ข้ามไปเนื้อหา

มาร์เกอริตแห่งอ็องฌู

จากวิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี
มาร์เกอริตแห่งอ็องฌู
สมเด็จพระราชินีแห่งอังกฤษ
ดำรงพระยศ23 เมษายน ค.ศ. 1445 — 4 มีนาคม ค.ศ. 1461 (พระเจ้าเฮนรีที่ 6 ครองราชย์ครั้งที่ 1)
30 ตุลาคม ค.ศ. 1470 — 11 เมษายน ค.ศ. 1471 (พระเจ้าเฮนรีที่ 6 ครองราชย์ครั้งที่ 2)
ราชาภิเษก30 พฤษภาคม ค.ศ. 1445
ก่อนหน้ากาทรีนแห่งวาลัว
ถัดไปเอลิซาเบธ วูดวิลล์
พระราชสมภพ23 มีนาคม ค.ศ. 1430
ปองต์-อา-มูซองในแคว้นลอแรนในประเทศฝรั่งเศส
สวรรคต25 สิงหาคม ค.ศ. 1482
อ็องฌูในประเทศฝรั่งเศส
พระราชสวามีสมเด็จพระเจ้าเฮนรีที่ 6 แห่งอังกฤษ
พระราชบุตรเอ็ดเวิร์ดแห่งเวสต์มินสเตอร์ เจ้าชายแห่งเวลส์
พระนามเต็ม
มาร์เกอริตแห่งอ็องฌู สมเด็จพระราชินีแห่งอังกฤษ
ราชวงศ์วาลัว
แลงคัสเตอร์
พระราชบิดาเรอเนแห่งอ็องฌู
พระราชมารดาอิสซาเบลลาดัชเชสแห่งลอร์แรน

มาร์เกอริตแห่งอ็องฌู (ประสูติ 23 มีนาคม ค.ศ.1430 – สิ้นพระชนม์ 25 สิงหาคม ค.ศ. 1482) ทรงเป็น สมเด็จพระราชินีแห่งอังกฤษ ในฐานะพระมเหสีของ พระเจ้าเฮนรีที่ 6 แห่งอังกฤษ พระองค์ทรงเป็นพระธิดาของ เรอเนที่ 1 แห่งเนเปิลส์ ผู้เป็นทั้งกษัตริย์แห่งเนเปิลส์ ดยุกแห่งอ็องฌู และผู้ครองตำแหน่งกษัตริย์อีกหลายอาณาจักร (แต่ส่วนใหญ่เป็นเพียงนามในราชสมบัติ) และ อิซาเบลลา ดัชเชสแห่งลอแรน พระองค์ทรงเป็นบุคคลสำคัญและทรงอิทธิพลอย่างยิ่งในสงครามดอกกุหลาบ โดยทรงเป็นผู้นำของฝ่ายราชวงศ์แลงคาสเตอร์ ในการต่อสู้เพื่อปกป้องราชบัลลังก์ของพระสวามีและพระโอรสของพระองค์

พระชนมชีพช่วงต้นและภูมิหลังครอบครัว

[แก้]

มาร์เกอริต ประสูติเมื่อวันที่ 23 มีนาคม ค.ศ.1430 ณ ปงต์-อา-มูซง (Pont-à-Mousson) ซึ่งตั้งอยู่ในอาณาจักรลอแรน ประเทศฝรั่งเศส พระองค์ทรงเป็นสมาชิกของราชวงศ์วาลัว-อ็องฌู ซึ่งเป็นราชวงศ์ที่สืบเชื้อสายมาจากราชวงศ์วาลัวของฝรั่งเศส แม้พระราชบิดาของพระองค์ คือ เรอเนที่ 1 จะทรงดำรงตำแหน่งกษัตริย์แห่งเนเปิลส์ กษัตริย์แห่งเยรูซาเลม กษัตริย์แห่งซิซิลี ดยุกแห่งอ็องฌู และดยุกแห่งลอแรน แต่ส่วนใหญ่เป็นเพียงพระยศในนามและทรงประสบปัญหาทางการเงินอย่างต่อเนื่อง ราชสำนักของพระองค์จึงไม่ได้มั่งคั่งฟุ่มเฟือยเหมือนราชสำนักอื่นๆ ในยุคนั้น

