การเสียดินแดนของไทย
การเสียดินแดนของไทย เป็นแนวคิดทางประวัติศาสตร์นิพนธ์ไทยที่อ้างถึงเหตุการณ์ในประวัติศาสตร์ไทยสมัยรัตนโกสินทร์ เมื่อประเทศไทย (หรือสยาม) ถูกบีบบังคับให้สละดินแดนแก่ต่างชาติ โดยเฉพาะการสูญเสียให้แก่ประเทศมหาอำนาจตะวันตกอันได้แก่ฝรั่งเศสและอังกฤษในสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว (รัชกาลที่ 5)
แนวคิดดังกล่าวแพร่หลายเป็นครั้งแรกในช่วงพุทธทศวรรษ 2480 โดยเป็นส่วนหนึ่งของอุดมการณ์ชาตินิยมไทยที่ส่งเสริมโดยรัฐบาลจอมพล ป. พิบูลสงครามในสมัยนั้น ความคิดนี้ถูกเผยแพร่ผ่านชุดแผนที่ชื่อ แผนที่ประวัติศาสตร์ไทย และ แผนที่ประวัติอาณาเขตไทย ซึ่งระบุว่าแสดงอาณาเขตของอาณาจักรไทยต่างๆ ในอดีต และดินแดนที่สูญเสียไปในภายหลัง แผนที่เหล่านี้ได้ถูกเผยแพร่อย่างกว้างขวาง โดยเฉพาะในหนังสือ แผนที่ภูมิศาสตร์ของทองใบ แตงน้อย ซึ่งเป็นหนังสือเรียนที่ใช้เป็นมาตรฐานในโรงเรียนมาตั้งแต่ พ.ศ. 2506
แม้ว่านักประวัติศาสตร์ยุคหลังได้โต้แย้งว่าข้อมูลในแผนที่เหล่านี้ไม่สะท้อนความเป็นจริงทางประวัติศาสตร์ แต่แนวคิดเรื่องการเสียดินแดนก็ยังคงเป็นวาทกรรมสำคัญในขบวนการชาตินิยมของไทย และยังถูกนำมาทำซ้ำเรื่อยๆ โดยเฉพาะในช่วงคดีพิพาทปราสาทพระวิหารกับกัมพูชา
ต้นกำเนิด
[แก้]แนวคิดเรื่องการเสียดินแดนของไทยเริ่มแพร่หลายเป็นครั้งแรกในช่วงพุทธทศวรรษ 2480 โดยเป็นส่วนหนึ่งของอุดมการณ์ชาตินิยมไทยต่อต้านตะวันตก ซึ่งส่งเสริมโดยรัฐบาลของจอมพล ป. พิบูลสงคราม ในสมัยนั้น การสูญเสียดินแดนในอดีตถูกหยิบยกมาเป็นหัวข้อสำคัญใน "วาทกรรมความอัปยศอดสูของชาติ" (ตามที่เรียกโดย เชน สเตรท (Shane Strate) นักประวัติศาสตร์ไทยชาวอเมริกัน) ซึ่งถูกนำมาอ้างเพื่อสนับสนุนรัฐบาลและอุดมการณ์การขยายดินแดนเพื่อก่อตั้งมหาอาณาจักรไทย[1][2]
แนวคิดดังกล่าวถูกเผยแพร่ผ่านชุดแผนที่ชื่อ แผนที่ประวัติศาสตร์ไทย และแผนที่อีกแผ่นหนึ่งชื่อ แผนที่ประวัติอาณาเขตไทย โดยแผนที่ประวัติศาสตร์ไทยเป็นชุดแผนที่หกแผ่น แผ่นแรกแสดงการอพยพของคนไท/ไทยจากเทือกเขาอัลไต (ซึ่งเป็นทฤษฎีที่แพร่หลายในขณะนั้น) และแผ่นอื่นๆ แสดงอาณาเขตของอาณาจักรไทยต่างๆ ในอดีต ได้แก่ อาณาจักรน่านเจ้า (ซึ่งทฤษฎีดังกล่าวเชื่อว่าเป็นไทย) อาณาจักรสุโขทัยสมัยพ่อขุนรามคำแหง อาณาจักรอยุธยาสมัยสมเด็จพระนเรศวร อาณาจักรธนบุรีสมัยสมเด็จพระเจ้าตากสิน และอาณาจักรรัตนโกสินทร์สมัยพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลก[3]
