ข้ามไปเนื้อหา

พรรคคอมมิวนิสต์แห่งประเทศไทย

จากวิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี
พรรคคอมมิวนิสต์แห่งประเทศไทย
ชื่อย่อพคท.
ผู้ก่อตั้งโฮจิมินห์
เลขาธิการวิชัย ชูธรรม[1][2][3]
ก่อตั้งพ.ศ. 2485[4]
ถูกยุบเคลื่อนไหวครั้งสุดท้ายในช่วงปลายทศวรรษ 2520
แยกจากพรรคคอมมิวนิสต์ทะเลจีนใต้
หนังสือพิมพ์มหาชน [en]
ฝ่ายทหารกองทัพปลดแอกประชาชนแห่งประเทศไทย
สื่อหลักสถานีเสียงประชาชนแห่งประเทศไทย
อุดมการณ์ลัทธิคอมมิวนิสต์
ลัทธิมากซ์–เลนิน
ลัทธิเหมา
จุดยืนซ้ายจัด
สีสีแดง
เพลง"แองเตอร์นาซิอองนาล
"ภูพานปฏิวัติ"
ธงประจำพรรค
การเมืองไทย
รายชื่อพรรคการเมือง
การเลือกตั้ง

พรรคคอมมิวนิสต์แห่งประเทศไทย (พคท.) (อังกฤษ: Communist Party of Thailand – CPT) เป็นพรรคคอมมิวนิสต์ที่เคยมีบทบาทสำคัญในประเทศไทยในช่วงกลางคริสต์ศตวรรษที่ 20 พรรคมีแนวทางยึดถืออุดมการณ์ลัทธิมากซ์–เลนิน และภายหลังได้รับอิทธิพลจากลัทธิเหมา พรรคก่อตั้งขึ้นใน พ.ศ. 2485 ในช่วงสงครามโลกครั้งที่สอง โดยมีรากฐานจากขบวนการฝ่ายซ้ายจัดและกลุ่มชาตินิยมบางส่วน แม้ไม่เคยจดทะเบียนเป็นพรรคการเมืองตามกฎหมายไทย แต่ในบางช่วงของประวัติศาสตร์ก็เคยมีบุคคลที่เคยเกี่ยวข้องหรือเคลื่อนไหวภายใต้แนวทางของพรรคได้รับเลือกตั้งเป็นสมาชิกสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรไทย[5]

บทบาทของพรรคมีความโดดเด่นในฐานะกลุ่มต่อต้านรัฐโดยใช้แนวทางการต่อสู้ด้วยอาวุธ โดยเฉพาะในช่วงปลายทศวรรษ 2500 ถึงต้นทศวรรษ 2520 ซึ่งเป็นช่วงที่ความขัดแย้งทางอุดมการณ์ระหว่างฝ่ายขวาและฝ่ายซ้ายทวีความรุนแรงขึ้น การจับอาวุธของพรรคเพื่อต่อต้านรัฐบาลไทยในช่วงดังกล่าวถูกเรียกว่าการก่อการกำเริบคอมมิวนิสต์ในประเทศไทย ซึ่งมีศูนย์กลางการเคลื่อนไหวอยู่ในพื้นที่ชนบท โดยเฉพาะในภาคเหนือและภาคตะวันออกเฉียงเหนือ พรรคได้รับการสนับสนุนทั้งทางความคิดและทรัพยากรจากพรรคคอมมิวนิสต์จีนและพรรคคอมมิวนิสต์เวียดนามบางส่วน รวมถึงอาศัยการโฆษณาชวนเชื่อผ่านสถานีวิทยุเสียงประชาชนแห่งประเทศไทย

จุดเปลี่ยนสำคัญเกิดขึ้นเมื่อรัฐบาลไทยภายใต้การนำของพลเอก เปรม ติณสูลานนท์ประกาศคำสั่งสำนักนายกรัฐมนตรีที่ 66/2523 ใน พ.ศ. 2523 ซึ่งเปิดโอกาสให้สมาชิกพรรคคอมมิวนิสต์แห่งประเทศไทยสามารถวางอาวุธและกลับคืนสู่สังคมได้โดยไม่ต้องรับโทษย้อนหลัง นโยบายนี้มีผลกระทบอย่างมากต่อโครงสร้างของพรรค ทำให้กำลังพลจำนวนมากทยอยมอบตัวและเลิกกิจกรรมใต้ดิน ส่งผลให้บทบาทของพรรคในฐานะองค์กรเคลื่อนไหวเชิงกองกำลังค่อย ๆ สิ้นสุดลงในช่วงเวลาหลังจากนั้น[6]

