สถานีวิทยุโทรทัศน์กลางแห่งประเทศจีน
สำนักงานใหญ่สถานีวิทยุโทรทัศน์กลางแห่งประเทศจีนใน ค.ศ. 2019 | |
| ประเภท | สื่อของรัฐ |
|---|---|
| ประเทศ | จีน |
เริ่มออกอากาศ | 1 พฤษภาคม 1958 |
| ก่อตั้ง | ปักกิ่ง |
| สำนักงานใหญ่ | สำนักงานใหญ่ CCTV ปักกิ่ง สาธารณรัฐประชาชนจีน |
พื้นที่ฉาย | ทั่วโลก |
| ผู้ปกครอง | ไชนามีเดียกรุป[1] |
ชื่อเดิม | โทรทัศน์ปักกิ่ง |
| 25[ต้องการอ้างอิง] | |
| 19[ต้องการอ้างอิง] | |
| สัญญาณเรียกขาน | วอยซ์ออฟไชนา (ภายนอก) |
| Affiliation | ไชนาโกลบอลเทเลวิชันเน็ตเวิร์ก |
เว็บไซต์ทางการ | english |
| Subsidiary | บรรษัทโทรทัศน์ระหว่างประเทศแห่งประเทศจีน |
| สถานีวิทยุโทรทัศน์กลางแห่งประเทศจีน | |||||||||||||||
| อักษรจีนตัวย่อ | 中国中央电视台 | ||||||||||||||
|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
| อักษรจีนตัวเต็ม | 中國中央電視台 | ||||||||||||||
| ความหมายตามตัวอักษร | สถานีโทรทัศน์กลางแห่งประเทศจีน | ||||||||||||||
| |||||||||||||||
| ชื่อย่อภาษาจีน | |||||||||||||||
| อักษรจีนตัวย่อ | 中央电视台 | ||||||||||||||
| อักษรจีนตัวเต็ม | 中央電視台 | ||||||||||||||
| ความหมายตามตัวอักษร | สถานีโทรทัศน์กลาง | ||||||||||||||
| |||||||||||||||
| ชื่อภาษาจีนอื่น ๆ (2) | |||||||||||||||
| อักษรจีนตัวย่อ | 央视 | ||||||||||||||
| อักษรจีนตัวเต็ม | 央視 | ||||||||||||||
| ความหมายตามตัวอักษร | โทรทัศน์กลาง | ||||||||||||||
| |||||||||||||||

สถานีวิทยุโทรทัศน์กลางแห่งประเทศจีน (จีน: 中央电视台; อังกฤษ: China Central Television; ย่อ: CCTV) เป็นสถานีโทรทัศน์แห่งชาติของประเทศจีน ก่อตั้งขึ้นเมื่อ ค.ศ. 1958 CCTV ดำเนินการโดยสำนักงานบริหารกิจการวิทยุและโทรทัศน์แห่งชาติซึ่งรายงานตรงต่อกรมประชาสัมพันธ์พรรคคอมมิวนิสต์จีน[2][3][4][5]
CCTV มีหลากหลายหน้าที่ เช่น การสื่อสารข่าวสาร การศึกษาทางสังคม วัฒนธรรม และบริการข้อมูลบันเทิง เป็นผู้เล่นคนสำคัญในเครือข่ายโฆษณาชวนเชื่อของรัฐบาลจีน[6][1] ฟรีดอมเฮาส์และเดอะการ์เดียนให้ความเห็นว่าการรายงานข่าวของ CCTV ในหัวข้อละเอียดอ่อนสำหรับรัฐบาลจีนและพรรคคอมมิวนิสต์จีน (CCP) นั้นบิดเบือนและมักถูกใช้เป็นอาวุธต่อต้านศัตรูที่พรรครับรู้[7][8]
ประวัติ
[แก้]ใน ค.ศ. 1954 ประธานพรรคคอมมิวนิสต์จีน เหมา เจ๋อตง เสนอว่าจีนควรจัดตั้งสถานีโทรทัศน์ของตนเอง วันที่ 5 กุมภาพันธ์ ค.ศ. 1955 กรมกระจายเสียงกลางได้รายงานต่อคณะรัฐมนตรีและเสนอแผนการจัดตั้งสถานีโทรทัศน์ขนาดกลาง ต่อมานายกรัฐมนตรีโจว เอินไหลได้บรรจุเรื่องการนำการแพร่ภาพโทรทัศน์มาใช้ไว้ในแผนห้าปีฉบับแรกของจีน ในเดือนธันวาคม ค.ศ. 1957 กรมกระจายเสียงกลางส่งหลัว ตงเหอและเมิง ฉียฺวี่ไปยังสหภาพโซเวียตและสาธารณรัฐประชาธิปไตยเยอรมนีเพื่อดูงานสถานีโทรทัศน์ของพวกเขา (ดูโทรทัศน์ในสหภาพโซเวียตและดอยท์เชอร์แฟร์นเซห์ฟุงค์) จากนั้นทั้งสองก็เดินทางกลับปักกิ่งเพื่อเตรียมการจัดตั้งสถานีโทรทัศน์[ต้องการอ้างอิง] สถานีดังกล่าวเริ่มออกอากาศอย่างเป็นทางการครั้งแรกในชื่อโทรทัศน์ปักกิ่งในวันที่ 1 พฤษภาคม ค.ศ. 1958
โทรทัศน์ปักกิ่งเปลี่ยนชื่ออย่างเป็นทางการเป็นสถานีวิทยุโทรทัศน์กลางแห่งประเทศจีนในวันที่ 1 พฤษภาคม ค.ศ. 1978 และมีการเปิดตัวตราสัญลักษณ์ใหม่ ตรงกับวาระครบรอบ 20 ปีของสถานี[9]
จนถึงปลายทศวรรษ 1970 CCTV ออกอากาศเฉพาะช่วงเย็น โดยปกติจะปิดสถานีตอนเที่ยงคืน ในช่วงวันหยุดภาคเรียนฤดูร้อนและฤดูหนาว บางครั้งก็จะออกอากาศรายการช่วงกลางวันสำหรับนักเรียน ขณะที่รายการพิเศษช่วงกลางวันจะออกอากาศในช่วงวันหยุดนักขัตฤกษ์
ใน ค.ศ. 1980 CCTV ทดลองการถ่ายทอดข่าวจากสตูดิโอโทรทัศน์ท้องถิ่นและส่วนกลางผ่านระบบไมโครเวฟ[10] และยังได้ร่วมมือกับต่างประเทศเป็นครั้งแรก โดยเป็นการผลิตสารคดีชุด เส้นทางสายไหม ร่วมกับเอ็นเอชเค สถานีวิทยุโทรทัศน์สาธารณะของญี่ปุ่น[11]: 234 และใน ค.ศ. 1984 CCTV ก่อตั้งบริษัทย่อยที่ถือหุ้นทั้งหมดคือบรรษัทโทรทัศน์ระหว่างประเทศแห่งประเทศจีน (China International Television Corporation - CITVC)[12]
ภายใน ค.ศ. 1985 CCTV ได้กลายเป็นเครือข่ายโทรทัศน์ชั้นนำในประเทศจีน ใน ค.ศ. 1987 CCTV เติบโตขึ้นเนื่องจากการดัดแปลงและนำเสนอละคร ความฝันในหอแดง ซึ่งเป็นละครโทรทัศน์จีนเรื่องแรกที่เข้าสู่ตลาดโลก[13]: 33 ในปีเดียวกันนั้น CCTV ได้ส่งออกรายการ 10,216 รายการไปยังสถานีโทรทัศน์ต่างประเทศ 77 แห่ง[13]: 33