มาร์เกอริตได้รับการอบรมเลี้ยงดูภายใต้การดูแลของพระมารดาผู้ทรงเข้มแข็ง ดัชเชสอิซาเบลลาแห่งลอแรน ซึ่งเป็นสตรีที่มีความสามารถในการปกครองและบริหารจัดการ การเลี้ยงดูนี้หล่อหลอมให้มาร์เกอริตมีบุคลิกที่กล้าหาญ เด็ดเดี่ยว และมีความมุ่งมั่น ซึ่งเป็นคุณสมบัติที่สำคัญอย่างยิ่งในการต่อสู้เพื่อราชบัลลังก์ในภายหลัง

มาร์กาเรตเป็นพระธิดาองค์ที่สองในเรอเนแห่งอ็องฌู หรือเรเนที่ 1 แห่งเนเปิลส์, ดยุคแห่งอ็องฌู, พระเจ้าแผ่นดินแห่งเนเปิลส์ และพระเจ้าแผ่นดินแห่งซิซิลี และอิสซาเบลลาดัชเชสแห่งลอแรน

การอภิเษกสมรสกับพระเจ้าเฮนรี่ที่ 6 แห่งอังกฤษ

[แก้]

การแต่งงานของมาร์เกอริตกับ พระเจ้าเฮนรีที่ 6 แห่งอังกฤษ เป็นการแต่งงานทางการเมืองเชิงยุทธศาสตร์ที่ริเริ่มโดย พระเจ้าชาร์ลที่ 7 แห่งฝรั่งเศส และที่ปรึกษาคนสำคัญของพระเจ้าเฮนรี่ที่ 6 เช่น วิลเลียม เดอ ลา โพล ดยุกแห่งซัฟฟอล์ก (William de la Pole, Duke of Suffolk) และ เอ็ดมันด์ โบฟอร์ท ดยุกแห่งซัมเมอร์เซ็ต (Edmund Beaufort, Duke of Somerset) โดยมีวัตถุประสงค์หลักเพื่อยุติ สงครามร้อยปี และสร้างสันติภาพระหว่างอังกฤษและฝรั่งเศส

พิธีอภิเษกสมรสจัดขึ้น เมื่อวันที่ 23 เมษายน ค.ศ.1445 ณ ทีตช์ฟิลด์แอบบีย์ (Titchfield Abbey) ในแฮมป์เชอร์ ประเทศอังกฤษ ขณะนั้นมาร์เกอริตมีพระชนมายุ 15 พรรษา และพระเจ้าเฮนรี่ที่ 6 ทรงมีพระชนมายุ 23 พรรษา การแต่งงานครั้งนี้ไม่เป็นที่นิยมในหมู่ประชาชนและขุนนางอังกฤษนัก เนื่องจากมาร์เกอริตไม่ได้นำสินสอดทองหมั้นจำนวนมากมาด้วย และยังมีการทำสนธิสัญญาลับที่อังกฤษจะต้องยกดินแดนเมน (Maine) คืนให้กับฝรั่งเศส ซึ่งสร้างความไม่พอใจอย่างมากในอังกฤษ

พระเจ้าเฮนรี่ที่ 6 ทรงมีพระอุปนิสัยที่อ่อนโยน เคร่งศาสนา และค่อนข้างเฉื่อยชา ซึ่งเป็นคุณสมบัติที่ไม่ค่อยเหมาะสมกับการเป็นกษัตริย์ในยุคที่เต็มไปด้วยความขัดแย้งทางการเมือง พระองค์มักจะถูกครอบงำด้วยที่ปรึกษา และต่อมาก็ทรงมีอาการป่วยทางพระสติ การขาดความเข้มแข็งของพระสวามีนี้เองที่ทำให้มาร์เกอริตต้องก้าวขึ้นมามีบทบาทนำในการปกป้องราชบัลลังก์

ชีวิตในฐานะสมเด็จพระราชินีและการขึ้นสู่อำนาจ (สงครามดอกกุหลาบ)

[แก้]

