ข้ามไปเนื้อหา

พระยาวิชิตภักดี (เต็งกูอับดุลกอเดร์ กามารุดดีน)

จากวิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี
พระยาวิชิตภักดี
(เต็งกูอับดุลกาเดร์ กามารุดดีน)
พระยาเมืองตานี
ดำรงตำแหน่งพ.ศ. 2442–2445
ก่อนหน้าพระยาวิชิตภักดี (เต็งกูสุไลมานชารีฟุดดีน)
เกิดพ.ศ. 2420
เมืองปัตตานี อาณาจักรสยาม
ถึงแก่อนิจกรรม19 พฤษภาคม พ.ศ. 2476
รัฐกลันตัน นิคมช่องแคบ สหราชอาณาจักร
ภรรยาเต็งกูบุตรีกลันตัน
บุตร-ธิดา7 คน
ราชวงศ์กลันตัน
พระบิดาพระยาวิชิตภักดี (เต็งกูสุไลมานซารีฟุดดีน)
ศาสนาอิสลาม

พระยาวิชิตภักดีศรีสุรวังษารัตนาเขตประเทศราช นามเดิม เต็งกูอับดุลกอเดร์ กามารุดดีน (มลายู: Tengku Abdul Kadir Kamaruddin, เติงกู อับดุล กาดีร์ กามารุดดิน) หรือปรากฏในเอกสารไทยว่า พระยาตานี (อับดุล กาเด)[1] หรือ อับดุลคาเด[2] เป็นพระยาเมืองปัตตานีในช่วงปี พ.ศ. 2442 -2445 โดยเป็นรายาปัตตานีองค์ที่ 11 และเป็นองค์สุดท้ายแห่งราชวงศ์กลันตันที่ปกครองปัตตานี

พระประวัติ

[แก้]

เต็งกูอับดุลกอเดร์ กามารุดดีน เป็นโอรสในเต็งกูสุไลมานชารีฟุดดีน โดยมีพระพี่น้องร่วมกัน 4 องค์ ดังนี้

  1. เต็งกูสุหลง ชายาเต็งกูบิตารา ชายาท่านนี้มีมารดาคือเต็งกูนิปูเตะ ธิดารายาเมืองสายบุรี
  2. เต็งกูบือซาร์ ต่วนกัมบัล ชายาเต็งกูมูฮัมหมัด อุปราชเมืองปัตตานี
  3. เต็งกูอับดุลกอเดร์ กามารุดดีน
  4. เต็งกูมูฮัมหมัดซอและ

โอรส-ธิดา

[แก้]

เต็งกูอับดุลกอเดร์ กามารุดดีน มีโอรส-ธิดาที่ประสูติจากเต็งกูบุตรีกลันตันด้วยกัน 7 องค์ โดยเป็นโอรส 3 องค์ และธิดา 4 องค์ ได้แก่

  1. เต็งกูอะหมัดนูรุดดีน (เต็งกูศรีอาการายา) จากต่วนนามัสปะตานี
  2. เต็งกูซูไบด๊ะ (เต็งกูบือซาร์) พระอัยยิกาในสมเด็จพระราชาธิบดีตวนกู ซัยยิด ซีรอญุดดีน รายาแห่งรัฐปะลิส
  3. เต็งกูยูโซฟชาฟุดดีน
  4. เต็งกูราว์เดาะ ประไหมสุหรีรายาหะยี ฮาหมัดเประ
  5. เต็งกูกามารีเยาะ ทายาทอินเจะมอร์นะปะตานี
  6. เต็งกูมะห์มูดหมูดมะห์ยุดดีน
  7. เต็งกูยะห์ ชายาเต็งกูอับดุลกอเดร์ (เต็งกูปุตรา) บุตรรายาเมืองสายบุรี

รายาแห่งปัตตานี

[แก้]

หลังจากพระยาวิชิตภักดี (เต็งกูสุไลมานชารีฟุดดีน) พระบิดาได้ถึงแก่พิราลัยแล้ว เต็งกูอับดุลกอเดร์ กามารุดดีน จึงได้ขึ้นตำแหน่งเจ้าเมืองปัตตานีในปี พ.ศ. 2441 ระหว่างที่รอพระบรมราชโองการแต่งตั้งเจ้าเมืองนี้เอง พระยาสุขุมนัยวินิตเกณฑ์กำลังทหารกว่า 600 คนมาบีบบังคับการเสียภาษีของประชาชน และสั่งห้ามมิให้รั้งตำแหน่งเจ้าเมืองลงโทษผู้ขาดละหมาดวันศุกร์ สร้างความคับแค้นใจแก่เขาอย่างมาก หลังเต็งกูอับดุลกอเดร์ได้รับพระบรมราชโองการให้เป็นเจ้าเมืองปัตตานีในตำแหน่ง "พระยาวิชิตภักดีศรีสุรวังษารัตนาเขตประเทศราช" แล้ว พระองค์จึงมีพระหัตถเลขาร้องเรียนความทุกข์ต่างๆไปยังข้าหลวงใหญ่อังกฤษประจำสิงคโปร์ในเดือนพฤษภาคม พ.ศ. 2441 โดยระบุว่านโยบายของสยามต่อปัตตานี "กำลังนำไปสู่ความพินาศของบ้านเมืองของข้าพเจ้า"[3] อังกฤษต้องการจะรักษาไมตรีกับสยามจึงเมินเฉยต่อจดหมายดังกล่าว

