ซาร์กาลอยันแห่งบัลแกเรีย
| กาลอยัน Калоян | |
|---|---|
| |
| ครองราชย์ | ค.ศ. 1196 – 1207 |
| ราชาภิเษก | ค.ศ. 1196 |
| ก่อนหน้า | อีวัน อาแซนที่ 1 |
| ถัดไป | บอริล |
| พระมหากษัตริย์แห่งชนบัลการ์และวลาก | |
| ครองราชย์ | ค.ศ. 1204 – 1207 |
| ราชาภิเษก | 8 พฤศจิกายน ค.ศ. 1204 |
| ประสูติ | ป. ค.ศ. 1170 |
| สวรรคต | ตุลาคม ค.ศ. 1207 เทสซาโลนีกี |
| คู่อภิเษก | เจ้าหญิงคูมัน |
| พระราชบุตร | มารีอา |
| ราชวงศ์ | อาแซน |
ซาร์กาลอยันแห่งบัลแกเรีย มีอีกพระนามว่า อีวันที่ 1,[1] ยออันนิตซา (บัลแกเรีย: Калоян, Йоаница; ป. ค.ศ. 1170 – ตุลาคม ค.ศ. 1207) ฉายา ผู้สังหารโรมัน (the Romanslayer) เป็นพระจักรพรรดิหรือซาร์แห่งจักรวรรดิบัลแกเรียที่ 2 ผู้ครองราชย์ระหว่าง ค.ศ. 1197 จนเสด็จสวรรคตเมื่อเดือนตุลาคม ค.ศ. 1207
กาลอยันเป็นพระอนุชาของและทายาทของซาร์แปเตอร์ที่ 2 (Petăr II) และ ซาร์อีวัน อาแซนที่ 1 ในปี ค.ศ. 1187 พระองค์ทรงถูกส่งไปเป็นตัวประกันในคอนสแตนติโนเปิล แต่ทรงหลบหนีกลับมาบัลแกเรียได้ราวปี ค.ศ. 1189 หลังจากที่พระเชษฐาทั้งสองพระองค์ถูกลอบสังหาร กาลอยันก็ขึ้นครองราชย์เป็นซาร์
กาลอยันทรงดำเนินนโยบายอันเป็นปฏิปักษ์อย่างรุนแรงต่อจักรวรรดิไบแซนไทน์จนถึงกับไปเป็นพันธมิตรกับอีวันกอ (Ivanko) ผู้นำของวลาคผู้ที่เป็นผู้ลอบสังหารร์อีวัน อาแซน พระเชษฐาของพระองค์เอง อีวันกอเข้าไปรับราชการกับจักรวรรดิไบแซนไทน์ในปี ค.ศ. 1196 และได้เป็นข้าหลวงแห่งโพลดิฟ พันธมิตรอีกคนหนึ่งคือโดโบรเมียร์ คริสซอส ข้าหลวงแห่งสตรูมิคา แต่ความเป็นพันธมิตรก็มาสลายตัวลงเพราะไบแซนไทน์เอาชนะทั้งสองคนได้ แต่กาลอยันก็สามารถพิชิตคอนสแตนเทเอียในเธรซ และวาร์นาได้จากจักรวรรดิไบแซนไทน์ใน ค.ศ. 1201 และภูมิภาคมาซิโดเนียส่วนที่เป็นสลาฟได้แทบทั้งหมดใน ค.ศ. 1202
พระชนม์ชีพช่วงต้น
[แก้]กาลอยันเป็นพระอนุชาในแตออดอร์กับอาแซน ผู้ถูกระบุว่าเป็นผู้ก่อกำเริบในการก่อกำเริบของชนบัลการ์และวลาก[2] ต่อจักรวรรดิไบแซนไทน์ใน ค.ศ. 1185[2] แตออดอร์ขึ้นครองราชย์และใช้พระนาม แปเตอร์ ใน ค.ศ. 1185[3] อาแซนกลายเป็นผู้ปกครองร่วมกับแปเตอร์ก่อน ค.ศ. 1190[4] ทั้งคู่รักษาเอกราชดินแดนของตนด้วยความช่วยเหลือจากนักรบชาวคูมันจากพอนติกสเตปป์[5]
Alexandru Madgearu นักประวัติศาสตร์ รายงานว่า เพราะกาลอยันยังเป็นวัยรุ่นเมื่อ ค.ศ. 1188 จึงต้องเสด็จพระราชสมภพประมาณ ค.ศ. 1170[6] พระองค์ได้รับบัพติศมาในพระนาม อีวัน (หรือ ยออัน) แต่ได้รับการเรียกขานเป็น ยออันนิตซา ("อีวันน้อย") เนื่องจากอาแซน พระเชษฐา ก็ใช้พระนามอีวันตอนรับบัพติศมาด้วย[7] ส่วน กาลอยัน มีที่มาจากศัพท์ภาษากรีกที่แปลว่า ยอห์นผู้โฉมงาม (Kallos Ioannis)[8] ศัตรูชาวกรีกของพระองค์ก็เรียกพระองค์ด้วยพระนาม Skyloioannes ("ยอห์นไอ้หมา") ซึ่งเป็นที่มาของอ้างอิงถึง Tsar Skaloyan หรือ Scaluian ในเฟรสโกที่ Dragalevtsi Monastery และ Sucevița Monastery[9]