แม้บทบาททางทหารและการเมืองของพรรคจะยุติลงเป็นส่วนใหญ่ในทางปฏิบัติ แต่ในช่วงเวลาต่อมา ยังคงมีความเคลื่อนไหวในระดับบุคคลของอดีตสมาชิกพรรค และความพยายามบางประการในการรื้อฟื้นชื่อพรรคหรือนำเสนอแนวคิดเชิงประวัติศาสตร์ผ่านกิจกรรมทางการเมืองหรือเวทีวิชาการบางแห่ง ทั้งนี้ พรรคคอมมิวนิสต์แห่งประเทศไทยยังคงเป็นกรณีศึกษาที่สำคัญในประวัติศาสตร์การเมืองไทยสมัยใหม่ โดยเฉพาะในประเด็นที่เกี่ยวข้องกับความขัดแย้งทางอุดมการณ์ สิทธิเสรีภาพ และนโยบายความมั่นคงของรัฐไทย

ประวัติ

[แก้]

พรรคคอมมิวนิสต์แห่งประเทศไทย (พคท.) เป็นพรรคการเมืองแนวฝ่ายซ้ายจัดในประเทศไทย มีรากฐานทางอุดมการณ์จากลัทธิมากซ์–เลนิน และต่อมาได้รับอิทธิพลจากลัทธิเหมา พรรคก่อตั้งอย่างไม่เป็นทางการเมื่อวันที่ 20 เมษายน พ.ศ. 2473 ในนาม "พรรคคอมมิวนิสต์สยาม" โดยมีการประชุมลับที่โรงแรมตุ้นกี่ หน้าสถานีรถไฟกรุงเทพ (หัวลำโพง) ภายใต้การนำของโฮจิมินห์ (ใช้นามแฝงว่า "สหายซุง") เลขาธิการใหญ่พรรคคอมมิวนิสต์เวียดนาม พร้อมแต่งตั้งโงจิ๊งก๊วกเป็นหัวหน้าพรรคคนแรก ต่อมาพรรคได้ประกาศจัดตั้งอย่างเป็นทางการเมื่อวันที่ 1 ธันวาคม พ.ศ. 2485 ภายหลังการประชุมสมัชชาครั้งแรกที่จังหวัดพระนคร โดยมีสมาชิกผู้ร่วมก่อตั้ง 57 คน จุดมุ่งหมายของพรรคคือการสร้างสังคมเสมอภาค ปราศจากชนชั้น ด้วยยุทธศาสตร์ "ป่าล้อมเมือง" เพื่อล้มล้างระบบทุนนิยมและสถาปนาระบอบเผด็จการโดยชนชั้นกรรมาชีพผ่านการปฏิวัติ

ในบางช่วงหลังสงครามโลกครั้งที่สอง พรรคเคยมีบทบาททางการเมือง โดยเฉพาะช่วงที่ไทยยกเลิกพระราชบัญญัติป้องกันการกระทำอันเป็นคอมมิวนิสต์ พ.ศ. 2476 เพื่อให้สหภาพโซเวียตรับรองการเข้าเป็นสมาชิกสหประชาชาติ อย่างไรก็ตาม สถานะของพรรคถูกจำกัดลงหลังการตราพระราชบัญญัติป้องกันการกระทำอันเป็นคอมมิวนิสต์ พุทธศักราช 2495 ส่งผลให้พรรคต้องดำเนินงานใต้ดินและใช้ความรุนแรงทางการเมือง โดยเฉพาะในช่วงสงครามเย็น ภายหลังเหตุการณ์ 6 ตุลา พ.ศ. 2519 พรรคได้รับแรงสนับสนุนจากนักศึกษาและปัญญาชนที่หนีเข้าป่า ก่อให้เกิดการก่อการกำเริบในหลายพื้นที่ทั่วประเทศ