แต่เดิม กรมประชาสัมพันธ์กลางของพรรคคอมมิวนิสต์จีนเป็นผู้ออกคำสั่งเซ็นเซอร์รายการต่าง ๆ ระหว่างการปฏิรูปช่วงทศวรรษ 1990 กรมประชาสัมพันธ์นำ มาตรฐานใหม่มาใช้กับ CCTV ได้แก่ "ความสามารถในการซื้อ" (affordability) และ "ความเหมาะสม" (acceptability) ซึ่งเป็นการผ่อนคลายการควบคุมของรัฐบาลก่อนหน้านี้[13]: 34 "ความสามารถในการซื้อ" หมายถึง ความสามารถในการจัดซื้อรายการ ขณะที่ "ความเหมาะสม" กำหนดว่า รายการจะต้องมีเนื้อหาที่เหมาะสม เพื่อป้องกันการออกอากาศเนื้อหาที่ไม่เหมาะสมหรือการแสดงความเห็นที่ขัดแย้งกับพรรคคอมมิวนิสต์จีน[13]: 35
ในเดือนมีนาคม ค.ศ. 2018 ขณะที่ประเทศจีนเริ่มฉลองครบรอบ 60 ปีของการแพร่ภาพโทรทัศน์ การถือครองกรรมสิทธิ์ของ CCTV ถูกเปลี่ยนมือไปยังกลุ่มบริษัทโฮลดิงแห่งใหม่ของรัฐ ไชน่ามีเดียกรุป (China Media Group) ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของการปฏิรูปสถาบันพรรคและรัฐเชิงลึก[3]
การออกอากาศต่างประเทศ
[แก้]ใน ค.ศ. 1990 บริษัทในเครือของ CCTV คือ CITVC[12] ก่อตั้งบรรษัทโทรทัศน์จีนขึ้นในรัฐแคลิฟอร์เนีย เพื่อเผยแพร่เนื้อหาของ CCTV ในสหรัฐ[14] ใน ค.ศ. 2000 ช่องภาษาอังกฤษทั้งหมดของ CCTV ซึ่งเป็นที่รู้จักในชื่อ CCTV-9 หรือ CCTV International ก็ถูกเปิดตัว[15]
ใน ค.ศ.2001 แผนประชาสัมพันธ์ต่างประเทศครั้งใหญ่ได้รับการริเริ่มโดยสฺวี กวางชุน หัวหน้าสำนักงานบริหารวิทยุกระจายเสียง ภาพยนตร์ และโทรทัศน์แห่งรัฐ (SARFT) และรองหัวหน้ากรมประชาสัมพันธ์กลางของพรรคคอมมิวนิสต์จีน หลังเจียง เจ๋อหมิน อดีตเลขาธิการใหญ่พรรคคอมมิวนิสต์จีน เน้นย้ำถึงความเร่งด่วนในการนำเสนอเสียงของจีนไปสู่ทั่วโลก[ต้องการอ้างอิง] แนวคิดเรื่องช่องภาษาอังกฤษเกิดขึ้นใน ค.ศ. 1996 ในตอนนั้น CCTV-4 มีการออกอากาศข่าวภาษาอังกฤษวันละสามช่วง ช่วงละครึ่งชั่วโมง แต่ต่อมาในวันที่ 25 กันยายน ค.ศ. 2000 CCTV-9 ช่องสัญญาณดาวเทียมได้ถูกจัดตั้งขึ้นเป็นช่องภาษาอังกฤษ 24 ชั่วโมงช่องแรก โดยมีเป้าหมายเพื่อบุกตลาดต่างประเทศ ในเดือนตุลาคม ค.ศ. 2001 CCTV ร่วมมือกับ AOL Time Warner และบริษัทข่าวต่างประเทศอื่น ๆ โดยให้สิทธิการเข้าถึงตลาดสื่อของจีนเป็นการแลกเปลี่ยนกับการเผยแพร่ทางเคเบิลในสหรัฐและยุโรป ส่วนใหญ่เป็นการนำเสนอรายการของ CCTV-9[16]
ช่อง CCTV-4 ถูกแยกออกเป็นสามช่องที่แตกต่างกันในวันที่ 1 เมษายน ค.ศ. 2007 โดยแต่ละช่องให้บริการในเขตเวลาที่แตกต่างกัน ได้แก่ เวลามาตรฐานจีน (CST) เวลามาตรฐานกรีนิช (GMT) และเวลามาตรฐานตะวันออก (EST) เพื่อปรับปรุงการให้บริการสำหรับผู้ชมทั่วโลก[17]
วันที่ 25 กรกฎาคม ค.ศ. 2009 CCTV เปิดตัวช่องโทรทัศน์ระหว่างประเทศที่ออกอากาศภาษาอาหรับ โดยระบุว่ามีเป้าหมายเพื่อรักษาความสัมพันธ์ที่แน่นแฟ้นยิ่งขึ้นกับประเทศอาหรับ[18]
ใน ค.ศ. 2015 และ 2018 CCTV ลงนามในข้อตกลงความร่วมมือกับ RT สื่อของรัฐบาลรัสเซีย[19][20]
ในเดือนธันวาคม ค.ศ. 2015 บริการภาษาต่างประเทศของ CCTV ถูกแยกออกเป็นไชนาโกลบอลเทเลวิชันเน็ตเวิร์ก (China Global Television Network - CGTN)[15]
CCTV และบรรษัทวิทยุและโทรทัศน์แห่งชาติอุซเบกิสถานให้ความร่วมมือในการผลิตรายการและสารคดีร่วมกัน[21]: 159

ไชนาเน็ทเวิร์กเทเลวิชัน
[แก้]ไชนาเน็ตเวิร์กเทเลวิชัน (China Network Television - CNTV) เป็นผู้แพร่ภาพกระจายเสียงทางอินเทอร์เน็ตของสถานีวิทยุโทรทัศน์กลางแห่งประเทศจีน เปิดตัวเมื่อวันที่ 28 ธันวาคม ค.ศ. 2009[22]
การจัดองค์กร
[แก้]สถานีวิทยุโทรทัศน์กลางแห่งประเทศจีน ในฐานะส่วนหนึ่งของไชนามีเดียกรุป (China Media Group - CMG) อยู่ภายใต้การกำกับดูแลของสำนักงานบริหารกิจการวิทยุและโทรทัศน์แห่งชาติซึ่งอยู่ภายใต้บังคับบัญชาของกรมประชาสัมพันธ์กลางของพรรคคอมมิวนิสต์จีน[2][3] องค์กรนี้ถือเป็นหนึ่งในสามสื่อหลักของรัฐบาลจีนร่วมกับ พีเพิลส์เดลี และสำนักข่าวซินหัว[23]
การบริหาร
[แก้]เชิ่น ไห่สฺยง ดำรงตำแหน่งประธานคนปัจจุบันของ CCTV ซึ่งได้รับการแต่งตั้งเมื่อเดือนกุมภาพันธ์ ค.ศ. 2018 และยังได้รับการแต่งตั้งให้เป็นรองหัวหน้ากรมประชาสัมพันธ์กลางของพรรคคอมมิวนิสต์จีน[24][25]
รายชื่อช่องรายการที่ออกอากาศ
[แก้]- ช่องหลัก
- ซีซีทีวี 1 ทั่วไป
- ซีซีทีวี 2 เศรษฐกิจ
- ซีซีทีวี 3 ศิลปวัฒนธรรม
- ซีซีทีวี 4 ช่องนานาชาติ (การออกอากาศแบ่งเป็นทวีป แต่ตารางการออกอากาศไม่เหมือนกัน เช่น ซีซีทีวี 4 ยุโรป, ซีซีทีวี 4 อเมริกา และ ซีซีทีวี 4 เอเชีย)
- ซีซีทีวี 5 กีฬา
- ซีซีทีวี 6 ภาพยนตร์
- ซีซีทีวี 7 ทหาร
- ซีซีทีวี 8 ซีรีส์จีน
- ซีซีทีวี 9 ช่องสาระความรู้
- ซีซีทีวี 10 การศึกษา
- ซีซีทีวี 11 อุปรากรจีน
- ซีซีทีวี 12 สังคมและกฎหมาย
- ซีซีทีวี 13 ข่าว
- ซีซีทีวี 14 เพื่อเด็ก
- ซีซีทีวี 15 ดนตรี
- ซีซีทีวี 16 เกมส์
- ซีซีทีวี 17 การเกษตร
