยอวัยวะและเนื้อเยื่อซึ่งเกี่ยวข้องกับการผลิตและการเจริญของเม็ดเลือดโดยเฉพาะไขกระดูก[9][30] ตัวอย่างเช่น จำนวนเม็ดเลือดต่ำทั้งสามชนิด (ภาวะพร่องเม็ดเลือดทุกชนิด) อาจบ่งชี้ว่าการผลิตเม็ดเลือดได้รับผลกระทบจากโรคของไขกระดูก และการตรวจไขกระดูกอาจสอบสวนสาเหตุเพิ่มเติมได้[31] เซลล์ที่ผิดปกติบนฟิล์มเลือดอาจบ่งบอกถึง มะเร็งเม็ดเลือดขาวเฉียบพลันหรือมะเร็งต่อมน้ำเหลือง ขณะที่จำนวนนิวโทรฟิลหรือลิมโฟไซต์สูงผิดปกติร่วมกับอาการบ่งชี้และสิ่งตรวจพบในฟิล์มเลือดอาจทำให้สงสัยว่าเป็นโรค myeloproliferative หรือ lymphoproliferative การตรวจผล CBC และฟิล์มเลือดสามารถช่วยแยกสาเหตุของโรคโลหิตจางได้ เช่น โรคโภชนาการ ความผิดปกติของไขกระดูก ภาวะเลือดจางจากการสลายของเม็ดเลือดที่เกิดภายหลัง และโรคถ่ายทอดทางพันธุกรรม เช่น โรคเลือดจางเม็ดเลือดแดงรูปเคียว และทาลัสซีเมีย[32][33]

พิสัยอ้างอิงสำหรับการตรวจนับเม็ดเลือดอย่างสมบูรณ์เป็นพิสัยค่าที่พบในบุคคลที่ดูมีสุขภาพดีร้อยละ 95[note 2][35] จากนิยามนี้ ผลลัพธ์ร้อยละ 5 จะอยู่นอกพิสัยนี้เสมอ ดังนั้นผลลัพธ์ผิดปกติบางอย่างอาจสะท้อนความหลากหลายตามธรรมชาติไม่ใช่ปัญหาการแพทย์[36] ซึ่งมีโอกาสเป็นไปได้อย่างยิ่งหากผลลัพธ์ดังกล่าวอยู่เลยพิสัยอ้างอิงเพียงเล็กน้อย ไม่ต่างจากผลลัพธ์รอบก่อน ๆ หรือไม่มีความผิดปกติอื่นที่สัมพันธ์กันที่แสดงใน CBC[37] เมื่อทดสอบกับประชากรที่มีสุขภาพค่อนข้างดี จำนวนความผิดปกติที่ไม่มีนัยสำคัญทางคลินิกอาจมากเกินจำนวนผลลัพธ์ที่แสดงถึงโรค[38] ด้วยเหตุนี้องค์การวิชาชีพในสหรัฐ สหราชอาณาจักรและแคนาดาจึงไม่แนะนำให้ทดสอบ CBC ก่อนการผ่าตัดที่มีความเสี่ยงต่ำในผู้ที่ไม่มีภาวะทางการแพทย์ที่เกี่ยวข้อง[15][39][40] การเจาะเลือดซ้ำ ๆ เพื่อตรวจทางโลหิตวิทยาในผู้ป่วยที่เข้ารับการรักษาในโรงพยาบาลอาจมีส่วนต่อภาวะเลือดจางในโรงพยาบาล และการถ่ายเลือดโดยไม่จำเป็น[38]

ขั้นตอน

[แก้]
การส่งตรวจ CBC ด้วยวิธีเจาะเลือดปลายนิ้ว โดยใช้เครื่องวิเคราะห์อัตโนมัติ Abbott Cell-Dyn 1700

เริ่มจากการเก็บตัวอย่างโดยเจาะเลือดใส่เข้าไปในหลอดบรรจุเลือดที่หล่อสารต้านการจับลิ่มของเลือด ซึ่งส่วนใหญ่ใช้ EDTA เพื่อหยุดการจับลิ่มของเลือดตามธรรมชาติ[41] โดยปกติจะดึงเลือดจากหลอดเลือดดำ แต่ถ้ายากเกินไปอาจเก็บจากหลอดเลือดฝอยด้วยการเจะเลือดปลายนิ้วหรือส้นเท้าในทารกได้[42][43] โดยทั่วไปการทดสอบใช้เครื่องวิเคราะห์อัตโนมัติ แต่อาจใช้เทคนิคด้วยมือ เช่น การตรวจฟิล์มเลือดหรือการทดสอบฮีมาโทคริตด้วยมือ เพื่อสอบสวนผลลัพธ์ที่ผิดปกติ[44] การนับจำนวนเม็ดเลือดและการวัดฮีโมโกลบินใช้วิธีด้วยมือในห้องปฏิบัติการที่ไม่มีเครื่องมืออัตโนมัติ[45]

วิธีอัตโนมัติ

[แก้]

บนเครื่องวิเคราะห์ จะมีการเขย่าตัวอย่างเพื่อกระจายเม็ดเลือดให้สม่ำเสมอ จากนั้นจะมีการเจือจางและแบ่งออกเป็นอย่างน้อยสองช่อง ช่องหนึ่งใช้ในการนับเม็ดเลือดแดงและเกล็ดเลือด อีกช่องหนึ่งเพื่อนับเม็ดเลือดขาวและหาความเข้มข้นของฮีโมโกลบิน เครื่องมือบางอย่างวัดค่าฮีโมโกลบินในช่องแยกต่างหาก และอาจใช้ช่องเพิ่มอีกในการนับแยกชนิดเม็ดเลือดขาว เรติคูโลไซต์ และการตรวจวัดเกล็ดเลือดเป็นพิเศษ[46][47][48] เม็ดเลือดถูกแขวนลอยในกระแสของไหลและจะวัดคุณสมบัติของเม็ดเลือดขณะที่ไหลผ่านตัวรับรู้ในเทคนิคที่เรียก โฟลไซโทเมทรี (flow cytometry)[note 3][49][52] การโฟกัสอุทกพลศาสตร์ (hydrodynamic focusing) อาจใช้เพื่อแยกเม็ดเลือดโดด ๆ เพื่อให้ได้ผลลัพธ์แม่นยำยิ่งขึ้น ตัวอย่างเจือจางจะถูกฉีดเข้าสู่กระแสของไหลความดันต่ำ ซึ่งทำให้เม็ดเลือดในตัวอย่างเรียงแถวเดี่ยวผ่านการไหลแบบแลมินาร์[53][54]

CBC samples in a rack, waiting to be run on a bench-top analyzer
เครื่องวิเคราะห์โลหิตวิทยาอัตโนมัติ Sysmex XT-4000i
Schematic of the Coulter principle. A particle suspended in a conductive medium passes through an aperture, causing an increase in impedance
หลักการโคลเตอร์: กระแสลดลงชั่วคราวได้สัดส่วนกับปริมาตรของอนุภาคที่ผ่านรู

ในการวัดความเข้มข้นของฮีโมโกลบิน มีการเพิ่มสารเคมีตัวทำปฏิกิริยาลงในตัวอย่างเพื่อสลายเม็ดเลือดแดงในช่องแยกต่างหากจากช่องที่ใช้นับจำนวนเม็ดเลือดแดง ในเครื่องวิเคราะห์ที่นับเม็ดเลือดขาวในช่องเดียวกับวัดฮีโมโกลบินนั้น วิธีนี้ยังช่วยทำให้นับเม็ดเลือดขาวได้ง่ายขึ้นอีกด้วย[55] เครื่องวิเคราะห์โลหิตวิทยาวัดฮีโมโกลบินโดยใช้การวัดความเข้มของแสง (spectrophotometry) และอาศัยความสัมพันธ์เชิงเส้นระหว่างความดูดกลืนรังสี (absorbance) ของแสงและปริมาณฮีโมโกลบินที่มีอยู่ มีการใช้สารเคมีเพื่อแปลงฮีโมโกลบินรูปต่าง ๆ เช่น อ็อกซีฮีโมโกลบินและคาร์บ็อกซีฮีโมโกลบิน ให้อยู่ในรูปเสถียรรูปเดียว ซึ่งปกติเป็นไซแอนเมทฮีโมโกลบิน และเพื่อสร้างการเปลี่ยนสีอย่างถาวร ความดูดกลืนรังสีของสีที่ได้นั้น เมื่อวัดที่ความยาวคลื่นเฉพาะ (ปกติใช้ 540 นาโนเมตร) จะสอดคล้องกับความเข้มข้นของฮีโมโกลบิน[56][57]

ตัวรับรู้จะนับและระบุเม็ดเลือดในตัวอย่างโดยใช้หลักการสำคัญ 2 ประการ ได้แก่ อิมพีแดนซ์ไฟฟ้า และการกระเจิงของแสง[58] การนับเม็ดเลือดวิธีอิงอิมพีแดนซ์ใช้หลักการโคลเตอร์ คือ เม็ดเลือดจะถูกแขวนลอยในของไหลที่พากระแสไฟฟ้าขนาดหนึ่ง และเมื่อเม็ดเลือดไหลผ่านช่องเปิดขนาดเล็ก (รู) จะทำให้กระแสลดลงเนื่องจากสภาพนำไฟฟ้าไม่ดีเท่า แอมพลิจูดของพัลส์แรงดันไฟฟ้าที่ผลิตขึ้นเมื่อเม็ดเลือดข้ามรูนั้นมีความสัมพันธ์กับปริมาณของไหลที่ถูกแทนที่โดยเม็ดเลือด ซึ่งเท่ากับปริมาตรของมัน[59][60] ขณะที่จำนวนพัลส์ทั้งหมดสัมพันธ์กับจำนวนเม็ดเลือดในตัวอย่าง จะมีการลงการกระจายของปริมาตรเม็ดเลือดบนฮิสโตแกรม และโดยการตั้งค่าขีดเริ่มเปลี่ยนตามขนาดตรงแบบของเม็ดเลือดแต่ละชนิด จะทำให้สามารถแยกแยะและนับประชากรเม็ดเลือดชนิดต่าง ๆ ได้[61]

ในเทคนิคการกระเจิงแสง แสงจากเลเซอร์หรือหลอดทังสเตน-ฮาโลเจนจะถูกส่งไปที่กระแสของเม็ดเลือดเพื่อรวบรวมสารนิเทศเกี่ยวกับขนาดและโครงสร้างของพวกมัน เม็ดเลือดทำให้แสงกระเจิงในมุมที่ต่างกันขณะผ่านลำแสงซึ่งตรวจจับได้โดยใช้โฟโตมิเตอร์ การกระเจิงไปด้านหน้าซึ่งหมายถึงปริมาณแสงที่กระเจิงตามแกนของลำแสงนั้น ส่วนใหญ่เกิดจากการเลี้ยวเบนของแสงและสัมพันธ์กับขนาดของเซลล์ ในขณะที่การกระเจิงด้านข้าง (แสงกระเจิงที่มุม 90 องศา) เกิดจากการสะท้อนและการหักเห และให้สารนิเทศเกี่ยวกับความซับซ้อนของเซลล์[62][63]

วิธีที่อาศัยความถี่วิทยุสามารถใช้ร่วมกับอิมพีแดนซ์ได้ เทคนิคเหล่านี้ทำงานบนหลักการเดียวกันในการวัดการขัดจังหวะของกระแสเมื่อเซลล์ผ่านรู แต่ด้วยเหตุที่กระแสความถี่วิทยุความถี่สูงทะลวงเข้าสู่เม็ดเลือด แอมพลิจูดของพัลส์ที่ได้จึงสัมพันธ์กับขนาดโดยสัมพัทธ์ของนิวเคลียส โครงสร้างของนิวเคลียส และจำนวนของแกรนูลในไซโทพลาซึม[64][65] เม็ดเลือดแดงและเศษเซลล์ซึ่งมีขนาดใกล้เคียงกับเกล็ดเลือดอาจรบกวนการนับเกล็ดเลือด และอาจนับเกล็ดเลือดขนาดใหญ่ได้ไม่ถูกต้อง ดังนั้นเครื่องวิเคราะห์บางส่วนจึงใช้เทคนิคเพิ่มเติมในการวัดเกล็ดเลือด เช่น การย้อมสีฟลูออเรสเซนต์ กาารกระเจิงของแสงหลายมุม และการติดป้ายระบุสารภูมิต้านทานโมโนโคลน[48]

A scatter plot displaying many differently coloured clusters, labelled with the type of white blood cell they correspond to.
ตัวอย่างสแกตเตอร์แกรม (scattergram) การนับแยกชนิดเม็ดเลือดขาว: กระจุกสีต่างกันบ่งชี้ถึงประชากรเม็ดเลือดต่างชนิดกัน

เครื่องวิเคราะห์ส่วนใหญ่วัดขนาดเฉลี่ยของเม็ดเลือดแดงโดยตรง เรียก ปริมาตรของเม็ดเลือดแดงโดยเฉลี่ย (mean cell volume, MCV) และคำนวณฮีมาโทคริตโดยคูณปริมาณเม็ดเลือดแดงกับ MCV บางเครื่องวัดฮีมาโทคริตโดยการเปรียบเทียบปริมาตรทั้งหมดของเม็ดเลือดแดงกับปริมาตรของตัวอย่างเลือด และหาค่า MCV จากฮีมาโทคริตและจำนวนเม็ดเลือดแดง[66] ความเข้มข้นของฮีโมโกลบิน จำนวนเม็ดเลือดแดงและฮีมาโทคริตนำมาใช้คำนวณปริมาณเฉลี่ยของฮีโมโกลบินในเม็ดเลือดแดง (mean corpuscular hemoglobin, MCH) และความเข้มข้นเฉลี่ยของฮีโมโกลบินในเม็ดเลือดแดง (mean corpuscular hemoglobin concentration, MCHC)[67] การคำนวณอีกค่าหนึ่ง คือ ความกว้างของการกระจายขนาดเม็ดเลือดแดง (red blood cell distribution width, RDW) นั้นได้มาจากส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐานของปริมาตรเม็ดเลือดเฉลี่ยและสะท้อนถึงความแปรผันของขนาดเม็ดเลือด[68]