หลังฝ่ายไบแซนไทน์จับกุมพระมเหสีของอาแซน กาลอยันถูกส่งตัวเป็นตัวประกันที่คอนสแตนติโนเปิลเพื่อแลกเปลี่ยนกับพระมเหสีในฤดูใบไม้ผลิ ค.ศ. 1188[10][11] โดยไม่ทราบวันที่ปล่อยตัวพระองค์[11] หรือกล่าวกันว่าพระองค์หลบหนีได้เมื่อประมาณ ค.ศ. 1189[12] พระองค์เสด็จกลับบ้านเกิดเมื่อโบยาร์ อีวันกอ สังหารอาแซนที่เตอร์โนโวใน ค.ศ. 1196[11] อีวันกอพยายามยึดบัลลังก์ด้วยการสนับสนุนจากไบแซนไทน์ แต่แตออดอร์-แปเตอร์บังคับให้เขาต้องหนีไปจักรวรรดิไบแซนไทน์[13]
รัชสมัย
[แก้]ความขัดแย้งกับจักรวรรดิไบแซนไทน์
[แก้]ส่วนนี้รอเพิ่มเติมข้อมูล คุณสามารถช่วยเพิ่มข้อมูลส่วนนี้ได้ |
สวรรคต
[แก้]กาลอยันสวรรคตในระหว่างการล้อมเทสซาโลนีกีเมื่อเดือนตุลาคม ค.ศ. 1207 แต่สาเหตุการสวรรคตยังไม่ชัดเจน[14] อาโกรโปลิเตส (1217/20-1282) นักประวัติศาสตร์ ระบุว่าพระองค์สวรรคตจากเยื่อหุ้มปอดอักเสบ[15][16] เขายังบันทึกข่าวลือที่อ้างว่าการสวรรคตของกาลอยัน "มีสาเหตุจากพระพิโรธของพระเจ้า เพราะดูเหมือนมีชายถืออาวุธคนหนึ่งปรากฏตัวต่อหน้าพระองค์ขณะหลับ และแทงสีข้างของพระองค์ด้วยหอก"[16][17]
ตำนานเกี่ยวกับการแทรกแซงของนักบุญเดเมตริอุสแห่งเทสซาโลนีกีในนามของเมืองที่ถูกปิดล้อมได้รับการบันทึกไว้หลังการสวรรคตของกาลอยันเพียงไม่นาน[15][18] รอแบร์ เดอ กลารีเขียนไว้ก่อน ค.ศ. 1216 ว่าตัวนักบุญมาที่เต้นท์ของกาลอยันและ "แทงพระองค์ด้วยหอกทะลุพระวรกาย"[19] ทำให้พระองค์สวรรคต[18] Stefan Nemanjić เขียนถึงตำนานเดียวกันในชีวประวัตินักบุญของ Stefan Nemanja บิดาของเขาเมื่อ ค.ศ. 1216[18] John Staurakios ผู้รวบรวมเรื่องราวตำนานนักบุญเดเมตริอุสเมื่อปลายคริสต์ศตวรรษที่ 13 บันทึกว่า มีชายขี่ม้าขาวใช้หอกฟาดกาลอยัน[20] Staurakios ระบุต่อว่า กาลอยันระบุผู้โจมตีเข้ากับ Manastras ผู้บัญชาการทหารรับจ้างของพระองค์ที่ต้องหลบหนีไปก่อนที่กาลอยันจะสวรรคต[21] ตำนานนี้ปรากฏบนกำแพงโบสถ์และอารามออร์ทอดอกซ์มากกว่า 5 แห่[9] เช่น ภาพเฟรสโกในอารามเดชานีที่มีภาพวาดนักบุญเดเมตริอุสสังหาร ซาร์สกาลอยัน[16]