- ซีซีทีวี 5 พลัส กีฬา (แทนที่ ซีซีทีวี 22)
- ซีซีทีวี 4 เค ช่องความคมชัดสูงยิ่งยวด (UHD 4K)
- ซีจีทีเอ็น
- ซีจีทีเอ็น ข่าวภาษาอังกฤษ
- ซีจีทีเอ็น ฟร็องแซ ภาษาฝรั่งเศส
- ซีจีทีเอ็น เอสปาโญล ภาษาสเปน
- ซีจีทีเอ็น อะรอบียะฮฺ ภาษาอาหรับ
- ซีจีทีเอ็น รุสสกีย์ ภาษารัสเซีย
อนึ่ง ในวันที่ 1 มกราคม พ.ศ. 2554 ซีซีทีวี ได้เปลี่ยนการแสดงอัตลักษณ์ใหม่ โดยจะเป็นรหัสช่อง และคำภาษาจีนระบุช่องรายการ (ยกเว้นช่องซีซีทีวี 9 ภาคภาษาอังกฤษ จะเป็นคำภาษาอังกฤษว่า "CCTV-9 Documentary")
รายการของสถานี
[แก้]CCTV ผลิตรายการข่าวเองสามครั้งต่อวันและเป็นผู้ผลิตรายการโทรทัศน์ที่ทรงอิทธิพลและมีผลงานมากที่สุดของประเทศ รายการข่าวภาคค่ำความยาวสามสิบนาที ซินเหวินเหลียนปัว หรือที่รู้จักในชื่อ "CCTV Network News" หรือ "CCTV Tonight" ( จีน: 新闻联播) ออกอากาศทุกวันเวลา 19:00 น. ตามเวลาปักกิ่ง สถานีท้องถิ่นทุกแห่งต้องออกอากาศรายการข่าวของ CCTV การสำรวจภายในของ CCTV ชี้ว่ามีผู้คนเกือบ 500 ล้านคนทั่วประเทศรับชมรายการนี้เป็นประจำ[26][ต้องการการอัปเดต]
Focus Report (เจียวเตี๋ยนฝ่างถาน) เริ่มออกอากาศครั้งแรกใน ค.ศ. 1994 เป็นรายการยอดนิยมของ CCTV ที่มักเปิดโปงการกระทำผิดของเจ้าหน้าที่ท้องถิ่น ซึ่งดึงดูดความสนใจอย่างมากจากรัฐบาลระดับสูง นอกจากนี้ยังเปิดเผยการตอบสนองของรัฐบาลจีนต่อข้อกล่าวหาเรื่องการทุจริต[27] ใน ค.ศ. 1998 นายกรัฐมนตรีจู หรงจีกล่าวชื่นชมรายการนี้ว่าเป็นเครื่องมือสำคัญของการกำกับดูแลโดยสื่อ (ยฺหวีลุ่นเจี๋ยนตู)[28]: 59
กาลาตรุษจีน CCTV (จีน: 中国中央电视台春节联欢晚会) เป็นรายการพิเศษประจำปีสำหรับเทศกาลตรุษจีน เป็นรายการที่มียอดผู้ชมสูงสุดของ CCTV[29]
ใน ค.ศ. 2003 CCTV เปิดตัวช่องข่าว 24 ชั่วโมงช่องแรก เริ่มแรกมีให้สำหรับผู้ชมเคเบิล[30]
ช่อง
[แก้]ส่วนแบ่งผู้ชม
[แก้]ข้อมูลเมื่อ 2007[update] ผู้ชมโทรทัศน์ของจีนเพิ่มขึ้นเป็น 1.2 พันล้านคน[31] ขณะที่เนื้อหารายการมีความหลากหลายมากขึ้น ก็มีความกังวลเกี่ยวกับส่วนแบ่งผู้ชม เนื่องจาก CCTV กำลังสูญเสียส่วนแบ่งให้กับเคเบิลทีวี ดาวเทียมและเครือข่ายท้องถิ่น[32] ตัวอย่างเช่น ในกว่างโจว รายการของ CCTV มีส่วนแบ่งผู้ชมเพียง 45% ของส่วนแบ่งผู้ชมรายสัปดาห์[33] ขณะที่ในเซี่ยงไฮ้ สถานีท้องถิ่นก็มีส่วนแบ่งเหนือกว่า CCTV เช่นกัน[34] อย่างไรก็ตาม กาลาตรุษจีน CCTV ยังคงได้รับความนิยมอย่างสูง โดยมีส่วนแบ่งผู้ชมมากกว่า 90% ทั่วประเทศ[30]
บุคลิกภาพ
[แก้]ผลิตรายการที่หลากหลาย สถานีวิทยุโทรทัศน์กลางแห่งประเทศจีนมีพิธีกรรายการ ผู้ประกาศข่าว ผู้สื่อข่าว และผู้ร่วมรายการจำนวนมากที่ปรากฏตัวในรายการประจำวันของเครือข่าย[35]
- Ai Hua
- Bai Yansong
- Bao Xiaofeng
- Daniela Anahí Bessia
- Bi Fujian
- Chai Jing
- Chai Lu
- Chen Yin
- Dashan
- Dong Hao
- Dong Qing
- Marc Edwards
- Gao Bo
- Gang Qiang
- Guo Zhijian
- Hai Xia
- He Jing
- Jing Yidan
- Ju Ping
- Vimbayi Kajese
- Kang Hui
- Michele Lean
- Li Ruiying
- Li Sisi
- Li Xiaomeng
- Li Yong
- Li Zimeng
- Liu Chunyan
- Lu Jian
- Edwin Maher
- Ouyang Xiadan
- Negmat Rahman
- Ren Luyu
- Rui Chenggang
- Sa Beining
- Wang Ning
- Wang Xiaoya
- Wang Zhi'an
- Zhang Hongmin
- Zhang Mengmeng
- Zhang Tengyue
- Zhou Tao
- Zhu Jun
- Zhu Xun
การตอบรับ
[แก้]ผู้อำนวยการหลักและเจ้าหน้าที่อื่น ๆ ของเครือข่ายได้รับการแต่งตั้งโดยรัฐบาล เช่นเดียวกับเจ้าหน้าที่ระดับสูงของสถานีโทรทัศน์ทั่วไปในท้องถิ่นในจีนแผ่นดินใหญ่ เกือบทั้งหมดถูกจำกัดให้แพร่ภาพเฉพาะภายในมณฑลหรือเทศบาลของตนเท่านั้น ความเป็นอิสระของบรรณาธิการอยู่ภายใต้ข้อพิจารณาด้านนโยบายของรัฐบาล ด้วยเหตุนี้ ช่องประวัติศาสตร์และข่าวของสถานีจึงถูกกล่าวหาว่าเป็น "โฆษณาชวนเชื่อที่มุ่งล้างสมองผู้ชม" ในจดหมายที่เขียนโดยปัญญาชนชาวจีนจำนวนหนึ่งซึ่งเรียกร้องให้คว่ำบาตรสื่อของรัฐ โดยจดหมายดังกล่าวถูกโพสต์บนเว็บไซต์ในสหรัฐและเผยแพร่ผ่านเว็บไซต์ของจีน[36][37] เครือข่ายมักเผยแพร่ข้อมูลที่ทำให้เข้าใจผิดและเป็นเท็จ โดยเฉพาะในประเด็นที่รัฐบาลจีนพิจารณาว่าเป็นเรื่องละเอียดอ่อน อย่างไรก็ตาม มีเพียงส่วนน้อยของรายการของเครือข่ายเท่านั้นที่สามารถอธิบายได้ว่าเป็น "โฆษณาชวนเชื่อที่หยาบคายหรือสร้างภาพปีศาจ"[38]