หลังใส่ตัวทำปฏิกิริยาแล้ว เม็ดเลือดขาวจะก่อตัวเป็นจุดสูงสุดสามจุดเมื่อมีการลงกราฟบนฮิสโตแกรม ยอดเหล่านี้สอดคล้องกับประชากรแกรนูโลไซต์ ลิมโฟไซต์ และเซลล์นิวเคลียสเดียวอย่างอื่น ทำให้การนับแยก 3 ส่วนสามารถวัดได้จากปริมาตรเซลล์เพียงอย่างเดียว[69][70] เครื่องวิเคราะห์ขั้นสูงขึ้นใช้เทคนิคเพิ่มเติมเพื่อนับแยกเม็ดเลือด 5 ถึง 7 ชนิด เช่น การกระเจิงของแสงหรือการวิเคราะห์ความถี่วิทยุ[70] หรือการใช้สีย้อมเพื่อย้อมสารเคมีเฉพาะภายในเซลล์ ตัวอย่างเช่น กรดนิวคลีอิก ซึ่งจะพบความเข้มข้นสูงกว่าในเม็ดเลือดที่ยังเจริญไม่เต็มวัย[71] หรือไมอีโลเพอร็อกซีเดส ซึ่งเป็นเอนไซม์ที่พบในเม็ดเลือดสายไมอีลอยด์[72][73] เบโซฟิลอาจนับในช่องแยกเมื่อตัวทำปฏิกิริยาทำลายเม็ดเลือดขาวอื่น ๆ คงเหลือเบโซฟิลไว้ ข้อมูลที่เก็บจากากรวัดเหล่านี้จะมีการวิเคราะหและลงจุดบนสแกตเตอร์แกรม (scattergram) ซึ่งจะก่อรูปเป็นกลุ่มที่มีความสัมพันธ์กับเม็ดเลือดขาวแต่ละชนิด[70][72] อีกวิธีหนึ่งในการนับแยกชนิดเม็ดเลือดอัตโนมัติ คือ การใช้ซอฟต์แวร์กล้องจุลทรรศน์ดิจิทัล[74] ซึ่งใช้ปัญญาประดิษฐ์ในการจำแนกเม็ดเลือดขาวจากภาพถ่ายฟิล์มเลือดจากกล้องจุลทรรศน์ ภาพเม็ดเลือดจะแสดงต่อผู้ควบคุมกล้อง ซึ่งสามารถจำแนกเม็ดเลือดใหม่ด้วยมือได้ถ้าจำเป็น[75]

เครื่องวิเคราะห์ส่วนใหญ่ใช้เวลาไม่ถึง 1 นาทีในการทดสอบทั้งหมดในการตรวจนับเม็ดเลือดอย่างสมบูรณ์[58] เนื่องจากเครื่องวิเคราะห์สุ่มตัวอย่างและนับเม็ดเลือดเดี่ยว ๆ จำนวนมาก ผลลัพธ์จึงมีความแม่นยำสูง[76] อย่างไรก็ดี เม็ดเลือดผิดปกติอาจจำแนกได้อย่างไม่ถูกต้อง ทำให้ต้องมีการทบทวนผลที่ได้จากเครื่องด้วยมือ และการระบุชนิดของเม็ดเลือดผิดปกติด้วยวิธีอื่นที่เครื่องจำแนกไม่ได้[5][77]

การทดสอบ ณ จุดดูแลผู้ป่วย

[แก้]

การทดสอบ ณ จุดดูแลผู้ป่วย (point-of-care) เป็นการทดสอบนอกที่ตั้งห้องปฏิบัติการ เช่น ข้างเตียงผู้ป่วยหรือในคลินิก[78][79] วิธีการทดสอบนี้รวดเร็วกว่าและใช้เลือดน้อยกว่าวิธีเดิม อีกทั้งไม่ต้องอาศัยบุคลากรที่ผ่านการฝึกฝนแบบเฉพาะ จึงมีประโยชน์ในสถานการณ์ฉุกเฉินและในพื้นที่ที่เข้าถึงทรัพยากรอย่างจำกัด อุปกรณ์ที่ใช้กันทั่วไปสำหรับการทดสอบโลหิตวิทยา ณ จุดดูแลผู้ป่วย ประกอบด้วย HemoCue เครืองวิเคราะห์แบบพกพาที่ใช้การวัดความเข้มของแสง (spectrophotometry) เพื่อวัดความเข้มข้นของฮีโมโกลบินตัวอย่าง และ i-STAT ซึ่งหาค่าฮีโมโกลบินโดยการกะประมาณความเข้มข้นของเม็ดเลือดแดงจากสภาพนำของเลือด[79] ฮีโมโกลบินและฮีมาโทคริตสามารถวัดได้โดยอุปกรณ์ ณ จุดดูแลผู้ป่วยที่ออกแบบมาเพื่อการทดสอบแก๊สในเลือด (blood gas testing) แต่การวัดเหล่านี้บางทีมีความสัมพันธืที่เลวเมื่อเทียบกับการวัดจากวิธีมาตรฐาน[78] นอกจากนี้มีเครื่องวิเคราะห์โลหิตวิทยาอย่างง่ายซึ่งออกแบบมาสำหรับใช้ในคลนิกที่สามารถตรวจนับเม็ดเลือดอย่างสมบูรณ์และนับแยกชนิดเม็ดเลือดได้[80]

วิธีมือ

[แก้]
Diagram of the manual hematocrit test showing the fraction of red blood cells measured as 0.46.
การหาฮีมาโทคริตด้วยมือ เลือดที่ปั่นเหวี่ยงแล้วจะแยกชั้นเป็นเม็ดเลือดแดงกับพลาสมา

การทดสอบด้วยวิธีมือก็สามารถใช้ได้เมื่อไม่มีหรืออุปกรณ์อัตโนมัติไม่พร้อมใช้งาน หรือเมื่อผลเครื่องวิเคราะห์บ่งชี้ว่ามีความจำเป็นต้องทดสอบเพิ่มเติม[45] มีการบ่งชี้ว่าผลลัพธ์อัตโนมัติต้องมีการทบทวนฟิล์มเลือดด้วยมือในผู้ป่วยร้อยละ 10–25 ซึ่งอาจเนื่องจากมีประชากรเม็ดเลือดผิดปกติว่าเครื่องวิเคราะห์ไม่สามารถนับได้อย่างเหมาะสม[5] ตัวบ่งชี้ภายในที่ผลิตขึ้นโดยเครื่องวิเคราะห์ที่เสนอว่าผลลัพธ์อาจไม่แม่นยำ[81] หรือผลลัพธ์ที่เป็นตัวเลขที่อยู่นอกเกณฑ์ที่ตั้งไว้[77] ในการสอบสวนปัญหาเหล่านี้ จะมีการเกลี่ยเลือดบนสไลด์กล้องจุลทรรศน์ ย้อมด้วยสีย้อม Romanowsky และตรวจภายใต้กล้องจุลทรรศน์[82] มีการประเมินลักษณะปรากฏของเม็ดเลือดแดง เม็ดเลือดขาวและเกล็ดเลือด และจะมีรายงานความผิดปกติของปริมาณถ้ามี[83] การเปลี่ยนแปลงลักษณะเม็ดเลือดแดงอาจมีความสำคัญในเชิงวินิจฉัยพอสมควร ตัวอย่างเช่น การมีโรคเม็ดเลือดแดงรูปเคียว และการมีเศษเม็ดเลือดแดงจำนวนมาก (schistocyte) จำเป็นต้องอาศัยการสืบสวนอย่างเร่งด่วนดังที่สามารถเสนอแนะภาวะเลือดจางจากการสลายของเม็ดเลือดแดงเหตุโรคหลอดเลือดฝอย (microangiopathic hemolytic anemia)[84] ในภาวะการอักเสบบางอย่างและในโรคพาราโปรตีนอย่างโรคมะเร็งเม็ดเลือดขาวชนิดมัยอิโลมา (multiple myeloma) โปรตีนระดับสูงในเลือดอาจทำให้เม็ดเลือดแดงดูเหมือนซ้อนกันบนฟิล์มเลือด เรียกว่า รูโล (rouleaux)[85] โรคปรสิตบางชนิด เช่น มาลาเรีย และบาบีซิโอซิส (babesiosis) สามารถตรวจหาได้โดยการหาจุลชีพก่อโรคบนฟิล์มเลือด[86] และปริมาณเกล็ดเลือดสามารถกะประมาณได้จากฟิล์มเลือด ซึ่งมีประโยชน์ถ้าปริมาณเกล็ดเลือดที่วัดด้วยวิธีอัตโนมัติไม่แม่นยำ[77]

ในการนับแยกชนิดเม็ดเลือดขาวด้วยมือ ผู้ทดสอบกล้องจุลทรรศน์นับเม็ดเลือด 100–200 เม็ดบนฟิล์มเลือดและจำแนกตามลักษณะที่ปรากฏ[87] การทดสอบนี้จะบอกร้อยละของเม็ดเลือดขาวแต่ละชนิด และเมื่อคูณร้อยละกับจำนวนเม็ดเลือดขาวทั้งหมดจะได้จำนวนสัมบูรณ์ของเม็ดเลือดขาวแต่ละชนิด[88] การนับด้วยมืออาจมีข้อผิดพลาดในการสุ่มตัวอย่างเพราะนับเม็ดเลือดได้น้อยเมื่อเทียบกับการวิเคราะห์อัตโนมัติ[76] แต่วิธีนี้สามารถระบุเม็ดเลือดผิดปกติได้แต่เครื่องวิเคราะห์ทำไม่ได้[72][77] เช่น เม็ดเลือดวัยอ่อนในมะเร็งเม็ดเลือดขาวเฉียบพลัน[89] ลักษณะที่มีความสำคัญทางคลินิก เช่น แกรนูลพิษ (toxic granulation) และการมีช่องว่าง (granulation) ก็ยังสามารถบอกได้จากการดูเม็ดเลือดขาวในกล้องจุลทรรศน์[90]

การหาฮีมาโทคริตวิธีมือกระทำโดยใส่เลือดลงในหลอดฝอย ปั่นเหวี่ยง และวัดร้อยละของเลือดที่ประกอบด้วยเม็ดเลือดแดง[66] วิธีนี้มีประโยชน์ในบางภาวะที่ผลฮีมาโทคริตวิธีอัตโนมัติไม่ถูกต้อง เช่น ภาวะเม็ดเลือดแดงมาก[66] หรือภาวะเม็ดเลือดขาวมากรุนแรง ซึ่งขัดขวางการวัดเม็ดเลือดแดงเพราะนับเม็ดเลือดขาวผิดเป็นเม็ดเลือดแดง[91]

= A glass slide containing two chambers to hold fluid, topped with a coverslip
A microscopic image showing numerous cells overlaid on a grid
ซ้าย: ฮีโมไซโทมิเตอร์ Fuchs-Rosenthal แบบดัดแปลง ขวา: ภาพฮีโมไซโทมิเตอร์มองผ่านกล้องจุลทรรศน์ ตาตารางที่ติดตั้งในตัวช่วยให้ติดตามได้ว่านับเซลล์ใดไปแล้วบ้าง

การนับเม็ดเลือดแดง เม็ดเลือดขาวและเกล็ดเลือดสามารถใช้ฮีโมไซโทมิเตอร์ (hemocytometer) ซึ่งเป็นสไลด์กล้องจุลทรรศน์ที่มีห้องที่ใส่เลือดเจือจางในปริมาตรตามที่ระบุ ห้องของฮีโมไซโทมิเตอร์ถูกพิมพ์กัดกรด (etch) ด้วยตาตารางที่ปรับพิกัดแล้วเพื่อช่วยในการนับ ผู้ทดสอบจะนับเม็ดเลือดที่เห็นในตาตารางและหารด้วยปริมาตรของเลือดที่ตรวจ ซึ่งมาจากจำนวนช่องสี่เหลี่ยมที่นับได้บนตาตาราง เพื่อหาความเข้มข้นของเม็ดเลือดในตัวอย่าง[45][92] การนับเม็ดเลือดด้วยวิธีมือนั้นใช้แรงงานมากและไม่แม่นยำเมื่อเทียบกับวิธีอัตโนมัติ ฉะนั้นจึงแทบไม่มีใช้นอกเหนือจากห้องปฏิบัติการที่ไม่มีเครื่องนับอัตโนมัติ[45][92] ในการนับเม็ดเลือด จะมีการเจือจางตัวอย่างโดยใช้ของเหลวที่มีสารประกอบให้เกิดการสลายของเม็ดเลือดแดง เช่น แอมโมเนียมอ็อกซาเลต กรดอะซิติก หรือกรดไฮโดรคลอริก[93] บางทีอาจใส่สีย้อมลงในเลือดเจือจางด้วยเพื่อเน้นสีนิวเคลียสของเม็ดเลือดขาวซึ่งจะทำให้ระบุได้ง่ายขึ้น การนับจำนวนเกล็ดเลือดด้วยวิธีมือก็ใช้วิธีการคล้ายกัน แต่บางวิธียังคงให้เม็ดเลือดแดงสมบูรณ์อยู่ การใช้กล้องจุลทรรศน์วัฏภาค (phase-contrast) แทนกล้องจุลทรรศน์แบบใช้แสง สามารถทำให้หาเกล็ดเลือดได้ง่ายขึ้น[94] สำหรับการนับจำนวนเม็ดเลือดแดง้ดวยวิธีนั้นมีปฏิบัติน้อย เพราะไม่แม่นยำ และมีวิธีอื่นสำหรับประเมินเม็ดเลือดแดงอยู่แล้ว เช่น การวัดฮีโมโกลบิน (hemoglobinometry) และฮีมาโทคริตด้วยมือ แต่ถ้ามีความจำเป็น อาจใช้วิธีนับเม็ดเลือดแดงในเลือดที่เจือจางด้วยน้ำเกลือได้[95]

ฮีโมโกลบินอาจวัดได้ด้วยมือโดยใช้เครื่องวัดความเข้มแสง (spectrophotometer) หรือมาตรเทียบสี (colorimeter) ในการวัดฮีโมโกลบินด้วยมือ เริ่มจากเจือจางตัวอย่างด้วยตัวทำปฏิกิริยาเพื่อสลายเม็ดเลือดแดงและปล่อยฮีโมโกลบินออกมา มีการใช้สารเคมีอย่างอื่นเพื่อแปลงฮีโมโกลบินรูปต่าง ๆ ให้อยู่ในรูปเดียวกัน ทำให้ง่ายต่อการวัด จากนั้นจะวางสารละลายในคิวเว็ตใช้วัดและจะมีการวัดความดูดกลืนรังสีที่ความยาวคลื่นหนึ่ง ขึ้นอยู่กับชนิดตัวทำปฏิกิริยาที่ใช้ มาตรฐานอ้างอิงจะมีปริมาณฮีโมโกลบินที่ทราบเพื่อหาความสัมพันธ์ระหว่างความดูดกลืนรังสีกับความเข้มข้นของฮีโมโกลบิน ซึ่งจะทำให้เทียบหาค่าฮีโมโกลบินในตัวอย่างได้[96]