บันทึกเกี่ยวกับการสวรรคตของกาลอยันที่ขัดแย้งกันนำไปสู่ทฤษฎีทางวิชาการมากมาย โดยหลายทฤษฎียอมรับว่าพระองค์ถูกฆาตกรรม[22][15] Madgearu กล่าวว่ากาลอยันถูกสังหารจาก Manastras ผู้น่าจะได้รับการว่าจ้างจากพระมเหสีของกาลอยันและบอริล พระราชนัดดา[22] Genoveva Cankova-Petkova และ Francesco Dall'Aglia นักประวัติศาสตร์ ก็ระบุว่า Manastras สังหารกาลอยัน แต่ทั้งสองตั้งสันนิษฐานว่าชาวกรีกชักจูงให้เขาหันมาต่อต้านซาร์[22]
สุสาน
[แก้]ไม่มีใครทราบที่ตั้งของสุสานกาลอยัน[23] ชีวิตของนักบุญซาวาแห่งเซอร์เบียฉบับปลายคริสต์ศตวรรษที่ 13 ระบุว่าพระวรกายของกาลอยันถูกนำไปอาบพระศพและส่งไปที่เตอร์โนโว[24] อย่างไรก็ตาม ตำนานเดียวกันในฉบับเก่ากว่าที่บันทึกใน ค.ศ. 1254 ไม่ได้ระบุถึงเรื่องนี้[16] แหวนทองคำที่พบในสุสานใกล้โบสถ์ Holy Forty Martyrs ที่เตอร์โนโวใน ค.ศ. 1972 มีจารึกอักษรซีริลลิกว่า Kaloianov prăsten ("พระธำมรงค์ของกาลอยัน")[25] Ivan Dujčev นักประวัติศาสตร์ ระบุว่าแหวนนี้ยืนยันว่าพระวรกายของกาลอยันถูกย้ายไปที่โบสถ์ซึ่งสร้างขึ้นเมื่อ ค.ศ. 1230[25] การระบุหลุมศพว่าเป็นสถานที่ฝังพระศพของกาลอยันเป็นเรื่องที่ถกเถียงกัน เนื่องจากแหวนที่มีพระนามของพระองค์ไม่สามารถระบุอายุถึงก่อนคริสต์ศตวรรษที่ 14[25] นอกจากนี้ สุสานของเชื้อพระวงศ์องค์อื่นที่ฝังอยู่ในสถานที่เดียวกัน เสนอแนะว่าแหวนนี้ไม่ใช่ของกาลอยัน แต่เป็นหนึ่งในบุคคลที่มีชื่อเดียวกันเมื่อคริสต์ศตวรรษที่ 14[23]

Jordan Jordanov นักมานุษยวิทยา ได้สร้างพระพักตร์ของกาลอยันขึ้นมาใหม่ โดยอาศัยกะโหลกศีรษะที่พบในหลุมศพเดียวกันและมีความเกี่ยวข้องกับกาลอยัน[25]
พระบรมวงศานุวงศ์
[แก้]พระมเหสีของกาลอยันเป็นเจ้าหญิงคูมัน[26] พระนางให้กำเนิดพระราชธิดาเท่าที่รู้จักพระองค์เดียว (ซึ่งไม่ทราบพระนาม)[27] ตามคำนินทาที่บันทึกโดยอัลเบริกแห่งทรัว-ฟงแต็ง (Alberic of Trois-Fontaines) พระมเหสีของกาลอยันพยายามเย้ายวนจักรพรรดิบอลด์วินแห่งจักรวรรดิละตินผู้ถูกคุมขังที่เตอร์โนโว[28] กระนั้น บันทึกคำนินทาระบุต่อว่าบอลด์วินทรงปฏิเสธพระนาง ทำให้พระนางกล่าวหาบอลด์วินว่าพยายามล่อลวงพระนาง ด้วยความโกรธแค่ต่อคำกล่าวอ้างของพระมเหสี ทำให้กาลอยันสั่งประหารชีวิตบอลด์วินและนำพระศพไปเป็นอาหารสุนัข[28] Madgearu รายงานว่า ข่าวลือนี้ไม่น่าเชื่อถืออย่างแน่นอน โดยมีเนื้อหาอิงจากเรื่องราวโปติฟาร์กับภรรยาของเขา[28] หลังกาลอยันสวรรคต พระมเหสีหม้ายทรงสมรสกับบอริล ผู้สืบทอดต่อจากพระองค์[29] บอริลพระราชทานพระราชธิดาของกาลอยันให้สมรสกับเฮนรี จักรพรรดิละติน ใน ค.ศ. 1211[30]
อ้างอิง
[แก้]- ↑ Mladjov 2015, p. 295.
- 1 2 Curta 2006, pp. 358–359, 379.
- ↑ Vásáry 2005, p. 17.
- ↑ Fine 1994, p. 16.
- ↑ Vásáry 2005, pp. 17–18.
- ↑ Madgearu 2016, pp. 111–112.
- ↑ Madgearu 2016, p. 39.