ในช่วงแรกของการครองราชย์ มาร์เกอริตทรงมีอิทธิพลจำกัด และมุ่งเน้นไปที่กิจการภายในราชสำนัก อย่างไรก็ตาม สถานการณ์ทางการเมืองในอังกฤษเลวร้ายลงเรื่อยๆ จากความพ่ายแพ้ในฝรั่งเศส และความไม่พอใจต่อการบริหารราชการของพระเจ้าเฮนรี่ที่ 6

ในปี ค.ศ.1453 มาร์เกอริตทรงให้กำเนิดพระโอรสเพียงพระองค์เดียว คือ เอ็ดเวิร์ดแห่งเวสต์มินสเตอร์ (Edward of Westminster) การประสูติของเจ้าชายเอ็ดเวิร์ดมีความสำคัญอย่างยิ่งต่อราชวงศ์แลงคาสเตอร์ แต่ก็เป็นจุดเริ่มต้นของวิกฤตการสืบราชสันตติวงศ์ เมื่อพระเจ้าเฮนรี่ที่ 6 ทรงมีอาการป่วยทางพระสติอย่างรุนแรงและอยู่ในสภาพที่เฉื่อยชาไม่สามารถปกครองได้ ทำให้ตำแหน่ง ผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ กลายเป็นที่โต้แย้ง และ ริชาร์ด แพลนทาเจเนต ดยุกแห่งยอร์กที่ 3 ได้เข้ามารับตำแหน่งผู้สำเร็จราชการแทน

เมื่อพระเจ้าเฮนรี่ที่ 6 ทรงป่วยหนักจนไม่สามารถปกครองได้ มาร์เกอริตทรงก้าวขึ้นมาเป็นผู้นำอย่างแท้จริงของฝ่ายแลงคาสเตอร์ เพื่อปกป้องสิทธิ์ในการสืบราชบัลลังก์ของพระโอรสของพระองค์จาก ราชวงศ์ยอร์ก ภายใต้การนำของดยุกแห่งยอร์ก ด้วยบุคลิกที่เข้มแข็ง เด็ดเดี่ยว และเฉลียวฉลาดทางการเมือง มาร์เกอริตทรงกลายเป็นหัวหอกในการต่อสู้กับฝ่ายยอร์ก ซึ่งนำไปสู่การปะทุของ สงครามดอกกุหลาบ ในปี ค.ศ. 1455

มาร์เกอริตทรงบัญชาการทัพ จัดการรวบรวมกำลังพล และวางแผนการรบหลายครั้ง ทรงเป็นผู้ที่นำกองทัพแลงคาสเตอร์เข้าร่วมในยุทธการสำคัญหลายครั้ง เช่น ยุทธการเวกฟิลด์ (Battle of Wakefield) ในปี ค.ศ.1460 ซึ่งฝ่ายแลงคาสเตอร์ได้รับชัยชนะอย่างเด็ดขาดและดยุกแห่งยอร์กสิ้นพระชนม์ และยุทธการเซนต์อัลบันส์ที่ 2 (Second Battle of St Albans) ในปี ค.ศ.1461 ที่สามารถช่วยเหลือพระเจ้าเฮนรี่ที่ 6 ออกมาได้

ความเด็ดเดี่ยวและความรุนแรงของพระองค์ในการปกป้องราชบัลลังก์ ทำให้ฝ่ายยอร์กใช้โฆษณาชวนเชื่อโจมตีพระองค์ โดยเรียกว่า "นางหมาป่าแห่งฝรั่งเศส" (She-Wolf of France) เพื่อเน้นย้ำถึงความเป็นชาวต่างชาติและความก้าวร้าวของพระองค์

หลังจากการพ่ายแพ้ครั้งใหญ่ของฝ่ายแลงคาสเตอร์ใน ยุทธการทาวตัน (Battle of Towton) ในปี ค.ศ.1461 ซึ่งทำให้ พระเจ้าเอ็ดเวิร์ดที่ 4 แห่งอังกฤษ ขึ้นครองราชย์เป็นกษัตริย์ มาร์เกอริตพร้อมด้วยพระโอรสและพระสวามีที่ยังคงป่วยอยู่ ต้องลี้ภัยไปยังสกอตแลนด์ และต่อมาก็ไปยังบ้านเกิดของพระองค์ในฝรั่งเศส เพื่อขอความช่วยเหลือจากพระญาติและพระเจ้าหลุยส์ที่ 11 แห่งฝรั่งเศส

