ข้ามไปเนื้อหา

สมเด็จพระจักรพรรดิอากิฮิโตะ

จากวิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี
สมเด็จพระจักรพรรดิอากิฮิโตะ
พระบรมฉายาลักษณ์ พ.ศ. 2567
จักรพรรดิญี่ปุ่น
7 มกราคม พ.ศ. 2532 - 30 เมษายน พ.ศ. 2562
(30 ปี 3 เดือน 22 วัน)
บรมราชาภิเษก12 พฤศจิกายน พ.ศ. 2533
พระราชวังหลวงโตเกียว
ไดโจไซ22–23 พฤศจิกายน พ.ศ. 2533
รัชศกเฮเซ
นายกรัฐมนตรี
ก่อนหน้าจักรพรรดิโชวะ
ถัดไปสมเด็จพระจักรพรรดินารูฮิโตะ

พระราชสมภพ23 ธันวาคม พ.ศ. 2476 (91 พรรษา)
พระราชวังหลวงโตเกียว
พระอิสริยยศโจโก (จักรพรรดิพระเจ้าหลวง)
พระบรมนามาภิไธยอากิฮิโตะ
(ได้รับพระราชทานเมื่อวันที่ 29 ธันวาคม พ.ศ. 2476)
พิธีฉลองการเจริญวัย10 พฤศจิกายน พ.ศ. 2495
พระราชบิดาจักรพรรดิโชวะ
พระราชมารดาจักรพรรดินีโคจุง
จักรพรรดินี (โคโง)สมเด็จพระจักรพรรดินีมิจิโกะ (พ.ศ. 2502–ปัจจุบัน)
พระราชโอรส-ธิดา
ศาสนาชินโต
ลายพระอภิไธย

สมเด็จพระจักรพรรดิพระเจ้าหลวงอากิฮิโตะ[1] (ญี่ปุ่น: 上皇陛下[2] (明仁); โรมาจิ: Jōkō Heka (Akihito), อังกฤษ: His Majesty the Emperor Emeritus[3] (Akihito)) ทรงเป็นจักรพรรดิพระองค์ที่ 125 ของญี่ปุ่น[3]

ทรงขึ้นครองราชสมบัติเป็นสมเด็จพระจักรพรรดิ เมื่อวันที่ 7 มกราคม พ.ศ. 2532[3] หลังจากจักรพรรดิโชวะ (พระบรมราชชนก) สวรรคต พระองค์ทรงเป็นจักรพรรดิพระองค์แรกที่ขึ้นครองราชสมบัติภายใต้รัฐธรรมนูญญี่ปุ่นฉบับปัจจุบัน[4] รัชสมัยการครองราชย์ของพระองค์ใช้ชื่อรัชศกว่า "เฮเซ" (ญี่ปุ่น: 平成; โรมาจิ: Heisei)

ทรงสละราชสมบัติ เมื่อวันที่ 30 เมษายน พ.ศ. 2562 เนื่องจากพระชนมายุที่มากขึ้น และปัญหาทางด้านพระพลานามัย ถือว่าเป็นการสละราชสมบัติของจักรพรรดิญี่ปุ่นในรอบ 200 กว่าปี[5] โดยหลังจากการสละราชสมบัติ พระองค์ได้ดำรงพระราชอิสริยยศ "โจโก" (ญี่ปุ่น: 上皇[2]; อังกฤษ: The Emperor Emeritus[3]) หรือ จักรพรรดิพระเจ้าหลวง[1].

ปัจจุบัน ทรงเป็นพระกุลเชษฐ์แห่งราชวงศ์ญี่ปุ่น (พระชนมายุมากที่สุดในพระบรมวงศานุวงศ์) หลังจากการสิ้นพระชนม์ของเจ้าหญิงมิกาซะ เมื่อวันที่ 15 พฤศจิกายน พ.ศ. 2567

สัญลักษณ์ประจำพระองค์ ตัวอักษร "榮"[2]

ที่ประทับหลัก พระตำหนักเซ็นโต (仙洞御所) เขตพระราชฐานอากาซากะ (赤坂御用地) เขตมินาโตะ กรุงโตเกียว[6]

พระราชประวัติ

[แก้]

เจ้าชายสึงุ

[แก้]

สมเด็จพระจักรพรรดินีนางาโกะประสูติพระราชโอรส เมื่อวันที่ 23 ธันวาคม พ.ศ. 2476 (ปีโชวะที่ 8)[3] เวลา 06:39 นาที ณ ห้องประสูติ พระตำหนักเมจิชั้นใน (明治宮殿) พระราชวังหลวงโตเกียว เขตโคจิมาจิ (麹町区) นครโตเกียว จังหวัดโตเกียว (ปัจจุบัน คือ เขตชิโยดะ กรุงโตเกียว)[7] พระราชโอรสมีน้ำหนัก 3,260 กรัม และความยาวพระวรกาย 50.7 เซนติเมตร[8]

วันที่ 29 ธันวาคม พ.ศ. 2476 หลังจากการประสูติประมาณ 7 วัน มีการจัดพิธีสรงน้ำ (浴湯の儀) และพิธีเฉลิมพระนาม (命名の儀) ซึ่งจะมีการตั้งพระนามและกำหนดสัญลักษณ์ประจำพระองค์ เนื่องจากทรงเป็นพระราชโอรสในสมเด็จพระจักรพรรดิฮิโรฮิโตะ พระองค์จึงทรงได้รับพระราชทานพระนามจากพระบิดาว่า "อากิฮิโตะ" (ญี่ปุ่น: 明仁; โรมาจิ: Akihito) อีกทั้งทรงได้รับพระราชทานพระนามโกโชโงว่า "สึงุ" (ญี่ปุ่น: 継宮; โรมาจิ: Tsugu-no-Miya)[9]

พระนามของพระองค์มีที่มาจากพระบรมราชโองการ "ไทเกียว เซมปุ" (大教宣布) ของจักรพรรดิเมจิ ที่ประกาศใช้เมื่อวันที่ 3 มกราคม พ.ศ. 2413 (ปีเมจิที่ 3) ซึ่งพระนามโกโชโง "สึงุ" (継) แปลว่าสืบทอด มีที่มาจากประโยค "立極垂統、列皇相承、之述之" (ราชบัลลังก์และสายราชวงศ์ จักรพรรดิแต่ละพระองค์ต่างก็ทรงรับช่วงต่อและสืบทอดต่อเนื่องกันมา) ส่วนพระนามจริง "อากิฮิโตะ" (明仁) แปลว่ากระจ่างแจ้ง มีที่มาจากประโยค "宜治教以宣揚惟神之大道也" (พึงทำคำสอนแห่งการปกครองให้กระจ่างแจ้ง เพื่อประกาศและเผยแผ่หนทางอันยิ่งใหญ่แห่งเทพเจ้า)[10]

สื่อญี่ปุ่นมีการระบุพระนามพระองค์ในวัยพระเยาว์ว่า "継宮"[11][12] (Tsugu-no-Miya) ส่วนสำนักพระราชวังและสื่อต่างประเทศมีการระบุพระนามในภาษาอังกฤษว่า "Prince Tsugu"[3][13] (เจ้าชายสึงุ)

ณ วันประสูติ พระองค์ทรงเป็นพระราชโอรสในสมเด็จพระจักรพรรดิฮิโรฮิโตะ ดังนั้นพระองค์จึงดำรงฐานันดร "ชินโน"[7] หรือเจ้าชายชั้นเอกแห่งราชวงศ์ญี่ปุ่น ตามกฎหมายราชวงศ์ญี่ปุ่นในยุคก่อนสงคราม

สัญลักษณ์ประจำพระองค์ ถูกกำหนดเป็นตัวอักษร "榮"[2] อันหมายถึงความเจริญงอกงามของดอกไม้และพืชพันธุ์

เจ้าชายสึงุทรงเป็นพระราชบุตรพระองค์ที่ 5 จากทั้งหมด 7 พระองค์ ในสมเด็จพระจักรพรรดิฮิโรฮิโตะกับสมเด็จพระจักรพรรดินีนางาโกะ และทรงเป็นพระราชโอรสพระองค์แรก พระองค์ทรงมีพระเชษฐภคณี, พระอนุชา ,และพระขณิษฐภคณี ดังนี้

  1. เจ้าหญิงเทรุ (ชิเกโกะ) พระเชษฐภคณี
  2. เจ้าหญิงฮิซะ (ซาจิโกะ) พระเชษฐภคณี
  3. เจ้าหญิงทากะ (คาซูโกะ) พระเชษฐภคณี
  4. เจ้าหญิงโยริ (อัตสึโกะ) พระเชษฐภคณี
  5. เจ้าชายสึงุ (อากิฮิโตะ)
  6. เจ้าชายโยชิ (มาซาฮิโตะ) พระอนุชา
  7. เจ้าหญิงซูงะ (ทากาโกะ) พระขณิษฐา

เนื่องด้วยเจ้าชายสึงุทรงเป็นพระราชโอรสพระองค์แรกในสมเด็จพระจักรพรรดิฮิโรฮิโตะ พระองค์จึงทรงมีสถานะเป็นรัชทายาทลำดับที่หนึ่งหลังประสูติทันที ตามกฎหมายราชวงศ์ญี่ปุ่นในยุคก่อนสงคราม

เมื่อพระชนมายุ 3 ชันษา พระองค์ได้แยกพระองค์จากพระบิดากับพระมารดา ไปประทับที่ตำหนักชั่วคราว ในเขตพระราชฐานอากาซากะ (赤坂御用地) โดยมีพระพี่เลี้ยงคอยดูแลพระองค์แทน ตามธรรมเนียมราชสำนักเดิม[8]

วันที่ 10 เมษายน พ.ศ. 2483 พระองค์เข้ารับการศึกษา ณ โรงเรียนประถมศึกษากากูชูอิน (学習院初等科)[14]

วันที่ 8 ธันวาคม พ.ศ. 2484 เป็นช่วงที่พระองค์กำลังศึกษาในระดับชั้นประถมศึกษาปีที่ 2 สงครามแปซิฟิกซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของสงครามโลกครั้งที่สองได้เริ่มต้นขึ้น[8]

พ.ศ. 2488 เป็นช่วงที่พระองค์กำลังศึกษาในระดับชั้นประถมศึกษาปีที่ 5 สงครามแปซิฟิกเริ่มทวีความรุนแรงยิ่งขึ้น ทำให้พระองค์พร้อมกับพระสหาย 40 คน ต้องย้ายไปประทับไปที่วังนูมาซุ (沼津御用邸) เมืองซุนโต จังหวัดชิซูโอกะ (ปัจจุบันคือ เมืองนูมาซุ จังหวัดชิซูโอกะ) พอญี่ปุ่นพ่ายแพ้ในยุทธการที่ไซปัน ข้าราชบริพารเล็งเห็นว่าวังนูมาซุมีโอกาสที่จะถูกโจมตีทางอากาศได้ พระองค์จึงต้องย้ายไปประทับที่วังนิกโก ทาโมซาวะ (日光田母沢御用邸記念公園) เมืองนิกโก จังหวัดโทจิงิ แทน[8]

เดือนพฤษภาคม พ.ศ. 2488 พระราชวังหลวงโตเกียว รวมถึงตำหนักของพระองค์ในเขตพระราชฐานอากาซากะ (赤坂御用地) ถูกโจมตีทางอากาศและไฟไหม้จนหมดสิ้น ต่อมาในเดือนกรกฎาคม เมืองอุตสึโนมิยะ จังหวัดโทจิงิ ซึ่งอยู่ใกล้กับเมืองนิกโกที่พระองค์ประทับอยู่ ก็ถูกโจมตีทางอากาศเช่นกัน ทำให้พระองค์ต้องย้ายไปประทับที่โรงแรมมินามะ เขตยูโมโตะ เมืองนิกโก จังหวัดโทจิงิ แทน[8]

วันที่ 15 สิงหาคม พ.ศ. 2488 สมเด็จพระจักรพรรดิฮิโรฮิโตะ พระบิดา ประกาศยอมแพ้สงครามผ่านวิทยุ ข้าราชบริพารได้ทำการพาพระองค์แยกออกจากพระสหายเพื่อไปฟังพระราชดำรัสแบบส่วนพระองค์ เนื่องจากในมุมของพระองค์คือการรับฟังพระราชดำรัสจากพระบิดา ซึ่งจะแตกต่างจากเหล่าพระสหายซึ่งเป็นประชาชนทั่วไปที่เป็นการรับพระราชดำรัสจากสมเด็จพระจักรพรรดิ หลังจากที่รับฟังพระราชดำรัส เหล่าข้าราชบริพารต่างพากันร้องไห้ แต่พระองค์ก็ยังทรงไม่เข้าใจมากนัก เนื่องจากเนื้อหาพระราชดำรัสยากเกินไปสำหรับวัยพระองค์ที่จะเข้าใจ อีกทั้งวิทยุมีสัญญาณรบกวนบ่อยครั้ง แต่ข้าราชบริพารก็ได้ทูลพระองค์ต่อว่าสงครามได้จบลงแล้ว และญี่ปุ่นแพ้สงคราม[15]

สมเด็จพระจักรพรรดินีนางาโกะ และเจ้าชายสึงุ พ.ศ. 2477

หลังการประกาศแพ้สงคราม มีความคิดเห็นและแรงกดดันเกินขึ้นในหลากหลายรูปแบบ ทั้งต้องการให้สมเด็จพระจักรพรรดิฮิโรฮิโตะ พระบิดา ถูกดำเนินคดีในฐานะอาชญากรสงคราม บางส่วนก็ต้องการให้พระบิดาสละราชสมบัติ แล้วให้พระองค์ขึ้นครองราชย์แทนภายใต้การนำของผู้สำเร็จราชการ เพื่อปกป้องสถาบันจักรพรรดิให้คงอยู่ เนื่องจากพระองค์ยังทรงพระเยาว์และไม่มีความเกี่ยวข้องใดๆกับสงคราม ซึ่งในท้ายที่สุดแล้ว นายพลดักลาส แมกอาเธอร์ก็ตัดสินใจที่จะไม่ดำเนินคดีใด ๆ กับพระบิดา เพื่อรักษาความสงบภายในประเทศ[16] อย่างไรก็ตาม ยังมีกลุ่มคนบางส่วนที่ไม่พอใจต่อการยอมแพ้ของญี่ปุ่นในครั้งนี้และต้องการที่จะทำสงครามต่อ แต่พวกเขาไม่สามารถอ้างสิทธิ์การทำสงครามในนามของจักรพรรดิได้อีกต่อไป พวกเขาจึงมีแนวคิดที่จะใช้กองกำลังมาเชิญพระองค์ผู้ที่เป็นรัชทายาทมาเป็นหลักตั้งมั่นในการทำสงครามต่อ อย่างไรก็ตามไม่ได้มีเหตุการณ์ตามแนวคิดนี้เกิดขึ้นจริง[17]

เดือนพฤศจิกายน พ.ศ. 2488 พระองค์เสด็จกลับกรุงโตเกียวด้วยรถไฟ จึงทำให้พระองค์ได้มีโอกาสกลับมาเข้าเฝ้าพระบิดาและพระมารดาในรอบกว่า 1 ปี 4 เดือนหลังจากการลี้ภัย[8]

พระองค์ได้กลับมาศึกษาต่อ ณ โรงเรียนประถมศึกษากากูชูอิน (学習院初等科)[8] อีกทั้งนางเอลิซาเบธ เกรย์ วินนิ่ง (エリザベス・ヴァイニング) ชาวอเมริกัน ถูกคัดเลือกจากกองบัญชาการทหารของผู้บัญชาการทหารสูงสุดฝ่ายสัมพันธมิตร (連合国軍最高司令官総司令部) ให้มาเป็นพระอาจารย์สอนภาษาอังกฤษแก่พระองค์ รวมทั้งพระเชษฐภคิณี, พระอนุชา, และพระขณิษฐา[18][19]

วันที่ 27 มิถุนายน พ.ศ. 2491 พระองค์มีพระชนมายุได้ 15 ชันษา ทรงเข้าพบนายพลดักลาส แมกอาเธอร์ และสนทนาด้วยภาษาอังกฤษเป็นเวลา 20 นาที โดยเสด็จพร้อมกับนางเอลิซาเบธ เกรย์ วินนิ่ง พระอาจารย์ เหตุการณ์นี้นับได้ว่าราชวงศ์ญี่ปุ่นได้แสดงความไว้วางใจต่อสหรัฐอเมริกาเป็นอย่างมาก เนื่องจาก ณ ขณะนั้น พระองค์ทรงมีสถานะเป็นรัชทายาท แต่ทรงเข้าพบนายพลชาวอเมริกาเพียงลำพัง พร้อมกับพระอาจารย์ซึ่งเป็นชาวอเมริกันเช่นเดียวกัน ซึ่งพระองค์ทรงสนทนากับเขาอย่างตรงไปตรงมาและมั่นคง ไม่มีอาการประหม่าแต่อย่างใด ส่วนนายพลดักลาส แมกอาเธอร์ ก็ให้เกียรติพระองค์ในฐานะรัชทายาทเป็นอย่างดี[20][21]

เจ้าชายสึงุ ขณะที่ทรงอยู่ชั้นมัธยมศึกษา โรงเรียนกากูชูอิน

มกุฎราชกุมารอากิฮิโตะ

[แก้]