ส่วนแผนที่ประวัติอาณาเขตไทยเป็นแผนที่แผ่นเดียว ระบุดินแดนที่ประเทศไทยสูญเสียไปในคราวต่างๆ จนเหลือเป็นอาณาเขตของประเทศไทยในปัจจุบัน แผนที่นี้ถูกทำขึ้นหลายแบบหลายรุ่น โดยต่างก็นับการสูญเสียแตกต่างกันไป แต่ทุกแบบล้วนระบุถึงการสละดินแดนประเทศลาวและกัมพูชาในปัจจุบันแก่ฝรั่งเศสในปี พ.ศ. 2436, 2447 และ 2450 และหัวเมืองมลายูทั้งสี่แก่อังกฤษในปี พ.ศ. 2452[3]
ประวัติการตีพิมพ์
[แก้]
ชุดแผนที่ประวัติศาสตร์ไทย จัดพิมพ์ครั้งแรกโดยกรมแผนที่ทหารเมื่อประมาณ พ.ศ. 2478-2479[4] ส่วนแผนที่ประวัติอาณาเขตไทยก็พิมพ์ขึ้นครั้งแรกใน พ.ศ. 2478 เช่นกัน แต่ฉบับที่แพร่หลายเป็นอีกฉบับหนึ่งซึ่งตีพิมพ์ใน พ.ศ. 2483 ในช่วงที่อุดมการณ์มหาอาณาจักรไทยที่สนับสนุนโดยรัฐบาลจอมพล ป. กำลังแพร่หลาย และมีกระแสเรียกร้องดินแดนคืนจากฝรั่งเศส แผนที่นี้ถูกแจกจ่ายไปยังโรงเรียนและหน่วยงานของรัฐเป็นวงกว้าง จนทูตของอังกฤษและฝรั่งเศสออกมาคัดค้าน รัฐบาลจึงได้ปฏิเสธความเกี่ยวข้องกับการพิมพ์แผนที่ดังกล่าว แต่หลังจากนั้นลูกน้องคนสนิทของจอมพล ป. คนหนึ่งก็เข้ามาจัดการแจกจ่ายแผนที่แทน[3]
ขบวนการเรียกร้องดังกล่าวได้รับการสนับสนุนจากภาคประชาชนอย่างกว้างขวาง และประเทศไทยภายใต้รัฐบาลจอมพล ป. ก็ได้ส่งทหารเข้าสู้รบในกรณีพิพาทอินโดจีนใน พ.ศ. 2483 เพื่อยึดดินแดนที่เสียไปคืน ประเทศไทยได้ประโยชน์จากการเป็นพันธมิตรกับญี่ปุ่นในช่วงสงครามโลกครั้งที่สอง โดยได้ผนวกดินแดนดังกล่าวบางส่วน แต่ก็ต้องสละการอ้างสิทธิ์ไปหลังญี่ปุ่นแพ้สงคราม แม้บรรยากาศทางการเมืองจะเปลี่ยนแปลงไป แต่แผนที่เหล่านี้ก็ยังคงอยู่ได้จากการนำมาเผยแพร่ผ่านสื่อการสอนในโรงเรียน
ใน พ.ศ. 2500 พ.อ.พูนพล อาสนจินดา อดีตเจ้าหน้าที่กรมแผนที่ทหารและศาสตราจารย์มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ ได้จัดทำชุดแผนที่ที่คล้ายกัน (ซึ่งรวมทั้งชุดแผนที่ประวัติศาสตร์ไทย และแผนที่ประวัติอาณาเขตไทย) ให้กับสำนักพิมพ์ไทยวัฒนาพานิช โดยใช้ชื่อว่า บันไดประวัติศาสตร์ไทยแต่โบราณ แผนที่ชุดนี้ถูกพิมพ์ขายเป็นแผ่นขนาดประมาณหน้าหนังสือพิมพ์ และถูกนำไปใช้ตามโรงเรียนอย่างแพร่หลาย[5]
ใน พ.ศ. 2506 แผนที่ชุดนี้ถูกทำขึ้นอีกแบบหนึ่ง เป็นส่วนหนึ่งของหนังสือเรียนแผนที่ภูมิศาสตร์ที่วาดโดยนายทองใบ แตงน้อย ครูใหญ่โรงเรียนจากปราจีนบุรี แผนที่ของทองใบถูกจัดพิมพ์โดยไทยวัฒนาพานิชเช่นกัน และเป็นแบบเรียนที่ได้รับความนิยมอย่างมากและถูกใช้อย่างแพร่หลายในโรงเรียนทั่วประเทศมาหลายสิบปี โดยพิมพ์ครั้งที่ 45 ซึ่งเป็นการตีพิมพ์ครั้งล่าสุดไปใน พ.ศ. 2559[6] คนไทยส่วนใหญ่ทุกวันนี้ต่างคุ้นเคยกับแผนที่ชุดนี้จากหนังสือของนายทองใบ[3][7]