ในพื้นที่ชนบทและพื้นที่ด้อยโอกาสทางเศรษฐกิจ การทดสอบที่มีอยู่จะถูกจำกัดโดยการเข้าถึงอุปกรณ์และบุคลากร ที่สถานบริการปฐมภูมิในภูมิภาคเหล่านี้ การทดสอบอาจจำกัดเฉพาะการตรวจสัณฐานวิทยาของเม็ดเลือดแดงและการวัดฮีโมโกลบินด้วยมือ ในขณะที่เทคนิคที่ซับซ้อนมากขึ้น เช่น การนับจำนวนและแยกชนิดด้วยมือ และบางทีการนับเม็ดเลือดอัตโนมัติ จะต้องกระทำที่ห้องปฏิบัติการระดับเขตหรืออำเภอ โรงพยาบาลส่วนภูมิภาคและโรงพยาบาลประจำจังหวัดหรือมณฑล และศูนย์วิชาการตรงแบบเข้าถึงเครื่องวิเคราะห์อัตโนมัติ สำหรับในพื้นที่ที่ไม่มีแม้ห้องปฏิบัติการ สามารถประมาณความเข้มข้นของฮีโมโกลบินลงในกระดาษซับชนิดมาตรฐานและเปรียบเทียบกับมาตราสี[97]

กาควบคุมคุณภาพ

[แก้]

เครื่องวิเคราะห์อัตโนมัติจำเป็นต้องปรับพิกัดเป็นประจำ ผู้ผลิตส่วนใหญ่ให้เลือดที่เก็บรักษาไว้ซึ่งมีพารามิเตอร์ตามที่นิยามและจะมีการปรับแต่งเครื่องวิเคราะห์ถ้าผลลัพธ์อยู่นอกขีดเริ่มเปลี่ยนที่นิยามไว้[98] เพื่อรับประกันว่าตัวอย่างจะแม่นยำต่อไป ตัวอย่างควบคุมคุณภาพซึ่งตรงแบบผู้ผลิตอุปกรณ์จะจัดเตรียมให้ จะมีการทดสอบอย่างน้อยวันละครั้ง ตัวอย่างดังกล่าวถูกจัดทำขึ้นเพื่อให้มีผลลัพธ์เฉพาะ และห้องปฏิบัติการจะเปรีบยเทียบผลกับค่าที่ทราบเพื่อให้แน่ใจว่าอุปกรณ์ทำงานอย่างเหมาะสม[99][100] สำหรับห้องปฏิบัติการที่เข้าไม่ถึงวัสดุควบคุมคุณภาพพาณิชย์ องค์การข้อบังคับในประเทศอินเดียแห่งหนึ่งแนะนำให้ตรวจตัวอย่างผู้ป่วยซ้ำแล้วเปรียบเทียบกัน[101] การวัดค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่ ซึ่งเป็นการวัดผลเฉลี่ยสำหรับตัวอย่างผู้ป่วยที่ช่วงห่างที่กำหนดไว้ สามารถใช้เป็นเทคนิคควบคุมคุณภาพเพิ่มเติม เมื่อสันนิษฐานว่าลักษณะของประชากรผู้ป่วยไม่ค่อยเปลี่ยนแปลงตามเวลา ค่าเฉลี่ยจึงควรคงที่ด้วย ค่าที่เปลี่ยนไปมากจากค่าเฉลี่ยอาจบ่งบอกว่าเครื่องมีปัญหา[99][100] ค่า MCHC มีประโยชน์เป็นพิเศษในแง่นี้[102]

นอกเหนือจากการวิเคราะห์ตัวอย่างควบคุมคุณภาพภายในด้วยผลลัพธ์ที่ทราบแล้ว ห้องปฏิบัติการอาจได้รับตัวอย่างการประเมินคุณภาพภายนอกจากองค์การข้อบังคับ แม้ว่าจุดประสงค์ของการควบคุมคุณภาพภายในคือเพื่อประกันว่าผลของเครื่องวิเคราะห์สามารถทำซ้ำได้ในห้องปฏิบัติการหนึ่ง ๆ แต่การประเมินคุณภาพภายนอกจะตรวจสอบว่าผลลัพธ์จากห้องปฏิบัติการต่างที่กันมีความสอดคล้องซึ่งกันและกันและเป็นไปตามค่าเป้าหมายหรือไม่[103] ผลที่คาดหมายสำหรับตัวอย่างประเมินคุณภาพภายนอกจะไม่เปิดเผยต่อห้องปฏิบัติการ[104] โปรแกรมการประเมินคุณภาพภายนอกได้รับการยอมรับอย่างกว้างขวางในทวีปอเมริกาเหนือและยุโรปตะวันตก[99] และห้องปฏิบัติการมักต้องเข้าร่วมในโปรแกรมเหล่านี้เพื่อคงการรับรองคุณภาพต่อไป[105] ปัญหาด้านลอจิสติกส์อาจทำให้ห้องปฏิบัติการในพื้นที่ที่มีทรัพยากรไม่เพียงพอปฏิบัติตามแผนสำหรับประเมินคุณภาพภายนอก[106]

การทดสอบที่รวมอยู่ด้วย

[แก้]

CBC วัดจำนวนเกล็ดเลือด เม็ดเลือดแดงและเม็ดเลือดขาว ร่วมกับฮีโมโกลบินและฮีมาโทคริต สำหรับดัชนีเม็ดเลือดแดง (MCV, MCH และ MCHC) ซึ่งอธิบายขนาดเม็ดเลือดแดงและปริมาณฮีโมโกลบิน รายงานพร้อมกับความกว้างการกระจายของเม็ดเลือดแดง (RDW) ซึ่งวัดปริมาณความหลากหลายของขนาดเม็ดเลือดแดง และอาจรวมทั้งการนับแยกเม็ดเลือดขาวซึ่งแจงนับเม็ดเลือดขาวชนิดต่าง ๆ และจำนวนเม็ดเลือดแดงที่ยังไม่เต็มวัย (เรติคูโลไซต์)[4][107]

เม็ดเลือดแดง ฮีโมโกลบินและฮีมาโทคริต

[แก้]
ตัวอย่าง CBC ในภาวะเลือดจางเซลล์ขนาดเล็ก
สารที่วิเคราะห์ ผลลัพธ์ พิสัยปกติ
เม็ดเลือดแดง 5.5 x 1012/L 4.5–5.7
เม็ดเลือดขาว 9.8 x 109/L 4.0–10.0
ฮีโมโกลบิน 123 g/L 133–167
ฮีมาโทคริต 0.42 0.35–0.53
MCV 76 fL 77–98
NCH 22.4 pg 26–33
MCHC 293 g/L 330–370
RDW 14.5% 10.3–15.3
ตัวอย่างผล CBC ที่แสดงค่าฮีโมโกลบินต่ำ ปริมาตรเม็ดเลือดแดงเฉลี่ย (MCV) ต่ำ ฮีโมโกลบินเม็ดเลือดแดงเฉลี่ย (MCH) ต่ำ และปริมาณฮีโมโกลบินในเม็ดเลือดแดงเฉลี่ย (MCHC) ต่ำ ชี้ว่าบุคคลนี้มีภาวะเลือดจาง สาเหตุอาจเกิดจากการขาดธาตุเหล็ก หรือมีฮีโมโกลบินผิดปกติ[108]

เม็ดเลือดแดงลำเลียงออกซิเจนจากปอดไปยังเนื้อเยื่อ และขากลับจะนำคาร์บอนไดออกไซด์กลับสู่ปอดแล้วกำจัดโดยการหายใจออก หน้าที่เหล่านี้มีฮีโมโกลบินในเม็ดเลือดแดงเป็นสื่อกลาง[109] เครื่องวิเคราะห์จะนับเม็ดเลือดแดงรายงานผลในหน่วย 106 เซลล์ต่อไมโครลิตรของเลือด (× 106/μL) หรือ 1012 เซลล์ต่อลิตร (× 1012/L) และวัดขนาดเฉลี่ยซึ่งเรียก ปริมาตรเม็ดเลือดโดยเฉลี่ย และแสดงในหน่วยเฟมโตลิตรหรือลูกบาศก์ไมโครเมตร[4] ค่าฮีมาโทคริต (HCT) หรือปริมาตรเลือดแดง (PCV) อาจได้จากการคำนวณปริมาตรเม็ดเลือดโดยเฉลี่ยกับจำนวนเม็ดเลือดแดง[66] และเมื่อทำการตรวจฮีมาโทคริตโดยตรงปริมาณเซลล์เฉลี่ยอาจคำนวณได้จากฮีมาโทคริตและจำนวนเม็ดเลือดแดง [110][111] สำหรับฮีโมโกลบินที่วัดได้หลังจากการสลายเม็ดเลือดแด มักรายงานเป็นหน่วยกรัมต่อลิตร (g/L) หรือกรัมต่อเดซิลิตร (g/dL)[112] สมมติว่าปริมาณเม็ดเลือดแดงปกติ มีความสัมพันธ์คงที่ระหว่างฮีโมโกลบินและฮีมาโทคริตดังนี้ ร้อยละฮีมาโทคริตสูงกว่าค่าฮีโมโกลบินในหน่วย g/dL ประมาณสามเท่า บวกลบสาม ความสัมพันธ์นี้เรียกว่า กฎสาม (rule of three) ซึ่งสามารถใช้เพื่อยืนยันว่าผลลัพธ์ CBC ถูกต้องหรือไม่[113]

การวัดอีกสองอย่างได้มาจากการคำนวณจำนวนเม็ดเลือดแดง ความเข้มข้นของฮีโมโกลบินและฮีมาโทคริต ได้แก่ ปริมาตรของเม็ดเลือดแดงโดยเฉลี่ย (MCV) และปริมาณเฉลี่ยของฮีโมโกลบินในเม็ดเลือดแดง (MCH)[114][115] พารามิเตอร์เหล่านี้อธิบายปริมาณฮีโมโกลบินในเม็ดเลือดแดง 1 เม็ดเลือด MCH และ MCHC อาจชวนให้สับสนได้ แต่สาระสำคัญคือ MCH เป็นการวัดปริมาณฮีโมโกลบินเฉลี่ยต่อเม็ดเลือดแดง 1 เม็ดเลือด MCHC บอกสัดส่วนเฉลี่ยของเม็ดเลือดที่เป็นฮีโมโกลบิน MCH ไม่คำนึงถึงขนาดของเม็ดเลือดแดง ซึ่งตรงข้ามกับ MCHC[116] MCV, MCH, และ MCHC เรียกรวมกันว่า ดัชนีเม็ดเลือดแดง[114][115] ค่าดัชนีที่เปลี่ยนแปลงจะสังเกตได้บนฟิล์มเลือด คือ เม็ดเลือดแดงที่มีขนาดใหญ่หรือเล็กกว่าปกติจะบอกได้โดยเปรียบเทียบกับขนาดของเม็ดเลือดขาว และเม็ดเลือดที่มีความเข้มข้นของฮีโมโกลบินต่ำจะดูสีซีด[117] พารามิเตอร์อีกค่าหนึ่งคำนวณจากการวัดเม็ดเลือดแดงในคราวแรก ได้แก่ ความกว้างการกระจายของเม็ดเลือดแดง หรือ RDW ซึ่งสะท้อนถึงระดับความผันแปรของขนาดเม็ดเลือด[118]

See caption.
ฟิล์มเลือดจากผู้ป่วยภาวะเลือดจางเหตุขาดธาตุเหล็ก ซึ่งแสดงสัณฐานวิทยาของเม็ดเลือดแดงที่เฉพาะตัว เม็ดเลือดแดงมีขนาดเล็กผิดปกติ (microcytosis) มีบริเวณซีดตรงกลางขนาดใหญ่ (hypochromia) และมีขนาดแตกต่างกันมาก (anisocytosis)

ค่าฮีโมโกลบิน ฮีมาโทคริตหรือจำนวนเม็ดเลือดแดงต่ำกว่าปกติบ่งชี้ภาวะเลือดจาง[119] ภาวะเลือดจางไม่ใช่การวินิจฉัยโรคในตัวเอง แต่เป็นการชี้ให้เห็นภาวะพื้นเดิมอย่างใดอย่างหนึ่งที่ส่งผลต่อเม็ดเลือดแดงของบุคคลนั้น[88] สาเหตุทั่วไปของภาวะเลือดจาง ได้แก่ การเสียเลือด การผลิตเม็ดเลือดแดงที่บกพร่อง (หรือการสร้างเม็ดเลือดแดงที่ไม่มีประสิทธิภาพ) การสร้างเม็ดเลือดแดงลดลง (การสร้างเม็ดเลือดแดงไม่เพียงพอ) และการเพิ่มการทำลายเม็ดเลือดแดง (ภาวะเลือดจางจากการสลายของเม็ดเลือดแดง)[120] ภาวะเลือดจางทำให้เลือดสามารถลำเลียงออกซิเจนได้ลดลง ทำให้เกิดอาการอย่างอ่อนเพลียและหายใจเร็ว[121] ถ้าระดับฮีโมโกลบินต่ำกว่าค่า ๆ หนึ่งซึ่งไม่เท่ากันขึ้นกับภาวะทางคลินิกของบุคคล อาจจำเป็นต้องรับการรักษาด้วยการถ่ายเลือด[122]

การเพิ่มจำนวนเม็ดเลือดแดงซึ่งโดยปกติทำให้มีฮีโมโกลบินและฮีมาโทคริตเพิ่มขึ้นตาม[note 4] เรียกว่า เม็ดเลือดแดงมาก[126] การขาดน้ำ หรือการใช้ยาขับปัสสาวะ อาจทำให้เกิดภาวะเม็ดเลือดแดงมาก "โดยสัมพัทธ์" ได้จากการลดสัดส่วนพลาสมาต่อเม็ดเลือดแดง การเพิ่มจำนวนเม็ดเลือดแดงอย่างแท้จริง ที่เรียก ภาวะเม็ดเลือดแดงมากสัมบูรณ์นั้น เกิดได้จากที่ร่างกายผลิตเม็ดเลือดแดงมากขึ้นเพื่อชดเชยระดับออกซิเจนต่ำเรื้อรังในสภาวะ เช่น โรคปอดหรือโรคหัวใจ หรือเมื่อคนมีระดับฮอร์โมนอีรีโทรโปอีติน (erythropoietin, EPO) สูงผิดปกติ ซึ่งเป็นฮอร์โมนที่กระตุ้นการสร้างเม็ดเลือดแดง ในภาวะโพลีไซทีเมีย เวอรา ไขกระดูกสร้างเม็ดเลือดแดงและเม็ดเลือดอื่น ๆ ในอัตราสูงเกิน[127]