วันที่ 23 ธันวาคม พ.ศ. 2494 เจ้าชายสึงุทรงมีพระชนมายุครบ 18 ชันษา ซึ่งถือว่าทรงบรรลุนิติภาวะตามกฎมณเฑียรบาลญี่ปุ่น ฉบับหลังยุคสงคราม (ซึ่งเป็นฉบับที่ใช้จนถึงปัจจุบัน)[22] โดยมีเพียงจักรพรรดิหรือผู้ที่เป็นรัชทายาทเท่านั้นที่จะทรงบรรลุนิติภาวะเมื่อพระชนมายุครบ 18 ชันษา ส่วนพระบรมวงศานุวงศ์พระองค์อื่น ๆ จะบรรลุนิติภาวะที่พระชนมายุ 20 ชันษาตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ของญี่ปุ่นฉบับเดิม (กฎหมายปัจจุบันได้มีการปรับอายุบรรลุนิติภาวะลดเหลือ 18 ปี เมื่อ พ.ศ. 2565)[23]

ทรงเข้าศึกษาระดับปริญญาตรี สาขาเศรษฐศาสตร์การเมือง มหาวิทยากากูชูอิน (学習院大学)[24]

วันที่ 10 พฤศจิกายน พ.ศ. 2495 เจ้าชายสึงุทรงประกอบพิธีบรรลุนิติภาวะ (加冠の儀) พร้อมทั้งพระราชพิธี "ริตไตชิ-โนะ-เร" (立太子の礼) หรือพิธีสถาปนามกุฎราชกุมารในวันเดียวกัน[2] และทรงได้รับพระราชทานเครื่องราชอิสริยาภรณ์เกียรติคุณและราชมิตราภรณ์อันสูงส่งยิ่งดอกเบญจมาศ ชั้นมหาปรมาภรณ์[25]

พิธีสถานปนามกุฎราชกุมาร 10 พฤศจิกายน พ.ศ. 2495

ภายหลังการสถาปนา สื่อญี่ปุ่นได้มีการระบุพระนามของพระองค์เป็น "皇太子"[26] (Kōtaishi) และสื่อต่างประเทศได้มีการระบุพระนามในภาษาอังกฤษว่า "Crown Prince Akihito"[27][28] (มกุฎราชกุมารอากิฮิโตะ)

วันที่ 18 พฤศจิกายน พ.ศ. 2495 มกุฎราชกุมารอากิฮิโตะ เสด็จฯไปเคารพศาลเจ้าอิเซะ จังหวัดมิเอะ เพื่อรายงานการบรรลุนิติภาวะและการดำรงอิสริยยศมกุฎราชกุมารของพระองค์ต่อเทพีอามาเตราซุ[29]

หลังจากที่พระองค์ทรงประกอบพิธีบรรลุนิติภาวะและพิธีสถาปนามกุฎราชกุมารแล้ว พระองค์จะมีส่วนร่วมในการปฏิบัติพระราชกรณียกิจอย่างเต็มพระองค์ ซึ่งถัดมาไม่นานพระองค์ก็ได้เสด็จฯเยือนยุโรปเป็นเวลา 6 เดือน จึงทำให้พระองค์ไม่สามารถลงเรียนเก็บหน่วยกิตที่มหาวิทยากากูชูอินได้อย่างครบถ้วน พระองค์จึงต้องเปลี่ยนสถานะจากนักศึกษาภาคปกติ เป็นนักศึกษาที่มีการลงทะเบียนเรียนบางรายวิชาแทน จึงทำให้พระองค์ไม่ได้สำเร็จการศึกษาจากมหาวิทยากากูชูอิน[30]

พิธีอภิเษกสมรส วันที่ 10 เมษายน พ.ศ. 2502

วันที่ 19 สิงหาคม พ.ศ. 2500 พระองค์ทรงมีโอกาสได้เล่นเทนนิสคู่กับนางสาวมิจิโกะ โชดะ ที่สนามเทนนิสเมืองคารูอิซาวะ จังหวัดนางาโนะ ซึ่งเป็นจุดเริ่มต้นของความสัมพันธ์ของทั้งสองพระองค์[30] โดยนางสาวมิจิโกะ โชดะ เป็นบุตรสาวของประธานบริษัท นิสชิน ฟลาวร์ มิลลิ่ง จำกัด

พระองค์ทรงโปรดนางสาวมิจิโกะ โชดะมาก ถึงกับนำรูปถ่ายของเธอไปจัดแสดงในนิทรรศการผลงานส่วนพระองค์ และตั้งชื่อรูปว่า "เพื่อนผู้หญิง" (女ともだち)[31] และยังทรงขอให้นายชินโซ โคอิซึมิ ผู้ดูแลการศึกษาของพระองค์ไปทูลขอการสมรสกับครอบครัวโชดะ จนก่อให้เกิดข่าวลือต่าง ๆ ซึ่งในตอนแรกครอบครัวโชดะได้ปฏิเสธคำขอสมรสของพระองค์ ในเวลาถัดมา นางสาวมิจิโกะ โชดะได้เดินทางไปยุโรปและสหรัฐอเมริกาเป็นเวลาเกือบ 2 เดือน พระองค์ก็ส่งจดหมายหาเธออยู่เรื่อย ๆ และพอเมื่อเธอกลับญี่ปุ่น พระองค์ทรงขอให้รุ่นน้องช่วยติดต่อเธอทางโทรศัพท์อีกครั้งเพื่อสื่อความในพระทัย จนเธอตอบรับคำขอแต่งงานของพระองค์ในวันที่ 3 พฤศจิกายน พ.ศ. 2501[30][32] ส่วนสมเด็จพระจักรพรรดินีนางาโกะ พระราชมารดา ทรงไม่พอพระทัยที่พระองค์จะทรงอภิเษกสมรสกับหญิงสามัญชน เนื่องจากในอดีตส่วนใหญ่แล้วเจ้าชายในราชวงศ์จะอภิเษกสมรสกับบุตรสาวชนชั้นสูงเท่านั้น[33] อย่างไรก็ตาม ในวันที่ 27 พฤศจิกายน พ.ศ. 2501 สภาราชวงศ์ญี่ปุ่นก็ได้อนุมัติการอภิเษกสมรสของมกุฎราชกุมารอากิฮิโตะกับนางสาวมิจิโกะ โชดะ[2][34]

วันที่ 14 มกราคม พ.ศ. 2502 มีการจัดพิธีโนไซ (納采の儀) หรือพิธีหมั้น[2]

มกุฎราชกุมารอากิฮิโตะ, มกุฎราชกุมารีมิจิโกะ และพระราชโอรส/พระราชธิดา

วันที่ 10 เมษายน พ.ศ. 2502 มีการจัดพิธีอภิเษกสมรส[2][35] ซึ่งเป็นครั้งแรกของราชวงศ์ญี่ปุ่นที่เจ้าชายทรงอภิเษกสมรสกับหญิงสามัญชน อีกทั้งว่าที่เจ้าหญิงสามัญชนอย่างนางสาวมิจิโกะ โชดะก็ได้เป็นข่าวแพร่สะพัดไปทั่วทั้งประเทศ จนสื่อญี่ปุ่นได้เรียกปรากฏการณ์นี้ว่า "มิจจิบูม" (ミッチーブーム) โดยมีที่มาจากชื่อเล่นของเธอ[30]

หลังจากการอภิเษกสมรส นางสาวมิจิโกะ โชดะ ได้รับการสถาปนาอิสริยยศเป็น "皇太子妃"[36] (Kōtaishihi) ซึ่งมีการระบุพระนามในภาษาอังกฤษว่า "Crown Princess Michiko"[28][37] (มกุฎราชกุมารีมิจิโกะ)

ในวันเดียวกันทั้งสองพระองค์ เสด็จพระราชดำเนินด้วยรถม้าจากพระราชวังหลวงโตเกียว ไปยังพระตำหนักชั่วคราวในเขตชิบูยะ กรุงโตเกียว โดยมีประชาชนมาเฝ้ารับเสด็จตลอดสองข้างทางถึง 530,000 คน[30][38]

พ.ศ. 2503 มกุฎราชกุมารอากิฮิโตะและมกุฎราชกุมารีมิจิโกะ ทรงย้ายมาประทับที่พระตำหนักโทงู ในเขตพระราชฐานอากาซากะ (赤坂御用地) เขตมินาโตะ กรุงโตเกียว[30]

มกุฎราชกุมารอากิฮิโตะและมกุฎราชกุมารีมิจิโกะทรงมีพระราชโอรสและพระราชธิดาร่วมกันทั้งหมด 3 พระองค์ ได้แก่

ทั้งสองพระองค์ทรงตัดสินพระทัยที่จะไม่เลี้ยงพระราชบุตรตามธรรมเนียมราชสำนักเดิม โดยจะทรงเลี้ยงพระราชบุตรอย่างใกล้ชิดตั้งแต่แรกประสูติ[39][30] ยกเลิกระบบการให้นมโดยพระพี่เลี้ยง[40] อีกทั้งมกุฎราชกุมารอากิฮิโตะยังทรงเคยเปลี่ยนผ้าอ้อมให้กับเจ้าชายฮิโระ (นารูฮิโตะ) พระราชโอรส ด้วยพระองค์เองอีกด้วย[41]

มกุฎราชกุมารอากิฮิโตะได้ปฏิบัติพระราชกรณียกิจแทนพระองค์สมเด็จพระจักรพรรดิ เมื่อสมเด็จพระจักรพรรดิฮิโรฮิโตะ พระราชบิดา เสด็จฯเยือนต่างประเทศหรือเข้ารับการรักษาพระองค์ โดยพระองค์ได้ปฏิบัติพระราชกรณียกิจแทนพระองค์ครั้งสุดท้ายเมื่อเดือนกันยายน พ.ศ. 2530 เนื่องจากสมเด็จพระจักรพรรดิฮิโรฮิโตะทรงเข้ารับการผ่าตัดพระอันตคุณ (ลำไส้เล็ก)[30]

สมเด็จพระจักรพรรดิอากิฮิโตะ

[แก้]
พระราชพิธีเคนจิโทโชเค พ.ศ. 2532

วันที่ 7 มกราคม พ.ศ. 2532 สมเด็จพระจักรพรรดิฮิโรฮิโตะ พระราชบิดา สวรรคต[42] จึงทำให้พระองค์เสด็จขึ้นครองราชย์ขึ้นเป็นสมเด็จพระจักรพรรดิอากิฮิโตะต่อจากพระราชบิดาทันที[43] ตามกฎมณเฑียรบาลญี่ปุ่น[22] พระองค์ทรงเสด็จขึ้นครองราชย์เมื่อพระชนมายุ 55 พรรษา และทรงเป็นจักรพรรดิพระองค์ที่ 125 ของญี่ปุ่น[3]

ฉลองพระองค์ในพิธีบรมราชาภิเษก พ.ศ. 2533

ในวันเดียวกัน มีการจัดพระราชพิธี "เคนจิโทโชเค" (剣璽等承継の儀)[44] หรือพระราชพิธีรับเครื่องไตรราชกกุธภัณฑ์, ตราแผ่นดิน, และตราประจำพระองค์ ณ ท้องพระโรงมัตสึโนมะ พระราชวังหลวงโตเกียว ซึ่งเป็นพระราชพิธีทางสัญลักษณ์ที่แสดงถึงการสืบราชสมบัติ ในพระราชพิธีจะมีเพียงพระบรมวงศานุวงศ์ฝ่ายหน้าที่บรรลุนิติภาวะ, ประมุข 3 ฝ่าย, และคณะรัฐมนตรีเท่านั้นที่ได้เข้าร่วม อีกทั้งนายเคโซ โอบูจิ เลขาธิการใหญ่คณะรัฐมนตรี ได้ประกาศชื่อของรัชศกใหม่ว่า "เฮเซ" หลังจากที่พระองค์เสด็จขึ้นครองราชย์ ซึ่งจะนำมาใช้แทนรัชศกเดิม (โชวะ) โดยให้เริ่มใช้ในวันพรุ่งนี้เป็นวันแรก[45]

วันที่ 8 มกราคม พ.ศ. 2532 (ปีเฮเซ ที่ 1) มีการจัดพระราชพิธี "โซกุยโงโจเก็น" (即位後朝見の儀) หรือพระราชพิธีเข้าเฝ้าสมเด็จพระจักรพรรดิ โดยมีพระบรมวงศานุวงศ์ทุกพระองค์ที่บรรลุนิติภาวะ, ประมุข 3 ฝ่าย, และตัวแทนประชาชนจากภาคส่วนต่างๆ เข้าร่วมพระราชพิธีนี้[46]

วันที่ 12 พฤศจิกายน พ.ศ. 2533 มีการจัดพระราชพิธี "โซกุยเรเซเด็น" (即位礼正殿の儀) หรือพระราชพิธีบรมราชาภิเษก[3] ซึ่งสมเด็จพระจักรพรรดิอากิฮิโตะจะเสด็จประทับบนพระราชบัลลังก์ "ทาคามิกูระ" (高御座) ณ ท้องพระโรงมัตสึโนมะ พระราชวังหลวงโตเกียว[47] ด้วยฉลองพระองค์อันประกอบไปด้วย

  • ชุด "โคโรเซ็นโนะโงโฮ" (黄櫨染御袍) เป็นชุดพิธีการโบราณประเภทหนึ่งของญี่ปุ่นที่เรียกว่า "โซกูไต" (束帯) แต่มีสีแดงอมน้ำตาล ซึ่งเป็นสีฉลองพระองค์สำหรับจักรพรรดิเท่านั้น
  • มงกุฎ "โอริวเอ-โนะ-คัมมูริ" (御立纓の冠) เป็นมงกุฎโบราณประเภทหนึ่งของญี่ปุ่นที่เรียกว่า "คัมมูริ" (冠) มักใช้สวมคู่กับชุด "โซกูไต" แต่มีปลายยกขึ้นสูง 60 เซ็นติเมตร ซึ่งเป็นมงกุฎสำหรับจักรพรรดิเท่านั้น
  • พระหัตถ์ถือ "ฮู่" (笏) โดยมีลักษณะเป็นแผ่นไม้ยาว มักใช้ถือเมื่อสวมชุด "โซกูไต"
พิธีโชกูงะ อนเร็ตสึ พ.ศ. 2533

หลังจากสมเด็จพระจักรพรรดิอากิฮิโตะประทับบนพระราชบัลลังก์ทาคามิกูระแล้ว ได้มีการเปิดพระวิสูตร จากนั้นพระองค์ทรงมีพระปฐมบรมราชโองการว่า[48]

ตามบทบัญญัติของรัฐธรรมนูญแห่งญี่ปุ่นและกฎหมายราชวงศ์ ข้าพเจ้าได้สืบทอดราชบัลลังก์แล้ว และบัดนี้ได้จัดพิธีบรมราชาภิเษก ณ พระที่นั่งชินเด็นขึ้น เพื่อประกาศการขึ้นครองราชย์ต่อทั้งในประเทศและต่างประเทศ ในวาระนี้ ข้าพเจ้าขอปฏิญาณอีกครั้งว่า จะยึดมั่นในพระราชหฤทัยของจักรพรรดิโชวะ พระบรมราชชนก ซึ่งทรงใช้เวลาในรัชสมัยกว่า 60 ปีร่วมทุกข์ร่วมสุขกับประชาชนไม่ว่าในสถานการณ์ใดๆ และจะมุ่งมั่นปฏิบัติหน้าที่ในฐานะสัญลักษณ์แห่งความเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันของประเทศญี่ปุ่นและประชาชนชาวญี่ปุ่น โดยจะขอปฏิบัติตามรัฐธรรมนูญแห่งญี่ปุ่นอย่างเคร่งครัด ข้าพเจ้าขอแสดงความปรารถนาอย่างจริงใจว่า ด้วยปัญญาและความพยายามอย่างไม่หยุดยั้งของประชาชน ประเทศของเราจะสามารถพัฒนาต่อไปได้ และจะสามารถอุทิศตนเพื่อมิตรภาพและสันติภาพของประชาคมระหว่างประเทศ รวมถึงเพื่อความผาสุกและความเจริญรุ่งเรืองของมวลมนุษยชาติสืบไป

ในงานพระราชพิธีบรมราชาภิเษกมีผู้แทนจากประเทศต่างๆ จำนวน 158 ประเทศเข้าร่วมในงาน[3]

พิธีไดโจไซ พ.ศ. 2533

ในวันเดียวกัน มีการจัดพระราชพิธี "โชกูงะ อนเร็ตสึ" (祝賀御列の儀) หรือพระราชพิธีขบวนแห่เฉลิมฉลองการขึ้นครองราชย์ ซึ่งสมเด็จพระจักรพรรดิอากิฮิโตะและสมเด็จพระจักรพรรดินีมิจิโกะ ประทับรถยนต์พระที่นั่งเปิดประทุน เสด็จจากพระราชวังหลวงโตเกียว ไปยังเขตพระราชฐานอากาซากะ (赤坂御用地) โดยมีประชาชนกว่า 117,000 คนร่วมรับเสด็จตลอดสองข้างทาง[49][50]

