ข้ามไปเนื้อหา

พระมหาอุปราช (กษัตริย์แห่งล้านช้าง)

จากวิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี
พระมหาอุปราช (กษัตริย์แห่งล้านช้าง)
พระเจ้าล้านช้าง
ครองราชย์พ.ศ. 2118–2123
ก่อนหน้าพระยาสุมังคละโพธิสัตว์
ถัดไปพระยาสุมังคละโพธิสัตว์
สวรรคตพ.ศ. 2123
ราชวงศ์ล้านช้าง
พระราชบิดาพระยาโพธิสาลราช
พระราชมารดาพระนางยอดคำทิพย์

พระมหาอุปราช[1] เป็นพระมหากษัตริย์แห่งพระราชอาณาจักรล้านช้าง พ.ศ. 2118-2123 เป็นพระราชโอรสของพระยาโพธิสาลราชและเป็นพระราชอนุชาร่วมมารดาของสมเด็จพระไชยเชษฐาธิราช[ต้องการอ้างอิง]

พระองค์เป็นพระราชโอรสพระองค์สุดท้ายของพระยาโพธิสาลราช ซึ่งประสูติแต่พระนางยอดคำทิพย์เมื่อครั้งประสูติทรงพระนามว่า พระวงษา[ต้องการอ้างอิง]

พ.ศ. 2092 พระยาโพธิสาลราชสวรรคต เป็นเหตุให้ล้านช้างว่างกษัตริย์ลง และระหว่างนั้น เจ้าไชยเชษฐาราชกุมาร เจ้าอุปราช เสด็จไปครองอาณาจักรล้านนาจึงเกิดการแย่งชิงราชสมบัติระหว่างเจ้าศรีวรวงษาราชกุมาร และเจ้ากิจธนวราช (เจ้าท่าเฮือ) กลายเป็นสงครามกลางเมือง เจ้าศรีวรวงษาราชกุมารพ้ายแพ้จำต้องยกกำลังไปตั้งมั่นที่เมืองจันทบุรี (เวียงจันทน์) เมื่อเจ้าไชยเชษฐาราชกุมารทรงทราบจึงทรงยกกำลังจากล้านนากลับมายังล้านช้างเพื่อหวังจะหยุดสงครามกลางเมืองและปลงพระบรมศพพระราชบิดาเมื่อทัพเจ้าไชยเชษฐาราชกุมารมาถึงล้านช้าง เจ้าศรีวรวงษาราชกุมารจึงนำกำลังเข้าล้อมนครเชียงทองขนาบกันกับกำลังของเจ้าไชยเชษฐาราชกุมารผู้เป็นพระเชษฐา เป็นเหตุให้เจ้ากิจธนวราชปราชัย

เมื่อถวายพระเพลิงพระบรมศพพระราชบิดาเสร็จสิ้น เจ้าไชยเชษฐาราชกุมารทรงไม่ปรารถนาที่จะกลับไปครองล้านนาดังเดิม เจ้าศรีวรวงษาราชกุมารและเหล่าขุนนางจึงอัญเชิญเสด็จขึ้นเป็นกษัตริย์ครองล้านช้าง ทรงพระนามว่า พระเจ้าไชยเชษฐาธิราช ส่วนเจ้าศรีวรวงษาราชกุมาร ทรงมีราชโองการให้เป็น เจ้ามหาอุปราชแห่งล้านช้าง[ต้องการอ้างอิง]

ต่อมา พ.ศ. 2103 มีการย้ายเมืองหลวงจากนครศรีสัตนาคนหุตอุตมรัตนชวาละวดีมหานคร (นครเชียงดงเชียงทอง) มายังนครจันทบุรีศรีสัตนาคนหุตอุตมราชธานี (นครเวียงจันทบุรี)

พ.ศ. 2107 กองทัพพระเจ้าหงษาวดีบุเรงนองได้ยกกำลังเข้าตีล้านช้างสมเด็จพระไชยเชษฐาธิราชทรงให้อพยพผู้คนออกจากนครจันทบุรีทิ้งให้เป็นเมืองร้างแล้วให้แต่งกำลังออกซุ่มโจมตีทัพหงสาวดีแบบกองโจร เจ้ามหาอุปราชศรีวรวงษานำกำลังออกซุ่มโจมตีทัพหงสาวดีแต่ทรงถูกจับได้ หงสาวดีจึงจับตัวพระองค์ไปเป็นองค์ประกันที่หงสาวดีด้วย