หลังจากนั้นแผนที่ชุดนี้ โดยเฉพาะแผนที่ประวัติอาณาเขตไทย ก็ยังถูกทำขึ้นใหม่อีกหลายแบบหลายครั้ง บางฉบับทำขึ้นโดยนักประวัติศาสตร์เพื่อกล่าวถึงประเด็นทางประวัติศาสตร์[3] บางฉบับก็ทำขึ้นโดยองค์กรหรือกลุ่มที่นำมาใช้ในทางการเมือง โดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วงที่มีข้อพิพาทด้านดินแดนกับกัมพูชา ใน พ.ศ. 2546 หลังเกิดเหตุโจมตีสถานทูตไทยในการจลาจลในพนมเปญ กรมแผนที่ทหารได้จัดทำแผนที่แสดงการเสียดินแดนของสยามขึ้นมาใหม่ ซึ่งอ้างเหตุการณ์สูญเสียดินแดนถึง 13 ครั้ง เพิ่มขึ้นจากแผนที่ก่อนๆ หน้าที่มักระบุประมาณ 8 ครั้ง และเมื่อเหตุพิพาทปราสาทพระวิหารปะทุขึ้นอีกใน พ.ศ. 2551 ก็มีวิดีโอที่ไม่ระบุผู้จัดทำถูกเผยแพร่อย่างกว้างขวางบนอินเทอร์เน็ต ซึ่งนำเสนอแผนที่อีกแบบหนึ่งที่นับการสูญเสียดินแดนถึงสิบสี่ครั้ง[5]
ปัญหา
[แก้]แผนที่เหล่านี้ไม่สอดคล้องกับข้อเท็จจริงทางประวัติศาสตร์ ชุดแผนที่ประวัติศาสตร์ไทยต่างระบุขอบเขตดินแดนภายใต้การควบคุมของสยามมากเกินจริง และเลือกเฉพาะช่วงเวลาที่อาณาเขตขยายไปกว้างที่สุดมาแสดง โดยไม่กล่าวถึงการเปลี่ยนแปลงเพิ่มลดระหว่างนั้น นอกจากนี้การใช้แผนที่ระบุเขตแดนก็นับว่าผิดยุคสมัย เนื่องจากแนวคิดเรื่องเขตแดนทางภูมิศาสตร์ยังไม่เป็นที่รู้จักในสมัยนั้น และไม่สะท้อนถึงระบบประเทศราชแบบมณฑลของภูมิภาคนี้[4] การแสดงถิ่นกำเนิดของคนไทยตามทฤษฎีเทือกเขาอัลไตสะท้อนให้เห็นว่าชุดแผนที่ประวัติศาสตร์ไทยใช้ข้อมูลอิงจากหนังสือหลักไทยของขุนวิจิตรมาตรา ซึ่งเป็นงานเขียนสมัยนิยมที่กลายมาเป็นงานเขียนประวัติศาสตร์ตามแบบฉบับสมัยต่อมา แนวคิดในหลักไทยนั้นอิงมาจากทฤษฎีที่ว่าน่านเจ้าเป็นรัฐของชาวไท ซึ่งนักประวัติศาสตร์ต่างปฏิเสธไปแล้วตั้งแต่พุทธทศวรรษ 2520 แต่ยังคงถูกทำซ้ำผ่านหนังสือแผนที่ของทองใบ[7]
ในทำนองเดียวกัน แผนที่ประวัติอาณาเขตไทยก็ไม่มีหลักเกณฑ์รองรับว่าใช้อะไรตัดสินให้พื้นที่ใดนับเป็นเขตแดนของสยาม และชวนให้เข้าใจผิดว่าสยามเคยมีรูปร่างทางภูมิศาสตร์ที่ชัดเจนก่อนที่จะสูญเสียดินแดนเหล่านั้นไป ขณะที่ในความเป็นจริงแล้วเขตแดนเหล่านั้นต่างไม่เคยมีการปักปันอย่างชัดเจน[3]