การประเมินดัชนีเม็ดเลือดแดงมีประโยชน์ในการหาสาเหตุของภาวะเลือดจาง ถ้า MCV ต่ำจะเรียกว่า ภาวะเลือดจางเม็ดเลือดแดงเล็ก (microcytic) ส่วนภาวะเลือดจางที่มี MCV สูง เรียก ภาวะเลือดจางเม็ดเลือดแดงใหญ่ (marcocytic) ภาวะเลือดจางที่มี MCHC ต่ำเรียก ภาวะเลือดจางเม็ดเลือดแดงสีซีด (hypochromic) ถ้ามีภาวะเลือดจางแต่ดัชนีเม็ดเลือดแดงปกติ ภาวะเลือดจางนั้นเรียก ชนิดสีปกติ (normochromic) และขนาดปกติ (normocytic)[117] ทั้งนี้ โดยทั่วไปไม่ค่อยใช้คำว่า hyperchromia หมายถึง ภาวะที่ MCHC สูง ภาวะที่ทำให้ MCHC สูงกว่าค่าอ้างอิงขอบเขตบนนั้นพบน้อย ซึ่งส่วนใหญ่พบในภาวะ เช่น โรคเม็ดเลือดแดงทรงกลม (spherocytosis) โรคเม็ดเลือดแดงรูปเคียวและฮีโมโกลบินซี[115][128] ภาวะ MCHC สูงเท็จอาจเป็นผลจากการเกาะกลุ่มของเม็ดเลือดแดง (ซึ่งทำให้จำนวนเม็ดเลือดแดงลดลงเท็จ ซึ่งทำให้ MCHC สูงขึ้น)[129][130] หรือมีปริมาณลิพิดในเลือดสูง (ซึ่งทำให้ค่าฮีโมโกลบินสูงเท็จ)[128][131]

ภาวะเลือดจางเม็ดเลือดแดงเล็กตรงแบบสัมพันธ์กับการขาดธาตุเหล็ก ทาลัสซีเมีย ภาวะเลือดจางโรคเรื้อรัง ส่วนภาวะเลือดจางเม็ดเลือดแดงใหญ่สัมพันธ์กับโรคพิษสุรา การขาดโฟเลตและวิตามินบี12 การใช้ยาบางชนิด และโรคไขกระดูกบางชนิด สำหรับการเสียเลือด ภาวะเลือดจางจากการสลายของเม็ดเลือดแดง โรคไขกระดูก และโรคเรื้อรังหลายชนิดทำให้เกิดภาวะเลือดจางที่มีเม็ดเลือดขนาดปกติ[115][132] MCV ยังมีจุดประสงค์อีกอย่างหนึ่งในการควบคุมคุณภาพห้องปฏิบัติการ เพราะเป็นค่าที่ค่อนข้างคงที่ไม่เปลี่ยนแปลงตามเวลาเมื่อเทียบกับพารามิเตอร์อื่น ๆ ของ CBC ฉะนั้นการเปลี่ยนแปลงค่า MCV อย่างมากอาจบ่งบอกว่าตัวอย่างนั้นมาจากผู้ป่วยคนละคนกัน[133]

ค่า RDW ต่ำไม่มีความสำคัญทางคลินิก แต่เมื่อ RDW สูงขึ้นแสดงว่าเม็ดเลือดแดงมีขนาดแปรปรวนมากขึ้น เป็นภาวะที่เรียก ภาวะเม็ดเลือดแดงหลากขนาด (anisocytosis)[118] ภาวะเม็ดเลือดแดงหลากขนาดพบบ่อยในภาวะเลือดจางที่มีสาเหตุจากโภชนาการ เช่น เลือดจางจากการขาดธาตุเหล็ก และภาวะเลือดจางจากการขาดโฟเลตและวิตามินบี12 ส่วนผู้ป่วยทาลัสซีเมียอาจมี RDW ปกติได้[118] เมื่อได้ผลลัพธ์ CBC แล้ว อาจใช้การตรวจเพิ่มเติมเพื่อหาสาเหตุของภาวะเลือดจางต่อไป เช่น การทดสอบเฟอร์ริตินเพื่อยืนยันการขาดธาตุเหล็ก หรือฮีโมโกลบินอิเล็กโทรโฟเรซิส (hemoglobin electrophoresis) เพื่อวินิจฉัยความผิดปกติของฮีโมโกลบิน เช่น ทาลัสซีเมียหรือโรคเม็ดเลือดแดงรูปเคียว[134]

เม็ดเลือดขาว

[แก้]
จำนวนเม็ดเลือดขาวและเกล็ดเลือดเพิ่มขึ้นมาก และภาวะเลือดจาง การนับแยกชนิดเม็ดเลือดขาวแสดงให้เห็นภาวะเบโซฟิลสูง (basophilia) และมีนิวโทรฟิลชนิดมีแถบ (band neutrophil) แกรนูโลไซต์ที่ยังไม่เต็มวัย และเซลล์วัยอ่อน (blast cell)[135]

เม็ดเลือดขาวทำหน้าที่ป้องกันการติดเชื้อ และมีส่วนในการตอบสนองต่อการอักเสบ[136] ภาวะที่มีเม็ดเลือดขาวสูงขึ้น (leukocytosis) มักพบในโรคติดเชื้อ การอักเสบ และภาวะความเครียดทางสรีรวิทยา นอกจากนี้ยังพบในโรคที่เกี่ยวข้องกับการผลิตเม็ดเลือด เช่น โรค myeloproliferative และ lymphoproliferative[137] ภาวะที่เม็ดเลือดขาวที่ลดลง (leukopenia) อาจทำให้บุคคลมีความเสี่ยงต่อการติดเชื้อสูงขึ้น[138] และพบในการรักษาบางอย่างเช่น เคมีบำบัดและรังสีบำบัด และภาวะต่าง ๆ ที่ยับยั้งการสร้างเม็ดเลือด[139] ภาวะพิษเหตุติดเชื้ออาจพบทั้งภาวะเม็ดเลือดขาวสูงและต่ำ[140] โดยปกติการรายงานจำนวนเม็ดเลือดขาวทั้งหมดใช้หน่วยเซลล์ต่อไมโครลิตรของเลือด (/μL) หรือ 109 เซลล์ต่อลิตร (× 109/L)[4]

ในการนับแยกชนิดเม็ดเลือดขาว จะรายงานประเภทและจำนวนเม็ดเลือดขาวชนิดต่าง ๆ การรายงานผลใช้หน่วยร้อยละและจำนวนสัมบูรณ์ต่อหน่วยปริมาตร ตรงแบบจะมีการวัดเซลล์เม็ดเลือดขาวห้าชนิด ได้แก่ นิวโทรฟิล ลิมโฟไซต์ โมโนไซต์ อีโอซิโนฟิล และเบโซฟิล[141] เครื่องมือบางชนิดรายงานจำนวนแกรนูโลไซต์ที่ไม่เจริญเต็มวัย ซึ่งเป็นการจำแนกประเภทที่ประกอบด้วยเซลล์ตั้งต้นของนิวโทรฟิล โดยเฉพาะโปรไมอีโลไซต์ ไมอีโลไซต์และเมทาไมอีโลไซต์[note 5][144] ส่วนเม็ดเลือดชนิดอื่น ๆ จะรายงานด้วยถ้าตรวจพบในการนับแยกชนิดด้วยมือ[145]

ผลการนับแยกชนิดมีประโยชน์ในการวินิจฉัยและเฝ้าติดตามภาวะทางการแพทย์หลายอย่าง ตัวอย่างเช่น ภาวะนิวโทรฟิลสูง (neutrophilia) สัมพันธ์กับการติดเชื้อแบคทีเรีย การอักเสบและโรค myeloproliferative[146][147] ในขณะที่นิวโตรฟิลในเลือดต่ำ (neutropenia) อาจเกิดในผู้ที่อยู่ระหว่างได้รับเคมีบำบัดหรือรับประทานยาบางชนิดหรือผู้ป่วยโรคที่มีผลต่อไขกระดูก[148][149] ภาวะนิวโตรฟิลในเลือดต่ำยังอาจเกิดจากความผิดปกติแต่กำเนิด และอาจเกิดขึ้นชั่วคราวหลังการติดเชื้อไวรัสหรือแบคทีเรียในเด็ก[150] ผู้ที่มีภาวะนิวโตรฟิลในเลือดต่ำรุนแรงและมีอาการทางคลินิกของการติดเชื้อจะได้รับการรักษาด้วยยาปฏิชีวนะเพื่อป้องกันโรคที่อาจเป็นอันตรายถึงชีวิต[151]

See caption.
ฟิล์มเลือดของผู้ป่วยมะเร็งเม็ดเลือดขาวชนิดไมอีลอยด์เรื้อรัง จะเห็นเม็ดเลือดขาวที่ยังไม่เต็มวัยและผิดปกติจำนวนมาก

การเพิ่มจำนวนของนิวโทรฟิลแบบมีแถบ (band neutrophil) คือ นิวโทรฟิลอายุน้อยที่ขาดนิวเคลียสที่แยกออกเป็นส่วน ๆ (segmented nuclei) หรือแกรนูโลไซต์ที่ไม่เต็มวัย จะเรียกว่า การเลื่อนไปทางซ้าย (left shift) และพบในภาวะพิษเหตุติดเชื้อและความผิดปกติของเลือดบางอย่าง แต่ปกติในการตั้งครรภ์[152][153] ภาวะที่ลิมโฟไซต์สูงขึ้น (lymphocytosis) สัมพันธ์กับการติดเชื้อไวรัส[6] และโรค lymphoproliferative เช่น มะเร็งเม็ดเลือดขาวลิมโฟไซต์แบบเรื้อรัง[154] ภาวะที่โมโนไซต์สูงขึ้น (monocytosis) สัมพันธ์กับภาวะการอักเสบเรื้อรัง[155] และเม็ดเลือดขาวอีโอซิโนฟิลมักเพิ่มขึ้น (eosinophilia) ในการติดเชื้อปรสิตและภาวะภูมิแพ้[156] ภาวะที่เบโซฟิลสูง (basophilia) อาจพบในโรค myeloproliferative เช่น มะเร็งเม็ดเลือดขาวชนิดไมอิลอยด์เรื้อรัง และโพลีไซทีเมีย เวอรา[147] การพบเซลล์ผิดปกติบางชนิด เช่น เซลล์ตัวอ่อน หรือลิมโฟไซต์ที่มีลักษณะอย่างเนื้องอก บ่งบอกถึงโรคมะเร็งโลหิตวิทยา [89][157]

เกล็ดเลือด

[แก้]
See caption.
ฟิล์มเลือดในภาวะเกล็ดเลือดต่ำปฐมภูมิ จะเห็นเกล็ดเลือดเป็นวัตถุติดสีม่วงเล็ก ๆ อยู่ระหว่างเม็ดเลือด

เกล็ดเลือดมีบทบาทสำคัญในการจับลิ่มของเลือด เมื่อผนังหลอดเลือดเสียหาย เกล็ดเลือดจะยึดเกาะกับผิวสัมผัสบริเวณที่ได้รับบาดเจ็บและอุดช่องว่าง การกระตุ้นในเวลาเดียวกันซึ่งลำดับการจับลิ่มของเลือด (coagulation cascade) ทำให้เกิดการก่อไฟบริน (fibrin) ซึ่งเสริมความแข็งแรงของก้อนเกล็ดเลือดเพื่อสร้างลิ่มเลือดที่เสถียร[158] ภาวะเกล็ดเลือดต่ำ (thrombocytopenia) อย่างรุนแรงอาจทำให้เลือดออกได้[159] ซึ่งอาจพบในผู้ที่อยู่ระหว่างการรักษาที่ยับยั้งไขกระดูก เช่น เคมีบำบัดหรือรังสีบำบัด หรือการรับประทานยาบางชนิด เช่น เฮปาริน ซึ่งเป็นตัวกระตุ้นระบบภูมิคุ้มกันให้ทำลายเกล็ดเลือด ภาวะเกล็ดเลือดต่ำเป็นลักษณะของโรคเลือดหลายชนิด เช่น มะเร็งเม็ดเลือดขาวเฉียบพลันและ ภาวะเลือดจางไม่สร้าง (aplastic anemia) ตลอดจนโรคภูมิต้านตนเองบางชนิด[160][161] หากจำนวนเกล็ดเลือดต่ำมาก อาจต้องรักษาด้วยการถ่ายเกล็ดเลือด[162] ภาวะเกล็ดเลือดมาก (thrombocytosis) อาจพบในภาวะการอักเสบหรือการบาดเจ็บ[163] เช่นเดียวกับการขาดธาตุเหล็ก[164] และจำนวนเกล็ดเลือดอาจสูงได้เป็นพิเศษในผู้มีภาวะเกล็ดเลือดต่ำปฐมภูมิ ซึ่งเป็นโรคเลือดหายากชนิดหนึ่ง การรายงานจำนวนเกล็ดเลือดใช้หน่วยเซลล์ต่อไมโครลิตรของเลือด (/μL), [165] 103 เซลล์ต่อไมโครลิตร (×103/μL) หรือ 109 เซลล์ต่อลิตร (× 109/L)[4]

ปริมาตรเกล็ดเลือดเฉลี่ย (MPV) เป็นการวัดขนาดเฉลี่ยของเกล็ดเลือดในหน่วยเฟมโตลิตร ซึ่งช่วยบอกสาเหตุของภาวะเกล็ดเลือดต่ำได้ MPV สูงอาจพบเมื่อเกล็ดเลือดตัวอ่อนถูกปล่อยเข้าสู่กระแสเลือดเพื่อชดเชยการทำลายเกล็ดเลือดที่เพิ่มขึ้น ขณะที่ภาวะการผลิตเกล็ดเลือดลดลงเนื่องจากโรคของไขกระดูกอาจส่งผลให้ค่า MPV ต่ำ; MPV ยังมีประโยชน์ช่วยแยกโรคแต่กำเนิดที่ทำให้เกิดภาวะเกล็ดเลือดต่ำ[118][166] นักวิเคราะห์บางคนรายงานเศษเกล็ดเลือดที่ไม่เต็มวัย (immature platelet fraction, IPF) หรือจำนวนเกล็ดเลือดลายตาข่าย (reticulated platelet) และให้สารนิเทศเกี่ยวกับอัตราการสร้างเกล็ดเลือดโดยการวัดจำนวนเกล็ดเลือดที่ยังไม่เต็มวัยในเลือด[167]

การทดสอบอื่น ๆ

[แก้]

จำนวนเรติคูโลไซต์

[แก้]
Microscopic image of red blood cells stained blue.
เม็ดเลือดแดงที่ย้อมด้วยสีนิวเมทิลีนบลู เซลล์ที่มีโครงสร้างสีน้ำเงินเข้มคือเรติคูโลไซต์