นักข่าวที่ทำงานให้กับช่องภาษาอังกฤษระหว่างประเทศของเครือข่ายคือ CGTN รวมถึงช่องโทรทัศน์ภาษาอื่น ๆ ที่ไม่ใช้ภาษาจีนภายใต้ตรา CGTN ล้วนอยู่ภายใต้แรงกดดันอย่างต่อเนื่องในการนำเสนอภาพลักษณ์เชิงบวกของจีน ตามการศึกษาของแอนน์-มารี เบรดีที่ตีพิมพ์ใน ค.ศ. 2008 "ในเดือนสิงหาคม 2005 รายการชุดหนึ่งได้รายงานข้อเท็จจริงเกี่ยวกับภัยพิบัติเหมืองถ่านหินในประเทศจีน หลังจากนั้นไม่นาน ผู้นำของช่องก็ได้รับคำเตือนจากกระทรวงการต่างประเทศว่ารายงานของพวกเขากำลังทำลายภาพลักษณ์ระหว่างประเทศของจีน หลังเกิดเหตุการณ์นี้ บรรณาธิการอาวุโสและนักข่าวทุกคนถูกบังคับให้เขียนคำวิจารณ์ตนเอง"[4]
เบรดีกล่าวว่าในขณะที่อุปกรณ์ของสถานีมีความทันสมัยที่สุด แต่พนักงานกลับไม่ได้รับการฝึกอบรมที่ดีในการใช้งาน ทำให้เกิดข้อผิดพลาดบ่อยครั้งระหว่างการออกอากาศ" เธอกล่าวเสริมว่า "การควบคุมทางการเมืองในสถานีมีส่วนทำให้ขวัญกำลังใจและการริเริ่มของพนักงานโดยรวมอยู่ในระดับต่ำ"[4]
ผลการศึกษาที่จัดทำโดยอิ๋ง จู่ ผู้สังเกตการณ์ภาพยนตร์และโทรทัศน์จีน ชี้ให้เห็นว่า "CCTV เต็มไปด้วยผู้สร้างสรรค์ที่จริงจังซึ่งมักประสบกับความสงสัยในตัวเอง ความไม่แน่ใจทางปรัชญา และในบางกรณีคือภาวะซึมเศร้าทางคลินิก" ในระหว่างการสัมภาษณ์อย่างกว้างขวางกับบุคคลสำคัญของ CCTV จู่ตั้งข้อสังเกตว่า "ประเด็นร่วมบางอย่างเกี่ยวกับอุดมคติ ซึ่งบิดเบือนไปหรือถูกขัดขวางโดยสิ้นเชิงจากแรงกดดันทางการค้าและการเมือง ได้ปรากฏขึ้นมา[39][16]
ฟรีดอมเฮาส์ระบุว่า CCTV "มีประวัติที่สอดคล้องกันในการละเมิดมาตรฐานวารสารศาสตร์อย่างโจ่งแจ้งและร้ายแรง รวมถึงการส่งเสริมหรือให้เหตุผลแก่ความเกลียดชังและความรุนแรงต่อผู้บริสุทธิ์ CCTV เป็นองค์ประกอบสำคัญของระบอบเผด็จการที่โหดร้ายของพรรคคอมมิวนิสต์จีนและควรได้รับการปฏิบัติเช่นนั้น[7]
ใน ค.ศ. 2020 กระทรวงการต่างประเทศสหรัฐกำหนดให้ CCTV เป็นคณะผู้แทนต่างประเทศ ซึ่งส่งผลให้ CCTV ต้องเปิดเผยข้อมูลเกี่ยวกับการดำเนินงานในสหรัฐมากขึ้น[40][41]
อุบัติการณ์
[แก้]นับตั้งแต่ก่อตั้ง CCTV ได้ทำหน้าที่เป็นเครื่องมือของอำนาจรัฐและด้วยเหตุนี้จึงมีส่วนเกี่ยวข้องกับการละเมิดสิทธิมนุษยชน พวกเขามีประวัติในการสร้างภาพปีศาจและยุยงให้เกิดความเกลียดชังต่อผู้ที่พรรคคอมมิวนิสต์จีนมองว่าเป็นศัตรู ด้วยวิธีนี้ พวกเขาสามารถถูกใช้เพื่อระดมกำลังต่อต้านภัยคุกคามที่หลากหลาย เช่น ฝ่าหลุนกงและกลุ่มสิทธิมนุษยชนระหว่างประเทศ[7]
การปราบปรามฝ่าลุนกง ทศวรรษ 1990
[แก้]ใน ค.ศ. 1999 ระหว่างการปราบปรามฝ่าหลุนกงครั้งแรก รายการ Focus Talk ของ CCTV ได้ออกอากาศ 28 ตอนในช่วงเวลา 32 วันซึ่งมีเนื้อหาหมิ่นประมาทผู้ปฏิบัติและปลุกปั่นความเกลียดชังต่อพวกเขา ใน ค.ศ. 2001 CCTV อ้างอย่างหลอกลวงว่ากลุ่มคนที่จุดไฟเผาตัวเองที่จัตุรัสเทียนอันเหมินเป็นผู้ยึดมั่นในลัทธิฝ่าหลุนกง ซึ่งข้อกล่าวอ้างนี้ถูกคณะกรรมการกำกับดูแลของแคนาดาบรรยายว่าเป็น "การละเมิดอย่างชัดแจ้ง"[7]
ซินเหวินเหลียนปัวและภาพปลอม
[แก้]เมื่อวันที่ 23 มกราคม ค.ศ. 2011 ซินเหวินเหลียนปัวนำเสนอภาพเฉิงตู เจ-10 กำลังยิงขีปนาวุธใส่เครื่องบินลำหนึ่ง ทำให้มันระเบิด ภาพดังกล่าวมีความยาวครึ่งวินาที และต่อมาเครื่องบินที่ถูกทำลายนั้นได้รับการยืนยันว่าเป็นเครื่องบินเอฟ-5อี ซึ่งเป็นเครื่องบินรบของสหรัฐ คลิปนี้ถูกเปิดเผยในภายหลังว่านำมาจากภาพยนตร์อเมริกันเรื่อง ท็อปกัน ที่ออกฉายใน ค.ศ. 1986[42]
ความเห็นโดยผู้อำนวยการ CCTV หู จ้านฝาน
[แก้]ใน ค.ศ. 2011 หู จ้านฝาน ผู้อำนวยการ CCTV คนใหม่ "ถูกพบว่าได้ประกาศไว้เมื่อเดือนกรกฎาคม [หรือมกราคม[43] ทั้งสองเดือนนี้เกิดขึ้นก่อนที่จะได้รับการแต่งตั้งเป็นผู้อำนวยการ CCTV ในเดือนพฤศจิกายน] ว่าความรับผิดชอบที่สำคัญที่สุดของนักข่าวคือ 'การเป็นกระบอกเสียงที่ดี' "[44] โพสต์ในอินเทอร์เน็ตเกี่ยวกับความเห็นดังกล่าวแพร่สะพัดอย่างมากหลังจากการแต่งตั้ง โดยมีโพสต์หนึ่ง "นำ ซินเหวินเหลียนปัว (新闻联播) ของ CCTV ... และภาพฝูงชนชาวจีนที่โบกธงแดง มาเปรียบเทียบกับภาพขาวดำจากเยอรมนีในยุคนาซี" การเปรียบเทียบกับโยเซ็ฟ เกิบเบิลส์ หัวหน้าฝ่ายโฆษณาชวนเชื่อของนาซีก็แพร่กระจายไปทั่วเช่นกัน สื่อทางการที่นำเสนอการนำเสนอของจ้านฝานมุ่งเน้นไปที่การเรียกร้องให้หลีกเลี่ยง "ข่าวปลอมและรายงานเท็จ (失实报道)" แต่ก็ยังรวมเอาความคิดเห็นเรื่อง "กระบอกเสียง" เข้าไปด้วย[43]
การแพร่ภาพการบังคับสารภาพ
[แก้]CCTV แพร่ภาพการบังคับสารภาพของผู้ต้องหาหรือนักโทษเป็นประจำและผลิตรายการที่เกี่ยวข้องกับเรื่องนี้[45] บ่อยครั้งที่รายการเหล่านี้ถูกถ่ายทำก่อนที่จะมีการเริ่มกระบวนการทางกฎหมายอย่างเป็นทางการ[46] ทั้งผู้ไม่เห็นด้วยในประเทศ เช่น ทนายความ นักข่าว และนักเคลื่อนไหว รวมถึงชาวต่างชาติ ต่างก็ตกเป็นเหยื่อของการกระทำนี้[47][48][49]