นักประวัติศาสตร์รุ่นหลัง เริ่มจากธงชัย วินิจจะกูลใน พ.ศ. 2537 มองว่าแผนที่เหล่านี้เป็นเครื่องมือทางการเมืองที่ใช้สนับสนุนมุมมองประวัติศาสตร์ตามคติชาตินิยมไทย โดยธงชัยระบุว่า "แผนที่เหล่านี้มิได้มีไว้สำหรับศึกษาภูมิศาสตร์ในอดีต แต่มีไว้สำหรับสร้างสำนึกทางประวัติศาสตร์เกี่ยวกับชีวิตของชาติ"[3] ชาญวิทย์ เกษตรศิริ กล่าวถึงแผนที่ของทองใบว่าเป็นตัวอย่างของแนวคิดที่ล้าสมัยไปแล้วแต่ยังคงถูกผลิตซ้ำในตำราเรียน เป็นการสร้างอคติให้กลุ่มการเมืองสามารถปลุกกระแสชาตินิยมขึ้นได้อยู่เรื่อยๆ[8]
แนวคิดเรื่องการเสียดินแดนยังคงเป็นหัวข้อสำคัญในวาทกรรมชาตินิยมไทย และยังคงปรากฏให้เห็นโดยเฉพาะในช่วงกรณีพิพาทปราสาทพระวิหาร ซึ่งกรณีนั้นเองก็ถูกระบุเป็นการเสียดินแดนครั้งล่าสุดในแผนที่แบบล่าสุดที่ปรากฏขึ้นหลัง พ.ศ. 2550[5]
เปรียบเทียบการเสียดินแดนที่ระบุในแผนที่ต่างๆ
[แก้]
| พ.ศ. | พื้นที่ | เสียให้ | เหตุการณ์ | |||||||
|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
| 2329–2343 | เกาะปีนัง | อังกฤษ | พระยาไทรบุรีเสียให้บริษัทอินเดียตะวันออก โดยอังกฤษอ้างว่าเช่าซื้อ | 1 | ไม่ | 1 | 1 | 2[h] | 1 | 1 |
| 2336 | ชายฝั่งตะนาวศรี | พม่า | สงครามตีเมืองทวาย และยุทธการที่ทวาย | 2 | ใช่[i] | 2 | ไม่ | 1[j] | 2 | 2 |
| 2353 | ราชรัฐห่าเตียน | เวียดนาม | กบฏพระยาอภัยภูเบศร (แบน) | ไม่ | ไม่ | ไม่ | ไม่ | ไม่ | 3 | 3 |
| 2359 [k] | แสนหวี เมืองพง เชียงตุง | พม่า | สงครามอังกฤษ–พม่าครั้งที่หนึ่ง | ไม่ | ไม่ | ไม่ | ใช่[l] | 3 | 4[m] | 4[i][m] |
| 2369 | รัฐเประ (และ เซอลาโงร์) | อังกฤษ | กบฏหวันหมาดหลี และ สนธิสัญญาเบอร์นี | ไม่ | ไม่ | ไม่ | ไม่ | 4 | 5 | 5 |
| 2393 | สิบสองปันนา (ขณะนั้นเป็นอาณาจักรหอคำเชียงรุ่ง) | จีน | สงครามเชียงตุง | ไม่ | ไม่ | ไม่ | ใช่[l] | 5 | 6 | 6[n] |
| 2410 | กัมพูชาตะวันออกเฉียงใต้ | ฝรั่งเศส | สนธิสัญญาสยาม–ฝรั่งเศส พ.ศ. 2410 ซึ่งให้การรับรองกัมพูชาในอารักขาของฝรั่งเศส แลกกับให้สยามปกครองกัมพูชาตะวันตกเฉียงเหนือ | 3 | ใช่ | 3 | 2 | 6 | 7 | 7 |
| 2431 | สิบสองจุไทย | ฝรั่งเศส | ฝรั่งเศสเข้าปกครอง และ สงครามปราบฮ่อ | 4 | ใช่ | 4 | 3 | ไม่ | 8 | 8 |
| 2435 | ฝั่งซ้ายแม่น้ำสาละวิน (รัฐเมืองพาน รัฐหมอกใหม่ รัฐเชียงตุง และหัวเมืองกะเหรี่ยง) | อังกฤษ | สนธิสัญญาเชียงใหม่ พ.ศ.2417 และการปักปันเขตแดนของพ่อค้าชาวอังกฤษที่ต้องการไม้สักจากหัวเมืองล้านนา 5 เมืองเงี้ยว และ 13 หัวเมืองกะเหรี่ยง | ไม่ | ไม่ | ไม่ | ไม่ | 8[o][m] | 9 | 9 |
