ข้ามไปเนื้อหา

พระยาอินทรมนตรีศรีจันทรกุมาร (ฟรานซิส เฮนรี ไจลส์)

จากวิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี
พระยาอินทรมนตรีศรีจันทรกุมาร (ฟรานซิส เฮนรี ไจลส์)
เกิด23 สิงหาคม พ.ศ. 2412[1]
พลิมัท[2] ประเทศอังกฤษ
เสียชีวิต31 ตุลาคม พ.ศ. 2494 (82 ปี)[2][3]
อาชีพข้าราชการ
บุตรธิดาอย่างน้อย 1 คน[3]

พระยาอินทรมนตรีศรีจันทรกุมาร (23 สิงหาคม พ.ศ. 2412[1] – 31 ตุลาคม พ.ศ. 2494)[2][3] นามเดิม ฟรานซิส เฮนรี ไจลส์[หมายเหตุ ก] (อังกฤษ: Francis Henry Giles) เป็นชาวอังกฤษซึ่งรับราชการในประเทศสยามจนได้เป็นอธิบดีกรมสรรพากรคนแรก[2] และวางระบบสรรพากรสมัยใหม่ในประเทศสยาม[4]

ต้นชีวิต

[แก้]

ฟรานซิสเป็นชาวอังกฤษ[2] เกิดเมื่อวันที่ 23 สิงหาคม ค.ศ. 1869 (พ.ศ. 2412)[1] เกิดที่พลิมัท ในตระกูลทหารเรือ[2] ไม่ปรากฏประวัติการศึกษา[2] พระวรวงศ์เธอ กรมหมื่นพิทยลาภพฤฒิยากร ทรงระบุว่า ฟรานซิสเคยกล่าวว่า "ไม่เคยได้เข้าโรงเรียนหรูหราอันใด"[5]

ครั้นอายุได้ 18 ปี ฟรานซิสเข้ารับราชการกับรัฐบาลอังกฤษในพม่า ได้ทำงานในหน่วยงานปกครองท้องที่หลายแห่ง และพูดภาษาท้องถิ่นได้หลายภาษา[2] หลังรับราชการได้ 10 ปี ฟรานซิสได้ดำรงตำแหน่งเทียบเท่าปลัดจังหวัด[5] ในรัฐฉาน[1]

การทำงานในสยาม

[แก้]

ใน พ.ศ. 2440 พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว (รัชกาลที่ 5) ทรงขอยืมตัวฟรานซิสจากรัฐบาลอินเดีย (ซึ่งปกครองพม่า) ให้เข้ามารับราชการในกระทรวงพระคลังมหาสมบัติ เพราะรัฐบาลสยามกำลังริเริ่มทำงบประมาณแผ่นดิน[5] เมื่อเข้ามาแล้ว ฟรานซิสมีหน้าที่ตรวจสอบบัญชีรายจ่ายทุกกระทรวง[5] และยังได้เป็นข้าหลวงคลังพิเศษ มณฑลปราจิณบุรี[5] (ราชกิจจานุเบกษาเรียก ข้าหลวงสรรพากร มณฑลปาจิณบุรี)[6] ฟรานซิสไปตรวจการคลังในมณฑลดังกล่าวแล้ว รายงานกลับมายังกระทรวงพระคลังมหาสมบัติถึงสภาพการเก็บภาษีที่สับสนวุ่นวายและการถือครองที่ดินที่ไม่เป็นระเบียบ เสนาบดีกระทรวงพระคลังมหาสมบัติจึงเรียกตัวฟรานซิสกลับเข้ามารับตำแหน่งเจ้ากรมสรรพากรนอก มีหน้าที่จัดระบบการเก็บภาษีทั่วสยาม ยกเว้นในกรุงเทพฯ และบางเมืองที่ขึ้นตรงต่อกรุงเทพฯ[5] โดยมีประกาศเรียกตัวเมื่อวันที่ 3 พฤศจิกายน ร.ศ. 118 (พ.ศ. 2442)[6]