ใน ค.ศ. 2013 ปีเตอร์ ฮัมฟรีย์และชาลส์ เซฺวถูกบังคับให้สารภาพผิดและออกอากาศทาง CCTV[46] หลังได้รับการปล่อยตัว ฮัมฟรีย์ได้วิพากษ์วิจารณ์ CCTV และการกระทำที่ออกอากาศคำบังคับสารภาพอย่างรุนแรง[50] ใน ค.ศ. 2020 องค์กรกำกับดูแลสื่อของอังกฤษ Ofcom เข้าข้างฮัมฟรีย์และประกาศมาตรการลงโทษ CGTN ซึ่งเป็นช่องที่ออกอากาศคำสารภาพของฮัมฟรีย์และในขณะนั้นถูกเรียกว่า CCTV News[51][52]
ใน ค.ศ. 2014 CCTV ออกอากาศการบังคับสารภาพของนักข่าวเกา ยฺหวี ซึ่งขณะนั้นมีอายุเจ็ดสิบกว่าปี[47]
ใน ค.ศ. 2016 ปีเตอร์ ดาห์ลินและกุ้ย หมินไห่ถูกบังคับให้สารภาพผิดและการสารภาพนั้นถูกนำออกอากาศทาง CCTV[46] ใน ค.ศ. 2019 ดาห์ลินยื่นเรื่องร้องเรียนต่อหน่วยงานของแคนาดาเพื่อดำเนินการกับ CGTN และ CCTV-4[53]
วันที่ 21 พฤศจิกายน ค.ศ. 2019 CGTN ซึ่งเป็นช่องต่างประเทศของ CCTV ออกอากาศวิดีโอที่แสดงการบังคับสารภาพของนักเคลื่อนไหวชาวฮ่องกง ไซมอน เจิ้ง ภายในหนึ่งสัปดาห์ เติ้งยื่นเรื่องร้องเรียนใหม่ต่อ Ofcom เกี่ยวกับการออกอากาศดังกล่าว[54]
ใน ค.ศ. 2020 รายการของ CCTV ออกอากาศการบังคับสารภาพของหลี่ เหมิง-จู พลเมืองชาวไต้หวัน หนึ่งวันต่อมา รายการเดิมก็ออกอากาศการบังคับสารภาพของนักวิชาการจากไต้หวันซึ่งถูกกล่าวหาว่าเป็นสายลับและมีส่วนร่วมในกิจกรรมแบ่งแยกดินแดน[55]
เหตุเพลิงไหม้ ค.ศ. 2009
[แก้]วันที่ 9 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2552 ศูนย์วัฒนธรรมโทรทัศน์ปักกิ่งเกิดเพลิงไหม้ในวันสุดท้ายของการเฉลิมฉลองเทศกาลตรุษจีน ส่งผลให้มีนักดับเพลิงเสียชีวิต 1 นาย[56] เหตุเพลิงไหม้ทำให้โครงสร้างอาคารสูง 42 ชั้นใช้งานไม่ได้ เนื่องจากโลหะผสมสังกะสีและไทเทเนียมที่หุ้มภายนอกถูกเผาไหม้[56]
เหตุเพลิงไหม้ครั้งนี้ส่งผลกระทบต่อความน่าเชื่อถือของ CCTV ซึ่งไม่ได้รับความนิยมอยู่แล้วเนื่องจากความโดดเด่นในการครอบงำสื่อ[57] เหตุการณ์นี้ถูกเยาะเย้ยโดยชาวเน็ตที่นำรูปถ่ายเหตุเพลิงไหม้ไปตัดต่อและวิพากษ์วิจารณ์ CCTV ที่เซ็นเซอร์การรายงานข่าว รูปภาพเหตุเพลิงไหม้ถูกเผยแพร่อย่างกว้างขวางบนอินเทอร์เน็ต อันเป็นผลมาจากการรายงานข่าวโดยพลเมือง[58]
สงครามกลางเมืองลิเบีย
[แก้]ในระหว่างการแทรกแซงทางทหารในลิเบีย ค.ศ. 2011 รายงานข่าวจาก CCTV มักสนับสนุนข้อโต้แย้งของมูอัมมาร์ กัดดาฟี โดยอ้างว่ากองกำลังพันธมิตรโจมตีพลเรือนลิเบียและการแทรกแซงทางทหารนั้นไม่แตกต่างจากการรุกราน ในรายงานข่าวบางชิ้น CCTV ใช้ภาพผู้ประท้วงและระบุว่าพวกเขาต่อต้านการแทรกแซงทางทหารของ NATO นอกจากนี้ CCTV ยังติดป้ายผิดพลาดกับบุคคลที่ถือป้ายผ้าที่เขียนว่า "Vive la France" ("ฝรั่งเศสจงเจริญ" ในภาษาฝรั่งเศส) และอ้างว่าเขาเป็นผู้สนับสนุนกัดดาฟี ต่อมาในวันที่ 27 มีนาคม มีป้ายผ้าภาษาจีนที่เขียนว่า "Muammar Gaddafi is a lier." (มูอัมมาร์ กัดดาฟีเป็นคนโกหก) [ตามต้นฉบับ]" ปรากฏในวิดีโอการประท้วงของลิเบียบางส่วนบนอินเทอร์เน็ต[59]
ข้อพิพาทเรื่องเสรีภาพในการพูดของ NBA ค.ศ. 2019
[แก้]ใน ค.ศ. 2019 CCTV ได้ประกาศยกเลิกการถ่ายทอดสดการแข่งขันพรีซีซันของสมาคมบาสเกตบอลแห่งชาติสองนัดเพื่อตอบโต้ทวีตของผู้จัดการทั่วไปของทีมฮิวสตัน รอกเก็ตส์ ดาริล มอร์เรย์ ที่แสดงการสนับสนุนการประท้วงเรียกร้องประชาธิปไตยในฮ่องกง หลังอดัม ซิลเวอร์ออกมาปกป้องเสรีภาพในการพูดของผู้จัดการทั่วไป ทาง CCTV โต้กลับว่า "เราขอแสดงความไม่พอใจและการคัดค้านอย่างรุนแรงต่อการที่ซิลเวอร์กล่าวสนับสนุนสิทธิในการแสดงความคิดเห็นของมอร์เรย์ เราเชื่อว่าข้อสังเกตใด ๆ ที่ท้าทายอธิปไตยของชาติและความมั่นคงทางสังคมนั้นไม่จัดอยู่ในหมวดหมู่ของเสรีภาพในการพูด" และกล่าวต่อว่า "เราจะตรวจสอบความร่วมมือและการแลกเปลี่ยนอื่น ๆ ทั้งหมดกับ NBA โดยทันทีด้วยเช่นกัน[60]
การเซ็นเซอร์และข้อมูลบิดเบือนเกี่ยวกับการรุกรานยูเครนของรัสเซีย
[แก้]ระหว่างการแข่งขันพาราลิมปิกฤดูหนาว 2022 CCTV ทำการเซ็นเซอร์สุนทรพจน์ของแอนดรูว์ พาร์สันส์ ประธานคณะกรรมการพาราลิมปิกสากลที่ประณามการรุกรานยูเครนของรัสเซีย[61][62] CCTV ยังส่งเสริม ข้อมูลบิดเบือนของรัสเซีย เช่น การกล่าวอ้างที่ไม่มีมูลความจริงเกี่ยวกับห้องปฏิบัติการอาวุธชีวภาพในยูเครน[63][64][65][66] ในเดือนเมษายน ค.ศ. 2022 CCTV ย้ำข้อกล่าวอ้างของรัสเซียที่ว่าการสังหารหมู่ที่บูชาเป็นเรื่องจัดฉาก[67]
การเซ็นเซอร์ระหว่างการประท้วงโควิด-19 ค.ศ. 2022
[แก้]ระหว่างการประท้วงโควิด-19 ในประเทศจีน ค.ศ. 2022 CCTV เซ็นเซอร์ภาพผู้ชมที่ไม่สวมหน้ากากในสนามระหว่างการถ่ายทอดสดฟุตบอลโลก 2022[68][69] และเลี่ยงการรายงานข่าวเกี่ยวกับการประท้วงโดยตรง[70]
โรงไฟฟ้านิวเคลียร์ฟุกุชิมะไดอิชิ