| 2436 | ประเทศลาว ฝั่งซ้ายแม่น้ำโขง | ฝรั่งเศส | วิกฤตการณ์ ร.ศ. 112 วิกฤตการณ์ปากน้ำ และ สนธิสัญญา ร.ศ. 112 | 5 | ใช่ | 5 | 4 | 7 | 10 | 10 |
| 2438 | รัฐปะหัง | อังกฤษ [p] | กบฏรัฐปะหัง | ไม่ | ไม่ | ไม่ | ไม่ | 9 | ไม่ | ไม่ |
| 2447 | ฝั่งขวาแม่น้ำโขง 2 จุด คือ แขวงไชยบุรี และแขวงจำปาศักดิ์ | ฝรั่งเศส | สนธิสัญญาสยาม–ฝรั่งเศส ร.ศ. 122 แลกกับเมืองจันทบุรี ตราด และเมืองด่านซ้าย ซึ่งฝรั่งเศสยึดครองมาตั้งแต่ พ.ศ. 2436 | 6 | ใช่ | 6 | 5 | 10 | 11 | 11 |
| 2450 | พระตะบอง เสียมราฐ และศรีโสภณ ในชื่อมณฑลบูรพา | ฝรั่งเศส | สนธิสัญญาสยาม–ฝรั่งเศส ร.ศ. 125 แลกกับการยกเลิกสิทธิสภาพนอกอาณาเขตสำหรับคนเอเชียในปกครองฝรั่งเศส | 7 | ใช่ | 7 | 6 | 11 | 12 | 12 |
| 2452 | รัฐเกอดะฮ์ (ไทรบุรี) ปะลิส กลันตัน และตรังกานู | อังกฤษ | สนธิสัญญาอังกฤษ–สยาม พ.ศ. 2452 แลกกับการยกเลิกสิทธิสภาพนอกอาณาเขตสำหรับคนเอเชียในปกครองอังกฤษ และเงินกู้สำหรับสร้างทางรถไฟสายใต้ | 8 | ใช่ | 8 | 7 | 12 | 13 | 13 |
| 2505 | ปราสาทพระวิหาร | กัมพูชา | การตัดสินคดีปราสาทพระวิหารโดยศาลยุติธรรมระหว่างประเทศ | — | — | — | ไม่ | 13 | 14 | 14 |
- ↑ กรมแผนที่ทหาร, แผนที่ประวัติอาณาเขตต์ไทย, ภาพ
- ↑ พูนพล อาสนจินดา, บันไดประวัติศาสตร์ไทยแต่โบราณ[5]
- ↑ แผนที่ภูมิศาสตร์ของทองใบ แตงน้อย[3]
- ↑ David K. Wyatt, Thailand: A Short History[9]
- ↑ กรมแผนที่ทหาร, แผนที่แสดงการเสียดินแดนของสยาม[5]
- ↑ วิดีโอออนไลน์ คำร้อง:ร้อยเอก ประคองชัย สันติชัย ตามเพลงแหล่ เสียดินแดน ๑๔ ครั้งยังอาลัย โดย ทวี ไมตรีจิต [10]
- ↑ โรงเรียนนายร้อยพระจุลจอมเกล้า, แผนที่แสดงการเสียดินแดนของไทย ๑๔ ครั้ง[11]
- ↑ ระบุปี พ.ศ. 2369
- 1 2 ระบุปี พ.ศ. 2368
- ↑ ระบุปี พ.ศ. 2334 เมื่อหัวเมืองแปรพักตร์
- ↑ บ้างก็ว่าเสียแผ่นดินในปี พ.ศ. 2368
- 1 2 วาดเส้นเขตแดนแต่ไม่ระบุข้อความ
- 1 2 3 รวมเชียงตุงและหัวเมืองไทใหญ่
- ↑ ระบุปี พ.ศ. 2397
- ↑ ระบุปี พ.ศ. 2437
- ↑ บ้างก็ว่าเสียรัฐปะหังตอนใต้พร้อมกับรัฐเประ ส่วนรัฐปะหังตอนเหนือเสียพร้อมกับทางตอนเหนือของประเทศมาเลเซีย
อ้างอิง
[แก้]- ↑ Warren, James A. (2016). "The Lost Territories: Thailand's History of National Humiliation by Shane Strate". Journal of the Siam Society. 104: 323–326.