- ↑ Detrez 2015, p. 269.
- 1 2 Madgearu 2016, pp. 170–171.
- ↑ Fine 1994, p. 15.
- 1 2 3 Madgearu 2016, p. 111.
- ↑ Bulgaria, I.J. Print, 1994, p.12.
- ↑ Madgearu 2016, p. 112.
- ↑ Fine 1994, pp. 87, 91.
- 1 2 3 Fine 1994, p. 91.
- 1 2 3 4 Madgearu 2016, p. 170.
- ↑ George Akropolites: The History (ch. 13.), p. 140.
- 1 2 3 Madgearu 2016, p. 169.
- ↑ The Conquest of Constantinople: Robert of Clari, p. 127.
- ↑ Madgearu 2016, pp. 3, 169.
- ↑ Madgearu 2016, pp. 168–169.
- 1 2 3 Madgearu 2016, p. 171.
- 1 2 Madgearu 2016, p. 173.
- ↑ Madgearu 2016, pp. 169–170.
- 1 2 3 4 Madgearu 2016, p. 172.
- ↑ Dimnik 2004, p. 266.
- ↑ Madgearu 2016, p. 188.
- 1 2 3 Madgearu 2016, p. 153.
- ↑ Curta 2006, p. 384.
- ↑ Madgearu 2016, pp. 187–188.
ข้อมูล
[แก้]ข้อมูลปฐมภูมิ
[แก้]- George Akropolites: The History (Translated with and Introduction and Commentary by Ruth Macrides) (2007). Oxford University Press. ISBN 978-0-19-921067-1.
- O City of Byzantium, Annals of Niketas Choniatēs (Translated by Harry J. Magoulias) (1984). Wayne State University Press. ISBN 978-0-8143-1764-8.
- The Conquest of Constantinople: Robert of Clari (Translated with introduction and notes by Edgar Holmes McNeal) (1996). Columbia University Press. ISBN 0-8020-7823-0.
ข้อมูลทุติยภูมิ
[แก้]- Curta, Florin (2006). Southeastern Europe in the Middle Ages, 500–1250. Cambridge University Press. ISBN 978-0-521-89452-4.
- Detrez, Raymond (2015). Historical Dictionary of Bulgaria. Rowman & Littlefield. ISBN 978-1-4422-4179-4.
- Dimnik, Martin (2004). "Kievan Rus', the Bulgars and the southern Slavs, c. 1020–c. 1200". ใน Luscombe, David; Riley-Smith, Jonathan (บ.ก.). The New Cambridge Medieval History, Volume 4, c.1024–c.1198, Part 2. Cambridge: Cambridge University Press. pp. 254–276. ISBN 978-1-13905403-4.
- Fine, John V. A. Jr. (1994) [1987]. The Late Medieval Balkans: A Critical Survey from the Late Twelfth Century to the Ottoman Conquest. Ann Arbor, Michigan: University of Michigan Press. ISBN 0-472-08260-4.
- Lock, Peter (1995). The Franks in the Aegean, 1204–1500. Longman. ISBN 0-582-05140-1.
- Madgearu, Alexandru (2016). The Asanids: The Political and Military History of the Second Bulgarian Empire, 1185–1280. BRILL. ISBN 978-9-004-32501-2.
- Mladjov, Ian (2015). "Monarchs' Names and Numbering in the Second Bulgarian State". Studia Ceranea. 5: 267–310. doi:10.18778/2084-140X.05.09. hdl:11089/18406. ISSN 2449-8378.
- Stephenson, Paul (2000). Byzantium's Balkan Frontier: A Political Study of the Northern Balkans, 900–1204. Cambridge University Press. ISBN 978-0-521-02756-4.
- Sweeney, James Ross (1973). "Innocent III, Hungary and the Bulgarian Coronation: A Study in Medieval Papal Diplomacy". Church History. 42 (3): 320–334. doi:10.2307/3164389. ISSN 0009-6407. JSTOR 3164389. S2CID 162901328.
- แม่แบบ:A History of the Byzantine State and Society
- Vásáry, István (2005). Cumans and Tatars: Oriental Military in the Pre-Ottoman Balkans, 1185–1365. Cambridge University Press. ISBN 0-521-83756-1.
แหล่งข้อมูลอื่น
[แก้]| ก่อนหน้า | ซาร์กาลอยันแห่งบัลแกเรีย | ถัดไป | ||
|---|---|---|---|---|
| ซาร์อีวัน อาแซนที่ 1 แห่งบัลแกเรีย | ซาร์แห่งบัลแกเรีย (ราชวงศ์อาแซน) (ค.ศ. 1196–1207) |
ซาร์บอริลแห่งบัลแกเรีย |