วันที่ 22 - 23 พฤศจิกายน พ.ศ. 2533 มีการจัดพระราชพิธี "ไดโจไซ" (大嘗宮の儀)[2] ซึ่งเป็นโบราณราชพิธีหลังจากการขึ้นครองราชสมบัติของจักรพรรดิ โดยจัดขึ้นในตอนกลางคืนจนถึงเช้ามืดวันถัดไป พระราชพิธีนี้เป็นพิธีอธิษฐานของจักรพรรดิเพื่อให้ประเทศชาติและประชาชนสงบสุข รวมถึงขอให้พืชพรรณธัญญาหารอุดมสมบูรณ์ โดยสมเด็จพระจักรพรรดิอากิฮิโตะทรงฉลองพระองค์สีขาวที่เรียกว่า "โกไซฟูกุ" (御祭服) ซึ่งเป็นฉลองพระองค์ที่มีความศักดิ์สิทธิ์

เดือนธันวาคม พ.ศ. 2536 ทรงย้ายที่ประทับจากพระตำหนักโทงู เขตพระราชฐานอากาซากะ (赤坂御用地) ไปประทับที่พระตำหนักหลวง (御所) ในพระราชวังหลวงโตเกียว เขตชิโยดะ กรุงโตเกียว[47]

วันที่ 12 พฤศจิกายน พ.ศ. 2542 สมเด็จพระจักรพรรดิอากิฮิโตะและสมเด็จพระจักรพรรดินีมิจิโกะ เสด็จพระราชดำเนินร่วมงานพิธีเฉลิมฉลองการครองราชสมบัติครบ 10 ปีที่จัดขึ้นโดยรัฐบาล ณ โรงละครแห่งชาติ และเสด็จฯไปยังสะพานนิจูบาชิ (二重橋) เพื่อรับการถวายพระพรจากประชาชน ณ สวนด้านนอกพระราชวังหลวงโตเกียว[51]

วันที่ 12 พฤศจิกายน พ.ศ. 2552 สมเด็จพระจักรพรรดิอากิฮิโตะและสมเด็จพระจักรพรรดินีมิจิโกะ เสด็จพระราชดำเนินร่วมพิธีเฉลิมฉลองการครองราชสมบัติครบ 20 ปีที่จัดขึ้นโดยรัฐบาล ณ โรงละครแห่งชาติ และมีการจัดงานเฉลิมฉลองสำหรับประชาชน ณ สวนด้านนอกพระราชวังหลวงโตเกียว[52][53]

เดือนกรกฎาคม พ.ศ. 2553 พระองค์ทรงเปิดเผยพระราชประสงค์ที่จะสละราชสมบัติครั้งแรกต่อคณะที่ปรึกษาสำนักพระราชวัง และในเดือนถัดมา พระองค์ทรงมีพระราชดำรัสที่สื่อถึงพระราชประสงค์ของพระองค์ว่า "เมื่อพิจารณาถึงสุขภาพของข้าพเจ้าที่เสื่อมถอยลงไปเรื่อยๆ เกรงว่าจะเป็นเรื่องยากที่จะปฏิบัติกิจในฐานะสัญลักษณ์ของชาติด้วยกายและวิญญาณเหมือนที่เคยเป็นมา" สำนักพระราชวังจึงมีการทบทวนและทยอยลดพระราชกรณียกิจของพระองค์ลงในเบื้องต้น โดยส่งต่อให้กับมกุฎราชกุมารนารูฮิโตะและเจ้าชายอากิชิโนะ พระราชโอรส ยกเว้นพระราชกรณียกิจที่สำคัญที่พระองค์ยังคงดำเนินอยู่[54]

วันที่ 8 สิงหาคม พ.ศ. 2559 พระองค์ทรงเผยแพร่พระราชประสงค์ต่อประชาชนผ่านโทรทัศน์อีกครั้ง โดยทรงย้ำถึงความกังวลถึงพระชนมายุของพระองค์ต่อการปฏิบัติพระราชกรณียกิจในสถานะสัญลักษณ์ของประเทศ รวมถึงพระพลานามัยของพระองค์ที่อ่อนล้าลงอีกด้วย[55][56] พระองค์ทรงมีพระราชดำรัสย้ำถึงพระพลานามัยของพระองค์เองมาตลอดระยะเวลาหลายปี แต่ทรงไม่สามารถที่จะแสดงพระราชประสงค์ที่จะสละราชสมบัติออกมาโดยตรงได้ เนื่องจากจะเป็นการแทรกแซงทางการเมือง โดยการสละราชสมบัตินั้นต้องไปแก้ไขกฎหมายราชวงศ์ญี่ปุ่น ซึ่งกฎหมายฉบับนี้ไม่ได้กำหนดเรื่องการสละราชสมบัติเอาไว้ การขึ้นครองราชย์ของจักรพรรดิพระองค์ใหม่จะเกิดขึ้นก็ต่อเมื่อจักรพรรดิพระองค์ก่อนสวรรคตเท่านั้น[22] อีกทั้งทางสำนักพระราชวังก็ออกมาปฏิเสธเรื่องการสละราชสมบัติของพระองค์มาโดยตลอด[57] อย่างไรก็ตาม รัฐบาลจึงได้ทำการพิจารณาความเป็นไปได้ และตกลงทำการตรากฎหมายพิเศษขึ้นมาใช้ครั้งเดียวเพื่อสนองพระราชประสงค์ของพระองค์[58]

พิธีเฉลิมฉลองการครองราชสมบัติครบ 30 ปี พ.ศ. 2562

วันที่ 1 ธันวาคม พ.ศ. 2560 สภาราชวงศ์ญี่ปุ่นได้มีมติกำหนดวันสละราชสมบัติของพระองค์เป็นวันที่ 30 เมษายน พ.ศ. 2562 และวันขึ้นครองราชย์ของจักรพรรดิพระองค์ใหม่ (มกุฎราชกุมารนารูฮิโตะ) ในวันที่ 1 พฤษภาคม พ.ศ. 2562[59]

วันที่ 24 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2562 สมเด็จพระจักรพรรดิอากิฮิโตะและสมเด็จพระจักรพรรดินีมิจิโกะ เสด็จพระราชดำเนินร่วมพิธีเฉลิมฉลองการครองราชสมบัติครบ 30 ปีที่จัดขึ้นโดยรัฐบาล ณ โรงละครแห่งชาติ[60][61]

วันที่ 1 เมษายน พ.ศ. 2562 โยชิฮิเดะ ซูงะ เลขาธิการใหญ่คณะรัฐมนตรี ได้ประกาศชื่อของรัชศกใหม่ว่า "เรวะ" ซึ่งจะนำมาใช้แทนรัชศก "เฮเซ" ที่จะสิ้นสุดลงเมื่อพระองค์สละราชสมบัติ[62]

วันที่ 13 มิถุนายน พ.ศ. 2562 มีการประกาศใช้กฎหมายพิเศษว่าด้วยการสละราชสมบัติของจักรพรรดิ[63] โดยในมาตรา 2 ได้ระบุว่า เมื่อจักรพรรดิสละราชสมบัติ ณ วันที่มีผลบังคับใช้ มกุฎราชกุมารจะสืบราชสมบัติต่อทันที

พระราชพิธี "ไทเรเซเดน" พ.ศ. 2562

สมเด็จพระจักรพรรดิพระเจ้าหลวงอากิฮิโตะ

[แก้]

วันที่ 18 เมษายน พ.ศ. 2562 เสด็จฯไปเคารพศาลเจ้าอิเซะ จังหวัดมิเอะ เพื่อรายงานการสละราชสมบัติต่อเทพอามาเตราซุ[64]

วันที่ 23 เมษายน พ.ศ. 2562 เสด็จฯไปเคารพสุสานของจักรพรรดิโชวะ เพื่อรายงานการสละราชสมบัติ[65]

วันที่ 30 เมษายน พ.ศ. 2562 มีการจัดพระราชพิธี "ไทเรเซเดน" (退位礼正殿の儀) หรือพระราชพิธีสละราชสมบัติ ณ พระราชวังหลวงโตเกียว[66] ซึ่งถือว่าเป็นการสละราชสมบัติของจักรพรรดิญี่ปุ่นในรอบ 200 กว่าปี[67] โดยครั้งล่าสุดคือการสละราชสมบัติของจักรพรรดิโคกากุ เมื่อวันที่ 7 พฤษภาคม พ.ศ. 2360 จากนั้นเสด็จฯไปเคารพศาลเจ้า 3 แห่งในพระราชวังหลวงโตเกียว เพื่อรายงานการสละราชสมบัติ[68] อีกทั้งในวันเดียวกันนี้ถือว่าเป็นวันสุดท้ายของรัชศก "เฮเซ" ที่ดำเนินมาเป็นระยะเวลากว่า 30 ปี

วันที่ 1 พฤษภาคม พ.ศ. 2562 เวลา 00:00 นาฬิกา กฎหมายพิเศษว่าด้วยการสละราชสมบัติของจักรพรรดิได้มีการบังคับใช้[69] จึงทำให้มกุฎราชกุมารนารูฮิโตะ พระราชโอรส เสด็จขึ้นครองราชสมบัติเป็นสมเด็จพระจักรพรรดินารูฮิโตะ และรัชศกได้เปลี่ยนเป็นปีเรวะ ที่ 1 อีกทั้งตามกฎหมายพิเศษ ได้กำหนดให้จักรพรรดิที่สละราชสมบัติดำรงพระราชอิสริยยศ "โจโก" (ญี่ปุ่น: 上皇[2]; อังกฤษ: The Emperor Emeritus[3]) หรือ จักรพรรดิพระเจ้าหลวง[1]

วันที่ 26 เมษายน พ.ศ. 2563 พระองค์กับสมเด็จพระจักรพรรดินีพระพันปีหลวงมิจิโกะได้ย้ายที่ประทับจากพระราชวังหลวงโตเกียว ไปประทับที่พระตำหนักเซ็นโต (仙洞御所) ในเขตพระราชฐานอากาซากะ (赤坂御用地) เขตมินาโตะ กรุงโตเกียว[6]

หลังจากการสละราชสมบัติ พระองค์ไม่ค่อยได้ปรากฏพระองค์ในการทำพระราชกรณียกิจต่าง ๆ จึงทำให้พระองค์มีเวลาในการกลับไปทำวิจัยดังเดิม[70]

พระพลานามัย

[แก้]
  • เดือนธันวาคม พ.ศ. 2496 ทรงได้รับการวินิจฉัยว่าเป็นวัณโรค ซึ่งพระองค์ได้รับการรักษาด้วยยาสเตรปโตมัยซิน ซึ่งเป็นยาที่พึ่งพัฒนาขึ้นมาใหม่ ณ สมัยนั้น จนกระทั่งเดือนกันยายน พ.ศ. 2500 ทรงได้รับการวินิจฉัยว่าหายจากพระอาการประชวรเกือบจะสมบูรณ์แล้ว[71]
  • เดือนธันวาคม พ.ศ. 2545 สำนักพระราชวังออกแถลงการณ์ว่าพระองค์ทรงประชวรมะเร็งต่อมลูกหมาก ถัดมาในเดือนมกราคม พ.ศ. 2546 พระองค์ทรงเข้ารับการผ่าตัดเพื่อนำเอาต่อมลูกหมากออกทั้งหมด และในเดือนกรกฎาคม พ.ศ. 2547 พระองค์ทรงเข้ารับการบำบัดด้วยฮอร์โมนเพื่อควบคุมไม่ให้มะเร็งมีการเกิดซ้ำอีก[72] อย่างไรก็ตามการฉีดฮอร์โมนเข้าใต้พระฉวี (ผิวหนัง) อย่างต่อเนื่อง อาจทำให้เกิดผลข้างเคียงต่อความบางของกระดูกได้ จึงต้องบำบัดด้วยการออกกำลังกายเพิ่มขึ้นทดแทน[73]
  • เดือนธันวาคม พ.ศ. 2551 ทรงมีอาการไม่สบายพระทรวง จากการวินิจฉัยพบว่าพระหทัยเต้นผิดจังหวะ จึงได้มีการเฝ้าระวังพระอาการอย่างใกล้ชิด[74]
  • เดือนกุมภาพันธ์ พ.ศ. 2554 สำนักพระราชวังออกแถลงการณ์ว่าพระองค์ทรงมีภาวะหลอดเลือดพระหทัยตีบ[72]
  • เดือนพฤศจิกายน พ.ศ. 2554 ทรงมีอาการหลอดลมอักเสบ มีพระปรอท (ไข้) สูง และพระปับผาสะ (ปอด) บวม จึงเสด็จฯไปประทับรักษา ณ โรงพยาบาลมหาวิทยาลัยโตเกียว[75]
  • วันที่ 18 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2555 ทรงเข้ารับการผ่าตัดบายพาสพระหทัย ซึ่งการผ่าตัดเป็นไปอย่างราบรื่น[76]
  • วันที่ 30 มกราคม พ.ศ. 2563 พระองค์ทรงล้มและหมดพระสติไปชั่วขณะ ณ พระตำหนักที่ประทับ โดยระหว่างนั้นสมเด็จพระจักรพรรดินีพระพันปีหลวงมิจิโกะทรงประทับอยู่ข้างๆ ได้กดกริ่งเรียกแพทย์ประจำสำนักพระราชวัง หลังจากนั้นไม่นานก็ทรงรู้สึกพระองค์ จากนั้นทรงเข้ารับวินิจฉัยด้วยเครื่องสร้างภาพด้วยเรโซแนนซ์แม่เหล็ก (MRI) ที่โรงพยาบาลสำนักพระราชวัง รวมถึงการตรวจโดยแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ ซึ่งไม่พบสาเหตุของอาการที่เกิดขึ้น[77]
  • วันที่ 26 กรกฎาคม พ.ศ. 2565 สำนักพระราชวังออกแถลงการณ์ว่าพระองค์ทรงมีภาวะหัวใจซีกขวาล้มเหลว ทรงได้รับการรักษาด้วยการเสวยยา ควบคุมปริมาณการดื่มน้ำ และลดการออกกำลังกาย ซึ่งพระอาการของพระองค์ดีขึ้นตามลำดับ[78]
  • วันที่ 10 พฤษภาคม พ.ศ. 2568 สำนักพระราชวังออกแถลงการณ์ว่าพระองค์ทรงมีภาวะกล้ามเนื้อพระหทัยขาดเลือดแบบไม่แสดงอาการ จำเป็นต้องมีการเฝ้าดูพระอาการอย่างใกล้ชิด และทรงเข้ารับการรักษาด้วยการเสวยยา[79]

พระราชกรณียกิจ

[แก้]
พิธีออกมหาสมาคมเนื่องในวันขึ้นปีใหม่ พ.ศ. 2559

พิธีราชสำนัก

[แก้]

ระหว่างที่พระองค์ทรงครองราชสมบัติ พระองค์ทรงร่วมพิธีราชสำนักต่าง ๆ ดังนี้

  • ทุกวันที่ 1 มกราคมของทุกปี มีการจัดพิธี "ชินเน็น-ชูกูงะ" (新年祝賀の儀) เพื่อรับการถวายพระพรปีใหม่ จากพระบรมวงศานุวงศ์และคณะรัฐมนตรี ณ ท้องพระโรงมัตสึโนมะ พระราชวังหลวงโตเกียว[80]
  • ทุกวันที่ 2 มกราคมของทุกปี มีการจัดพิธี "ชินเน็น-อิปปัน-ซังงะ" (新年一般参賀) หรือการออกมหาสมาคมเนื่องในวันขึ้นปีใหม่ เพื่อรับการถวายพระพรจากประชาชน ณ สวนฝั่งตะวันออกของพระราชวังหลวงโตเกียว[81]
  • ในเดือนมกราคมของทุกปี มีการจัดพิธี "โคโช ฮาจิเมะ" (講書始) ซึ่งเป็นการเสด็จออกรับฟังการบรรยายจากผู้ทรงคุณวุฒิในสาขาวิชามนุษยศาสตร์ สังคมศาสตร์ และวิทยาศาสตร์ โดยมีพระบรมวงศานุวงศ์ร่วมเสด็จด้วย ณ ท้องพระโรงมัตสึโนมะ พระราชวังหลวงโตเกียว[82]
  • ในเดือนมกราคมของทุกปี มีการจัดพิธี "อูตาไก ฮาจิเมะ" (歌会始の儀) ซึ่งเป็นพิธีการขับร้องบทกวีในท่วงทำนองโบราณตามแบบแผนดั้งเดิมของญี่ปุ่น โดยมีพระบรมวงศานุวงศ์ร่วมเสด็จด้วย ณ ท้องพระโรงมัตสึโนมะ พระราชวังหลวงโตเกียว[83]
  • ทุกวันที่ 23 ธันวาคมของทุกปี มีการจัดพิธี "เท็นโน-ทันโจบิ-อิปปัน-ซังงะ" (天皇誕生日一般参賀) หรือการออกมหาสมาคมเนื่องในวันเฉลิมพระชนมพรรษาของสมเด็จพระจักรพรรดิอากิฮิโตะ เพื่อรับการถวายพระพรจากประชาชน ณ สวนฝั่งตะวันออกของพระราชวังหลวงโตเกียว[84]
  • ในช่วงฤดูใบไม้ผลิและฤดูใบไม้ร่วงของทุกปี ทรงเป็นเจ้าภาพงานเลี้ยงน้ำชา เพื่อต้อนรับแขกผู้มีเกียรติจากหลากหลายวงการในประเทศญี่ปุ่น ที่เขตพระราชฐานอากาซากะ (赤坂御用地) กรุงโตเกียว[85]
พิธีเปิดรัฐสภา พ.ศ. 2556