[แก้]ใน ค.ศ. 2023 CCTV เผยแพร่โฆษณาแบบเสียเงินบนแพลตฟอร์มโซเชียลมีเดียในหลายประเทศและหลายภาษาเพื่อประณามการปล่อยน้ำปนเปื้อนกัมมันตรังสีของโรงไฟฟ้านิวเคลียร์ฟุกุชิมะไดอิชิ ซึ่งนักวิจารณ์ระบุว่าเป็นส่วนหนึ่งของปฏิบัติการบิดเบือนข้อมูลที่มีการวางแผนมาอย่างเป็นระบบ[71][72][73]
การเปิดและปิดสถานี
[แก้]ปัจจุบัน (พ.ศ. 2561) ซีซีทีวีหลายช่องออกอากาศตลอด 24 ชั่วโมง ยกเว้นช่องต่อไปนี้ซึ่งจะมีเวลาเปิด-ปิดสถานีในแต่ละช่อง[ต้องการอ้างอิง] (เวลาตาม GMT+8)
- ซีซีทีวี 7 - 6.00 - 2.00 น.
- ซีซีทีวี 10 - 5.55 - 2.25 น.
- ซีซีทีวี 11 - 6.00 - 2.30 น.
- ซีซีทีวี 12 - 5.55 - 2.45 น.
- ซีซีทีวี 14 - 5.55 - 3.05 น.
- ซีซีทีวี 15 - 5.57 - 1.50 น.
หน่วยงานของซีซีทีวี
[แก้]- ซีทีวีโกลเด้นบริดจ์อินเตอร์แนชั่นแนลมีเดีย บริษัทผู้ผลิตรายการให้กับสถานีฯ
- ฝ่ายข่าวแผ่นดินใหญ่
- จงกั๋วซินเหวิน
- ฝ่ายข่าวสายไต้หวัน
- เว็บไซต์ซีซีทีวี
- ซีซีทีวีอินเตอร์เนชันแนล
อ้างอิง
[แก้]- 1 2 "Ownership and control of Chinese media". 14 June 2021. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 30 July 2021. สืบค้นเมื่อ 30 July 2021.
- 1 2 Pan, Jennifer; Shao, Zijie; Xu, Yiqing (2021). "How government-controlled media shifts policy attitudes through framing". Political Science Research and Methods (ภาษาอังกฤษ). 10 (2): 317–332. doi:10.1017/psrm.2021.35. ISSN 2049-8470. S2CID 243422723.
- 1 2 3 Buckley, Chris (2018-03-21). "China Gives Communist Party More Control Over Policy and Media". The New York Times (ภาษาอังกฤษแบบอเมริกัน). ISSN 0362-4331. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 12 November 2021. สืบค้นเมื่อ 2021-11-12.
Under the new plan, the party’s Department of Propaganda will take direct control of film, the news media and publications from the State Administration of Press, Publication, Radio, Film and Television, a government agency.
- 1 2 3 Brady, Anne-Marie (2009-11-16). Marketing Dictatorship: Propaganda and Thought Work in Contemporary China (ภาษาอังกฤษ). Rowman & Littlefield Publishers. pp. 17, 167. ISBN 978-0-7425-6790-0. OCLC 968245349.
- ↑ Edney, Kingsley (2014). The Globalization of Chinese Propaganda (ภาษาอังกฤษ). New York: Palgrave Macmillan US. pp. 22, 195. doi:10.1057/9781137382153. ISBN 978-1-349-47990-0.
In recent years however the Party State has recognised the negative connotations of the word "propaganda" in English and now official English translations refer to the "Publicity Department"
- ↑ Zhong, Yong (August 2001). "The other Edge of Commercialisation: Enhancing CCTV's Propaganda". Media International Australia (ภาษาอังกฤษ). 100 (1): 167–179. doi:10.1177/1329878X0110000115. ISSN 1329-878X.
- 1 2 3 4 Cook, Sarah (25 September 2019). "China Central Television: A Long-standing Weapon in Beijing's Arsenal of Repression". Freedom House. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 17 November 2020. สืบค้นเมื่อ 15 November 2020.
- ↑ Lim, Louisa; Bergin, Julia (2018-12-07). "Inside China's audacious global propaganda campaign". The Guardian. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 10 March 2020. สืบค้นเมื่อ 2021-05-19.
- ↑ "CCTV-English Channel". เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 9 December 2016. สืบค้นเมื่อ 1 September 2016.
- ↑ Miller, T. (2003). Television: Critical Concepts in Media and Cultural Studies. Routledge. ISBN 978-0-415-25502-8.
- ↑ Qian, Ying (2024). Revolutionary Becomings: Documentary Media in Twentieth-Century China. New York, NY: Columbia University Press. ISBN 9780231204477.
- 1 2 Davis, Rebecca (2019-11-05). "'China Nature' Series Set Up by BBC and CITVC". Variety (ภาษาอังกฤษแบบอเมริกัน). เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 24 July 2021. สืบค้นเมื่อ 2022-08-27.
- 1 2 3 4 Kops, Manfred; Ollig, Stefan (2007). Internationalization of the Chinese TV Sector (ภาษาอังกฤษ). LIT Verlag Münster. ISBN 978-3-8258-0753-5.
- ↑ "About Us". www.chinatvcorp.com (ภาษาอังกฤษ). เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 28 August 2022. สืบค้นเมื่อ 2022-08-27.