เรติคูโลไซต์ (reticulocyte) เป็นเม็ดเลือดแดงที่ยังไม่เต็มวัยซึ่งยังมีอาร์เอ็นเอ ต่างจากเม็ดเลือดเต็มวัย การนับเรติคูโลไซต์บางทีเป็นส่วนหนึ่งของการตรวจ CBC ซึ่งโดยปกติเพื่อหาสาเหตุของภาวะเลือดจางของบุคคลหรือประเมินการตอบสนองต่อการรักษา ภาวะเลือดจางที่มีจำนวนเรติคูโลไซต์สูงสามารถบอกได้ว่าไขกระดูกกำลังผลิตเม็ดเลือดแดงในอัตราสูงขึ้นเพื่อชดเชยการเสียเลือดหรือการสลายของเม็ดเลือดแดง [74] ในขณะที่โรคโลหิตจางที่มีจำนวนเรติคูโลไซต์ต่ำอาจบ่งชี้ว่าบุคคลนั้นมีภาวะที่ลด ความสามารถของร่างกายในการผลิตเม็ดเลือดแดง [168] เมื่อผู้มีภาวะเลือดจางโภชนาการได้รับการเสริมอาหาร การเพิ่มจำนวนเรติคูโลไซต์บ่งชี้ว่าร่างกายตอบสนองต่อการรักษาโดยการผลิตเม็ดเลือดแดงมากขึ้น[169] เครื่องวิเคราะห์โลหิตวิทยาตรวจนับเรติคูโลไซต์โดยการย้อมเม็ดเลือดแดงด้วยสีย้อมที่จับกับ RNA และวัดจำนวนเรติคูโลไซต์ผ่านการกระเจิงของแสงหรือการวิเคราะห์การเรืองแสง การทดสอบสามารถทำได้ด้วยมือโดยการย้อมสีเลือดด้วยเมทิลีนบลูใหม่ และนับร้อยละของเม็ดเลือดแดงที่มี RNA ภายใต้กล้องจุลทรรศน์ จำนวนเรติคูโลไซต์แสดงเป็นจำนวนสัมบูรณ์[168] หรือเป็นร้อยละของเม็ดเลือดแดง [170]

เครื่องมือบางอย่างวัดปริมาณฮีโมโกลบินโดยเฉลี่ยในเรติคูโลไซต์แต่ละตัว ซึ่งเป็นพารามิเตอร์ที่มีการศึกษาว่าเป็นตัวบ่งชี้การขาดธาตุเหล็กในผู้ที่มีภาวะที่รบกวนการทดสอบมาตรฐาน[171] เศษส่วนเรติคูโลไซต์ที่ยังไม่เจริญเต็มวัย (immature reticulocyte fraction, IRF) เป็นการวัดอีกอย่างหนึ่งที่เครื่องวิเคราะห์บางชนิดรายงาน ซึ่งจะวัดปริมาณการเจริญเต็มวัยของเรติคูโลไซต์: เซลล์ที่เจริญเต็มวัยน้อยจะมี RNA มากกว่าและทำให้เกิดสัญญาณวาวแสงที่เข้มกว่า สารนิเทศนี้อาจเป็นประโยชน์ในการวินิจฉัยภาวะเลือดจาง และประเมินการสร้างเม็ดเลือดแดงหลังการรักษาภาวะเลือดจางหรือการปลูกถ่ายไขกระดูก[172]

เม็ดเลือดแดงมีนิวเคลียส

[แก้]

ในระหว่างการสร้างเม็ดเลือดแดงในไขกระดูก ตับ และม้ามของทารกในครรภ์ [173] เม็ดเลือดแดงจะยังมีนิวเคลียส ซึ่งปกติไม่มีอยู่ในเม็ดเลือดที่เจริญเต็มวัยซึ่งไหลเวียนในกระแสเลือด[174] เมื่อพบว่ามีเม็ดเลือดแดงมีนิวเคลียส โดยเฉพาะในเด็กและผู้ใหญ่ บ่งชี้ว่าร่างกายมีความต้องการเม็ดเลือดแดงเพิ่มขึ้นซึ่งอาจเกิดจากเลือดออก มะเร็งบางชนิดและภาวะเลือดจาง[118] เครื่องวิเคราะห์ส่วนใหญ่สามารถตรวจจับเซลล์เหล่านี้ได้โดยรายงานเป็นส่วนหนึ่งของการนับแยกชนิดเม็ดเลือด ถ้ามีเม็ดเลือดแดงมีนิวเคลียสสูงอาจทำให้จำนวนเม็ดเลือดขาวสูงเทียมได้ ซึ่งต้องคำนวณปรับ[175]

พารามิเตอร์อื่น

[แก้]

เครื่องวิเคราะห์โลหิตวิทยาขั้นสูงสามารถวัดเม็ดเลือดแบบใหม่ซึ่งได้แสดงให้เห็นถึงความสำคัญเชิงวินิจฉัยในการศึกษาวิจัย แต่ยังไม่พบว่ามีใช้ทางคลินิกอย่างแพร่หลาย[171] ตัวอย่างเช่นเครื่องวิเคราะห์บางประเภทอ่านค่าพิกัดระบุขนาดและตำแหน่งของคลัสเตอร์เม็ดเลือดขาว เรียก ข้อมูลประชากรเม็ดเลือด (cell population data)[176] มีการศึกษาพารามิเตอร์เหล่านี้ว่าอาจใช้เป็นสารส่อโรคเลือด การติดเชื้อแบคทีเรียและมาลาเรีย เครื่องวิเคราะห์ที่ใช้สีย้อมไมอีโลเพอร็อกซิเดสเพื่อใช้วัดการแสดงออกซึ่งเอ็นไซม์ของเม็ดเลือดขาว ซึ่งมีการแเปลี่ยแปลงในโรคต่าง ๆ[75] เครื่องมือบางอย่างสามารถรายงานร้อยละของเม็ดเลือดแดงที่มีสีซีดนอกเหนือไปจากรายงานค่า MCHC เฉลี่ย หรือบอกปริมาณเศษเม็ดเลือดแดง (schistocyte)[171] ซึ่งเกิดขึ้นในภาวะเลือดจางจากการสลายเม็ดเลือดแดงบางประเภท[177] เนื่องจากพารามิเตอร์เหล่านี้มักจะเฉพาะเจาะจงสำหรับเครื่องวิเคราะห์บางยี่ห้อ จึงเป็นการยากสำหรับห้องปฏิบัติการในการแปลและเปรียบเทียบผล[171]

พิสัยอ้างอิง

[แก้]
ตัวอย่างพิสัยอ้างอิงการตรวจนับเม็ดเลือด [178]
ทดสอบ หน่วย ผู้ใหญ่ เด็ก

(อายุ 4–7 ปี)

ทารกแรกเกิด

(0–1 วัน)

WBC × 109/L 3.6–10.6 5.0–17.0 9.0–37.0
RBC × 1012/L
  • M: 4.20–6.00
  • F: 3.80–5.20
4.00–5.20 น 4.10–6.10
HGB g/L
  • M: 135–180
  • F: 120–150
102–152 165–215
HCT L/L
  • M: 0.40–0.54
  • F: 0.35–0.49
0.36–0.46 0.48–0.68
MCV fL 80–100 78–94 95–125
MCH pg 26–34 23–31 30–42
MCHC g/L 320–360 320–360 300–340
RDW % 11.5–14.5 11.5–14.5 สูง[note 6]
เกล็ดเลือด × 109/L 150–450 150–450 150–450
นิวโทรฟิล × 109/L 1.7–7.5 1.5–11.0 3.7–30.0
ลิมโฟไซต์ × 109/L 1.0–3.2 1.5–11.1 1.6–14.1
โมโนไซต์ × 109/L 0.1–1.3 0.1–1.9 0.1–4.4
อีโอซิโนฟิล × 109/L 0.0–0.3 0.0–0.7 0.0–1.5
เบโซฟิล × 109/L 0.0–0.2 0.0–0.3 0.0–0.7

การแปลผลการนับเม็ดเลือดสมบูรณ์โดยการเปรียบเทียบผลกับพิสัยอ้างอิงซึ่งแสดงถึงผลลัพธ์ที่พบในผู้ที่ดูมีสุขภาพแข็งแรงร้อยละ 95[35] จากการแจกแจงปรกติทางสถิติ พิสัยของตัวอย่างที่ทดสอบจะแตกต่างกันตามเพศและอายุ โดยเฉลี่ยแล้วหญิงผู้ใหญ่มีฮีโมโกลบิน ฮีมาโทคริต และปริมาณเม็ดเลือดแดงน้อยกว่าชาย โดยช่วงต่างจะลดลงหลังวัยหมดประจำเดือน[179]

เลือดของทารกแรกเกิดต่างจากเด็กโตมาก จากที่เลือดเด็กโตก็แตกต่างจากผู้ใหญ่อยู่แล้ว ฮีโมโกลบิน ฮีมาโทคริตและปริมาณเม็ดเลือดแดงของทารกแรกเกิดมีค่าสูงมากเพื่อชดเชยกับระดับอ็อกซิเจนที่ต่ำในครรภ์ และมีสัดส่วนฮีโมโกลบินทารกในครรภ์สูง ซึ่งมีประสิทธิภาพลดลงในการส่งอ็อกซิเจนไปยังเนื้อเยื่อเมื่อเทียบกับฮีโมโกลบินของผู้ใหญ่[180][181] MCV ก็มีค่าเพิ่มขึ้น เช่นเดียวกับปริมาณเม็ดเลือดขาวโดยเน้นหนักไปที่นิวโทรฟิล[180][182] จำนวนเม็ดเลือดแดงและค่าที่เกี่ยวข้องเริ่มลดลงไม่นานหลังคลอด แตะจุดต่ำสุดเมื่ออายุประมาณ 2 เดือนและจะเพิ่มขึ้นหลังจากนั้น[183][184] เม็ดเลือดแดงของทารกและเด็กโตมีขนาดเล็ก โดยมี MCH ต่ำกว่าของผู้ใหญ่ ในการนับแยกชนิดเม็ดเลือดขาวในเด็ก ลิมโฟไซต์มักมีจำนวนมากกว่านิวโทรฟิล ขณะที่สัดส่วนนิวโทรฟิลในผู้ใหญ่มีมากกว่า[180]

ความแตกต่างอื่น ๆ ระหว่างประชากรอาจส่งผลต่อพิสัยอ้างอิง ตัวอย่างเช่นผู้ที่อาศัยอยู่ในที่สูงขึ้นจะมีผลของฮีโมโกลบิน ฮีมาโทคริตและ RBC สูงกว่า และผู้ที่บรรพบุรุษแอฟริกามีจำนวนเม็ดเลือดขาวโดยเฉลี่ยต่ำกว่า[185] ประเภทเครื่องวิเคราะห์ที่ใช้ทดสอบ CBC ก็มีผลต่อพิสัยอ้างอิงเช่นกัน ฉะนั้นพิสัยอ้างอิงกำหนดจากห้องปฏิบัติการเดี่ยว ๆ โดยอาศัยประชากรผู้ป่วยและเครื่องมือของตนเอง[186][187]

ข้อจำกัด

[แก้]

ภาวะทางการแพทย์บางอย่างหรือปัญหาเกี่ยวกับตัวอย่างเลือดอาจให้ผลลัพธ์ที่ไม่แม่นยำ หากตัวอย่างมีลักษณะเป็นลิ่มเลือดอย่างเห็นได้ชัด ซึ่งอาจเกิดจากเทคนิคเจาะเลือดไม่ดี ตัวอย่างนั้นจะไม่เหมาะสมสำหรับการทดสอบ เพราะปริมาณเกล็ดเลือดจะต่ำเท็จ และผลลัพธ์อย่างอื่นอาจผิดปกติได้[188][189] ตัวอย่างที่เก็บ ณ อุณหภูมิห้องเป็นเวลาหลายชั่วโมงอาจให้ค่า MCV สูงเท็จ[190] เนื่องจากเม็ดเลือดแดงบวมเมื่อดูดน้ำจากพลาสมา และผลเกล็ดเลือดและการนับแยกชนิดเม็ดเลือดขาวอาจไม่แม่นยำในตัวอย่างที่มีอายุมาก เมื่อเม็ดเลือดเสื่อมสภาพตามเวลา[91]

A photomicrograph of a blood smear showing red blood cells in clumps
การเกาะกลุ่มของเม็ดเลือดแดงที่เห็นได้จากฟิล์มเลือด

ตัวอย่างที่เก็บจากบุคคลที่มีระดับบิลิรูบินหรือลิพิดสูงมากในพลาสมาก (icteric sample และ lipemic sample ตามลำดับ)[191] อาจแสดงค่าฮีโมโกลบินสูงผิดปกติได้เนื่องจากสสารเหล่านี้เปลี่ยนสีและภาวะทึบแสงของตัวอย่าง ซึ่งขัดขวางการวัดฮีโมโกลบิน[192] ผลดังกล่าวสามารถบรรเทาได้ด้วยการเปลี่ยนพลาสมาเป็นน้ำเกลือแทน[91]

บุคคลบางคนผลิตสารภูมิต้านทานที่ทำให้เกล็ดเลือดจับตัวเป็นก้อนเมื่อมีการดึงเลือดเข้าไปในท่อที่เคลือบสาร EDTA ซึ่งเป็นสารต้านการจับลิ่มของเลือดตรงแบบที่ใช้ในการเก็บตัวอย่าง CBC เครื่องวิเคราะห์อัตโนมัติอาจนับเป็นเกล็ดเลือดเดี่ยว อันจะทำให้ปริมาณเกล็ดเลือดต่ำเท็จได้ ภาวะนี้สามารถเลี่ยงได้โดยใช้สารต้านการจับลิ่มของเลือดอย่างอื่น เช่น โซเดียมซิเตรต หรือ เฮปาริน[193]

ภาวะที่สารภูมิต้านทานเป็นสื่อกลางอีกอย่างที่อาจกระทบต่อผลการนับเม็ดเลือดอย่างสมบูรณ์ คือ การเกาะกลุ่มของเม็ดเลือดแดง ปรากฏการณ์นี้ทำให้เม็ดเลือดแดงเกาะกลุ่มกันเนื่องจากสารภูมิต้านทานจับกับผิวเม็ดเลือด[194] เครื่องวิเคราะห์จะนับเม็ดเลือดแดงที่เกาะกลุ่มกันเป็นเม็ดเลือดเดียว ทำให้จำนวนเม็ดเลือดแดงและฮีมาโทคริตต่ำลงอย่างสังเกตได้ และ MCV และ MCHC สูงขึ้นอย่างเห็นได้ชัด[53] บ่อยครั้งสารภูมิต้านทานเหล่านี้จะมีฤทธิ์ที่อุณหภูมิห้องเท่านั้น (ซึ่งในกรณีนี้เรียกว่า แอกลูตินินเย็น) และการเกาะกลุ่มสามารถย้อนกลับได้โดยให้ความร้อนตัวอย่างที่อุณหภูมิ 37 องศาเซลเซียส อย่างไรก็ดี ตัวอย่างจากผู้ป่วยภาวะเลือดจางจากการสลายของเม็ดเลือดแดงชนิดภูมิต้านตัวเองแบบอุ่นอาจมีการเกาะกลุ่มของเม็ดเลือดแดงซึ่งแก้ไขไม่ได้ด้วยการอุ่นตัวอย่าง[130]