ความพยายามครั้งสุดท้ายและการถูกจองจำ

[แก้]

มาร์เกอริตไม่เคยยอมแพ้ต่อการต่อสู้เพื่อทวงคืนราชบัลลังก์ พระองค์ทรงพยายามรวบรวมกำลังพลและหาพันธมิตรจากต่างประเทศอย่างต่อเนื่อง แม้จะเผชิญกับความยากลำบากและถูกปฏิเสธหลายครั้ง ในที่สุด พระองค์ก็สามารถสร้างพันธมิตรที่ไม่คาดฝันกับ ริชาร์ด เนวิลล์ เอิร์ลแห่งวอร์ริกที่ 16(Richard Neville, Earl of Warwick) หรือที่รู้จักกันในนาม "ผู้สร้างกษัตริย์" (The Kingmaker) ซึ่งเคยเป็นศัตรูตัวฉกาจของพระองค์ แต่ได้เกิดความขัดแย้งกับพระเจ้าเอ็ดเวิร์ดที่ 4

ด้วยความช่วยเหลือจากเอิร์ลแห่งวอร์ริก ฝ่ายแลงคาสเตอร์สามารถกลับมามีอำนาจได้ชั่วคราว ในปี ค.ศ.1470-1471 ซึ่งเป็นช่วงที่เรียกว่า "การคืนอำนาจ" (Readeption) ของพระเจ้าเฮนรี่ที่ 6

อย่างไรก็ตาม ความสำเร็จนี้อยู่ได้ไม่นาน ยุทธการทิวค์สบิวรี (Battle of Tewkesbury) ในเดือนพฤษภาคม ค.ศ.1471 ได้เป็นจุดจบของความหวังฝ่ายแลงคาสเตอร์ พระโอรสเพียงพระองค์เดียวของมาร์เกอริต เอ็ดเวิร์ดแห่งเวสต์มินสเตอร์ เสด็จสวรรคตในสมรภูมิ หรือถูกปลงพระชนม์หลังการรบไม่นาน การสิ้นพระชนม์ของรัชทายาทแลงคาสเตอร์ถือเป็นความพ่ายแพ้ครั้งสุดท้าย

หลังยุทธการทิวค์สบิวรี มาร์เกอริตถูกจับกุมโดยฝ่ายยอร์ก และถูกจองจำไว้ในสถานที่ต่างๆ เป็นเวลาหลายปี เช่น ที่ปราสาทวอลลิงฟอร์ด (Wallingford Castle) และหอคอยลอนดอน ในปี ค.ศ.1475 พระเจ้าหลุยส์ที่ 11 แห่งฝรั่งเศส ทรงเจรจาขอไถ่ตัวมาร์เกอริตจากอังกฤษตามเงื่อนไขของ สนธิสัญญาปิกกีญี (Treaty of Picquigny) โดยมีค่าไถ่เป็นจำนวน 50,000 มาร์ก

บั้นปลายชีวิตและการสิ้นพระชนม์

[แก้]

หลังจากการถูกไถ่ตัว มาร์เกอริตแห่งอ็องฌูเสด็จกลับไปยังฝรั่งเศส ในปี ค.ศ.1476 พระองค์ทรงใช้ชีวิตในบั้นปลายอย่างสันโดษและในสถานการณ์ทางการเงินที่ค่อนข้างจำกัด โดยทรงพึ่งพาเบี้ยหวัดจากกษัตริย์ฝรั่งเศส

มาร์เกอริตสิ้นพระชนม์เมื่อวันที่ 25 สิงหาคม ค.ศ.1482 ณ ชาโตว์ เดอ ดังปิแยร์-ซูร์-ลัวร์ (Château de Dampierre-sur-Loire) ในอ็องฌู ประเทศฝรั่งเศส ขณะมีพระชนมายุ 52 พรรษา

การฝังพระศพ

[แก้]

พระศพของมาร์เกอริตแห่งอ็องฌู ได้รับการฝังอยู่ที่ อาสนวิหารนักบุญมอริซแห่งอ็องเฌ (Cathedral of Saint-Maurice d'Angers) ในเมืองอ็องเฌ ประเทศฝรั่งเศส

อ้างอิง

[แก้]

    ดูเพิ่ม

    [แก้]