กิจการของรัฐ

[แก้]
พิธีแต่งตั้งนายกรัฐมนตรีชินโซ อาเบะ พ.ศ. 2555

จักรพรรดิทรงเป็นสัญลักษณ์แห่งญี่ปุ่น และจะทรงกระทำเฉพาะกิจการของรัฐตามที่บัญญัติไว้ในรัฐธรรมนูญเท่านั้น โดยระหว่างที่พระองค์ทรงครองราชสมบัติ พระองค์ได้ปฏิบัติพระราชกรณียกิจในด้านกิจการของรัฐ ดังนี้

  • พิธีเปิดรัฐสภา[86]
  • พิธี "ชินนินชิกิ" (親任式) เป็นพิธีแต่งตั้งนายกรัฐมนตรีหลังจากได้รับการเสนอชื่อจากรัฐสภา หรือเป็นพิธีแต่งตั้งประธานศาลสูงสุด หลังจากได้รับการเสนอชื่อจากคณะรัฐมนตรี[87]
  • พิธี "นินโชกันนินเมชิกิ" (認証官任命式) เป็นพิธีรับรองเจ้าหน้าที่รัฐระดับสูงทั้งหมด 17 ตำแหน่ง หลังจากได้รับการเสนอชื่อจากคณะรัฐมนตรี เช่น รัฐมนตรีว่าการ, กรรมการตรวจเงินแผ่นดิน, เอกอัครราชทูตสามัญผู้มีอำนาจเต็ม, ผู้พิพากษาศาลสูงสุด เป็นต้น[88]
  • พิธีพระราชทานเครื่องราชอิสริยาภรณ์ชั้นสายสะพาย ซึ่งจะจัดในฤดูใบไม้ผลิและฤดูใบไม้ร่วงของทุกปี
  • พิธีพระราชทานเครื่องราชอิสริยาภรณ์วัฒนธรรม ซึ่งจะจัดขึ้นทุกวันที่ 3 พฤศจิกายนของทุกปี
  • พิธีถวายสาส์นตราตั้ง โดยเอกอัครราชทูตวิสามัญผู้มีอำนาจเต็มคนใหม่จากต่างประเทศ

มีนวิทยา

[แก้]

สมเด็จพระจักรพรรดิอากิฮิโตะทรงสนพระทัยทางด้านชีววิทยามาตั้งแต่พระเยาว์ โดยเฉพาะปลาหรือมีนวิทยา หลังจากการอภิเษกสมรสกับสมเด็จพระจักรพรรดินีมิจิโกะ ทรงทุ่มเทให้กับการวิจัยและการจำแนกพันธุ์ปลาบู่[24] ซึ่งผลงานทางด้านมีนวิทยาของพระองค์ ประกอบไปด้วย

  • พ.ศ. 2506 บทความวิจัยฉบับแรกของพระองค์เกี่ยวกับกระดูกสะบักของปลาบู่ ได้ตีพิมพ์ในวารสาร Ichthyological Research ซึ่งเป็นวารสารวิทยาศาสตร์ที่มีการตีพิมพ์รายไตรมาส[24]
  • พ.ศ. 2508 ทรงเสด็จเยือนประเทศไทย พระบาทสมเด็จพระมหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร ได้ขอพระราชทานปลานิลจากพระองค์ ซึ่งพระองค์ก็ได้ทำการถวายปลานิลเป็นจำนวน 50 ตัว เมื่อเวลาผ่านไป ปลานิลได้ตายลงจนเหลือเพียง 10 ตัว พระบาทสมเด็จพระมหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร จึงทรงนำปลานิลกลับมาเลี้ยงด้วยพระองค์เองในวังสวนจิตรลดา จนสามารถเพาะขยายพันธุ์และสามารถพระราชทานให้กรมประมงได้ถึง 10,000 ตัว ภายในเวลาเพียงไม่ถึง 1 ปี[89] จนปัจจุบัน ปลานิลกลายเป็นหนึ่งในปลาเศรษฐกิจที่สำคัญชนิดหนึ่งของไทย
  • พ.ศ. 2523 ทรงได้รับเลือกให้เป็นสมาชิกต่างชาติของ Linnean Society of London ซึ่งเป็นสมาคมวิชาการศึกษาในด้านประวัติศาสตร์ธรรมชาติ, วิวัฒนาการ และอนุกรมวิธาน[24]
  • วันที่ 23 ตุลาคม พ.ศ. 2535 ทรงพระราชนิพนธ์บทความเรื่อง "Early cultivators of science in Japan" (นักบุกเบิกวิทยาศาสตร์ยุคแรกในญี่ปุ่น) ในวารสารไซเอินซ์[90]
  • นักวิจัยได้อัญเชิญพระนามของพระองค์ไปตั้งเป็นชื่อสายพันธุ์ใหม่ของปลาบู่ เพื่อถวายพระเกียรติให้กับพระองค์ที่ทรงทุ่มเทในการวิจัยด้านนี้มาหลายปี โดยสายพันธุ์ปลาบู่ที่มีพระนามของพระองค์ ได้แก่ "Platygobiopsis akihito" (2535)[91] และ "Exyrias akihito" (2548)[92] นอกจากนี้ยังมีการอัญเชิญพระนามของพระองค์ไปตั้งเป็นชื่อสกุลของปลาบู่อีกด้วย โดยสกุลของปลาบู่ที่ตั้งขึ้นใหม่ มีชื่อว่า "Akihito"[93]
  • พ.ศ. 2541 ทรงได้รับพระราชทานเหรียญรางวัล Charles II Medal จากราชสมาคมแห่งสหราชอาณาจักรเป็นพระองค์แรกของโลก สำหรับผลงานวิจัยด้านมีนวิทยา[94]
  • พ.ศ. 2543, 2551, และ 2559 ทรงเป็นนักวิจัยหลักในการตีพิมพ์บทความในวารสาร Gene[95][96][97]
  • ทรงเป็นสมาชิกสมาคมวิชาการมีนวิทยาแห่งญี่ปุ่น (The Ichthyological Society of Japan) โดยพระองค์มีการตีพิมพ์งานวิจัยทั้งหมด 28 ฉบับ (ข้อมูล ณ พ.ศ. 2561)[98]
  • นับตั้งแต่พระองค์ทรงทำการวิจัยมา พระองค์ทรงค้นพบปลาบู่สายพันธุ์ใหม่ทั้งหมด 8 สายพันธุ์[24][99] ได้แก่
  1. Glossogobius aureus (2518)
  2. Pandaka trimaculata (2518)
  3. Myersina nigrivirgata (2526)
  4. Astrabe flavimaculata (2531)
  5. Astrabe fasciata (2531)
  6. Cristatogobius aurimaculatus (2543)
  7. Callogobius albipunctatus (2564)
  8. Callogobius dorsomaculatus (2564)
  • ทรงเคยได้รับปลาบลูจิลล์จากนายกเทศมนตรีนครชิคาโก สหรัฐอเมริกา ซึ่งเป็นปลาในลุ่มแม่น้ำมิสซิสซิปปี และพระองค์ได้พระราชทานให้กับกรมประมงในการเพาะเลี้ยงขยายพันธุ์ เนื่องจากทรงมีพระราชประสงค์ให้ปลาชนิดนี้เป็นแหล่งอาหารให้กับคนยากจน อย่างไรก็ตาม ปลาชนิดนี้กลับขยายพันธุ์อย่างรวดเร็วจนผิดปกติ และส่งผลลบต่อระบบนิเวศ ซึ่งพระองค์ทรงเสียพระทัยเป็นอย่างมาก และได้มีพระราชดำรัสถึงเหตุการณ์นี้ในวันที่ 11 พฤศจิกายน พ.ศ. 2550[100]

การรำลึกถึงสงคราม

[แก้]
ทรงวางพวงมาลัย เพื่อไว้อาลัยแด่สงคราม ณ รัฐฮาวาย สหรัฐอเมริกา พ.ศ. 2552

วันที่ 6 สิงหาคม พ.ศ. 2503 ขณะที่ทรงดำรงอิสริยยศมกุฎราชกุมาร ทรงร่วมพิธีรำลึกครบรอบ 15 ปีการทิ้งระเบิดปรมาณูที่จังหวัดฮิโรชิมา ซึ่งถือว่าเป็นครั้งแรกของพระบรมวงศานุวงศ์ที่เสด็จไปร่วมพิธีรำลึกถึงสงคราม โดยการร่วมงานของพระองค์ในครั้งนี้ได้ทำให้พิธีรำลึกกลายเป็นพิธีระดับชาติต่อมาจนถึงปัจจุบัน[101]

ภายหลังการขึ้นครองราชย์ พระองค์ได้เสด็จฯไปในพิธีรำลึกสงครามเนื่องในโอกาสครบรอบที่สำคัญเป็นประจำ เพื่อแสดงความเสียพระทัยอย่างสุดซึ้งต่อความเสียหายที่เกิดขึ้นจากสงคราม เช่น

ด้านธรรมชาติ

[แก้]

ทรงปฏิบัติพระราชกรณียกิจในด้านการรักษาสิ่งแวดล้อมและธรรมชาติ เช่น

  • ทรงร่วมงานปลูกต้นไม้แห่งชาติ (全国植樹祭) เป็นประจำทุกปี ซึ่งทรงสืบทอดพระราชกรณียกิจนี้มาจากจักรพรรดิโชวะ พระบรมราชชนก[47][102]
  • ทรงร่วมชมการแข่งขันประมงแห่งชาติเพื่อความอุดมสมบูรณ์ของท้องทะเล (全国豊かな海づくり大会) เป็นประจำทุกปี[47]

ด้านกีฬา

[แก้]
ทรงเยี่ยมนักกีฬาพาราลิมปิก เมื่อ พ.ศ. 2507

ทรงปฏิบัติพระราชกรณียกิจในด้านส่งเสริมการกีฬา เช่น

ด้านเยาวชน

[แก้]

ทรงปฏิบัติพระราชกรณียกิจในด้านการส่งเสริมเยาวชน เช่น

  • เสด็จฯเยี่ยมชมชั้นเรียน ณ โรงเรียนประถมศึกษา เนื่องในวันเด็กแห่งชาติ[108]
  • ทรงร่วมพิธีฉลองครบรอบ 50 ปีการก่อตั้งการศึกษาระดับมัธยมศึกษาตอนต้น[109]
  • ทรงร่วมพิธีฉลองการเปิดหอสมุดเด็กนานาชาติ[109]
  • ทรงร่วมการประชุมการเลี้ยงดูเด็กแห่งชาติ[110]

ด้านศิลปะและวัฒนธรรม

[แก้]

ทรงปฏิบัติพระราชกรณียกิจในด้านการส่งเสริมศิลปะและวัฒนธรรม เช่น

  • ทรงเป็นองค์ประธานมอบรางวัลของสถาบันศิลปะแห่งญี่ปุ่น[111]
  • ทรงร่วมพิธีฉลองเทศกาลศิลปะ[109]

ด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี

[แก้]

ทรงปฏิบัติพระราชกรณียกิจในด้านการส่งเสริมวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี เช่น

  • ทรงเป็นองค์ประธานมอบรางวัลในงาน Japan Prize Award[112] ซึ่งเป็นพิธีมอบรางวัลให้แก่นักวิทยาศาสตร์และวิศวกรจากทั่วโลกที่มีผลงานโดดเด่นและสร้างสรรค์ในสาขาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี
  • ทรงเป็นองค์ประธานมอบรางวัลของสถาบันวิทยาศาสตร์แห่งญี่ปุ่น[113]
  • ทรงเป็นองค์ประธานมอบรางวัลของสถาบันชีววิทยาศาสตร์นานาชาติ[114]
ทรงร่วมงานของศูนย์ฟื้นฟูสมรรถภาพผู้พิการแห่งชาติ พ.ศ. 2552

ด้านผู้พิการ

[แก้]

ทรงปฏิบัติพระราชกรณียกิจในด้านการสนับสนุนผู้พิการ เช่น

  • ทรงร่วมพิธีเปิดการแข่งขันกีฬาสำหรับผู้พิการแห่งชาติ[109]
  • ทรงร่วมพิธีฉลองครบรอบ การก่อตั้งศูนย์ฟื้นฟูสมรรถภาพผู้พิการแห่งชาติและศูนย์ฟื้นฟูสมรรถภาพทางอาชีพแห่งชาติ[109]
  • ทรงร่วมการประชุมใหญ่เพื่อฉลองการครบรอบการก่อตั้งสมาคมผู้พิทักษ์เด็กและผู้ใหญ่ที่มีความบกพร่องทางร่างกายและจิตใจอย่างรุนแรง[109]

การเสด็จเยี่ยมพื้นที่ภัยพิบัติ

[แก้]
  • เดือนกรกฎาคม พ.ศ. 2534 เสด็จฯเยือนเมืองชิมาบาระ จังหวัดนางาซากิ เพื่อเยี่ยมผู้ประสบภัยจากตระกอนภูเขาไฟอุนเซ็น-ฟูเก็น ซึ่งมีผู้เสียชีวิต 43 ราย[47]
  • เดือนกรกฎาคม พ.ศ. 2536 เสด็จฯเยือนเกาะโอกูชิริ เพื่อเยี่ยมผู้ประสบภัยจากสึนามิ จากเหตุการณ์แผ่นดินไหวใหญ่ทางตะวันตกเฉียงใต้ของฮอกไกโด[47]
  • วันที่ 31 มกราคม พ.ศ. 2538 เสด็จฯเยือนจังหวัดเฮียวโกะ เพื่อเยี่ยมผู้ประสบภัยจากแผ่นดินไหวครั้งใหญ่ฮันชิง ซึ่งมีผู้เสียชีวิตกว่า 6,400 ราย[47]
  • เดือนตุลาคม พ.ศ. 2547 เสด็จฯเยี่ยมผู้ประสบภัย จากเหตุการณ์แผ่นดินไหวที่นีงาตะ-ชูเอ็ตสึ[72]
  • วันที่ 16 มีนาคม พ.ศ. 2554 ทรงมีพระราชดำรัสผ่านวิดิโอถึงผู้ประสบภัยเหตุการณ์แผ่นดินไหวและคลื่นสึนามิในโทโฮกุ[115], เสด็จฯวางช่อดอกไม้รำลึกถึงผู้เสียชีวิตในเหตุการณ์[116], อีกทั้งเหตุการณ์ภัยพิบัตินี้ได้ส่งผลกระทบต่อโรงไฟฟ้านิวเคลียร์ ทำให้ญี่ปุ่นมีปัญหาเรื่องการใช้ไฟฟ้าภายในประเทศ จึงต้องมีนโยบายในการงดจ่ายกระแสไฟฟ้าบางช่วงเวลาในบางพื้นที่ โดยเขตชิโยดะซึ่งเป็นที่ตั้งของพระราชวังหลวงโตเกียวนั้นไม่ได้อยู่ในแผนการงดจ่ายกระแสไฟฟ้า อย่างไรก็ตาม พระองค์ก็ทรงร่วมงดใช้ไฟฟ้าวันละ 2 - 4 ชั่วโมงในพระตำหนักด้วยพระองค์เอง ตั้งแต่วันที่ 15 - 23 มีนาคม พ.ศ. 2554[117]
  • เดือนพฤษภาคม พ.ศ. 2559 เสด็จฯเยี่ยมผู้ประสบภัย จากเหตุการณ์แผ่นดินไหวที่คุมาโมโตะ[54]

การเสด็จเยือนต่างจังหวัด

[แก้]

วันที่ 17 - 19 กรกฎาคม พ.ศ. 2518 ทรงเสด็จฯเยือนจังหวัดโอกินาวะ เป็นครั้งแรก ขณะที่พระองค์ดำรงพระอิสริยยศมกุฎราชกุมาร ซึ่งจังหวัดโอกินาวะเคยอยู่ภายใต้การปกครองของสหรัฐอเมริกา และเพิ่งได้กลับคืนสู่การปกครองของญี่ปุ่นในปี พ.ศ. 2515 โดยจุดประสงค์หลักคือทรงเข้าร่วมพิธีเปิดงานมหกรรมนานาชาติทางทะเลโอกินาวะ อย่างไรก็ตาม มีกลุ่มการเมืองฝ่ายซ้ายสุดขั้วได้ระดมพลขัดขวางพิธีเปิดและพิธีปิดของงานเป็นจำนวนถึง 22,000 คน และมีกลุ่มคนบางส่วนได้ก่อเหตุที่รุนแรง เช่น ขว้างขวดเปล่าใส่ขบวนรถยนต์ที่ประทับ และขว้างระเบิดเพลิงขณะที่ทรงไปเคารพหอคอยฮิเมะยูริ อย่างไรก็ตาม ไม่มีเหตุอันตรายใด ๆ เกิดขึ้นแก่พระองค์โดยตรง และในเวลาถัดมาได้มีการจับกุมสมาชิกกลุ่มหัวรุนแรง 401 คนในข้อหาขัดขวางการปฏิบัติหน้าที่ของเจ้าพนักงานและรวมตัวกันโดยมีอาวุธร้ายแรง[118]