พ.ศ. 2115 สมเด็จพระไชยเชษฐาธิราช สวรรคต มีพระราชโอรสพระนามว่า พระหน่อเมือง ซึ่งพึ่งประสูติจากบาทบริจาริกาผู้เป็นน้องสาวของพระยาสุมังคละโพธิสัตว์ขว้างฟ้า เมืองแสนอัครมหาเสนาบดีผู้กำกับดูแลฝ่ายทหารจึงเกิดการแย่งอำนาจการเป็นผู้สำเร็จราชการระหว่างพระยาสุมังคละโพธิสัตว์ขว้างฟ้าและพระยาจันทรสีหราช เมืองจันทร์อัครมหาเสนาบดีผู้กำกับดูแลฝ่ายพลเรือน พระยาสุมังคละโพธิสัตว์ชนะและได้เป็นผู้สำเร็จราชการ แต่กระทำตัวเสมือนเป็นกษัตริย์

พ.ศ. 2117 พระเจ้าบุเรงนอง ยกทัพเข้าตีล้านช้างพระยาสุมังคละโพธิสัตว์จึงใช้แผนทิ้งเมืองหนีเข้าซ่อนตัวในป่า พระเจ้าหงสาวดีจึงให้ประกาศไปว่าการที่พระองค์ยกทัพมาครั้งนี้เพื่อกำจัดพระยาสุมังคละโพธิสัตว์เอาราชสมบัติถวายแก่เจ้ามหาอุปราชศรีวรวงษาผู้สมควรได้ราชสมบัติของสมเด็จพระไชยเชษฐาธิราช เหล่าขุนนางและราษฎรจำนวนมากที่ไม่ศรัทธาในตัวพระยาแสนสุรินทรฯ จึงเข้าร่วมกับเจ้ามหาอุปราชเป็นจำนวนมาก

พ.ศ. 2118 เจ้ามหาอุปราชศรีวรวงษา จึงขึ้นเสวยราชสมบัติล้านช้าง ทรงพระนามว่า พระเจ้าศรีวรวงษาธิราช[ต้องการอ้างอิง] ส่วนพระยาแสนสุรินทรฯและพระหน่อเมืองถูกพระเจ้าบุเรงนองนำตัวกลับไปยังหงสาวดี ในปี พ.ศ. 2119 ในช่วงแผ่นดินพระเจ้าศรีวรวงษาเนื่องจากพระองค์เป็นกษัตริย์ภายใต้การปกครองของหงสาวดี พระองค์จึงไม่มีพระราชอำนาจที่เด็ดขาดในการปกครอง การบริหารบ้านเมืองถูกแทรกแซงโดยหงสาวดี ล้านช้างจึงตกอยู่ในสภาพข้าวยากหมากแพงไม่สามารถบังคับให้เป็นปกติได้

พ.ศ. 2123 จึงเกิดกบฏขึ้นอย่างรุนแรงในพระนครจันทบุรี พระเจ้าศรีวรวงษาธิราชทรงไม่มีกำลังพอที่จะต้านกองกำลังของกบฏได้ เหล่าขุนนางจึงทูลเสด็จพระองค์ออกจากพระนครโดยทางเรือ แต่ทรงประสพอุบัติเหตุเสด็จสวรรคตระหว่างทางพร้อมด้วยพระมเหสีและพระราชธิดา

พงศาวลี

[แก้]

อ้างอิง

[แก้]
  1. ศรีสำอาง, สุรศักดิ์ (2002), ลำดับกษัตริย์ลาว (2nd ed.), กรุงเทพฯ: สำนักโบราณคดีและพิพิธภัณฑ์แห่งชาติ กรมศิลปากร, pp. 126–128, สืบค้นเมื่อ 2025-06-14
ก่อนหน้า พระมหาอุปราช (กษัตริย์แห่งล้านช้าง) ถัดไป
พระยาสุมังคละโพธิสัตว์
(ครั้งที่ 1)

พระมหากษัตริย์ลาว
แห่งอาณาจักรล้านช้าง

(พ.ศ. 2118 - พ.ศ. 2123)
พระยาสุมังคละโพธิสัตว์
(ครั้งที่ 2)