คิดขบถต่อสยาม

[แก้]

หลังถูกอังกฤษเมินเฉย พระองค์จึงทรงเรียกประชุมเจ้าเมืองต่างๆที่ปัตตานี ที่ประชุมเห็นชอบที่จะก่อขบถขึ้นในปลายเดือนตุลาคม พ.ศ. 2444 โดยหวังว่าเมื่อหัวเมืองทางใต้ลุกฮือขึ้น ฝรั่งเศสจะถือเข้าตีสยามจากอินโดจีนทางเหนือทำให้สยามคงต้องยอมปล่อยหัวเมืองมลายูให้เป็นอิสระ[4] อย่างไรก็ตาม ก่อนการขบถเพียงหนึ่งเดือน ข้าหลวงใหญ่อังกฤษประจำสิงคโปร์ได้เข้าเฝ้าเต็งกูอับดุลกอเดร์ และเกลี้ยกล่อมให้ทรงอดทนไม่ใช้ความรุนแรง โดยรับปากว่าจะปรึกษากับรัฐบาลอังกฤษให้หาทางคืนอำนาจให้รายาปัตตานี[5] เต็งกูอับดุลกอเดร์คล้อยตามจึงทรงยกเลิกแผนก่อขบถ อย่างไรก็ตาม กระทรวงการต่างประเทศอังกฤษกลับตัดสินใจนำข่าวการขบถนี้แจ้งไปยังรัฐบาลสยามเสียเอง

ลงนามให้สยามปกครอง

[แก้]

เมื่อรัฐบาลสยามทราบข่าวจากอังกฤษว่าบรรดาหัวเมืองมลายูวางแผนขบถทําการทุรยศ จึงโปรดเกล้าให้พระยาศรีสหเทพลงไปสืบความ หลังพระยาศรีสหเทพรับฟังปัญหาต่างๆจากเต็งกูอับดุลกอเดร์แล้ว พระยาศรีสหเทพได้ทูลหว่านล้อมให้เต็งกูอับดุลกอเดร์ลงพระนามในหนังสือฉบับหนึ่งซึ่งเขียนด้วยภาษาไทยจนสำเร็จ เมื่อพระยาศรีสหเทพเดินทางออกจากปัตตานีไปยังสิงคโปร์แล้ว เต็งกูอับดุลกอเดร์จึงโปรดให้เจ้าพนักงานแปลหนังสือดังกล่าวให้ถูกต้องอีกครั้ง ก่อนจะพบว่าเนื้อหาของหนังสือดังกล่าวแตกต่างโดยสิ้นเชิงจากที่พระยาศรีสหเทพได้อ่านให้ฟัง โดยมีเนื้อหาที่แท้จริงว่า "รายาปัตตานีเห็นชอบและยอมรับพระราชบัญญัติลักษณะปกครองท้องที่ ร.ศ. ๑๑๖ เพื่อความมั่นคงของปัตตานี และเห็นชอบให้แต่งตั้งข้าราชการระดับสูงของสยามที่มีอำนาจเด็ดขาดทุกเรื่องในปัตตานี"[5] ส่วนพระยาศรีสหเทพได้เดินทางไปยังสิงคโปร์เพื่อแจ้งต่อข้าหลวงอังกฤษว่าปัญหาปัตตานีคลี่คลายแล้ว

เต็งกูอับดุลกอเดร์ได้ทรงพยายามต่อรองกับรัฐบาลสยามเพื่อขอให้ปัตตานีปกครองตนเองเหมือนแต่ก่อน แต่ก็ไม่เป็นผล จึงทรงร้องขอให้อังกฤษเข้าช่วยเจรจากับรัฐบาลสยาม โดยกล่าวว่าถ้าอังกฤษไม่ให้ความร่วมมือ ปัตตานีก็ไม่มีทางเลือกนอกจากก่อขบถ[5] อังกฤษเมื่อทราบเช่นนี้จึงแจ้งไปยังรัฐบาลสยาม รัฐบาลสยามจึงโปรดเกล้าให้พระยาศรีสหเทพลงมาปัตตานีอีกครั้งเพื่อชำระความ

ถูกปลดจากตำแหน่งและถูกควบคุมตัว

[แก้]