- 1 2 Hu, Zhengrong; Ji, Deqiang; Gong, Yukun (2017-11-27), Thussu, Daya Kishan; de Burgh, Hugo; Shi, Anbin (บ.ก.), "From the outside in: CCTV going global in a new world communication order", China's Media Go Global (ภาษาอังกฤษ) (1 ed.), Routledge, pp. 67–78, doi:10.4324/9781315619668-5, ISBN 978-1-315-61966-8
- 1 2 Ying Zhu (4 May 2010). Two Billion Eyes: The Story of China Central Television. New Press. ISBN 978-1-59558-802-9. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 24 December 2019. สืบค้นเมื่อ 8 October 2019.
- ↑ CCTV: One Network, 1.2 Billion Viewers เก็บถาวร 26 มกราคม 2018 ที่ เวย์แบ็กแมชชีน , Adweek, 5 February 2007.
- ↑ "China launches Arabic TV channel". BBC News (ภาษาอังกฤษแบบบริติช). 2009-07-25. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 19 August 2020. สืบค้นเมื่อ 2022-11-27.
- ↑ Davidson, Helen (31 March 2022). "Close ties allow Russian propaganda to spread swiftly through China, report claims". The Guardian. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 8 April 2022. สืบค้นเมื่อ 9 April 2022.
- ↑ "CCTV and Russian RT TV signed a memorandum of understanding on cooperation". China Central Television (ภาษาจีน). 25 June 2015. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 18 March 2022. สืบค้นเมื่อ 9 April 2022.
- ↑ Sun, Yi (2024). "Necessitated by Geopolitics: China's Economic and Cultural Initiatives in Central Asia". ใน Fang, Qiang; Li, Xiaobing (บ.ก.). China under Xi Jinping: A New Assessment. Leiden University Press. ISBN 9789087284411. JSTOR jj.15136086.
- ↑ Lin, Lisa (2022-06-15). Convergent Chinese Television Industries: An Ethnography of Chinese Production Cultures. Palgrave Global Media Policy and Business (ภาษาอังกฤษ). Springer Nature. p. 32. doi:10.1007/978-3-030-91756-2. ISBN 978-3-030-91756-2. OCLC 1333705685. S2CID 249726789.
- ↑ Lee, Chin-Chuan; Li, Jinquan (2000). Power, Money, and Media: Communication Patterns and Bureaucratic Control in Cultural China (ภาษาอังกฤษ). Northwestern University Press. ISBN 978-0-8101-1787-7.
- ↑ "国务院任免国家工作人员 慎海雄任国家新闻出版广电总局副局长兼央视台长". 中国政府网. 9 February 2018. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 9 February 2018.
- ↑ 中央广播电视总台台长慎海雄出任中宣部副部长. Phoenix Television (ภาษาจีน). 2018-03-28. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 28 January 2023. สืบค้นเมื่อ 30 September 2024.
- ↑ The Chinese Media: More Autonomous and Diverse—Within Limits เก็บถาวร 14 มกราคม 2009 ที่ เวย์แบ็กแมชชีน , CIA.
- ↑ Shirk, Susan L. (2007-05-31). China: The Fragile Superpower (ภาษาอังกฤษ). Oxford University Press. ISBN 978-0-19-530609-5.
- ↑ Yi, Guolin (2024). "From "Seven Speak-Nots" to "Media Surnamed Party": Media in China from 2012 to 2022". ใน Fang, Qiang; Li, Xiaobing (บ.ก.). China under Xi Jinping: A New Assessment. Leiden University Press. ISBN 9789087284411. JSTOR jj.15136086.
- ↑ Coonan, Clifford (February 14, 2009). "'Green Dragon' fires up Chinese hopes". The Irish Times (ภาษาอังกฤษ). เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 1 October 2024. สืบค้นเมื่อ 2023-06-18.
- 1 2 Latham, K. Pop Culture China!: Media, Arts, and Lifestyle. ABC-CLIO, 2007. pp.60 ISBN 978-1-85109-582-7.
- ↑ China's TV audience passes 1.2 billion เก็บถาวร 24 มกราคม 2020 ที่ เวย์แบ็กแมชชีน , Advertising Age, 9 January 2008.
- ↑ Li, J. & Lee, C. Chinese Media, Global Contexts: Global Contexts. Routledge, 2003. pp. 168. ISBN 978-0-415-30334-7.
- ↑ Yuan, Elaine J. (University of Illinois at Chicago). "Diversity of exposure in television viewing: audience fragmentation and polarization in Guangzhou" (เก็บถาวร 2 มิถุนายน 2015 ที่ เวย์แบ็กแมชชีน). Chinese Journal of Communication 1:1, 91 – 108. 2008. Available at (เก็บถาวร 19 สิงหาคม 2020 ที่ เวย์แบ็กแมชชีน) Taylor & Francis, Available at (เก็บถาวร 2 มิถุนายน 2015 ที่ เวย์แบ็กแมชชีน) University of Illinois, Chicago INDIGO.
- ↑ Wang, J. Brand New China: Advertising, Media, and Commercial Culture. Harvard University Press, 2008. ISBN 978-0-674-02680-3.
- ↑ "China Central Television". เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 15 September 2016. สืบค้นเมื่อ 1 September 2016.
- ↑ "China TV faces propaganda charge". BBC News (ภาษาอังกฤษแบบบริติช). 2009-01-12. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 19 August 2020. สืบค้นเมื่อ 2022-11-27.
- ↑ 'Boycott state media' call เก็บถาวร 5 กุมภาพันธ์ 2010 ที่ เวย์แบ็กแมชชีน , The Straits Times, 14 January 2009.
- ↑ Cook, Sarah. "China Central Television: A Long-standing Weapon in Beijing's Arsenal of Repression". The Diplomat. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 5 October 2019. สืบค้นเมื่อ 30 September 2019.
- ↑ Zhu, Ying (5 June 2012). "The Inside Story of When China's State-Run TV Criticized the Party". The Atlantic. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 18 October 2017. สืบค้นเมื่อ 27 October 2021. , accessed June 2012
- ↑ Wong, Edward (2020-06-22). "U.S. Designates Four More Chinese News Organizations as Foreign Missions". The New York Times (ภาษาอังกฤษแบบอเมริกัน). ISSN 0362-4331. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 22 June 2020. สืบค้นเมื่อ 2020-06-23.
- ↑ Ruwitch, John; Kelemen, Michele (22 June 2020). "Trump Administration Labels 4 More Chinese News Outlets 'Foreign Missions'". NPR. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 22 June 2020. สืบค้นเมื่อ 22 June 2020.
- ↑ "CCTV Tries to Pass Off 'Top Gun' Clip as Real?". The Wall Street Journal. 28 January 2011. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 14 September 2014. สืบค้นเมื่อ 18 April 2011.
- 1 2 Bandurski, David (2011-12-05). "Goebbels in China?". China Media Project (ภาษาอังกฤษแบบอเมริกัน). เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 1 October 2024. สืบค้นเมื่อ 2023-06-18.
- ↑ Osnos, Evan, "The Pentagon Papers, the Press, and Beijing" เก็บถาวร 9 มกราคม 2012 ที่ เวย์แบ็กแมชชีน , The New Yorker blog, December 2011. Retrieved 10 December 2011.
- ↑ Carlson, Benjamin. "In China, the confession will be televised. In fact, it already is". Public Radio International. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 18 October 2020. สืบค้นเมื่อ 13 October 2020.
- 1 2 3 Wong, Edward (2016-01-21). "China Uses Foreigners' Televised Confessions to Serve Its Own Ends". The New York Times (ภาษาอังกฤษแบบอเมริกัน). ISSN 0362-4331. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 16 October 2020. สืบค้นเมื่อ 2020-11-23.