ภายหลัง รัชกาลที่ 5 ทรงโอนกรมสรรพากรนอกไปสังกัดกระทรวงมหาดไทย เนื่องจากการเก็บภาษีในครั้งนั้นต้องอาศัยหน่วยงานปกครองท้องที่ ฟรานซิสจึงต้องย้ายไปสังกัดกระทรวงมหาดไทยด้วย[7] เมื่อฟรานซิสรับราชการในสยามครบ 5 ปีตามสัญญาแล้ว รัชกาลที่ 5 ทรงเห็นควรรั้งตัวไว้เพื่อประโยชน์ของกิจการสรรพากร รัฐบาลสยามจึงชวนให้ฟรานซิสลาออกจากราชการกับอังกฤษมารับราชการกับสยาม และฟรานซิสปฏิบัติตาม[4] บางแห่งว่า ฟรานซิสได้เปลี่ยนสัญชาติมาเป็นสยามด้วย[2] แต่บางแห่งว่า ภายหลังเกิดสงครามโลกครั้งที่สอง ฟรานซิสก็ยังมีสถานะเป็นพลเมืองอังกฤษอยู่[8]

ฟรานซิสทำงานในสังกัดกระทรวงมหาดไทยจนถึง พ.ศ. 2458 พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว (รัชกาลที่ 6) ทรงให้ปรับปรุงหน่วยงานราชการเสียใหม่ในโอกาสที่พระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระดำรงราชานุภาพ ทรงลาออกจากตำแหน่งเสนาบดีกระทรวงมหาดไทย โดยรัชกาลที่ 6 ทรงให้รวมกรมสรรพากรนอก กระทรวงมหาดไทย และกรมสรรพากรใน กระทรวงพระนครบาล เข้าเป็นกรมสรรพากร กระทรวงพระคลังมหาสมบัติ และให้ฟรานซิสเป็นอธิบดีกรมใหม่นี้[9] ฟรานซิสจึงเป็นอธิบดีคนแรกของกรมสรรพากร[2] โดยเริ่มดำรงตำแหน่งตั้งแต่วันที่ 2 กันยายน พ.ศ. 2458[10] และได้รับเงินเดือนเดือนละ 2,000 บาท เท่าอัตราขั้นต่ำของเสนาบดี พร้อมเงินพิเศษเป็นการเฉพาะตัวอีกเดือนละ 500 บาท รวมเป็นเดือนละ 2,500 บาท[9]

ใน พ.ศ. 2457 รัชกาลที่ 6 ยังพระราชทานบรรดาศักดิ์ให้ฟรานซิสเป็นพระยาอินทรมนตรีศรีจันทรกุมาร[11] โดยทรงนำบรรดาศักดิ์ดังกล่าวมาจากทำเนียบบรรดาศักดิ์โบราณแต่ครั้งกรุงศรีอยุธยา[9] นอกจากนี้ รัชกาลที่ 6 ยังพระราชทานนามสกุล "จิลลานนท์" ให้แก่ฟรานซิส[2]

นอกจากตำแหน่งอธิบดีกรมสรรพากรแล้ว ใน พ.ศ. 2460 รัชกาลที่ 6 ยังทรงแต่งตั้งฟรานซิสเป็นกรรมการควบคุมการส่งข้าวออกนอกประเทศ[12] และเป็นกรรมการกำกับตรวจตราข้าวเมื่อ พ.ศ. 2462[13]