สมเด็จพระจักรพรรดิอากิฮิโตะและสมเด็จพระจักรพรรดินีมิจิโกะ ทรงเสด็จพระราชดำเนินเยือนต่างจังหวัดครบทั้ง 47 จังหวัดตั้งแต่ที่ยังทรงดำรงตำแหน่งมกุฎราชกุมาร โดยหลังจากพระองค์เสด็จขึ้นครองราชย์แล้ว พระองค์ก็ได้เสด็จฯเยือนครบทั้ง 47 จังหวัดเป็นครั้งที่ 2 ในปี พ.ศ. 2546 และเป็นครั้งที่ 3 ในปี พ.ศ. 2560[47]

การเสด็จเยือนต่างประเทศ[119][120][121][122]

[แก้]
ประเทศ วันที่ พระราชกรณียกิจ เสด็จพร้อมด้วย
 สหราชอาณาจักร 30 มีนาคม - 12 ตุลาคม พ.ศ. 2496 ทรงร่วมพิธีบรมราชาภิเษกสมเด็จพระราชินีนาถอลิซาเบธที่ 2

ซึ่งเป็นการเยือนต่างประเทศครั้งแรกของพระองค์
และเสด็จฯด้วยเรือโดยสารพระที่นั่ง[123]

8 - 25 มิถุนายน พ.ศ. 2519 เสด็จเยือนเพื่อส่งเสริมความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ มกุฎราชกุมารีมิจิโกะ
26 กรกฎาคม - 2 สิงหาคม พ.ศ. 2524 ทรงร่วมพิธีอภิเษกสมรสเจ้าชายชาร์ลส์ ฟิลิป อาร์เธอร์ จอร์จ มกุฎราชกุมารีมิจิโกะ
 แคนาดา 30 มีนาคม - 12 ตุลาคม พ.ศ. 2496 เสด็จเยือนเป็นการส่วนพระองค์
 ฝรั่งเศส
 สเปน 30 มีนาคม - 12 ตุลาคม พ.ศ. 2496 เสด็จเยือนเป็นการส่วนพระองค์
11 - 22 ตุลาคม พ.ศ. 2516 เสด็จเยือนเพื่อส่งเสริมความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ มกุฎราชกุมารีมิจิโกะ
23 กุมภาพันธ์ - 9 มีนาคม พ.ศ. 2528 เสด็จเยือนเพื่อส่งเสริมความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ มกุฎราชกุมารีมิจิโกะ
 โมนาโก 30 มีนาคม - 12 ตุลาคม พ.ศ. 2496 เสด็จเยือนเป็นการส่วนพระองค์
 อิตาลี
 เบลเยียม
 เนเธอร์แลนด์
 เยอรมนี
 เดนมาร์ก 30 มีนาคม - 12 ตุลาคม พ.ศ. 2496 เสด็จเยือนเป็นการส่วนพระองค์
1 - 15 มิถุนายน พ.ศ. 2528 เสด็จเยือนเพื่อส่งเสริมความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ มกุฎราชกุมารีมิจิโกะ
 นอร์เวย์ 30 มีนาคม - 12 ตุลาคม พ.ศ. 2496 เสด็จเยือนเป็นการส่วนพระองค์
1 - 15 มิถุนายน พ.ศ. 2528 เสด็จเยือนเพื่อส่งเสริมความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ มกุฎราชกุมารีมิจิโกะ
 สวีเดน 30 มีนาคม - 12 ตุลาคม พ.ศ. 2496 เสด็จเยือนเป็นการส่วนพระองค์
1 - 15 มิถุนายน พ.ศ. 2528 เสด็จเยือนเพื่อส่งเสริมความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ มกุฎราชกุมารีมิจิโกะ
  สวิตเซอร์แลนด์ 30 มีนาคม - 12 ตุลาคม พ.ศ. 2496 เสด็จเยือนเป็นการส่วนพระองค์
 สหรัฐ 22 กันยายน - 7 ตุลาคม พ.ศ. 2503 ทรงร่วมงานครบรอบ 100 ปีความสัมพันธ์ทางการทูต มกุฎราชกุมารีมิจิโกะ
3 - 10 ตุลาคม พ.ศ. 2530 เสด็จเยือนเพื่อส่งเสริมความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ มกุฎราชกุมารีมิจิโกะ
 อิหร่าน 12 พฤศจิกายน - 9 ธันวาคม พ.ศ. 2503 เสด็จเยือนเพื่อส่งเสริมความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ มกุฎราชกุมารีมิจิโกะ
 เอธิโอเปีย
 อินเดีย
 เนปาล 12 พฤศจิกายน - 9 ธันวาคม พ.ศ. 2503 เสด็จเยือนเพื่อส่งเสริมความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ มกุฎราชกุมารีมิจิโกะ
20 - 28 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2518 ทรงร่วมพิธีบรมราชาภิเษก

สมเด็จพระราชาธิบดีพีเรนทระแห่งเนปาล

มกุฎราชกุมารีมิจิโกะ
 ปากีสถาน 22 มกราคม - 10 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2505 เสด็จเยือนเพื่อส่งเสริมความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ มกุฎราชกุมารีมิจิโกะ
 อินโดนีเซีย
 ฟิลิปปินส์ 5 - 10 พฤศจิกายน พ.ศ. 2505 เสด็จเยือนเพื่อส่งเสริมความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ มกุฎราชกุมารีมิจิโกะ
 เม็กซิโก 10 - 17 พฤษภาคม พ.ศ. 2507 เสด็จเยือนเพื่อส่งเสริมความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ มกุฎราชกุมารีมิจิโกะ
 ไทย 14 - 21 ธันวาคม พ.ศ. 2507 เสด็จเยือนเพื่อส่งเสริมความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ มกุฎราชกุมารีมิจิโกะ
 เปรู 9 - 31 พฤษภาคม พ.ศ. 2510 เสด็จเยือนเพื่อส่งเสริมความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ มกุฎราชกุมารีมิจิโกะ
 อาร์เจนตินา
 บราซิล 9 - 31 พฤษภาคม พ.ศ. 2510 เสด็จเยือนเพื่อส่งเสริมความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ มกุฎราชกุมารีมิจิโกะ
12 - 27 มิถุนายน พ.ศ. 2521 ทรงร่วมงานครบรอบ 70 ปีการอพยพของชาวญี่ปุ่น มกุฎราชกุมารีมิจิโกะ
 มาเลเซีย 19 - 28 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2513 เสด็จเยือนเพื่อส่งเสริมความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ มกุฎราชกุมารีมิจิโกะ
 สิงคโปร์
 อัฟกานิสถาน 3 - 12 มิถุนายน พ.ศ. 2514 เสด็จเยือนเพื่อส่งเสริมความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ มกุฎราชกุมารีมิจิโกะ
 ออสเตรเลีย 6 - 23 พฤษภาคม พ.ศ. 2516 เสด็จเยือนเพื่อส่งเสริมความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ มกุฎราชกุมารีมิจิโกะ
 นิวซีแลนด์
 จอร์แดน 8 - 25 มิถุนายน พ.ศ. 2519 เสด็จเยือนเพื่อส่งเสริมความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ มกุฎราชกุมารีมิจิโกะ
 ยูโกสลาเวีย
 ปารากวัย 12 - 27 มิถุนายน พ.ศ. 2521 ทรงร่วมงานครบรอบ 70 ปีการอพยพของชาวญี่ปุ่น มกุฎราชกุมารีมิจิโกะ
 โรมาเนีย 5 - 14 ตุลาคม พ.ศ. 2522 เสด็จเยือนเพื่อส่งเสริมความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ มกุฎราชกุมารีมิจิโกะ
 บัลแกเรีย
 ซาอุดีอาระเบีย 27 กุมภาพันธ์ - 7 มีนาคม พ.ศ. 2524 เสด็จเยือนเพื่อส่งเสริมความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ มกุฎราชกุมารีมิจิโกะ
 ศรีลังกา
 แซมเบีย 10 - 25 มีนาคม พ.ศ. 2526 เสด็จเยือนเพื่อส่งเสริมความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ มกุฎราชกุมารีมิจิโกะ
 แทนซาเนีย
 เคนยา
 ซาอีร์ 25 กุมภาพันธ์ - 8 มีนาคม พ.ศ. 2527 เสด็จเยือนเพื่อส่งเสริมความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ มกุฎราชกุมารีมิจิโกะ
 เซเนกัล
 ไอร์แลนด์ 23 กุมภาพันธ์ - 9 มีนาคม พ.ศ. 2528 เสด็จเยือนเพื่อส่งเสริมความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ มกุฎราชกุมารีมิจิโกะ
 ฟินแลนด์ 1 - 15 มิถุนายน พ.ศ. 2528 เสด็จเยือนเพื่อส่งเสริมความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ มกุฎราชกุมารีมิจิโกะ
ภายหลังการขึ้นครองราชสมบัติ
 ไทย 26 กันยายน - 6 ตุลาคม พ.ศ. 2534 เสด็จเยือนเพื่อส่งเสริมความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ สมเด็จพระจักรพรรดินีมิจิโกะ
8 - 15 มิถุนายน พ.ศ. 2549 ทรงร่วมงานฉลองการครองราชสมบัติครบ 60 ปีของ

พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดช

สมเด็จพระจักรพรรดินีมิจิโกะ
 มาเลเซีย 26 กันยายน - 6 ตุลาคม พ.ศ. 2534 เสด็จเยือนเพื่อส่งเสริมความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ สมเด็จพระจักรพรรดินีมิจิโกะ
 อินโดนีเซีย 26 กันยายน - 6 ตุลาคม พ.ศ. 2534 เสด็จเยือนเพื่อส่งเสริมความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ สมเด็จพระจักรพรรดินีมิจิโกะ
 จีน 23 - 28 ตุลาคม พ.ศ. 2535 เสด็จเยือนเพื่อส่งเสริมความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ สมเด็จพระจักรพรรดินีมิจิโกะ
 เบลเยียม 6 - 9 สิงหาคม พ.ศ. 2536 ทรงร่วมงานพระบรมศพสมเด็จพระราชาธิบดีโบดวงแห่งเบลเยียม สมเด็จพระจักรพรรดินีมิจิโกะ
3 - 19 กันยายน พ.ศ. 2536 เสด็จเยือนเพื่อส่งเสริมความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ สมเด็จพระจักรพรรดินีมิจิโกะ
 อิตาลี 3 - 19 กันยายน พ.ศ. 2536 เสด็จเยือนนครรัฐวาติกัน สมเด็จพระจักรพรรดินีมิจิโกะ
 เยอรมนี 3 - 19 กันยายน พ.ศ. 2536 เสด็จเยือนเพื่อส่งเสริมความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ สมเด็จพระจักรพรรดินีมิจิโกะ
 สหรัฐ 10 - 26 มิถุนายน พ.ศ. 2537 เสด็จเยือนเพื่อส่งเสริมความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ สมเด็จพระจักรพรรดินีมิจิโกะ
3 - 17 กรกฎาคม พ.ศ. 2552 เสด็จเยือนรัฐฮาวายเพื่อส่งเสริมความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ

และทรงร่วมงานครบรอบ 50 ปีมูลนิธิทุนการศึกษา

มกุฎราชกุมารอากิฮิโตะ

สมเด็จพระจักรพรรดินีมิจิโกะ
 ฝรั่งเศส 2 - 14 ตุลาคม พ.ศ. 2537 เสด็จเยือนเพื่อส่งเสริมความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ สมเด็จพระจักรพรรดินีมิจิโกะ
 สเปน
 บราซิล 30 พฤษภาคม - 13 มิถุนายน พ.ศ. 2540 เสด็จเยือนเพื่อส่งเสริมความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ สมเด็จพระจักรพรรดินีมิจิโกะ
 อาร์เจนตินา
 สหราชอาณาจักร 23 พฤษภาคม - 5 มิถุนายน พ.ศ. 2541 เสด็จเยือนเพื่อส่งเสริมความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ สมเด็จพระจักรพรรดินีมิจิโกะ
21 - 30 พฤษภาคม พ.ศ. 2550 ทรงร่วมงานตามคำทูลเชิญของสมาคม

Linnean Society of London เนื่องในวันครบรอบ 300 ปี

ชาตะกาลของคอล ฟ็อน ลินเนีย

สมเด็จพระจักรพรรดินีมิจิโกะ
16 - 20 พฤษภาคม พ.ศ. 2555 ทรงร่วมงานฉลองการครองราชสมบัติครบ 60 ปีของ

สมเด็จพระราชินีนาถอลิซาเบธที่ 2

สมเด็จพระจักรพรรดินีมิจิโกะ
 เดนมาร์ก 23 พฤษภาคม - 5 มิถุนายน พ.ศ. 2541 เสด็จเยือนเพื่อส่งเสริมความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ สมเด็จพระจักรพรรดินีมิจิโกะ
 เนเธอร์แลนด์ 20 พฤษภาคม - 1 มิถุนายน พ.ศ. 2543 เสด็จเยือนเพื่อส่งเสริมความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ สมเด็จพระจักรพรรดินีมิจิโกะ
 สวีเดน 20 พฤษภาคม - 1 มิถุนายน พ.ศ. 2543 เสด็จเยือนเพื่อส่งเสริมความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ สมเด็จพระจักรพรรดินีมิจิโกะ
21 - 30 พฤษภาคม พ.ศ. 2550 เสด็จเยือนเพื่อส่งเสริมความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ สมเด็จพระจักรพรรดินีมิจิโกะ
 โปแลนด์ 6 - 20 กรกฎาคม พ.ศ. 2545 เสด็จเยือนเพื่อส่งเสริมความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ สมเด็จพระจักรพรรดินีมิจิโกะ
 ฮังการี
 สิงคโปร์ 8 - 15 มิถุนายน พ.ศ. 2549 เสด็จเยือนเพื่อส่งเสริมความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ

เนื่องในโอกาสครบรอบ 40 ปีความสัมพันธ์ทางการทูต

สมเด็จพระจักรพรรดินีมิจิโกะ
 เอสโตเนีย 21 - 30 พฤษภาคม พ.ศ. 2550 เสด็จเยือนเพื่อส่งเสริมความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ สมเด็จพระจักรพรรดินีมิจิโกะ
 ลัตเวีย
 ลิทัวเนีย
 แคนาดา 3 - 17 กรกฎาคม พ.ศ. 2552 เสด็จเยือนเพื่อส่งเสริมความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ สมเด็จพระจักรพรรดินีมิจิโกะ
 อินเดีย 30 พฤศจิกายน - 6 ธันวาคม พ.ศ. 2556 เสด็จเยือนเพื่อส่งเสริมความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ สมเด็จพระจักรพรรดินีมิจิโกะ
 ปาเลา 8 - 9 เมษายน พ.ศ. 2558 เสด็จเยือนเพื่อรำลึกการสิ้นสุดสงครามโลกครั้งที่สองครบรอบ 70 ปี สมเด็จพระจักรพรรดินีมิจิโกะ
 ฟิลิปปินส์ 26 - 30 มกราคม พ.ศ. 2559 เสด็จเยือนเพื่อส่งเสริมความสัมพันธ์ระหว่างประเทศในโอกาส

ครบรอบ 60 ปีความสัมพันธ์ทางการทูต

สมเด็จพระจักรพรรดินีมิจิโกะ
 เวียดนาม 28 กุมภาพันธ์ - 6 มีนาคม พ.ศ. 2560 เสด็จเยือนเพื่อส่งเสริมความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ

โดยเป็นการเยือนต่างประเทศครั้งสุดท้ายของพระองค์ในรัชสมัยเฮเซ

สมเด็จพระจักรพรรดินีมิจิโกะ

การต้อนรับประมุขจากต่างประเทศ

[แก้]

หลังจากที่ทรงขึ้นครองราชย์ พระองค์ได้ต้อนรับการมาเยือนประเทศญี่ปุ่นอย่างเป็นทางการของประมุขจากต่างประเทศในฐานะแขกของรัฐ (国賓)[124][125][126] ดังนี้