อย่างไรก็ตาม พรรคประสบปัญหาภายใน เช่น ความแตกแยกทางอุดมการณ์ การรวมศูนย์อำนาจ และการขาดการสนับสนุนจากต่างประเทศ จนกระทั่งมีการประกาศคำสั่งสำนักนายกรัฐมนตรีที่ 66/2523 โดยพลเอก เปรม ติณสูลานนท์ นายกรัฐมนตรี เพื่อเปิดทางให้สมาชิกออกจากป่าและกลับคืนสู่สังคม ส่งผลให้บทบาทการก่อการกำเริบของพรรคสิ้นสุดลง

ต่อมาใน พ.ศ. 2553 ธง แจ่มศรี เลขาธิการใหญ่พรรคคอมมิวนิสต์แห่งประเทศไทย ได้ประกาศยุติบทบาท และหันไปก่อตั้งพรรคประชาธิปไตยประชาชนไทย (พปท.) ปัจจุบันแม้พรรคคอมมิวนิสต์แห่งประเทศไทยจะไม่มีสถานะทางกฎหมาย แต่ยังมีการรวมตัวทำกิจกรรมของอดีตสมาชิก และความพยายามฟื้นฟูชื่อพรรค อย่างไรก็ตาม คณะกรรมการการเลือกตั้งได้ปฏิเสธไม่ให้จดทะเบียน โดยให้เหตุผลว่าลัทธิคอมมิวนิสต์ขัดแย้งกับระบอบราชาธิปไตยภายใต้รัฐธรรมนูญ[7][6][8][4][9][10]

เลขาธิการใหญ่พรรคคอมมิวนิสต์แห่งประเทศไทย

[แก้]

เลขาธิการใหญ่พรรคคอมมิวนิสต์แห่งประเทศไทย (พคท.) เป็นตำแหน่งผู้นำสูงสุดในลำดับโครงสร้างของพรรค โดยการแต่งตั้งจะกระทำผ่านการประชุมสมัชชาพรรคในแต่ละช่วงเวลา แม้การประชุมสมัชชาจะมีไม่บ่อยครั้งและมีข้อจำกัดด้านการเข้าถึงข้อมูลอย่างเป็นทางการ แต่สามารถสรุปรายชื่อเลขาธิการใหญ่ที่ปรากฏในแหล่งข้อมูลต่าง ๆ ได้ดังต่อไปนี้

พิชิต ณ สุโขทัย (หรือในชื่อจัดตั้งว่า จูโซ่วลิ้ม และ พายัพ อังคะสิงห์) ได้รับการกล่าวถึงว่าเป็นเลขาธิการใหญ่คนแรกใน พ.ศ. 2485 อย่างไรก็ตาม แหล่งข้อมูลบางแห่งระบุว่าในขณะนั้นพิชิตมิได้เข้าร่วมการประชุมสมัชชาพรรค จึงอาจไม่มีมติรับรองในกระบวนการอย่างเป็นทางการ แต่อิทธิพลของเขาในช่วงต้นของพรรคถือว่ามีความสำคัญเชิงประวัติศาสตร์

ใน พ.ศ. 2495 ประสงค์ วงศ์วิวัฒน์ (หรือชื่อจัดตั้งว่า ทรง นพคุณ) ได้รับการแต่งตั้งเป็นเลขาธิการใหญ่ ภายหลังจากที่รัฐบาลไทยประกาศใช้พระราชบัญญัติป้องกันการกระทำอันเป็นคอมมิวนิสต์ พุทธศักราช 2495 ซึ่งส่งผลให้พรรคต้องดำเนินกิจกรรมในลักษณะลับใต้ดินมากขึ้น โดยในยุคของเขา พรรคเริ่มปรับโครงสร้างและวางแนวทางใหม่ให้สอดคล้องกับสถานการณ์ภายในประเทศและนโยบายการเมืองระหว่างประเทศ

ใน พ.ศ. 2504 เจริญ วรรณงาม (หรือชื่อจัดตั้งว่า มิตร สมานันท์) ชาวจังหวัดอุดรธานี และศิษย์เก่าคณะนิเทศศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ได้รับการแต่งตั้งเป็นเลขาธิการใหญ่ เขาเคยมีบทบาทในการต่อต้านญี่ปุ่นช่วงสงครามโลกครั้งที่สองและต่อมาได้เข้าศึกษาที่สถาบันลัทธิมากซ์–เลนินกรุงปักกิ่ง ประเทศจีน เขาเสียชีวิตลงใน พ.ศ. 2521 ขณะยังดำรงตำแหน่ง