ฟรานซิสดำรงตำแหน่งอธิบดีกรมสรรพากรมาจนถึงรัชกาลพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว (รัชกาลที่ 7) ฟรานซิสก็ล้มป่วยด้วย "นัยน์ตาพิการ"[9] บางแห่งว่า "จักษุถึงมืด"[14] แต่แม้จะป่วยดังกล่าว รัฐบาลสยามก็ประสงค์ให้ฟรานซิสทำงานต่อไป[14] โดยรัชกาลที่ 7 ทรงแต่งตั้งฟรานซิสเป็นกรรมการพิจารณาลดค่าเงินบาทเนื่องจากเศรษฐกิจตกต่ำครั้งใหญ่ ฟรานซิส และกรรมการอีกผู้หนึ่ง คือ หม่อมเจ้าสิทธิพร กฤดากร เห็นควรที่สยามจะลดค่าเงินบาทเป็น 13 บาทต่อ 1 ปอนด์ แต่รัฐบาลสยามเห็นควรลดเป็น 11 บาทต่อ 1 ปอนด์ ที่สุดแล้ว รัชกาลที่ 7 ทรงปฏิบัติตามความเห็นของรัฐบาล[15]

อาการเกี่ยวกับนัยน์ตาของฟรานซิสนั้นเป็นแล้วหาย หายแล้วกลับเป็นอีกหลายครั้ง[9] ฟรานซิสได้ลาไปรักษาในยุโรปหลายคราว แต่การรักษาก็ไม่เป็นผล จนฟรานซิสไม่สามารถมองเห็นได้อีก[2] ฟรานซิสจึงลาออกจากราชการใน พ.ศ. 2473[2][3] แต่บางแห่งว่า เป็นวันที่ 31 มีนาคม พ.ศ. 2472[10]

บั้นปลายชีวิต

[แก้]

หลังออกราชการแล้ว ฟรานซิสยังพำนักอยู่ในสยาม[2] โดยอาศัยอยู่กับครอบครัว ณ บ้านใกล้สถานีรถไฟมักกะสัน[12] และได้รับบำเหน็จพิเศษจำนวนหนึ่งจากรัฐบาลสยาม[3]

ในยามว่างนั้น ฟรานซิสเขียนและอ่านหนังสือ โดยให้ธิดาหรือผู้อื่นเขียนตามคำบอกกล่าวของตน หรืออ่านให้ตนฟัง[3] และฟรานซิสยังออกท่องเที่ยว แม้นัยน์ตาจะมองไม่เห็นแล้วก็ตาม ครั้งหนึ่ง ไปเที่ยวถึงปราสาทพระวิหาร และให้เจ้าหน้าที่คอยบรรยายสภาพโบราณสถานให้ตนฟัง[16]

นอกจากนี้ ก่อนออกราชการ ฟรานซิสได้เป็นสมาชิกของสยามสมาคมมาตั้งแต่แรกก่อตั้งใน พ.ศ. 2447 โดยดำรงตำแหน่งอุปนายกของสมาคมตั้งแต่ปีนั้นมาจนถึง พ.ศ. 2473 จึงได้เป็นนายกของสมาคม[2] เมื่อออกราชการแล้ว ฟรานซิสเป็นนายกของสมาคมนี้ต่อมาจนถึง พ.ศ. 2480 จึงลาออก แต่ยังคงเป็นสมาชิกของสมาคม และเขียนบทความหลายเรื่องลงพิมพ์ในวารสารของสมาคม เช่น เรื่องเกี่ยวกับน้ำมันพราย ตำนานเกาะหลัก ประวัติเขาตาม่องล่าย และการล่าวัวแดงบนหลังม้าที่อุบลราชธานีและกาฬสินธุ์[2] หลังสิ้นสงครามมหาเอเชียบูรพา (ใน พ.ศ. 2488) ฟรานซิสมีสุขภาพทรุดโทรมลง ไม่อาจช่วยงานสมาคมได้อีก สมาคมจึงยกย่องฟรานซิสเป็นสมาชิกกิตติมศักดิ์ของสมาคม[2]

การถึงแก่อนิจกรรม

[แก้]

ฟรานซิสถึงแก่อนิจกรรมเมื่อวันที่ 31 ตุลาคม พ.ศ. 2494[2][3] 7 วันหลังจากได้รับบาดเจ็บหนักเพราะหกล้ม[17]