- 1 2 Huang, Zheping (15 July 2015). "China is using televised confessions to shame detained lawyers, journalists, and activists". Quartz. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 14 October 2020. สืบค้นเมื่อ 13 October 2020.
- ↑ Chin, Josh (2016-01-25). "On Chinese TV, Confessions Are All the Rage". The Wall Street Journal (ภาษาอังกฤษแบบอเมริกัน). ISSN 0099-9660. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 14 March 2017. สืบค้นเมื่อ 2020-11-23.
- ↑ Jiang, Steven (26 January 2016). "Trial by media? Confessions go prime time in China". CNN. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 17 April 2021. สืบค้นเมื่อ 13 October 2020.
- ↑ Humphrey, Peter. "Countering China's Forced Confessions". The Diplomat. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 13 October 2020. สืบค้นเมื่อ 13 October 2020.
- ↑ "Chinese TV channel breached rules with 'forced confession'". BBC News (ภาษาอังกฤษแบบบริติช). 2020-07-06. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 6 July 2020. สืบค้นเมื่อ 2020-11-23.
- ↑ "UK Watchdog Upholds Complaint Against Chinese Broadcaster". Barron's. Agence France-Presse. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 8 April 2022. สืบค้นเมื่อ 13 October 2020.
- ↑ Nuttall, Jeremy (10 June 2020). "China broadcast my forced confession in Canada — and CRTC does nothing: ex-prisoner". Toronto Star. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 10 June 2020. สืบค้นเมื่อ 13 October 2020.
- ↑ "Simon Cheng: UK media watchdog receives 'China forced confession' complaint". BBC News (ภาษาอังกฤษแบบบริติช). 2019-11-28. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 18 April 2021. สืบค้นเมื่อ 2021-05-21.
- ↑ Teng, Sylvia (13 October 2020). "Another Taiwanese reportedly detained by China for 'endangering national security'". Taiwan News. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 16 October 2020. สืบค้นเมื่อ 13 October 2020.
- 1 2 Jacobs, Andrew (9 February 2009). "Fire Ravages Renowned Building in Beijing". The New York Times. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 18 August 2018. สืบค้นเมื่อ 10 February 2009.
- ↑ Beijing fire evokes mixed reactions เก็บถาวร 14 กุมภาพันธ์ 2009 ที่ เวย์แบ็กแมชชีน , Financial Times, 13 February 2009.
- ↑ Credibility of CCTV tarnished by big fire เก็บถาวร 20 กรกฎาคม 2011 ที่ เวย์แบ็กแมชชีน , The Malaysian Insider, 16 February 2009.
- ↑ "利比亚反对派举中文标语"卡扎菲是说谎者"". Phoenix Television (ภาษาจีน). เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 22 April 2016. สืบค้นเมื่อ 1 September 2016.
- ↑ Toh, Michelle (8 October 2019). "China won't show NBA preseason games as backlash over Hong Kong tweet grows". CNN. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 9 October 2019. สืบค้นเมื่อ 9 October 2019.
- ↑ "Paralympic Committee asks Beijing why anti-war speech censored". France 24 (ภาษาอังกฤษ). 2022-03-05. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 8 March 2022. สืบค้นเมื่อ 2022-03-11.
- ↑ "Paralympic Body Asks China Why it Censored Anti-War Speech". Bloomberg News. March 5, 2022. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 5 March 2022. สืบค้นเมื่อ March 10, 2022.
- ↑ Yuan, Li (2022-03-04). "How China Embraces Russian Propaganda and Its Version of the War". The New York Times (ภาษาอังกฤษแบบอเมริกัน). ISSN 0362-4331. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 14 March 2022. สืบค้นเมื่อ 2022-03-13.
- ↑ Wong, Edward (2022-03-11). "U.S. Fights Bioweapons Disinformation Pushed by Russia and China". The New York Times (ภาษาอังกฤษแบบอเมริกัน). ISSN 0362-4331. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 14 March 2022. สืบค้นเมื่อ 2022-03-13.
- ↑ Rising, David (March 11, 2022). "China amplifies unsupported Russian claim of Ukraine biolabs". Associated Press. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 11 March 2022. สืบค้นเมื่อ March 11, 2022.
- ↑ McCarthy, Simone (March 10, 2022). "China's promotion of Russian disinformation indicates where its loyalties lie". CNN. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 10 March 2022. สืบค้นเมื่อ March 11, 2022.
- ↑ McCarthy, Simone; Xiong, Yong (6 April 2022). "As the world reacts in horror to Bucha, China's state media strikes a different tone". CNN. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 9 April 2022. สืบค้นเมื่อ 9 April 2022.
- ↑ Mellor, Sophie (28 November 2022). "China's state-owned television is editing maskless fans out of its World Cup coverage". Fortune. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 28 November 2022. สืบค้นเมื่อ 28 November 2022.
- ↑ Wei, Low De (28 November 2022). "World Cup Fans Without Masks Pose Dilemma for Chinese TV Amid Protests". Bloomberg News. สืบค้นเมื่อ 28 November 2022.
- ↑ Yerushalmy, Jonathan (28 November 2022). "How Chinese media have – and haven't – covered widespread protests against zero-Covid". The Guardian. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 1 October 2024. สืบค้นเมื่อ 28 November 2022.
- ↑ Rich, Motoko; Liu, John (2023-08-31). "China's Disinformation Fuels Anger Over Fukushima Water Release". The New York Times (ภาษาอังกฤษแบบอเมริกัน). ISSN 0362-4331. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 30 September 2023. สืบค้นเมื่อ 2023-09-01.
- ↑ "Fukushima: China's anger at Japan is fuelled by disinformation". BBC News (ภาษาอังกฤษแบบบริติช). 2023-09-02. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 30 September 2023. สืบค้นเมื่อ 2023-09-03.
- ↑ Davidson, Helen (2023-09-04). "State-backed disinformation fuelling anger in China over Fukushima water". The Guardian (ภาษาอังกฤษแบบบริติช). ISSN 0261-3077. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 1 October 2023. สืบค้นเมื่อ 2023-09-06.
แหล่งข้อมูลอื่น
[แก้]- เว็บไซต์อย่างเป็นทางการ
- CCTV 中文 ที่เฟซบุ๊ก (จีน)
- CCTV ที่เฟซบุ๊ก (อังกฤษ)
- CCTV ที่เอกซ์ (ทวิตเตอร์)
- CCTV ที่เวย์ปั๋ว
| ก่อนหน้า | สถานีวิทยุโทรทัศน์กลางแห่งประเทศจีน | ถัดไป | ||
|---|---|---|---|---|
| สถานีโทรทัศน์ปักกิ่ง (北京电视台) (2 กันยายน พ.ศ. 2501 – 1 พฤษภาคม พ.ศ. 2521) |
สถานีวิทยุโทรทัศน์กลางแห่งประเทศจีน (1 พฤษภาคม พ.ศ. 2521 – ปัจจุบัน) |
ยังดำเนินการอยู่ |
- บทความที่ขาดแหล่งอ้างอิงเฉพาะส่วนตั้งแต่กันยายน 2019
- Wikipedia articles in need of updatingfromAugust 2022
- All Wikipedia articles in need of updating
- บทความที่มีข้อความที่อาจล้าสมัยตั้งแต่ 2007
- สถานีโทรทัศน์ในประเทศจีน
- บริษัทของจีน
- ธุรกิจโทรทัศน์
- ซีซีทีวี
- บริษัทจีนที่ก่อตั้งในปี พ.ศ. 2501
- สื่อของรัฐ
- บริษัทด้านสื่อที่ก่อตั้งในปี พ.ศ. 2501
- สถานีโทรทัศน์ที่เริ่มออกอากาศในปี พ.ศ. 2501