ประเทศ วันที่ ประมุข พร้อมด้วย
 ซิมบับเว ตุลาคม พ.ศ. 2532 รอเบิร์ต มูกาบี -
 แทนซาเนีย ธันวาคม พ.ศ. 2532 Ali Hassan Mwinyi Siti Mwiny (ภริยา)
 สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ พฤษภาคม พ.ศ. 2533 Zayed bin Sultan Al Nahyan Mohamed bin Zayed Al Nahyan (เจ้าชาย)
Sultan bin Zayed Al Nahyan (เจ้าชาย)
Ahmed bin Zayed Al Nahyan (เจ้าชาย)
Nasser bin Zayed Al Nahyan (เจ้าชาย)
 เกาหลีใต้ พฤษภาคม พ.ศ. 2533 โน แท-อู คิม อก-ซุก (ภริยา)
มีนาคม พ.ศ. 2537 คิม ย็อง-ซัม ซน มยองซุน (ภริยา)
ตุลาคม พ.ศ. 2541 คิม แด-จุง อี ฮี-โฮ (ภริยา)
มิถุนายน พ.ศ. 2546 โน มู-ฮย็อน คว็อน ยัง-ซุก
สหภาพโซเวียต เมษายน พ.ศ. 2534 มีฮาอิล กอร์บาชอฟ ไรซา กอร์บาโชวา (ภริยา)
 เนเธอร์แลนด์ ตุลาคม พ.ศ. 2534 สมเด็จพระราชินีนาถเบียทริกซ์ เจ้าชายวิลเลิม-อเล็กซานเดอร์ เจ้าชายแห่งออเรนจ์
ตุลาคม พ.ศ. 2557 สมเด็จพระราชาธิบดีวิลเลิม-อเล็กซานเดอร์ สมเด็จพระราชินีมักซิมา
 สหรัฐ มกราคม พ.ศ. 2535 จอร์จ เอช. ดับเบิลยู. บุช บาร์บารา บุช (ภริยา)
เมษายน พ.ศ. 2539 บิล คลินตัน ฮิลลารี คลินตัน (ภริยา)
เมษายน พ.ศ. 2557 บารัก โอบามา -
 เปรู มีนาคม พ.ศ. 2535 อัลเบร์โต ฟูฆิโมริ -
 เชโกสโลวาเกีย เมษายน พ.ศ. 2535 วาตส์ลัฟ ฮาแว็ล Olga Šplíchalová (ภริยา)
 ฟิลิปปินส์ มีนาคม พ.ศ. 2536 ฟิเดล รามอส อเมลิตา รามอส (ภริยา)
ธันวาคม พ.ศ. 2545 กลอเรีย มาคาปากัล-อาร์โรโย โฮเซ มิเกล อาร์โรโย (สามี)
มิถุนายน พ.ศ. 2558 เบนิกโน อากีโนที่ 3 -
 มาเลเซีย เมษายน พ.ศ. 2536 สมเด็จพระราชาธิบดีอัซลัน มูฮิบบุดดิน ชาห์ ตวนกู บัยนุน บินติ โมห์ด อาลี
มีนาคม พ.ศ. 2548 สมเด็จพระราชาธิบดีซัยยิด ซีรอญุดดีน เติงกู เฟาซียะห์ บินติ เติงกู อับดุลราชิด
ตุลาคม พ.ศ. 2555 สมเด็จพระราชาธิบดีอับดุล ฮาลิม มูอัซซัม ชาห์ รายา ประไหมสุหรี อากง ตวนกู ฮัมไมนาล บินดิ ฮาไมดุน
 รัสเซีย ตุลาคม พ.ศ. 2536 บอริส เยลต์ซิน ไนนา เยลต์ซิน (ภริยา)
 โปรตุเกส ตุลาคม พ.ศ. 2536 มารียู ซูวารึช Maria Barroso (ภริยา)
 โปแลนด์ ธันวาคม พ.ศ. 2537 แลค วาแวนซา Mirosława Danuta Gołoś (ภริยา)
 ไอร์แลนด์ กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2538 Mary Robinson Nicholas Robinson (สามี)
 อียิปต์ มีนาคม พ.ศ. 2538 ฮุสนี มุบาร็อก ซูซาน ษาบิต (ภริยา)
 แอฟริกาใต้ กรกฎาคม พ.ศ. 2538 เนลสัน แมนเดลา -
ตุลาคม พ.ศ. 2544 ทาบอ อึมแบกี Zanele Dlamini (ภริยา)
 บราซิล มีนาคม พ.ศ. 2539 เฟร์นังดู เอ็งรีกี การ์โดซู Ruth Leite (ภริยา)
 ตูนิเซีย กรกฎาคม พ.ศ. 2539 ซัยนุลอาบิดีน บิน อะลี ลัยลา บิน อะลี (ภริยา)
 เบลเยียม กรกฎาคม พ.ศ. 2539 สมเด็จพระราชาธิบดีอัลแบร์ที่ 2 สมเด็จพระราชินีเปาลาแห่งเบลเยียม
เจ้าชายฟีลิป ดยุกแห่งบราบันต์
ตุลาคม พ.ศ. 2559 สมเด็จพระราชาธิบดีฟีลิป สมเด็จพระราชินีมาตีลด์
 ฝรั่งเศส พฤศจิกายน พ.ศ. 2539 ฌัก ชีรัก Bernadette Chodron de Courcel (ภริยา)
มิถุนายน พ.ศ. 2556 ฟร็องซัว ออล็องด์ วาเลรี ทรีแอร์แวแลร์ (คู่ครองนอกสมรส)
 เม็กซิโก มีนาคม พ.ศ. 2540 Ernesto Zedillo Nilda Patricia Velasco (ภริยา)
ตุลาคม พ.ศ. 2546 บิเซนเต ฟอกซ์ มาริตา ซาฆากุน (ภริยา)
 เยอรมนี เมษายน พ.ศ. 2540 โรมัน แฮร์ทโซค คริสทีอาเนอ เคราส์ (ภริยา)
 บัลแกเรีย พฤศจิกายน พ.ศ. 2540 Petar Stoyanov Antonina Stoyanova (ภริยา)
 อิตาลี เมษายน พ.ศ. 2541 ออสการ์ ลุยจี สกัลฟาโร -
 จีน พฤศจิกายน พ.ศ. 2541 เจียง เจ๋อหมิน หวัง เย่ผิง (ภริยา)
พฤษภาคม พ.ศ. 2551 หู จิ่นเทา หลิว หย่งชิง (ภริยา)
 อาร์เจนตินา ธันวาคม พ.ศ. 2541 การ์โลส เมเนม -
 ลักเซมเบิร์ก เมษายน พ.ศ. 2542 แกรนด์ดยุกฌ็อง แกรนด์ดัชเชสโฌเซฟีน-ชาร์ล็อต
พฤศจิกายน พ.ศ. 2560 แกรนด์ดยุกอ็องรี เจ้าหญิงอาแล็กซ็องดรา (พระธิดา)
 ออสเตรีย มิถุนายน พ.ศ. 2542 โทมัส เคล็สทีล Margot Klestil-Löffler (ภริยา)
 จอร์แดน ธันวาคม พ.ศ. 2542 สมเด็จพระราชาธิบดีอับดุลลอฮ์ที่ 2 สมเด็จพระราชินีรานยา
 ฮังการี เมษายน พ.ศ. 2543 Árpád Göncz Zsuzsanna Göntér (ภริยา)
 นอร์เวย์ มีนาคม พ.ศ. 2544 สมเด็จพระราชาธิบดีฮารัลด์ที่ 5 สมเด็จพระราชินีซอนยา
 อินโดนีเซีย มิถุนายน พ.ศ. 2546 เมกาตี ซูการ์โนปูตรี เตาฟิก กีมัซ (สามี)
พฤศจิกายน พ.ศ. 2549 ซูซีโล บัมบัง ยูโดโยโน กริสเตียนี เฮราวาตี (ภริยา)
 เดนมาร์ก พฤศจิกายน พ.ศ. 2547 สมเด็จพระราชินีนาถมาร์เกรเธอที่ 2 เจ้าชายเฮนริก (พระราชสวามี)
 โมร็อกโก พฤศจิกายน พ.ศ. 2548 สมเด็จพระราชาธิบดีมุฮัมมัดที่ 6 -
 สวีเดน มีนาคม พ.ศ. 2550 สมเด็จพระราชาธิบดีคาร์ลที่ 16 กุสตาฟ สมเด็จพระราชินีซิลเวีย
 เวียดนาม พฤศจิกายน พ.ศ. 2550 เหงียน มิญ เจี๊ยต Trần Thị Kim Chi (ภริยา)
มีนาคม พ.ศ. 2557 เจือง เติ๊น ซาง Mai Thị Hạnh (ภริยา)
พฤษภาคม พ.ศ. 2561 เจิ่น ดั่ย กวาง Nguyễn Thị Hiền (ภริยา)
 สเปน พฤศจิกายน พ.ศ. 2551 สมเด็จพระราชาธิบดีฆวน การ์โลสที่ 1 สมเด็จพระราชินีโซเฟีย
เมษายน พ.ศ. 2560 สมเด็จพระราชาธิบดีเฟลิเปที่ 6 สมเด็จพระราชินีเลติเซีย
 สิงคโปร์ พฤษภาคม พ.ศ. 2552 เซลลัปปัน รามนาทัน อูร์มิลา นันเฑ (ภริยา)
ตุลาคม พ.ศ. 2559 โทนี ตัน เค็ง ยัม Mary Chee Bee Kiang (ภริยา)
 กัมพูชา พฤษภาคม พ.ศ. 2553 พระบาทสมเด็จพระบรมนาถ นโรดม สีหมุนี -
 ภูฏาน พฤศจิกายน พ.ศ. 2554 สมเด็จพระราชาธิบดีชิกเม เคซาร์ นัมกเยล วังชุก สมเด็จพระราชินีเจจุน ปัทมา วังชุก
 คูเวต มีนาคม พ.ศ. 2555 เศาะบาห์ อัลอะห์มัด อัลญาบิร อัศเศาะบาห์ -

พระเกียรติยศ

[แก้]
ธรรมเนียมพระยศของ
สมเด็จพระจักรพรรดิอากิฮิโตะ
ธงประจำพระอิสริยยศ
สัญลักษณ์ตัวอักษร "榮"
คำยกย่องเฮกะ (陛下)
ลำดับโปเจียม3

ลำดับพระราชอิสริยยศ

[แก้]
  • 23 ธันวาคม พ.ศ. 2476 – 10 พฤศจิกายน พ.ศ. 2495: เจ้าชายอากิฮิโตะ (明仁親王) หรือ เจ้าชายสึงุ (ญี่ปุ่น: 継宮; อังกฤษ: Prince Tsugu)
  • 10 พฤศจิกายน พ.ศ. 2495 – 7 มกราคม พ.ศ. 2532: มกุฎราชกุมารอากิฮิโตะ (ญี่ปุ่น: 皇太子; อังกฤษ: Crown Prince Akihito)
  • 7 มกราคม พ.ศ. 2532 – 30 เมษายน พ.ศ. 2562: สมเด็จพระจักรพรรดิอากิฮิโตะ (ญี่ปุ่น: 天皇; อังกฤษ: His Majesty the Emperor)
  • 1 พฤษภาคม พ.ศ. 2562 – ปัจจุบัน: สมเด็จพระจักรพรรดิพระเจ้าหลวงอากิฮิโตะ (ญี่ปุ่น: 上皇; อังกฤษ: His Majesty the Emperor Emeritus)

เครื่องราชอิสริยาภรณ์

[แก้]

ญี่ปุ่น

[แก้]

ต่างประเทศ

[แก้]
ประเทศ ปีที่ได้รับ (พ.ศ) เครื่องราชอิสริยาภรณ์ แพรแถบ
 ไลบีเรีย Order of the Star of Africa
Order of the Pioneers of Liberia ชั้น Grand Cordon
 ฝรั่งเศส เครื่องอิสริยาภรณ์เลฌียงดอเนอร์ ชั้นกร็อง-กรัวซ์
 กัมพูชา เครื่องอิสริยยศพระราชาณาจักรกัมพูชา ชั้นมหาเสรีวัฒน์
 เปรู เครื่องอิสริยาภรณ์พระอาทิตย์แห่งเปรู ชั้นประถมาภรณ์
 บราซิล เครื่องอิสริยาภรณ์ดาวกางเขนใต้ ชั้นสายสร้อย
 เช็กเกีย เครื่องอิสริยาภรณ์ราชสีห์ขาว ชั้นที่ 1
 เยอรมนี เครื่องอิสริยาภรณ์คุณธรรมแห่งสหพันธ์สาธารณรัฐเยอรมนี ชั้นที่ 1 พิเศษ
 อินโดนีเซีย เครื่องอิสริยาภรณ์ดาราแห่งสาธารณรัฐอินโดนีเซีย ชั้นอธิปุรณา
 อิตาลี เครื่องอิสริยาภรณ์คุณธรรมแห่งสาธารณรัฐอิตาลี ชั้นอัศวินแกรนด์ครอส (พร้อมดวงตรา)
 นอร์เวย์ เครื่องราชอิสริยาภรณ์นักบุญโอลาฟ ชั้นประถมาภรณ์ (พร้อมสายสร้อย)
 อัฟกานิสถาน Order of the Supreme Sun Order of the Sun (Afghanistan) - ribbon bar
 บาห์เรน The Al-Khalifa Order Wisam al-Khalifa 1st class
 บอตสวานา Presidential Order of Botswana PresidentialOrder.Botswana-ribbon
 แคเมอรูน Order of Valour ชั้น Grand Cordon Ordre de la Valeur (Cameroun) GC 2nd type ribbon
 ชิลี เครื่องอิสริยาภรณ์คุณธรรม (ประเทศชิลี) ชั้นสายสร้อย CHL Order of Merit of Chile - Grand Cross BAR
 โคลอมเบีย Order of Boyacá ชั้น Grand Cross Extraordinary COL Order of Boyaca - Grand Cross BAR
 โกตดิวัวร์ National Order of the Ivory Coast ชั้น Grand Cross Cote d'Ivoire Ordre national GC ribbon
 อียิปต์ Order of the Nile ชั้น Grand Cordon EGY Order of the Nile - Grand Cordon BAR
 ฟินแลนด์ เครื่องอิสริยาภรณ์กุหลาบขาวแห่งฟินแลนด์ ชั้นประถมาภรณ์ FIN Order of the White Rose Grand Cross BAR
 แกมเบีย Order of the Republic (Gambia) GAM Order of the Republic of the Gambia ribbon
 กรีซ Order of the Redeemer ชั้น Grand Cross GRE Order Redeemer 1Class
 ฮังการี Order of the Flag of the People's Republic of Hungary ชั้น 1 HUN Order of the Flag of the HPR Diamonds BAR
 ไอซ์แลนด์ Order of the Falcon ชั้น Collar with Grand Cross Breast Star Order of the Falcon ribbon
 จอร์แดน Order of Al-Hussein bin Ali ชั้น Collar Order of Al-Hussein bin Ali (Jordan)
 คาซัคสถาน Order of the Golden Eagle Ord.GoldenEagle-ribbon
 เคนยา Order of the Golden Heart (Kenya) Order of the Golden Heart of Kenya
 คูเวต Order of Mubarak the Great KUW Order of Mubarak the Great ribbon
 ลิทัวเนีย Order of Vytautas the Great with the Golden Chain LTU Order of Vytautas the Great with the Golden Chain BAR
 มาลาวี Order of the Lion (Malawi) Ord.LionMalawi
 มาเลเซีย Order of the Crown of the Realm MY Darjah Utama Seri Mahkota Negara (Crown of the Realm) - DMN
 มาลี National Order of Mali ชั้น Grand Cross Mali Ordre national du Mali GC ribbon
 เม็กซิโก Order of the Aztec Eagle ชั้น Collar MEX Orden del Aguila Azteca 2011 Collar BAR
 ไนจีเรีย Order of the Federal Republic ชั้น Grand Commander Order of the Federal Republic civil division ribbon
 โอมาน Order of Oman ชั้น 1 Civil Order of Oman - First Class
 ปากีสถาน Nishan-e-Pakistan ชั้น Grand Cross Nishan-e-Pakistan ribbon bar
 ปานามา Order of Manuel Amador Guerrero ชั้น Grand Cross PAN Order of Manuel Amador Guerrero - Grand Cross BAR
 เปรู เครื่องอิสริยาภรณ์พระอาทิตย์แห่งเปรู ชั้นประถมาภรณ์ PER Order of the Sun of Peru - Grand Cross BAR
 โปแลนด์ Order of the White Eagle (Poland)
 กาตาร์ Order of Independence (Qatar) ชั้น Collar Order of Independence (Qatar) - ribbon bar
 เซเนกัล National Order of the Lion SEN Order of the Lion - Grand Cross BAR
 ยูเครน เครื่องอิสริยาภรณ์เจ้าชายยารอสเลาผู้รอบรู้ ชั้น 1 Order of Prince Yaroslav the Wise 1st 2nd and 3rd Class of Ukraine
 สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ Order of the Union (United Arab Emirates) Ribbon bar of the Order of the Union (United Arab Emirates)
 เบลเยียม เครื่องราชอิสริยาภรณ์เลออปอล ชั้นประถมาภรณ์[128] BEL - Order of Leopold - Grand Cordon bar
 เอธิโอเปีย Order of Solomon[129] ETH Order of Solomon BAR
 ลักเซมเบิร์ก Order of the Gold Lion of the House of Nassau ชั้น Knight[130] Order of the Golden Lion of Nassau Ribbon bar
 เนเธอร์แลนด์ เครื่องราชอิสริยาภรณ์สิงโตเนเธอร์แลนด์ ชั้นประถมาภรณ์[131] NLD Order of the Dutch Lion - Grand Cross BAR
 สวีเดน 2495 เครื่องราชอิสริยาภรณ์เซราฟีม ชั้นสายสร้อย[132] Seraphimerorden ribbon
 เดนมาร์ก 2496 เครื่องราชอิสริยาภรณ์ไอยรา[133]
 สหราชอาณาจักร 2501 เครื่องราชอิสริยาภรณ์รอยัลวิกตอเรียน ชั้นอัศวินสูงสุด
เหรียญที่ระลึกในพระราชพิธีราชาภิเษกของสมเด็จพระราชินีนาถเอลิซาเบธที่ 2
2541 เครื่องราชอิสริยาภรณ์การ์เทอร์ ชั้นสูงสุด[134]
 เนปาล 2503 Order of Ojaswi Rajanya[135]
2518 เหรียญพระราชพิธีบรมราชาภิเษกสมเด็จพระราชาธิบดีพีเรนทระแห่งเนปาล
 ฟิลิปปินส์ 2505 เครื่องอิสริยาภรณ์ซิกาตูนา ชั้นสายสร้อย[136]
2545 เครื่องราชอิสริยาภรณ์ลีเจียนออฟออเนอร์ ชั้นปุนอง โกมันดัน[137]
เครื่องอิสริยาภรณ์ลาคันดูลา ชั้นที่ 1
 ไทย 2507 เครื่องขัตติยราชอิสริยาภรณ์อันมีเกียรติคุณรุ่งเรืองยิ่งมหาจักรีบรมราชวงศ์ (ม.จ.ก.) (ฝ่ายหน้า)[138]
2534 เครื่องราชอิสริยาภรณ์อันเป็นมงคลยิ่งราชมิตราภรณ์ (ร.ม.ภ.)[139]
2549 เหรียญที่ระลึกเฉลิมพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ภูมิพลอดุลยเดชมหาราช เนื่องในพระราชพิธีฉลองสิริราชสมบัติครบ 60 ปี
 สเปน 2515 เครื่องราชอิสริยาภรณ์พระเจ้าการ์โลสที่ 3 ชั้นประถมาภรณ์[140] ESP Charles III Order GC
2523 เครื่องราชอิสริยาภรณ์พระเจ้าการ์โลสที่ 3 ชั้นสายสร้อย[141] Order of Charles III - Sash of Collar
2528 เครื่องราชอิสริยาภรณ์ขนแกะทองคำ[142]
 แอฟริกาใต้ 2535 เครื่องอิสริยาภรณ์กู๊ดโฮป ชั้นประถมาภรณ์[143] Ord.GoodHope-ribbon
 โปรตุเกส 2536 เครื่องเสนาอิสริยาภรณ์นักบุญยากอบและพระขรรค์ ชั้นสายสร้อย[144]
2541 เครื่องอิสริยาภรณ์อิงฟังตึ เด. เอ็งรีกึ ชั้นสายสร้อย[144]
 ออสเตรีย 2543 เครื่องอิสริยาภรณ์กิตติคุณแห่งสาธารณรัฐออสเตรีย ชั้นมหาดารา[145] AUT Honour for Services to the Republic of Austria - 1st Class BAR
 ลัตเวีย 2550 Order of the Three Stars ชั้น Commander Grand Cross with Chain[146] Order of the Three Stars Ribbon bar
 เอสโตเนีย 2550 Order of the Cross of Terra Mariana ชั้น 1 EST Order of the Cross of Terra Mariana - 1st Class BAR
 โมร็อกโก 2551 Order of Muhammad ชั้น Special Class Ribbon Wissam al Mohamadi Morocco