- ↑ Ivarsson, Søren (3 February 2018). "The Lost Territories: Thailand's History of National Humiliation | By Shane Strate". Pacific Affairs (UBC Journal) (ภาษาอังกฤษแบบแคนาดา). 90 (1): 196–198.
- 1 2 3 4 5 6 7 8 Thongchai Winichakul (1994). Siam Mapped: A History of the Geo-body of a Nation. Chiang Mai: Silkworm Books. pp. 150–156. ISBN 9789747100563.
- 1 2 Sternstein, Larry (1964). "An 'Historical Atlas of Thailand'" (PDF). Journal of the Siam Society. 52 (1): 7–20.
- 1 2 3 4 5 เกษตรศิริ, ชาญวิทย์ (2012). "จินตกรรมประวัติศาสตร์นิพนธ์ไทยกับแผนที่ "เสียดินแดน" จากทศวรรษ 2470 ถึง พ.ศ. 2554". ใน ชาญวิทย์ เกษตรศิริ (บ.ก.). ประมวลแผนที่: ประวัติศาสตร์-ภูมิศาสตร์-การเมือง กับลัทธิอาณานิคมในอาเซียน-อุษาคเนย์. มูลนิธิโครงการตำราสังคมศาสตร์และมนุษยศาสตร์. pp. 333–373. ISBN 9786167202280. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2023-04-03. สืบค้นเมื่อ 2023-05-21.
- ↑ ภูวเดช ธนิชานนท์ (2018). แผนที่ประวัติศาสตร์: การสร้างมโนภาพใหม่ทางประวัติศาสตร์แก่ประชาคมอาเซียน [Historical Maps : Creation of New Historical Conception for ASEAN Community] (PDF). ASEAN on the Path of Community. Ramkhamhaeng University. pp. 333–348.
- 1 2 อาชญาสิทธิ์ ศรีสุวรรณ (9 February 2018). "นักสร้างความเป็นไทยในแผนที่ "ทวี (ทองใบ) แตงน้อย"". Museum Siam. สืบค้นเมื่อ 2 April 2023.
- ↑ พงศ์พิพัฒน์ บัญชานนท์ (20 January 2011). "สัมภาษณ์ 'ชาญวิทย์ เกษตรศิริ'ปฐมบทความขัดแย้งไทย-กัมพูชา ในแบบเรียนภูมิศาสตร์ชั้นมัธยม". Isranews Agency. สืบค้นเมื่อ 2 April 2023.
- ↑ Wyatt, David K. (1984). Thailand: A Short History. Yale University Press. ISBN 9740753892.
- ↑ https://www.youtube.com/watch?v=OFbQWoveELI&list=PLb3n7XG7a2U67dqYmoxdQZEMk9xNeEfsL
- ↑ อำนาจ ไกรสงคราม; บุญเอิบ เกิดพร; สัมพันธ์ แทนไธสง; ทศพร นุชอำพันธ์; จารีต สราญจิตต์ (26 June 2013). "เอกสารการจัดการความรู้ เรื่อง "การจัดทำแผนที่การเสียดินแดนของไทย ๑๔ ครั้ง"" (PDF). โรงเรียนนายร้อยพระจุลจอมเกล้า. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิม (PDF)เมื่อ 2023-04-06. สืบค้นเมื่อ 2023-05-21.
อ่านเพิ่มเติม
[แก้]- Strate, Shane (2015). The Lost Territories: Thailand's History of National Humiliation. University of Hawai'I Press.