ในขณะที่เซลล์วัยอ่อนและมะเร็งปุ่มน้ำเหลืองสามารถระบุได้ในการนับแยกชนิดด้วยมือ แต่การตรวจด้วยกล้องจุลทรรศน์ไม่สามารถระบุสายการสร้างเม็ดเลือด (hematopoietic linage) ได้อย่างน่าเชื่อถือ เมื่อระบุเม็ดเลือดผิดปกติได้แล้ว จำเป็นต้องใช้การระบุฟีโนไทป์ภูมิคุ้มกัน (immunophenotyping) ด้วยวิธีโฟลไซโทเมตรี (flow cytometry) เพื่อระบุสารส่อที่ให้สารนิเทศเพิ่มเติมเกี่ยวกับเม็ดเลือดดังกล่าว[195][196]

ประวัติศาสตร์

[แก้]
A black leather case with its contents: a candle and colour cards
เครื่องวัดฮีโมโกลบิน (hemoglobinometer) ระยะแรก: ใช้วิธีเปรียบเทียบตัวอย่างเลือดกับแผนภูมิสีมาตรฐานอ้างอิงเพื่อใช้บอกระดับฮีโมโกลบิน[197]

ก่อนมีการใช้เครื่องนับเซลล์อัตโนมัติ การตรวจนับเม็ดเลือดอย่างสมบูรณ์ใช้วิธีมือ โดยนับเม็ดเลือดแดง เม็ดเลือดขาวและเกล็ดเลือดโดยใช้กล้องจุลทรรศน์[198] บุคคลแรกที่จัดพิมพ์ผลการสังเกตเม็ดเลือดด้วยกล้องจุลทรรศน์ คือ อันโตนี ฟัน เลเวินฮุก[199] ซึ่งรายงานลักษณะปรากฏของเม็ดเลือดแดงในจดหมาย ค.ศ. 1674 ถึง จดหมายเหตุการประชุมราชสมาคมแห่งลอนดอน [200] Jan Swammerdam อธิบายเม็ดเลือดแดงเมื่อหลายปีก่อน แต่ไม่ได้จัดพิมพ์ผลการค้นพบของเขาในเวลานั้น ตลอดคริสต์ศตวรรษที่ 18 และ 19 การปรับปรุงเทคโนโลยีกล้องจุลทรรศน์ เช่น เลนส์ไม่มีสี ทำให้สามารถนับเม็ดเลือดขาวและเกล็ดเลือดในตัวอย่างที่ไม่ย้อมสีได้[201]

Karl Vierordt นักสรีรวิทยา ได้รับความชอบว่าเป็นผู้นับเม็ดเลือดครั้งแรก[8][202][203] เทคนิคของเขาซึ่งจัดพิมพ์ใน ค.ศ. 1852 เกี่ยวข้องกับการดูดเลือดปริมาตรที่วัดอย่างระมัดระวังลงในหลอดฝอย และเกลี่ยลงบนสไลด์กล้องจุลทรรศน์ที่เคลือบด้วยไข่ขาว หลังจากเลือดแห้งแล้ว เขานับเซลล์ทุกเซลล์บนสไลด์ กระบวนการนี้อาจใช้เวลานานกว่าสามชั่วโมงจึงเสร็จ[204] เครื่องวัดเม็ดเลือดแดงซึ่งเริ่มใช้ใน ค.ศ. 1874 โดย Louis-Charles Malassez ทำให้การนับเม็ดเลือดด้วยกล้องจุลทรรศน์ง่ายขึ้น[205] ฮีโมไซโตมิเตอร์ (hemocytometer) ของ Malassez ประกอบด้วยสไลด์กล้องจุลทรรศน์ที่มีหลอดฝอยแบน เลือดเจือจางถูกใส่ในห้องฝอยโดยติดท่อยางไว้ปลายหนึ่ง และไปยังห้องเส้นเลือดฝอยโดยใช้ท่อยางที่ติดอยู่ที่ปลายด้านหนึ่งและมีการติดเลนส์ตาที่มีตาตารางมาตราส่วนกับกล้องจุลทรรศน์ ทำให้ผู้ใหล้กล้องนับจำนวนเม็ดเลือดต่อปริมาตรเลือด ใน ค.ศ. 1877 William Gowers ประดิษฐ์ฮีโมไซโตมิเตอร์ที่มีตาตารางใช้นับในตัวทำให้ไม่จำเป็นต้องผลิตเลนส์ตาที่ต้องปรับพิกัดเฉพาะสำหรับกล้องจุลทรรศน์แต่ละตัว[206]

Black and white portrait of Dmitri Leonidovich Romanowsky
Dmitri Leonidovich Romanowsky คิดค้นการย้อมสีโรมานอว์สกี

ในคริสต์ทศวรรษ 1870 Paul Ehrlich พัฒนาเทคนิคการย้อมสีโดยใช้สีย้อมกรดและเบสผสมกันซึ่งสามารถแยกแยะเม็ดเลือดขาวชนิดต่าง ๆ และช่วยให้ตรวจสอบสัณฐานวิทยาของเม็ดเลือดแดงได้[201] Dmitri Leonidovich Romanowsky ปรับปรุงเทคนิคนี้ในคริสต์ทศวรรษ 1890 โดยใช้ส่วนผสมของอีโอซินและเมทิลีนบลูมีอายุเพื่อสร้างสีสันหลากหลายซึ่งไม่มีอยู่ถ้าใช้สีย้อมโดด สิ่งนี้กลายเป็นพื้นฐานสำหรับการย้อมสี Romanowsky เทคนิคนี้ยังใช้กันอยู่เพื่อย้อมสีฟิล์มเลือดสำหรับการทบทวนด้วยมือ[207]

เทคนิคแรกในการวัดฮีโมโกลบินคิดค้นขึ้นในช่วงปลายคริสต์ศตวรรษที่ 19 และเกี่ยวข้องกับการเปรียบเทียบสีของเลือดเจือจางด้วยตากับมาตรฐานที่ทราบ[203] ความพยายามที่จะทำให้กระบวนการเป็นอัตโนมัติโดยใช้วิธีสเปกโตรโฟโตเมตรี (spectrophotometry) และการวัดสี (colorimetry) ถูกจำกัดโดยข้อเท็จจริงว่าฮีโมโกลบินในเลือดนั้นมีหลายแบบ หมายความว่าฮีโมโกลบินเหล่านี้ไม่สามารถวัดได้ที่ความยาวคลื่นค่าเดียว ต่อมาใน ค.ศ. 1920 มีการนำวิธีการแปลงรูปฮีโมโกลบินต่าง ๆ ไปเป็นแบบเสถียรแบบเดียว (ไซแอนเมทฮีโมโกลบินหรือเฮมิโกลบินไซยาไนด์) มาใช้ ทำให้สามารถวัดระดับฮีโมโกลบินได้อย่างอัตโนมัติ วิธีไซแอนเมทฮีโมโกลบินยังคงเป็นวิธีอ้างอิงสำหรับการวัดค่าฮีโมโกลบินและยังคงใช้กันอยู่ในเครื่องวิเคราะห์โลหิตวิทยาแบบอัตโนมัติจำนวนมาก[57][208][209]

Maxwell Wintrobe ได้รับความชอบจากการคิดค้นการทดสอบฮีมาโทคริต[66][210] ใน ค.ศ. 1929 เขาเข้าร่วมโครงการปริญญาเอกที่มหาวิทยาลัยทูเลน เพื่อกำหนดพิสัยปกติสำหรับพารามิเตอร์ของเม็ดเลือดแดงและคิดค้นวิธีการที่เรียก Wintrobe hematocrit ทั้งนี้ การวัดฮีมาโทคริตมีอธิบายไว้ก่อนหน้านี้แล้วในวรรณกรรม แต่วิธีการของ Wintrobe มีข้อแตกต่างตรงที่ใช้ท่อขนาดใหญ่ที่สามารถผลิตได้จำนวนมากตามข้อกำหนดที่แม่นยำโดยมีมาตราส่วนผลิตในตัว วัดส่วนของเม็ดเลือดแดงในหลอดถูกวัดหลังการหมุนเหวี่ยงเพื่อหาค่าฮีมาโทคริต การประดิษฐ์วิธีการวัดค่าฮีมาโทคริตที่ทำซ้ำได้ทำให้ Wintrobe นิยามดัชนีเม็ดเลือดแดงได้[203]

A complex tube and flask apparatus attached to a measurement station
เครื่องนับ Model A Coulter

เริ่มมีการวิจัยเกี่ยวกับการนับเม็ดเลือดอัตโนมัติในต้นคริสต์ศตวรรษที่ 20[209] วิธีการที่พัฒนาขึ้นใน ค.ศ. 1928 ใช้ปริมาณแสงที่ส่งผ่านตัวอย่างเลือดเจือจางซึ่งวัดโดยวิธีวัดแสง เพื่อกะประมาณจำนวนเม็ดเลือดแดง แต่พิสูจน์แล้วว่าวิธีนี้ไม่ถูกต้องแม่นยำสำหรับตัวอย่างที่มีเม็ดเลือดแดงผิดปกติ[8] ความพยายามอื่น ๆ ที่ไม่ประสบความสำเร็จในคริสต์ทศวรรษ 1930 และ 1940 นั้นเกี่ยวข้องกับเครื่องตรวจจับไฟฟ้าและแสง (photoelectric) ที่ติดอยู่กับกล้องจุลทรรศน์ ซึ่งจะนับเม็ดเลือดเมื่อส่องกราด ปลายคริสต์ทศวรรษ 1940 Wallace H. Coulter ได้รับแรงบันดาลใจจากความจำเป็นต้องมีวิธีการนับเม็ดเลือดแดงที่ดีขึ้นให้หลังการทิ้งระเบิดนิวเคลียร์ที่ฮิโรชิมาและนางาซากิ[211] พยายามปรับปรุงเทคนิคการนับเม็ดเลือดด้วยไฟฟ้าและแสง งานวิจัยของเขาได้รับความช่วยเหลือจากพี่ชาย Joseph R. Coulter ในห้องปฏิบัติการชั้นใต้ดินในชิคาโก[60] ผลลัพธ์ของพวกเขาซึ่งใช้วิธีไฟฟ้าและแสงนั้นน่าผิดหวัง และใน ค.ศ. 1948 หลังจากอ่านบทความที่เชื่อมโยงสภาพนำของเลือดกับความเข้มข้นของเม็ดเลือดแดง Wallace ได้คิดค้นหลักการโคลเตอร์ ซึ่งเป็นทฤษฎีว่าเม็ดเลือดที่แขวนลอยในตัวกลางนำจะมีกระแสลดลงได้สัดส่วนกับขนาดขณะที่ผ่านรู

ในเดือนตุลาคมปีนั้น วอลเลซได้สร้างแครื่องนับเพื่อสาธิตหลักการดังกล่าว เนื่องจากข้อจำกัดทางการเงิน จึงใช้วิธีเผาเป็นรูผ่านแผ่นเซลโลเฟนจากห่อบุหรี่[60][211] วอลเลซยื่นจดสิทธิบัตรสำหรับเทคนิคนี้ใน ค.ศ. 1949 และ ค.ศ. 1951 ได้ยื่นต่อสำนักงานการวิจัยนาวิกเพื่อขอเงินทุนสำหรับการพัฒนาเครื่องนับโคลเตอร์[211] คำขอสิทธิบัตรของ Wallace ได้รับอนุมัติใน ค.ศ. 1953 และหลังจากการปรับปรุงรูและเริ่มใช้มาตรความดันของไหลปรอทเพื่อให้ควบคุมขนาดตัวอย่างอย่างแม่นยำ สองพี่น้องก่อตั้ง Coulter Electronics Inc. ใน ค.ศ. 1958 เพื่อขายเรื่องมือของพวกตน เครื่องนับโคลเตอร์ออกแบบมาในทีแรกเพื่อการนับเม็ดเลือดแดง แต่มีการดัดแปลงในภายหลังทำให้พิสูจน์ว่ามีประสิทธิภาพในการนับเม็ดเลือดขาวด้วย เครื่องนับโคลเตอร์มีการนำมาใช้ในห้องปฏิบัติการทางการแพทย์อย่างแพร่หลาย[209]

เครื่องวิเคราะห์เครื่องแรกที่สามารถรายงานปริมาณเม็ดเลือดหลายชนิดได้พร้อมกัน คือ Technicon SMA 4A−7A ซึ่งวางจำหน่ายใน ค.ศ. 1965 เครื่องดังกล่าวใช้วิธีแบ่งตัวอย่างเลือดออกเป็นสองช่อง ช่องหนึ่งสำหรับนับเม็ดเลือดแดงและเม็ดเลือดขาว และอีกช่องหนึ่งสำหรับวัดฮีโมโกลบิน อย่างไรก็ดี เครื่องมือนี้ไม่น่าเชื่อถือและบำรุงรักษายาก ใน ค.ศ. 1968 เครื่องวิเคราะห์ Coulter Model S มีการวางจำหน่ายและมีการนำมาใช้อย่างแพร่หลาย เครื่องมือนี้มีห้องปฏิกิริยาสองห้องคล้ายกับเครื่อง Technicon ห้องหนึ่งใช้นับเม็ดเลือดแดง และอีกห้องหนึ่งใช้นับเม็ดเลือดขาวและวัดฮีโมโกลบิน Model S ยังใช้หาปริมาตรเฉลี่ยของเม็ดเลือดโดยใช้การวัดความต้านทานต่อการผ่าน (impedance) ซึ่งทำให้คำนวณหาดัชนีเม็ดเลือดแดงและฮีมาโทคริตได้ การตรวจนับเกล็ดเลือดอัตโนมัติเริ่มนำมาใช้ใน ค.ศ. 1970 ด้วยเครื่องมือ Hemalog-8 ของ Technicon และเครื่องวัดชุด Coulter's S Plus ใน ค.ศ. 1980[212]

หลังจากการนับเซลล์พื้นฐานเป็นแบบอัตโนมัติแล้ว การนับแยกชนิดเม็ดเลือดขาวยังคงเป็นความท้าทาย ตลอดคริสต์ทศวรรษ 1970 นักวิจัยสำรวจวิธีการนับแยกชนิดอัตโนมัติสองวิธี ได้แก่ การประมวลผลภาพดิจิทัลและโฟลไซโตเมทรี มีการผลิตแบบเครื่องประมวลผลภาพหลายแบบ โดยใช้เทคโนโลยีที่พัฒนาขึ้นในคริสต์ทศวรรษ 1950 และ 1960 เพื่อใช้อ่านการทดสอบแพปอัตโนมัติ[213] เครื่องมือเหล่านี้จะส่องกราดฟิล์มเลือดที่ย้อมสีแล้วเพื่อหานิวเคลียสของเซลล์ และถ่ายภาพสแน็ปช็อตของเม็ดเลือดเพื่อวิเคราะห์ด้วยวิธีการวัดความหนาแน่น (densitometry)[214] เครื่องเหล่านี้มีราคาแพง ช้า และไม่ได้ลดภาระงานของห้องปฏิบัติการมากนัก เพาะยังต้องเตรียมและย้อมสีฟิล์มเลือดอยู่ ดังนั้นระบบที่ใช้โฟลไซโทเมตรีจึงได้รับความนิยมมากกว่า[215][216] และจนถึง ค.ศ. 1990 ไม่มีเครื่องวิเคราะห์ภาพดิจิทัลที่มีขายพาณิชย์ในสหรัฐหรือยุโรปตะวันตก[217] เทคนิคเหล่านี้กลับฟื้นขึ้นมาในคริสต์ทศวรรษ 2000 เมื่อเริ่มใช้แพลตฟอร์มการวิเคราะห์ภาพขั้นก้าวหน้ามากขึ้นโดยใช้โครงข่ายประสาทเทียม[218][219][220]