ฟรานซิสได้รับพระราชทานโกศแปดเหลี่ยมตามบรรดาศักดิ์พระยา[18] และศพของฟรานซิสได้รับพระราชทานเพลิงตามพิธีพุทธศาสนา[18]

ยศและบรรดาศักดิ์

[แก้]
  • 22 พฤษภาคม พ.ศ. 2457 – พระยาอินทรมนตรีศรีจันทรกุมาร ถือศักดินา 2,400[11]
  • 22 พฤษภาคม พ.ศ. 2457 – มหาอำมาตย์ตรี[11]
  • 12 มกราคม 2461 – มหาอำมาตย์โท[19]

เครื่องราชอิสริยาภรณ์

[แก้]

หมายเหตุ

[แก้]
หมายเหตุ ก ในเอกสารไทยมีการออกนามหลายแบบ เช่น "ฟรานซิส เฮนรี ไจลส์"[2] "มิสเตอร์ฟรานซิส ไจลส์"[22] "มีสเตอรแฟรนซีสใยลส์"[4] "เอ๊ฟ. เอช. ใยลส"[11] "พระยาอินทรมนตรี (ฟรานซิน เฮนรี ไยลส์)"[21] "พระยาอินทรมนตรีศรีจันทรกุมาร (แฟรงซิส เฮนรี ไยลส์)"[20] "พระยาอินทรมนตรีศรีจันทรกุมาร (แฟรนซิส เฮนรี่ ไยลส์ จิลลานนท์)"[23] "พระยาอินทรมนตรีศรีจันทรกุมาร (แอฟ. เอช. ไยลส์ จิลลานนท์)"[3] และ "พระยาอินทรมนตรีศรีจันทรกุมาร (เอฟ.เอช.ไยล์)"[24]

อ้างอิง

[แก้]
  1. 1 2 3 4 Seidenfaden (1952, p. 222)
  2. 1 2 3 4 5 6 7 8 9 10 11 12 13 14 15 16 17 18 19 20 21 22 23 โรม บุนนาค (2019)
  3. 1 2 3 4 5 6 7 8 อนุมานราชธนฯ (1978, p. 16)
  4. 1 2 3 อนุมานราชธนฯ (1978, p. 14)
  5. 1 2 3 4 5 6 พิทยลาภพฤฒิยากร (1951, p. ก)
  6. 1 2 แจ้งความกระทรวงมหาดไทยฯ (1889, p. 462)
  7. พิทยลาภพฤฒิยากร (1951, p. ก–ข)
  8. Seidenfaden (1952, p. 226)
  9. 1 2 3 4 5 พิทยลาภพฤฒิยากร (1951, p. ข)
  10. 1 2 ไพจิตร โพธิ์หอม (2015)
  11. 1 2 3 4 พระราชทานสัญญาบัตรบรรดาศักดิ์ (1914, p. 465)
  12. 1 2 พิทยลาภพฤฒิยากร (1951, p. ค)
  13. ประกาศตั้งเจ้าพนักงานฯ (1919, p. 105)
  14. 1 2 อนุมานราชธนฯ (1978, p. 15)
  15. อนุสรณ์ ธรรมใจ (2022)
  16. พิทยลาภพฤฒิยากร (1951, p. ค–ง)
  17. พิทยลาภพฤฒิยากร (1951, p. จ)
  18. 1 2 Seidenfaden (1952, p. 226)
  19. พระราชทานยศ (1919, p. 2871)
  20. 1 2 พระราชทานเครื่องราชอิศริยาภรณ์ (1919, p. 2849)
  21. 1 2 ส่งเหรียญรัตนาภรณ์ไปพระราชทานฯ (1932, p. 541)
  22. ส. ศิวรักษ์ (1983, p. 13)
  23. อนุมานราชธนฯ (1978, p. 12)
  24. กรมสรรพากร (2014)

บรรณานุกรม

[แก้]

แหล่งข้อมูลอื่น

[แก้]