ราชตระกูล

[แก้]

เกร็ด

[แก้]
จักรพรรดินีเทเม (พระอัยยิกา) และ เจ้าชายสึงุ (อากิฮิโตะ)

วัยพระเยาว์

[แก้]
  • ตารางกิจวัตรประจำวันของพระองค์คือ ตื่นบรรทมตอน 05:30 น. จากนั้นทรงเข้าเรียน, ออกกำลังกาย, เสวยพระกระยาหารและของว่าง และทรงเข้าบรรทมตอน 20:00 น. โดยทุกเช้าและตอนเย็น พระองค์ต้องทำการถวายความเคารพต่อพระบรมฉายาลักษณ์ของพระบรมราชชนกและพระบรมราชชนนี[147]
  • ทุกวันอาทิตย์ พระองค์จะเสวยพระกระยาหารกลางวันร่วมกับพระบรมราชชนก, พระบรมราชชนนี, พระเชษฐภคิณี, พระราชอนุชา, และพระขณิษฐภคิณี จากนั้นจะทรงทอดพระเนตรภาพยนตร์ร่วมกัน[147]
  • ทรงมีสุนัขทรงเลี้ยงชื่อว่า "ทามะ"[148]
  • ทรงเรียนการทรงม้ามาตั้งแต่สมัยพระเยาว์ โดยม้าทรงเลี้ยงมีชื่อว่า "วากาซะ"[149]
  • ทรงเรียนเทนนิสตั้งแต่พระชนมายุ 13 พรรษา โดยนายโคอิจิโร่ อิชิอิ อดีตนักกีฬาเทนนิสของมหาวิทยาลัยเคโอ เป็นพระอาจารย์สอนเทนนิส ซึ่งสอนสัปดาห์ละ 1 ครั้ง ครั้งละ 3 - 4 ชั่วโมง[150]
เจ้าชายสึงุ (อากิฮิโตะ) และ นางอลิซาเบธ เกรย์ วินนิ่ง พระอาจารย์ พ.ศ. 2492

หลังสงครามโลกครั้งที่ 2

[แก้]
  • วันที่ 15 สิงหาคม พ.ศ. 2488 จักรพรรดิโชวะ พระบรมราชชนก ประกาศยอมแพ้สงครามผ่านวิทยุ พระองค์ได้มีการบันทึกในสมุดบันทึกส่วนพระองค์ว่า "นับจากนี้ไป เราจะต้องเข้มแข็งขึ้นกว่าเดิม"[16]
  • เนื่องจากในยุคสงคราม จักรพรรดิจะถูกยกย่องให้เทียบเท่าเทพเจ้า อย่างไรก็ตาม หลังการแพ้สงครามประมาณ 1 ปี นางเอลิซาเบธ เกรย์ วินนิ่ง (エリザベス・ヴァイニング) พระอาจารย์สอนภาษาอังกฤษ พยายามเรียกพระองค์โดยใช้พระนามที่เรียบง่ายว่า "จิมมี่" ซึ่งในตอนแรกพระองค์ทรงตอบว่า "ไม่ใช่ครับ ผมคือเจ้าชาย" เธอจึงตอบกลับพระองค์ว่า "ใช่แล้ว พระองค์คือเจ้าชายอากิฮิโตะ แต่ในชั้นเรียนนี้พระองค์จะมีพระนามภาษาอังกฤษว่า จิมมี่" ซึ่งพระองค์ก็ทรงยิ้มตอบรับ[16]
  • มีนักอนุรักษ์นิยมทำการวิพากย์วิจารณ์อย่างรุนแรงว่า การที่ให้นางเอลิซาเบธ เกรย์ วินนิ่ง มาเป็นพระอาจารย์ เป็นการกระทำที่ไร้มารยาทมาก เนื่องจากเธอเป็นชาวอเมริกัน และญี่ปุ่นพึ่งพ่ายแพ้สงครามกับสหรัฐอเมริกามา[16]
  • นางเอลิซาเบธ เกรย์ วินนิ่ง เคยถามนักเรียนในชั้นรวมถึงพระองค์ว่าโตขึ้นอยากเป็นอะไร พระองค์ทรงเขียนคำตอบว่า "อยากเป็นจักรพรรดิ"[16]
  • ทรงถูกเชิญให้ไปเล่นเกมกระดานที่บ้านของนางเอลิซาเบธ เกรย์ วินนิ่ง พระองค์ทรงได้ร่วมเล่นเกมเศรษฐีกับลูกของเหล่านายทหารอเมริกัน ผลก็คือทรงพ่ายแพ้ ซึ่งเป็นเรื่องปกติเพราะพระองค์ทรงไม่คุ้นเคยกับเกมกระดานนี้ แต่ท่าทีของพระองค์กลับเงียบสงบ ซึ่งพระสหายได้กล่าวว่าพระองค์ทรงได้เรียนรู้ที่จะยอมรับการพ่ายแพ้อย่างสง่างามแล้ว[16]

มัธยมศึกษา - มหาวิทยาลัย

[แก้]
  • ในช่วงมัธยมศึกษาตอนต้น พระองค์กับพระราชอนุชาทรงเริ่มสนใจในวิชาประวัติศาสตร์และชีววิทยา และทรงร่วมกันเก็บแมลงและจับปลาที่พระตำหนักในเมืองนูมาซุ[24]
  • ขณะที่ทรงศึกษาระดับชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 ทรงเป็นหัวหน้าชมรมขี่ม้า[151]
  • ทรงเคยออกจากพระตำหนักโดยไม่ได้แจ้งให้ข้าราชบริพารทราบ เพื่อทรงไปเดินเล่นในย่านกินซะกับพระสหายอีก 2 คน (อากิระ ฮาชิโมโตะ และทากาฮิโกะ เซ็งเงะ) เมื่อเหล่าข้าราชบริพารทราบถึงกับเกิดความโกลาหลและมีการเรียกประชุมฉุกเฉินขึ้น ซึ่งในเวลาถัดมาไม่นานก็ได้รับการแจ้งจากเจ้าหน้าที่ตำรวจในพื้นที่ว่าพบพระองค์อยู่แถวสถานีรถไฟชินบาชิ ซึ่งเจ้าหน้าที่ตำรวจก็พยายามเกลี้ยกล่อมให้พระองค์กลับพระตำหนัก แต่พระองค์ปฏิเสธ จึงได้มีการตั้งตำรวจนอกเครื่องแบบในการติดตามรักษาความปลอดภัย โดยพระองค์กับพระสหายได้พากันไปที่ร้านกาแฟและร้านขนมหวาน อีกทั้งยังมีพระสหายผู้หญิงอีกคนที่มาร่วมด้วยในภายหลัง คือเซ็ตสึโกะ วาตานาเบะ ซึ่ง ณ ขณะนั้น พระองค์ทรงโปรดเธอ และเป็นจุดประสงค์หลักของพระองค์ที่ออกจากพระตำหนักในครั้งนี้ หลังจากที่กลับพระตำหนักแล้ว พระสหายทั้งสองก็โดนตำหนิอย่างรุนแรงจากหัวหน้าสำนักราชเลขานุการในมกุฎราชกุมาร เนื่องจากในช่วงนั้นยังมีความเคลื่อนไหวที่รุนแรงของกลุ่มแรงงาน หลังจากการเกิดเหตุการณ์ Bloody May Day ซึ่งพระองค์อาจจะโดนลอบทำร้ายได้ และพระองค์ได้ชี้แจงในภายหลังว่าพระองค์เพียงแค่อยากลองขึ้นรถไฟเหมือนคนทั่วไปดูสักครั้ง[152]
  • ทรงเข้าศึกษาระดับปริญญาตรี สาขาเศรษฐศาสตร์การเมือง มหาวิทยากากูชูอิน (学習院大学) เนื่องจากในมหาวิทยาลัยยังไม่มีสาขาชีววิทยาที่พระองค์สนพระทัย[24]

มกุฎราชกุมาร

[แก้]
  • ก่อนที่พระองค์จะอภิเษกสมรส ทรงมักจะเสด็จไปประทับที่พระตำหนักตากอากาศ ณ เมืองคารูอิซาวะ จังหวัดนางาโนะ โดยที่แห่งนี้เคยเป็นตำหนักของเจ้าชายอาซากะ ก่อนที่จะถูกปลดฐานันดรศักดิ์ในปี พ.ศ. 2490 ซึ่งในเวลาถัดมาตำหนักแห่งนี้ได้ถูกซื้อและพัฒนาเป็นโรงแรมเซ็งกาตากิ (千ヶ滝プリンスホテル) เนื่องด้วยพระองค์ทรงโปรดการไปประทับที่พระตำหนักแห่งนี้ทุกช่วงฤดูร้อน จึงเป็นสาเหตุนำพาให้พระองค์ได้พบกับสมเด็จพระจักรพรรดินีมิจิโกะ ที่สนามเทนนิส ณ เมืองเดียวกัน หลังการอภิเษกสมรสกับสมเด็จพระจักรพรรดินีมิจิโกะ และมีพระราชโอรส/ธิดา พระองค์ก็ยังคงทรงพาสมเด็จพระจักรพรรดินีมิจิโกะและพระราชโอรส/ธิดาทั้ง 3 พระองค์ไปประทับ ณ ที่แห่งนี้ด้วย[153]
  • สาเหตุที่พระองค์โปรดที่แห่งนี้เพราะว่าบรรยากาศดูไม่อึดอัดเหมือนพระตำหนักตากอากาศอื่น ๆ หลังจากที่พระองค์ขึ้นครองราชย์แล้วพระองค์ก็ไม่ได้เสด็จไปประทับอีกเลย ปัจจุบันโรงแรมแห่งนี้ถูกเปลี่ยนชื่อเป็น Karuizawa Prince Hotel ซึ่งพระตำหนักยังคงอยู่แต่ถูกทิ้งร้าง[153]

หลังการขึ้นครองราชย์

[แก้]

รถยนต์พระที่นั่ง

[แก้]
  • เมื่อพระองค์ดำรงอิสริยยศมกุฎราชกุมาร ทรงโปรดการขับรถยนต์เที่ยวเล่นเป็นอย่างมาก พระองค์เคยได้รับพระราชทานรถยนต์รุ่น Prince Sedan จากบริษัท Prince Motor (ปัจจุบันถูกควบรวบเข้ากับบริษัทนิสสัน) ซึ่งภายหลังจากการขึ้นครองราชย์ พระองค์ทรงเปลี่ยนไปขับรถยนต์รุ่นฮอนด้า อินทีกราแทน[156]
  • รถยนต์พระที่นั่งที่ทรงโปรด คือ รถเก๋งสีเทารุ่นฮอนด้า อินทีกรา ซึ่งเป็นเกียร์ธรรมดา ผลิตในปี พ.ศ. 2534 และมีราคา 1.2 ล้านเยน (ณ ขณะนั้น) พระองค์ทรงขับรถคันนี้ภายในพระราชวังหลวงโตเกียวเป็นประจำในวันหยุดสุดสัปดาห์ โดยมีสมเด็จพระจักรพรรดินีมิจิโกะประทับอยู่ข้างพระองค์ภายในรถด้วย[157][158]
  • วันที่ 8 มกราคม พ.ศ. 2559 ทรงต่อใบอนุญาตขับขี่สำหรับผู้สูงอายุเป็นครั้งสุดท้าย ซึ่งขณะนั้นพระองค์ทรงมีพระชนมายุ 82 พรรษา ทรงสอบภาคปฏิบัติที่อุทยานตะวันออกของพระราชวังหลวงโตเกียวภายใต้การกำกับดูแลของเจ้าหน้าที่จากสำนักงานตำรวจนครบาล และทรงเสียภาษีที่เกี่ยวข้องเหมือนกับประชาชนทั่วไป[157][158]
  • ทรงพกใบขับขี่ติดตัวพระองค์อยู่เสมอ[157]

ความชอบส่วนพระองค์

[แก้]
  • ทรงโปรดการเล่นโอเทลโล่ และพระองค์มักจะเล่นกับพระบรมราชชนก[159]
  • กีฬาที่พระองค์เล่น ได้แก่ เทนนิส, ยิงธนู, การทรงม้า[150], สกี[160]