อุปกรณ์โฟลไซโตเมตรีในช่วงแรกยิงลำแสงใส่เม็ดเลือดในช่วงความยาวคลื่นจำเพาะ และความดูดกลืนรังสี การเรืองแสงและการกระเจิงของแสงที่ได้ จากนั้นเก็บรวบรวมสารนิเทศเกี่ยวกับลักษณะของเม็ดเลือดและเปิดให้วัดสิ่งที่อยู่ในเม็ดเลือดอย่างดีเอ็นเอได้[221] เครื่องมือดังกล่าวอย่างหนึ่ง คือ Rapid Cell Spectrophotometer ซึ่งพัฒนาโดย Louis Kamentsky ใน ค.ศ. 1965 เพื่อทำให้ศึกษาวิทยาเซลล์ปากมดลูกได้อย่างอัตโนมัติ สามารถสร้างสแกตเตอร์แกรม (scattergram) ของเม็ดเลือดโดยใช้เทคนิคการย้อมสีสารเคมีภายในเซลล์ Leonard Ornstein ผู้ช่วยพัฒนาระบบการย้อมสีบน Rapid Cell Spectrophotometer และเพื่อนร่วมงานของเขา ต่อมาสร้างเครื่องวิเคราะห์การนับแยกชนิดเม็ดเลือดขาวแบบโฟลไซโทเมตรีพาณิชย์เครื่องแรกชื่อ Hemalog D.[222][223] เปิดตัวใน ค.ศ. 1974[224][225] เครื่องวิเคราะห์นี้ใช้การกระเจิงแสง ความดูดกลืนรังสีและการย้อมสีเซลล์เพื่อระบุชนิดของเม็ดเลือดขาวปกติ 5 ชนิดนอกเหนือจาก "เซลล์ระบุไม่ได้ขนาดใหญ่" ซึ่งเป็นกลุ่มจำแนกที่ปกติประกอบด้วยลิมโฟไซต์ชนิดไม่ตรงแบบและเซลล์วัยอ่อน Hemalog D สามารถนับเม็ดเลือด 10,000 เม็ดเลือดได้ในครั้งเดียว ซึ่งเป็นพัฒนาการอย่างมากจากการนับแยกชนิดด้วยมือ [226] ใน ค.ศ. 1981 Technicon รวมเครื่องวิเคราะห์ Hemalog D กับ Hemalog-8 เพื่อผลิต Technicon H6000 เครื่องวิเคราะห์นับเม็ดเลือดอย่างสมบูรณ์และนับแยกชนิดรวมเครื่องแรก เครื่องวิเคราะห์นี้ไม่ได้รับความนิยมในห้องปฏิบัติการโลหิตวิทยาเนื่องจากต้องใช้แรงงานมาก แต่ในปลายคริสต์ทศวรรษ 1980 และต้นคริสต์ทศวรรษ 1990 มีการผลิตระบบที่คล้ายกันอย่างกว้างขวางโดยผู้ผลิตรายอื่น เช่น Sysmex, Abbott, Roche และ Beckman Coulter[227]

อรรถาธิบาย

[แก้]
  1. บางทีเกล็ดเลือดอาจมีคำเรียกในภาษาอังกฤษว่า cell แต่ที่จริงเกล็ดเลือดไม่ใช่เซลล์ แต่เป็นเศษเซลล์ที่เกิดจากไซโทพลาซึมของเมกาคารีโอไซต์ในไขกระดูก[6]
  2. ข้อมูลที่ใช้จัดทำพิสัยอ้างอิงปกติมาจากผู้รับการทดสอบ "ปกติ" แต่ก็มีความเป็นไปได้ว่าบุคคลเหล่านั้นอาจมีโรคที่ไม่แสดงอาการ[34]
  3. ในความหมายอย่างกว้างที่สุด คำว่า "โฟลไซโทเมตรี" หมายถึงการวัดคุณสมบัติของเซลล์เดี่ยวในกระแสของไหล[49][50] และในความหมายนี้ เครื่องวิเคราะห์โลหิตวิทยาทุกเครื่อง (ยกเว้นเครื่องที่ใช้วิธีประมวลผลภาพดิจิทัล) จึงเป็นโฟลไซโทมิเตอร์ อย่างไรก็ดี ความหมายของคำที่ใช้กันทั่วไปนั้นพาดพิงถึงวิธีการกระเจิงของแสงและฟลูออเรสเซนต์ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเครื่องที่มีการระบุประเภทของเม็ดเลือดโดยใช้สารภูมิต้านทานติดป้ายซึ่งติดกับสารส่อบนผิวเซลล์ (การหาอิมมูโนฟีโนไทป์)[49][51]
  4. แต่ไม่เสมอไป ตัวอย่างเช่น ในทาลัสซีเมียบางประเภท พบภาวะจำนวนเม็ดเลือดแดงสูงแต่มีฮีโมโกลบินต่ำหรือปกติ เพราะเม็ดเลือดแดงมีขนาดเล็กมาก[123][124] ดัชนีเมนต์เซอร์ (Mentzer index) ซึ่งเปรียบเทียบ MCV กับจำนวน RBC สามารถใช้เพื่อแยกแยะระหว่างภาวะเลือดจางจากการขาดธาตุเหล็กกับทาลัสซีเมีย[125]
  5. เครื่องมืออัตโนมัติจัดกลุ่มเม็ดเลือดสามชนิดรวมกันในกลุ่ม "แกรนูโลไซต์ที่ยังไม่เจริญเต็มวัย"[142] แต่นับแยกกันด้วยวิธีมือ[143]
  6. RDW สูงมากเมื่อเกิด และจะค่อย ๆ ลดลงจนถึงอายุประมาณ 6 เดือน[178]

อ้างอิง

[แก้]