หลังจากนั้นใน พ.ศ. 2525 ธง แจ่มศรี ได้ขึ้นดำรงตำแหน่งเลขาธิการใหญ่ โดยเป็นบุคคลเชื้อสายเวียดนามที่เข้าร่วมพรรคตั้งแต่อายุ 17 ปี วาระของเขาเกิดขึ้นในช่วงที่รัฐบาลไทยเริ่มใช้แนวทางปรองดองกับสมาชิกพรรคผ่านนโยบาย "ผู้ร่วมพัฒนาชาติไทย" ส่งผลให้บทบาทของพรรคค่อย ๆ ลดลงตามบริบททางการเมือง

ต่อมาใน พ.ศ. 2553 วิชัย ชูธรรม ได้รับการประกาศให้ดำรงตำแหน่งเลขาธิการใหญ่ โดยเป็นผลมาจากมติของคณะกรรมการกลางพรรคเสียงข้างมากที่นำโดยไวฑูรย์ สินธุวานิชย์ และวินัย เพิ่มพูนทรัพย์ ภายหลังความขัดแย้งภายในองค์กร ซึ่งนำไปสู่การเปลี่ยนผ่านการนำและการจัดโครงสร้างใหม่ในยุคหลังสงครามเย็น

ตำแหน่งเลขาธิการใหญ่แต่ละคนสะท้อนถึงพัฒนาการของพรรคคอมมิวนิสต์แห่งประเทศไทยในช่วงเวลาต่าง ๆ ตั้งแต่การก่อตั้งในยุคก่อนสงครามโลกครั้งที่สอง การเคลื่อนไหวในช่วงสงครามเย็น การจับอาวุธต่อสู้ในเขตป่าภูเขา ตลอดจนการเสื่อมถอยของขบวนการภายหลังนโยบายปรองดองของรัฐ ซึ่งส่งผลให้บทบาทของพรรคค่อย ๆ ลดลงในทางปฏิบัติ แม้ยังมีความเคลื่อนไหวในบางระดับโดยอดีตสมาชิกพรรคก็ตาม

อดีตสมาชิกที่มีชื่อเสียงของพรรค

[แก้]

ดูเพิ่ม

[แก้]

อ้างอิง

[แก้]
  1. ขุนน้ำหมึก. "เปิดตัว "จ่านิว" ผู้สืบทอด "ธง แจ่มศรี"". คมชัดลึก. สืบค้นเมื่อ 2021-01-24.
  2. มาสขาว, เมธา. ""ธง แจ่มศรี" วีรชนปฏิวัติตลอดกาล". The Isaan Record. สืบค้นเมื่อ 2021-01-24.
  3. "กลับมาแล้ว คอมมิวนิสต์ไทย". คมชัดลึก. สืบค้นเมื่อ 2021-01-24.
  4. 1 2 นิตยสาร สารคดี ฉบับที่ 232 มิถุนายน 2547 ปีที่ 20 "บทสัมภาษณ์ ธง แจ่มศรี เลขาธิการพรรคคอมมิวนิสต์แห่งประเทศไทย"
  5. ย้อนประวัติพรรคคอมมิวนิสต์แห่งประเทศไทย ในการเปิดตัวครั้งแรกหลังสงบนิ่งกว่า 30 ปี
  6. 1 2 คอมมิวนิสต์, แห่งประเทศไทย. "ผู้นำพคท.คนสุดท้าย บทเรียนขัดแย้งรุนแรง : ชกไม่มีมุม". พรรคคอมมิวนิสต์ไทยในวาระสุดท้าย. สืบค้นเมื่อ 15 July 2019.[ลิงก์เสีย]
  7. ย้อนประวัติพรรคคอมมิวนิสต์แห่งประเทศไทย ในการเปิดตัวครั้งแรกหลังสงบนิ่งกว่า 30 ปี
  8. นิตยสาร สารคดี ฉบับที่ 232 มิถุนายน 2547 หน้า 73
  9. "ถังแดง : ความทรงจำบาดแผลที่ไม่เคยห่างหายไปจากสังคมไทย". มติชนออนไลน์. 9 September 2019. สืบค้นเมื่อ 7 November 2021.
  10. “คอมมิวนิสต์ไทย” บนเส้นทางรัฐสภา?