พระยาศรีสหเทพในฐานะเสนาบดีช่วยว่าการกระทรวงมหาดไทยเดินทางไปยังปัตตานีพร้อมตำรวจสยามราว 100 นาย และได้เข้าพบเต็งกูอับดุลกอเดร์ในวันที่ 21 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2445 และบังคับให้เต็งกูอับดุลกอเดร์ลงพระนามในข้อบังคับปกครองเจ็ดหัวเมือง พ.ศ. 2445 โดยให้เวลา 5 นาทีไม่เช่นนั้นจะถูกปลดจากเจ้าเมือง เต็งกูอับดุลกอเดร์ทรงไม่ยอมลงพระนามจึงถูกปลดจากตำแหน่งและถูกนำพระองค์มาที่สงขลา หลังไม่กี่วันหลังจากนั้น เจ้าเมืองระแงะและเจ้าเมืองสายบุรีก็ถูกจับด้วยและถูกนำตัวไปยังพิษณุโลกโดยต้องโทษพิพากษาจำคุก 3 ปี [6]

ได้รับอภัยโทษ

[แก้]

ภายหลังเต็งกูอับดุลกอเดร์ได้สำนึกผิดและขอไปอยู่อย่างสามัญชน รับปากว่าจะไม่ข้องเกี่ยวกับการปกครองใดๆ จึงทรงได้รับพระราชทานอภัยโทษให้เสด็จกลับปัตตานี[7] เมื่อเสด็จถึงปัตตานีมีราษฎรประมาณ 500 คน นั่งเรือ 80 ลำ ไปรับที่ปากน้ำ อีกประมาณ 2,000 คนยืนต้อนรับอยู่บนตลิ่งสองข้างแม่น้ำตานี ประทับที่ปัตตานีได้ไม่นานก็ย้ายไปประทับในรัฐกลันตันในเวลาต่อมาและถึงแก่พิราลัยที่นั่นเมื่อปี พ.ศ. 2477

เครื่องราชอิสริยาภรณ์

[แก้]

อ้างอิง

[แก้]
  1. นริศรานุวัดติวงศ์, สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ เจ้าฟ้ากรมพระยา (กุมภาพันธ์ 2495). สาส์นสมเด็จ อธิบายเรื่องเมืองตะกั่วป่า ตอนที่ 6 ว่าด้วยบำรุงหัวเมืองฝ่ายตะวันตกในชั้นหลัง (PDF). วารสารศิลปากร, 5:(5). p. 4.
  2. จุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว, พระบาทสมเด็จ (7 กรกฎาคม 2448). "ชุมนุมพระราชนิพนธ์ในรัชกาลที่ ๕ ภาคปกิณณกะ ภาค ๑ (พระราชหัตถเลขาฉะบับที่ ๕)". วชิรญาณ. สืบค้นเมื่อ 16 กันยายน 2568. {{cite web}}: ตรวจสอบค่าวันที่ใน: |accessdate= (help)
  3. บางนรา. ปัตตานี : อดีต-ปัจจุบัน. หน้า ๘๕-๘๗. อ้างถึงใน ทวีศักดิ์ เผือกสม. “อยุธยาในเงื้อมมือของปัตตานี,” หน้า ๔๓.
  4. Nik Anuar Nik Mahmud. Sejarah Perjuangan Melayu Patani. p.31.
  5. 1 2 3 จดหมายลับของ Swettenham ถึง CO, Rahsia และ Sulit ลงวันที่ ๒๐ พฤศจิกายน ค.ศ. ๑๙๐๑ อ้างถึงใน Ibid.
  6. รัตติยา สาและ. การปฏิสัมพันธ์ระหว่างศาสนิกที่ปรากฏในจังหวัดปัตตานี ยะลา และนราธิวาส. (กรุงเทพฯ : สำนักงานกองทุนสนับสนุนการวิจัย, ๒๕๔๔), หน้า ๕๔.
  7. เตช บุนนาค. ขบถ ร.ศ. ๑๒๑. หน้า ๙๗.
  • อิบรอฮิม ชุกรี. ประวัติศาสตร์ราชอาณาจักรมลายูปะตานี. เชียงใหม่:ซิลค์เวอร์ม บุคส์, 2549 ISBN 974-9575-99-7, หน้า 68-71
  • รศ.มัลลิกา คณานุรักษ์. บุคคลสำคัญของปัตตานี, 2545
ก่อนหน้า พระยาวิชิตภักดี (เต็งกูอับดุลกอเดร์ กามารุดดีน) ถัดไป
เต็งกูสุไลมานซารีฟุดดีน รายาแห่งปาตานี
(พ.ศ. 2441 - 21 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2445)
สยามยกเลิกตำแหน่งและเปลี่ยนแปลงการปกครองเป็นมณฑลปัตตานี