แหล่งที่มา

[แก้]
  1. Tefferi, A; Hanson, CA; Inwards, DJ (2005). "How to interpret and pursue an abnormal complete blood cell count in adults". Mayo Clinic Proceedings. 80 (7): 923–936. doi:10.4065/80.7.923. ISSN 0025-6196. PMID 16212155.
  2. 1 2 HealthDirect (August 2018). "Full blood count". HealthDirect.gov.au. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2 April 2019. สืบค้นเมื่อ 8 September 2020.
  3. "Blood tests: Chronic lymphocytic leukaemia (CLL)". Cancer Research UK. 18 September 2020. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 23 October 2020. สืบค้นเมื่อ 23 October 2020.
  4. 1 2 3 4 5 6 American Association for Clinical Chemistry (12 August 2020). "Complete Blood Count (CBC)". Lab Tests Online. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 18 August 2020. สืบค้นเมื่อ 8 September 2020.
  5. 1 2 3 Smock, KJ. Chapter 1 in Greer, JP et al, ed. (2018), sec. "Advantages and sources of error with automated hematology".
  6. 1 2 Turgeon, ML (2016). p. 309.
  7. Harmening, DM (2009). pp. 2–3.
  8. 1 2 3 Green, R; Wachsmann-Hogiu, S (2015). "Development, history, and future of automated cell counters". Clinics in Laboratory Medicine. 35 (1): 1–10. doi:10.1016/j.cll.2014.11.003. ISSN 0272-2712. PMID 25676368.
  9. 1 2 Keohane, E et al. (2015). p. 244.
  10. Leach, M (2014). "Interpretation of the full blood count in systemic disease – a guide for the physician". The Journal of the Royal College of Physicians of Edinburgh. 44 (1): 36–41. doi:10.4997/JRCPE.2014.109. ISSN 1478-2715. PMID 24995446.
  11. Marshall, WJ et al. (2014). p. 497.
  12. 1 2 3 Van Leeuwen, AM; Bladh, ML (2019). p. 377.
  13. Lewandrowski, K et al. (2016). p. 96.
  14. American Association of Blood Banks (24 April 2014). "Five Things Physicians and Patients Should Question". Choosing Wisely: an initiative of the ABIM Foundation. American Association of Blood Banks. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 24 September 2014. สืบค้นเมื่อ 12 July 2020.
  15. 1 2 Lewandrowski, K et al. (2016). p. 97.
  16. Hartman, CJ; Kavoussi, LR (2017). pp. 4–5.
  17. Dewan, M (2016). "Reducing unnecessary postoperative complete blood count testing in the pediatric intensive care unit". The Permanente Journal. doi:10.7812/TPP/16-051. ISSN 1552-5767. PMC 5283785. PMID 28241909.
  18. Walls, R et al. (2017). p. 130.
  19. Walls, R et al. (2017). p. 219.
  20. Walls, R et al. (2017). p. 199.
  21. Walls, R et al. (2017). p. 1464.
  22. Moore, EE et al. (2017). p. 162.
  23. Lewis, SL et al. (2015). p. 280.
  24. Wiciński, M; Węclewicz, MM (2018). "Clozapine-induced agranulocytosis/granulocytopenia". Current Opinion in Hematology. 25 (1): 22–28. doi:10.1097/MOH.0000000000000391. ISSN 1065-6251. PMID 28984748.
  25. Fatemi, SH; Clayton, PJ. (2016). p. 666.
  26. Dooley, EK; Ringler, RL. (2012). pp. 20–21.
  27. Keohane, E et al. (2015). pp. 834–835.
  28. Schafermeyer, RW et al. (2018). pp. 467–468.
  29. Smock, KJ. Chapter 1 in Greer, JP et al, ed. (2018), sec. "Introduction".
  30. Kaushansky, K et al. (2015). p. 11.
  31. Kaushansky, K et al. (2015). p. 43.
  32. Kaushansky, K et al. (2015). pp. 42–44.
  33. McPherson, RA; Pincus, MR (2017). p. 574.
  34. Bain, BJ et al. (2017). p. 8.
  35. 1 2 Bain, BJ et al. (2017). p. 10.
  36. Bain, BJ (2015). p. 213.
  37. Keohane, E et al. (2015). p. 245.
  38. 1 2 Lewandrowski, K et al. (2016). pp. 96–97.
  39. "Routine Preoperative Tests for Elective Surgery (NG45)". National Institute for Health and Care Excellence. 5 April 2016. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 28 July 2020. สืบค้นเมื่อ 8 September 2020.
  40. Kirkham, KR et al. (2016). p. 805.
  41. Smock, KJ. Chapter 1 in Greer, JP et al, ed. (2018), sec. "Specimen collection".
  42. Keohane, E et al. (2015). p. 28.
  43. Bain, BJ et al. (2017). p. 1.
  44. Smock, KJ. Chapter 1 in Greer, JP et al, ed. (2018), sec. "Cell counts", "Volume of packed red cells (hematocrit)", "Leukocyte differentials".
  45. 1 2 3 4 Bain, BJ et al. (2017). pp. 551–555.
  46. Bain, BJ (2015). p. 29.
  47. Dasgupta, A; Sepulveda, JL (2013). p. 305.
  48. 1 2 D’Souza, C; Briggs, C; Machin, SJ (2015). "Platelets: the few, the young and the active". Clinics in Laboratory Medicine. 35 (1): 123–131. doi:10.1016/j.cll.2014.11.002. ISSN 0272-2712. PMID 25676376.
  49. 1 2 3 Kottke-Marchant, K; Davis, B (2012). p. 8.
  50. Shapiro, HM (2003). p. 1.
  51. Bakke, AC (2001). "The principles of flow cytometry". Laboratory Medicine. 32 (4): 207–211. doi:10.1309/2H43-5EC2-K22U-YC6T. ISSN 1943-7730.
  52. Kaushansky, K et al. (2015). p. 12.
  53. 1 2 Bain, BJ et al. (2017). pp. 32–33.
  54. McPherson, RA; Pincus, MR (2017). p. 44.
  55. Bain, BJ (2015). pp. 29–30.
  56. Whitehead, RD; Mei, Z; Mapango, C; Jefferds, MED (August 2019). "Methods and analyzers for hemoglobin measurement in clinical laboratories and field settings". Annals of the New York Academy of Sciences. 1450 (1): 147–171. doi:10.1111/nyas.14124. PMC 6709845. PMID 31162693.
  57. 1 2 Smock, KJ. Chapter 1 in Greer, JP et al, ed. (2018), sec. "Hemoglobin concentration".
  58. 1 2 Keohane, E et al. (2015). p. 208.
  59. Bain, BJ (2015). pp. 30–31.
  60. 1 2 3 Graham, MD (2003). "The Coulter principle: foundation of an industry". Journal of the Association for Laboratory Automation. 8 (6): 72–81. doi:10.1016/S1535-5535(03)00023-6. ISSN 1535-5535.
  61. Keohane, E et al. (2015). pp. 208–209.
  62. Bain, BJ et al. (2017). p. 32.
  63. Keohane, E et al. (2015). pp. 210–211.
  64. Keohane, E et al. (2015). p. 210.
  65. Kottke-Marchant, K; Davis, B (2012). p. 27.
  66. 1 2 3 4 5 Smock, KJ. Chapter 1 in Greer, JP et al, ed. (2018), sec. "Volume of packed red cells (hematocrit)".
  67. Smock, KJ. Chapter 1 in Greer JP et al, ed. (2018), sec. "Mean corpuscular volume"; "Mean corpuscular hemoglobin"; "Mean corpuscular hemoglobin concentration"; "Red cell distribution width".
  68. Keohane, E et al. (2015). p. 2.
  69. Keohane, E et al. (2015). p. 209.
  70. 1 2 3 Bain, BJ et al. (2017). p. 37.
  71. Arneth, BM; Menschikowki, M. (2015). p. 3.
  72. 1 2 3 Smock, KJ. Chapter 1 in Greer JP et al, ed. (2018), sec. "Leukocyte differentials".
  73. Naeim, F et al. (2009). p. 210.
  74. 1 2 Turgeon, ML (2016). p. 318.
  75. 1 2 Bain, BJ et al. (2017). p. 39.
  76. 1 2 Smock, KJ. Chapter 1 in Greer, JP et al, ed. (2018), sec. "Introduction"; "Cell counts".
  77. 1 2 3 4 Gulati, G; Song, J; Dulau Florea, A; Gong, J (2013). "Purpose and criteria for blood smear scan, blood smear examination, and blood smear review". Annals of Laboratory Medicine. 33 (1): 1–7. doi:10.3343/alm.2013.33.1.1. ISSN 2234-3806. PMC 3535191. PMID 23301216.
  78. 1 2 Mooney, C; Byrne, M; Kapuya, P; Pentony, L; De la Salle, B; Cambridge, T; Foley, D (2019). "Point of care testing in general haematology". British Journal of Haematology. 187 (3): 296–306. doi:10.1111/bjh.16208. ISSN 0007-1048. PMID 31578729.
  79. 1 2 Sireci, AN (2015). "Hematology testing in urgent care and resource-poor settings: an overview of point of care and satellite testing". Clinics in Laboratory Medicine. 35 (1): 197–207. doi:10.1016/j.cll.2014.10.009. ISSN 0272-2712. PMID 25676380.
  80. Bain, BJ et al. (2017). p. 43.
  81. Keohane, E et al. (2015). p. 225.
  82. Bain, BJ. (2015). pp. 9–11.
  83. Palmer, L et al. (2015). pp. 288–289.
  84. Turgeon, ML (2016). pp. 325–326.
  85. Bain, BJ (2015). p. 98.
  86. Bain, BJ (2015). p. 154.
  87. Wang, SA; Hasserjian, RP (2018). p. 10.
  88. 1 2 Turgeon, ML (2016). p. 329.
  89. 1 2 d'Onofrio, G; Zini, G. (2014). p. 289.
  90. Palmer, L et al. (2015). pp. 296–297.
  91. 1 2 3 Keohane, E et al. (2015). p. 226.
  92. 1 2 Smock, KJ. Chapter 1 in Greer, JP et al, ed. (2018), sec. "Cell counts".
  93. Keohane, E et al. (2017) p. 189.
  94. Bain, BJ (2015). pp. 22–23.
  95. Keohane, E et al. (2017). pp. 190–191.
  96. Bain, BJ et al. (2017). pp. 19–22.
  97. Bain, BJ et al. (2017). pp. 548–552.
  98. Keohane, E et al. (2015). p. 46.
  99. 1 2 3 Vis, JY; Huisman, A (2016). "Verification and quality control of routine hematology analyzers". International Journal of Laboratory Hematology. 38: 100–109. doi:10.1111/ijlh.12503. ISSN 1751-5521. PMID 27161194.
  100. 1 2 Kottke-Marchant, K; Davis, B (2012). pp. 697–698.
  101. Pai, S; Frater, JL (2019). "Quality management and accreditation in laboratory hematology: Perspectives from India". International Journal of Laboratory Hematology. 41 (S1): 177–183. doi:10.1111/ijlh.13017. ISSN 1751-5521. PMID 31069974.
  102. Greer, JP (2008). p. 4.
  103. Kottke-Marchant, K; Davis, B (2012). p. 438.
  104. Bain, BJ et al. (2017). pp. 539–540.
  105. Favaloro, EJ; Jennings, I; Olson, J; Van Cott, EM; Bonar, R; Gosselin, R; Meijer, P (2018). "Towards harmonization of external quality assessment/proficiency testing in hemostasis". Clinical Chemistry and Laboratory Medicine (CCLM). 0 (0). doi:10.1515/cclm-2018-0077. ISSN 1437-4331. PMID 29668440.
  106. Bain, BJ et al. (2017). p. 551.
  107. Keohane, E et al. (2015). pp. 4–5.
  108. Blann, A; Ahmed, N (2014). p. 106.
  109. Turgeon, ML (2016). p. 293.
  110. Bain, BJ et al. (2017). pp. 33–34.
  111. Turgeon, ML (2016). pp. 319–320.
  112. Brereton, M; McCafferty, R; Marsden, K; Kawai, Y; Etzell, J; Ermens, A (2016). "Recommendation for standardization of haematology reporting units used in the extended blood count". International Journal of Laboratory Hematology. 38 (5): 472–482. doi:10.1111/ijlh.12563. ISSN 1751-5521. PMID 27565952.
  113. Keohane, E et al. (2015). p. 195.
  114. 1 2 Bain, BJ (2015). p. 22.
  115. 1 2 3 4 Keohane, E et al. (2015). p. 196.
  116. Schmaier, AH; Lazarus, HM (2012). p. 25.
  117. 1 2 Bain, BJ (2015). pp. 73–75.
  118. 1 2 3 4 5 May, JE; Marques, MB; Reddy, VVB; Gangaraju, R (2019). "Three neglected numbers in the CBC: The RDW, MPV, and NRBC count". Cleveland Clinic Journal of Medicine. 86 (3): 167–172. doi:10.3949/ccjm.86a.18072. ISSN 0891-1150. PMID 30849034.
  119. Keohane, E et al. (2015). p. 285.
  120. Keohane, E et al. (2015). p. 286.
  121. Kaushansky, K et al. (2015). p. 503.
  122. Vieth, JT; Lane, DR (2014). pp. 11-12.
  123. Bain, BJ (2015). p. 297.
  124. DiGregorio, RV et al. (2014). pp. 491–493.
  125. Isaacs, C et al. (2017). p. 331.
  126. Bain, BJ (2015). p. 232.
  127. McPherson, RA; Pincus, MR (2017). pp. 600–601.
  128. 1 2 Smock, KJ. Chapter 1 in Greer, JP et al, ed. (2018), sec. "Mean corpuscular hemoglobin concentration".
  129. Keohane, E et al. (2015). p. 197.
  130. 1 2 Kottke-Marchant, K; Davis, B (2012). p. 88.
  131. Bain, BJ (2015). p. 193.
  132. Bain, BJ et al. (2017). pp. 501–502.
  133. Ciesla, B (2018). p. 26.
  134. Powell, DJ; Achebe, MO. (2016). pp. 530, 537–539.
  135. Harmening, DM (2009). p. 380.
  136. Pagana, TJ et al. (2014). p. 992.
  137. Walls, R et al. (2017). pp. 1480–1481.
  138. Territo, M (January 2020). "Overview of White Blood Cell Disorders". Merck Manuals Consumer Version. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 23 June 2020. สืบค้นเมื่อ 8 September 2020.
  139. Pagana, TJ et al. (2014). p. 991.
  140. McCulloh, RJ; Opal, SM.
  141. American Association for Clinical Chemistry (29 July 2020). "WBC Differential". Lab Tests Online. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 19 August 2020. สืบค้นเมื่อ 8 September 2020.
  142. Wang, SA; Hasserjian, RP (2018). p. 8.
  143. Palmer, L et al. (2015). pp. 294–295.
  144. Chabot-Richards, DS; George, TI (2015). p. 10.
  145. Palmer, L et al. (2015). p. 294.
  146. Turgeon, ML (2016). p. 306.
  147. 1 2 Kaushansky, K et al. (2015). p. 44.
  148. Hoffman, EJ et al. (2013). p. 644.
  149. Porwit, A et al. (2011). pp. 247–252.
  150. Walls, R et al. (2017). p. 1483.
  151. Walls, R et al. (2017). pp. 1497–1498.
  152. Bain, BJ (2015). p. 99.
  153. Bain, BJ et al. (2017). p. 85.
  154. Bain, BJ et al. (2017). p. 498.
  155. Bain, BJ (2015). p. 243.
  156. Porwit, A et al. (2011). p. 256.
  157. Palmer, L et al. (2015). p. 298.
  158. Turgeon, ML (2016). pp. 358–360.
  159. Kaushansky, K et al. (2015). p. 1993.
  160. Turgeon, ML (2016). p. 315.
  161. Walls, R et al. (2017). pp. 1486–1488.
  162. Kaufman, RM; Djulbegovic, B; Gernsheimer, T; Kleinman, S; Tinmouth, A T.; Capocelli, KE; และคณะ (2015). "Platelet transfusion: a clinical practice guideline from the AABB". Annals of Internal Medicine. 162 (3): 205. doi:10.7326/M14-1589. ISSN 0003-4819. PMID 25383671.
  163. Keohane, E et al. (2015). p. 4.
  164. Walls, R et al. (2017). p. 1489.
  165. Gersten, T (25 August 2020). "Platelet count: MedlinePlus Medical Encyclopedia". MedlinePlus. United States National Library of Medicine. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 9 September 2020. สืบค้นเมื่อ 9 September 2020.
  166. Wang, SA; Hasserjian, RP (2018). p. 7.
  167. Kaushansky, K et al. (2015). pp. 18–19.
  168. 1 2 Kaushansky, K et al. (2015). p. 14.
  169. Turgeon, ML (2016). pp. 318–319.
  170. Turgeon, ML (2016). p. 319.
  171. 1 2 3 4 Kaushansky, K et al. (2015). p. 16.
  172. Bain, BJ et al. (2017). pp. 42–43.
  173. Harmening, DM (2009). pp. 8–10.
  174. Constantino, B; Cogionis, B (2000). "Nucleated RBCs – significance in the peripheral blood film". Laboratory Medicine. doi:10.1309/D70F-HCC1-XX1T-4ETE.
  175. Zandecki, M et al. (2007). pp. 24–25.
  176. Virk, H; Varma, N; Naseem, S; Bihana, I; Sukhachev, D (2019). "Utility of cell population data (VCS parameters) as a rapid screening tool for acute myeloid leukemia (AML) in resource-constrained laboratories". Journal of Clinical Laboratory Analysis. 33 (2): e22679. doi:10.1002/jcla.22679. ISSN 0887-8013. PMID 30267430.
  177. Bain, BJ (2015). p. 90.
  178. 1 2 Keohane, E et al. (2015).
  179. Bain, BJ (2015). pp. 211–213.
  180. 1 2 3 Bain, BJ (2015). p. 143.
  181. Lanzkowsky, P et al. (2016). p. 197.
  182. Kaushansky, K et al. (2015). p. 99.
  183. Kaushansky, K et al. (2015). p. 103.
  184. Bain, BJ (2015). p. 220.
  185. Bain, BJ (2015). p. 214.
  186. Bain, BJ et al. (2017). pp. 8–10.
  187. Palmer, L et al. (2015). p. 296.
  188. Bain, BJ (2015). p. 195.
  189. Kottke-Marchant, K; Davis, B (2012). p. 67.
  190. Bain, BJ (2015). p. 194.
  191. Turgeon, ML (2016). p. 91.
  192. Kottke-Marchant, K; Davis, B (2012) pp. 80, 86–87.
  193. Bain, BJ (2015). pp. 196–197.
  194. Rodak, BF; Carr, JH. (2013). p. 109.
  195. Wang, SA; Hasserjian, RP (2018). p. 9.
  196. Kottke-Marchant, K; Davis, B (2012). pp. 19–20.
  197. Science Museum, London. "Haemoglobinometer, United Kingdom, 1850–1950". Wellcome Collection. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 29 March 2020. สืบค้นเมื่อ 29 March 2020.
  198. Keohane, E et al. (2015). pp. 1–4.
  199. Kottke-Marchant, K; Davis, B. (2012). p. 1.
  200. Wintrobe, MM. (1985). p. 10.
  201. 1 2 Kottke-Marchant, K; Davis, B. (2012). pp. 3–4.
  202. Verso, ML (May 1962). "The evolution of blood counting techniques". Read at a Meeting of the Section of the History of Medicine, First Australian Medical Congress. 8 (2): 149–158. doi:10.1017/s0025727300029392. PMC 1033366. PMID 14139094.
  203. 1 2 3 Means, RT (2011). "It all started in New Orleans: Wintrobe, the hematocrit and the definition of normal". The American Journal of the Medical Sciences. 341 (1): 64–65. doi:10.1097/MAJ.0b013e3181e2eb09. ISSN 0002-9629. PMID 21191263. อ้างอิงผิดพลาด: ป้ายระบุ <ref> ไม่สมเหตุสมผล มีนิยามชื่อ "Means2011" หลายครั้งด้วยเนื้อหาต่างกัน
  204. Davis, JD (1995). p. 167.
  205. Kottke-Marchant, K; Davis, B (2012). p. 4.
  206. Davis, JD (1995). pp. 168–171.
  207. Bezrukov, AV (2017). "Romanowsky staining, the Romanowsky effect and thoughts on the question of scientific priority". Biotechnic & Histochemistry. 92 (1): 29–35. doi:10.1080/10520295.2016.1250285. ISSN 1052-0295. PMID 28098484.
  208. Keohane, E et al. (2015). p. 134.
  209. 1 2 3 Kottke-Marchant, K; Davis, B (2012). p. 5.
  210. Robinson, JP (2013). "Wallace H. Coulter: decades of invention and discovery". Cytometry Part A. 83A (5): 424–438. doi:10.1002/cyto.a.22296. ISSN 1552-4922. PMID 23596093.
  211. 1 2 3 Graham, MD (2013). "The Coulter principle: Imaginary origins". Cytometry Part A. 83 (12): 1057–1061. doi:10.1002/cyto.a.22398. ISSN 1552-4922. PMC 4237176. PMID 24151220.
  212. Kottke-Marchant, K; Davis, B (2012). p. 6.
  213. Groner, W (1995). pp. 12–14.
  214. Lewis, SM (1981). "Automated differential leucocyte counting: Present status and future trends". Blut. 43 (1): 1–6. doi:10.1007/BF00319925. ISSN 0006-5242. PMID 7260399.
  215. Da Costa, L (2015). p. 5.
  216. Groner, W (1995). pp. 12–15.
  217. Bentley, SA (1990). "Automated differential white cell counts: a critical appraisal". Baillière's Clinical Haematology. 3 (4): 851–869. doi:10.1016/S0950-3536(05)80138-6. ISSN 0950-3536. PMID 2271793.
  218. Kratz, A; Lee, S; Zini, G; Riedl, JA; Hur, M; Machin, S (2019). "Digital morphology analyzers in hematology: ICSH review and recommendations". International Journal of Laboratory Hematology. doi:10.1111/ijlh.13042. ISSN 1751-5521. PMID 31046197.
  219. Da Costa, L (2015). pp. 5–6.
  220. McCann, SR (2016). p. 193.
  221. Melamed, M (2001). pp. 5–6.
  222. Shapiro, HM (2003). pp. 84–85.
  223. Melamed, M. (2001). p. 8.
  224. Picot, J et al. (2012). p. 110.
  225. Mansberg, HP; Saunders, AM; Groner, W (1974). "The Hemalog D white cell differential system". Journal of Histochemistry & Cytochemistry. 22 (7): 711–724. doi:10.1177/22.7.711. ISSN 0022-1554. PMID 4137312.
  226. Pierre, RV (2002). p. 281.
  227. Kottke-Marchant, K; Davis, B (2012). pp. 8–9.

บรรณานุกรม

[แก้]