อ้างอิง

[แก้]
  1. 1 2 3 สื่อไทยมีการใช้พระนามนี้ https://www.thairath.co.th/news/foreign/2870440 https://www.prachachat.net/breaking-news/news-993367 https://siamrath.co.th/n/368369
  2. 1 2 3 4 5 6 7 8 9 10 "上皇上皇后両陛下". 宮内庁 (ภาษาญี่ปุ่น). สืบค้นเมื่อ 2025-08-23.
  3. 1 2 3 4 5 6 7 8 9 10 "Their Majesties the Emperor Emeritus and Empress Emerita". The Imperial Household Agency (ภาษาอังกฤษ). สืบค้นเมื่อ 2025-08-23.
  4. 1 2 3 4 "象徴の在り方、模索の日々 天皇陛下の歩み:時事ドットコム". 時事ドットコム (ภาษาญี่ปุ่น). สืบค้นเมื่อ 2025-08-24.
  5. "Naruhito: Japan's emperor proclaims enthronement in ancient ceremony" (ภาษาอังกฤษแบบบริติช). 2019-10-22. สืบค้นเมื่อ 2025-08-23.
  6. 1 2 "仙洞御所・宮邸". 宮内庁 (ภาษาญี่ปุ่น). สืบค้นเมื่อ 2025-08-23.
  7. 1 2 "国立国会図書館デジタルコレクション". dl.ndl.go.jp. สืบค้นเมื่อ 2025-08-23.
  8. 1 2 3 4 5 6 7 https://www.jiji.com/jc/v4?id=201906heiseiayumi0002
  9. "国立国会図書館デジタルコレクション". dl.ndl.go.jp. สืบค้นเมื่อ 2025-08-23.
  10. "<近代茨城の肖像>(40)市村瓚次郎 東洋史研究界の巨匠:東京新聞デジタル". 東京新聞デジタル (ภาษาญี่ปุ่น). สืบค้นเมื่อ 2025-08-31.
  11. "館長ブログ ほっと物語 | 金沢蓄音器館". www.kanazawa-museum.jp. สืบค้นเมื่อ 2025-08-31.
  12. https://imagelink.kyodonews.jp/search?product_type=1,2,11&keyword=%E7%B6%99%E5%AE%AE&pg=1&opendetail=4676088
  13. https://www.gettyimages.com/detail/news-photo/portrait-of-crown-prince-akihito-son-of-emperor-hirohito-of-news-photo/139062935?adppopup=true
  14. https://imagelink.kyodonews.jp/search?product_type=1,2,11&keyword=%E7%B6%99%E5%AE%AE%E6%98%8E%E4%BB%81&opendetail=2689269
  15. "明仁皇太子は、昭和天皇の「玉音放送」をどこでどう聞いたのか? そこで起きていた「意外な事態」". 現代ビジネス (ภาษาญี่ปุ่น). 2024-09-07. สืบค้นเมื่อ 2025-08-25.
  16. 1 2 3 4 5 6 "父は、神と呼ばれたが、彼はジミーと呼ばれた (Published 2019)" (ภาษาญี่ปุ่น). 2019-04-30. สืบค้นเมื่อ 2025-08-24.
  17. "終戦後も「徹底抗戦」をとなえた「反乱軍」が、「明仁皇太子」を誘拐しようとした理由". 現代ビジネス (ภาษาญี่ปุ่น). 2024-09-09. สืบค้นเมื่อ 2025-08-25.
  18. แปลจากวิกิพีเดียญี่ปุ่น https://ja.wikipedia.org/wiki/エリザベス・ヴァイニング
  19. https://www.gettyimages.com/detail/news-photo/crown-prince-akihito-wearing-the-uniform-of-peers-school-news-photo/2078494739?adppopup=true
  20. https://dot.asahi.com/articles/-/117270?page=3
  21. https://gendai.media/articles/-/136822?page=3
  22. 1 2 3 "e-Gov 法令検索". laws.e-gov.go.jp. สืบค้นเมื่อ 2025-08-23.
  23. "ปรับอายุบรรลุนิติภาวะ". www.thairath.co.th. 2022-04-02. สืบค้นเมื่อ 2025-08-31.
  24. 1 2 3 4 5 6 7 "ハゼの新種発見:「天皇」にとっての「学術研究」とは(石田雅彦) - エキスパート". Yahoo!ニュース (ภาษาญี่ปุ่น). สืบค้นเมื่อ 2025-08-23.
  25. 1 2 https://imagelink.kyodonews.jp/search?product_type=1,2,11&keyword=%E7%B6%99%E5%AE%AE%E6%98%8E%E4%BB%81&opendetail=4676163
  26. https://www2.nhk.or.jp/archives/movies/?id=D0009010001_00000
  27. https://austin.as.fsu.edu/items/show/1341
  28. 1 2 ":: Crown Princess Michiko visited Chiang Mai, 1964., Picture Lanna, Mr. Boonserm Satrabhaya, Lanna Photos, Northern Thailand Photos, Northern Thailand Pictures, Past Pictures ::". lannainfo.library.cmu.ac.th. สืบค้นเมื่อ 2025-08-31.
  29. https://imagelink.kyodonews.jp/search?product_type=1,2,11&keyword=%E7%B6%99%E5%AE%AE%E6%98%8E%E4%BB%81&opendetail=4676199
  30. 1 2 3 4 5 6 7 8 9 https://www.jiji.com/jc/v4?id=201906heiseiayumi0003
  31. "1/10 女ともだちと題した皇太子の作品 - ab Cuore". goo blog (ภาษาญี่ปุ่น). สืบค้นเมื่อ 2025-08-25.
  32. https://web.archive.org/web/20091002204229/http://www.time.com/time/magazine/article/0,9171,892335-7,00.html
  33. หนังสือ "入江相政日記" สำนักพิมพ์อาซาฮี ตีพิมพ์ พ.ศ. 2533
  34. https://www2.nhk.or.jp/archives/movies/?id=D0009170034_00000
  35. https://www.gettyimages.com/detail/news-photo/akihito-crown-prince-of-japan-and-his-wife-michiko-shoda-news-photo/545333917?adppopup=true
  36. "〈1958年の今日〉11月27日 : 美智子さまが初の民間出身の皇太子妃に". nippon.com (ภาษาญี่ปุ่น). 2023-11-27. สืบค้นเมื่อ 2025-08-31.
  37. "Crown Prince Akihito and Crown Princess Michiko visit the school (currently Emperor Emeritus and Empress Emerita). - Sydney Japanese International School" (ภาษาอังกฤษแบบออสเตรเลีย). สืบค้นเมื่อ 2025-08-31.
  38. https://www.gettyimages.com/detail/news-photo/crown-prince-akihito-of-japan-pictured-on-left-with-his-news-photo/1094886028?adppopup=true
  39. https://www.dailyshincho.jp/article/2022/02230700/?all=1&page=3
  40. https://www.dailyshincho.jp/article/2022/02230700/?all=1&page=4
  41. https://www.dailyshincho.jp/article/2022/02230700/?all=1&page=5
  42. "天皇陛下崩御に関する件 - Wikisource". ja.wikisource.org (ภาษาญี่ปุ่น). สืบค้นเมื่อ 2025-08-23.
  43. "皇太子明仁親王殿下が皇位を継承された件 - Wikisource". ja.wikisource.org (ภาษาญี่ปุ่น). สืบค้นเมื่อ 2025-08-23.
  44. หนังสือ "加藤陽子" หน้า 423
  45. https://www.youtube.com/watch?v=ntWG_3FXpPQ
  46. "主な式典におけるおことば(平成元年):天皇陛下のおことば - 宮内庁". www.kunaicho.go.jp. สืบค้นเมื่อ 2025-08-26.
  47. 1 2 3 4 5 6 7 8 9 10 https://www.jiji.com/jc/v4?id=201906heiseiayumi0004
  48. "主な式典におけるおことば(平成2年):天皇陛下のおことば - 宮内庁". www.kunaicho.go.jp. สืบค้นเมื่อ 2025-08-26.
  49. Inc, Nikkei (2019-11-10). "平成のパレード 11万人集う". 日本経済新聞 (ภาษาญี่ปุ่น). สืบค้นเมื่อ 2025-08-26.
  50. https://www.youtube.com/watch?v=-8aH2dexkbE
  51. "ご即位十年関連行事 - 宮内庁". www.kunaicho.go.jp. สืบค้นเมื่อ 2025-08-26.
  52. "天皇陛下御在位20年慶祝行事等". www.kantei.go.jp. สืบค้นเมื่อ 2025-08-26.
  53. "記念特集 - 宮内庁". www.kunaicho.go.jp. สืบค้นเมื่อ 2025-08-26.
  54. 1 2 https://www.jiji.com/jc/v4?id=201906heiseiayumi0006
  55. "天皇陛下、生前退位希望を示唆". BBCニュース (ภาษาญี่ปุ่น). สืบค้นเมื่อ 2025-07-24.
  56. "Message from His Majesty The Emperor". The Imperial Household Agency. 8 August 2016. สืบค้นเมื่อ 8 August 2016.
  57. "天皇陛下「退位」の意向 日本報道". BBCニュース (ภาษาญี่ปุ่น). สืบค้นเมื่อ 2025-08-26.
  58. "Japan's Emperor Akihito hints at wish to abdicate". BBC News (ภาษาอังกฤษแบบบริติช). 2016-08-08. สืบค้นเมื่อ 2025-08-26.
  59. "なぜ天皇陛下の退位は4月末日になったか 安倍首相との"バトル"の結果は?". PRESIDENT Online(プレジデントオンライン) (ภาษาญี่ปุ่น). 2017-12-11. สืบค้นเมื่อ 2025-07-24.
  60. https://www.kantei.go.jp/jp/content/kihonhoushin.pdf
  61. https://www.gettyimages.com/detail/news-photo/emperor-akihito-and-empress-michiko-receive-banzai-cheers-news-photo/1131948856?adppopup=true
  62. "สำคัญไฉนรัชสมัยจักรพรรดิญี่ปุ่น". สยามรัฐ. 2019-04-03. สืบค้นเมื่อ 2025-07-24.
  63. "e-Gov 法令検索". laws.e-gov.go.jp. สืบค้นเมื่อ 2025-07-24.
  64. https://www.gettyimages.com/detail/news-photo/emperor-akihito-visits-the-naiku-inner-shrine-while-news-photo/1143629533?adppopup=true
  65. https://www.gettyimages.com/detail/news-photo/emperor-akihito-visits-the-mausoleum-of-emperor-showa-or-news-photo/1144479901?adppopup=true
  66. วิดิโอพระราชพิธี https://www.youtube.com/watch?v=UaX5IdVx_1c
  67. "Naruhito: Japan's emperor proclaims enthronement in ancient ceremony" (ภาษาอังกฤษแบบบริติช). 2019-10-22. สืบค้นเมื่อ 2025-07-25.
  68. https://www.gettyimages.com/detail/news-photo/emperor-akihito-leaves-the-kasukodokoro-one-of-the-imperial-news-photo/1145957244?adppopup=true
  69. "e-Gov 法令検索". laws.e-gov.go.jp. สืบค้นเมื่อ 2025-07-24.
  70. "上皇陛下 「週イチ皇居通い」が生んだハゼ新種発見の快挙". NEWSポストセブン (ภาษาญี่ปุ่น). สืบค้นเมื่อ 2025-08-27.
  71. "主な式典におけるおことば(平成21年):天皇陛下のおことば - 宮内庁". www.kunaicho.go.jp. สืบค้นเมื่อ 2025-08-25.
  72. 1 2 3 https://www.jiji.com/jc/v4?id=201906heiseiayumi0005
  73. "公表事項 - 宮内庁". www.kunaicho.go.jp. สืบค้นเมื่อ 2025-08-29.
  74. "公表事項 - 宮内庁". www.kunaicho.go.jp. สืบค้นเมื่อ 2025-08-29.
  75. "公表事項 - 宮内庁". www.kunaicho.go.jp. สืบค้นเมื่อ 2025-08-29.
  76. "公表事項 - 宮内庁". www.kunaicho.go.jp. สืบค้นเมื่อ 2025-08-29.
  77. Inc, Nikkei (2020-01-30). "上皇さま、一時意識失う 検査では異常なし". 日本経済新聞 (ภาษาญี่ปุ่น). สืบค้นเมื่อ 2025-08-27.
  78. "公表事項 - 宮内庁". www.kunaicho.go.jp. สืบค้นเมื่อ 2025-08-29.
  79. "上皇さまは「無症候性心筋虚血」、動脈硬化の進行確認され御所で投薬治療…宮内庁が診断結果発表". 読売新聞オンライン (ภาษาญี่ปุ่น). 2025-05-10. สืบค้นเมื่อ 2025-08-29.
  80. 産経新聞 (2019-01-01). "陛下「国の発展と国民の幸せを祈ります」 皇居で新年祝賀の儀". 産経新聞:産経ニュース (ภาษาญี่ปุ่น). สืบค้นเมื่อ 2025-08-31.
  81. "「平成」残り4カ月、新年一般参賀に最多の15万人:皇室関係の今後の主な予定". nippon.com (ภาษาญี่ปุ่น). 2019-01-07. สืบค้นเมื่อ 2025-08-31.
  82. https://www.asahi.com/gallery/photo/national/michikosama/20211016/21.html
  83. "新年恒例の "歌会始の儀" の平成30年お題「語」を生け、お花で表現しました | いけばな光風流 家元 内藤正風" (ภาษาญี่ปุ่น). 2018-01-13. สืบค้นเมื่อ 2025-08-31.
  84. 産経新聞 (2018-12-24). "天皇陛下85歳 最後の一般参賀に最多8万2850人 夜にはご家族でお祝いの夕食会". 産経新聞:産経ニュース (ภาษาญี่ปุ่น). สืบค้นเมื่อ 2025-08-31.
  85. https://www.gettyimages.com/detail/news-photo/prince-akishino-princess-mako-princess-kiko-of-akishino-news-photo/670630746?adppopup=true
  86. "国会開会式 - 宮内庁". www.kunaicho.go.jp. สืบค้นเมื่อ 2025-08-31.
  87. "親任式 - 宮内庁". www.kunaicho.go.jp. สืบค้นเมื่อ 2025-08-31.
  88. "認証官任命式 - 宮内庁". www.kunaicho.go.jp. สืบค้นเมื่อ 2025-08-31.
  89. tatchai_art (2021-01-15). "สัมพันธ์แน่นแฟ้นราชวงศ์ไทย-ญี่ปุ่น กับการทูตหยุดโลกเริ่มต้นขึ้นจาก "ปลา"". สืบค้นเมื่อ 2025-08-23.
  90. Akihito (1992-10-23). "Early Cultivators of Science in Japan". Science. 258 (5082): 578–580. doi:10.1126/science.1411568.
  91. "Wayback Machine" (PDF). www.wdc-jp.biz. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิม (PDF)เมื่อ 2012-03-16. สืบค้นเมื่อ 2025-08-23.
  92. "Wayback Machine" (PDF). rmbr.nus.edu.sg. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิม (PDF)เมื่อ 2006-10-16. สืบค้นเมื่อ 2025-08-23.
  93. "Akihito vanuatu summary page". FishBase (ภาษาอังกฤษ). สืบค้นเมื่อ 2025-08-23.
  94. "Royal Society King Charles II Medal | Royal Society". royalsociety.org (ภาษาอังกฤษแบบบริติช). คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2025-05-15. สืบค้นเมื่อ 2025-08-23.
  95. Akihito; Iwata, Akihisa; Kobayashi, Takanori; Ikeo, Kazuho; Imanishi, Tadashi; Ono, Hiroaki; Umehara, Yumi; Hamamatsu, Chika; Sugiyama, Kayo; Ikeda, Yuji; Sakamoto, Katsuichi; Fumihito, Akishinonomiya; Ohno, Susumu; Gojobori, Takashi (2000-12-23). "Evolutionary aspects of gobioid fishes based upon a phylogenetic analysis of mitochondrial cytochrome b genes". Gene. 259 (1): 5–15. doi:10.1016/S0378-1119(00)00488-1. ISSN 0378-1119.
  96. Akihito; Fumihito, Akishinonomiya; Ikeda, Yuji; Aizawa, Masahiro; Makino, Takashi; Umehara, Yumi; Kai, Yoshiaki; Nishimoto, Yuriko; Hasegawa, Masami; Nakabo, Tetsuji; Gojobori, Takashi (2008-12-31). "Evolution of Pacific Ocean and the Sea of Japan populations of the gobiid species, Pterogobius elapoides and Pterogobius zonoleucus, based on molecular and morphological analyses". Gene. 427 (1): 7–18. doi:10.1016/j.gene.2008.09.026. ISSN 0378-1119.
  97. Akihito; Akishinonomiya, Fumihito; Ikeda, Yuji; Aizawa, Masahiro; Nakagawa, So; Umehara, Yumi; Yonezawa, Takahiro; Mano, Shuhei; Hasegawa, Masami; Nakabo, Tetsuji; Gojobori, Takashi (2016-02-01). "Speciation of two gobioid species, Pterogobius elapoides and Pterogobius zonoleucus revealed by multi-locus nuclear and mitochondrial DNA analyses". Gene. Marine Genomics. 576 (2, Part 1): 593–602. doi:10.1016/j.gene.2015.10.014. ISSN 0378-1119.
  98. หนังสือพิมพ์ "読売新聞" ฉบับวันที่ 18 ตุลาคม พ.ศ. 2561
  99. "FishBase". www.fishbase.se (ภาษาอังกฤษ). สืบค้นเมื่อ 2025-08-23.
  100. https://web.archive.org/web/20190502000705/kyoto-np.jp/top/article/20190426000054
  101. "60年安保 揺れた8・6 広島県・市式典 皇太子参列 公文書に舞台裏". 中国新聞ヒロシマ平和メディアセンター (ภาษาญี่ปุ่น). สืบค้นเมื่อ 2025-08-25.
  102. "全国植樹祭 - 宮内庁". www.kunaicho.go.jp. สืบค้นเมื่อ 2025-08-31.
  103. https://www.gettyimages.com/detail/news-photo/crown-prince-akihito-addresses-while-crown-princess-michiko-news-photo/989054808?adppopup=true
  104. "天皇皇后両陛下のご日程(平成10年1月~3月) - 宮内庁". www.kunaicho.go.jp. สืบค้นเมื่อ 2025-08-26.
  105. https://www.gettyimages.com/detail/news-photo/prince-naruhito-crown-prince-akihito-crown-princess-michiko-news-photo/980428676?adppopup=true
  106. https://www.gettyimages.com/detail/news-photo/crown-prince-akihito-crown-princess-michiko-prince-naruhito-news-photo/974469804?adppopup=true
  107. https://www.gettyimages.com/detail/news-photo/emperor-akihito-and-empress-michiko-attend-a-basketball-news-photo/966894492?adppopup=true
  108. https://www.gettyimages.com/detail/news-photo/emperor-akihito-and-empress-michiko-inspect-a-class-at-news-photo/488742311?adppopup=true
  109. 1 2 3 4 5 6 "その他の主な式典へのお出まし - 宮内庁". www.kunaicho.go.jp. สืบค้นเมื่อ 2025-08-31.
  110. https://www.gettyimages.com/detail/news-photo/crown-prince-akihito-addresses-while-crown-princess-michiko-news-photo/975439068?adppopup=true
  111. "日本芸術院授賞式 - 宮内庁". www.kunaicho.go.jp. สืบค้นเมื่อ 2025-08-31.
  112. "日本国際賞授賞式 - 宮内庁". www.kunaicho.go.jp. สืบค้นเมื่อ 2025-08-31.
  113. "日本学士院授賞式 - 宮内庁". www.kunaicho.go.jp. สืบค้นเมื่อ 2025-08-31.
  114. "国際生物学授賞式 - 宮内庁". www.kunaicho.go.jp. สืบค้นเมื่อ 2025-08-31.
  115. "東北地方太平洋沖地震に関する天皇陛下のおことば - 宮内庁". www.kunaicho.go.jp. สืบค้นเมื่อ 2025-08-26.
  116. https://www.gettyimages.com/search/2/image?family=editorial&page=5&phrase=crown%20prince%20akihito&sort=mostpopular&phraseprocessing=excludenaturallanguage
  117. "両陛下、「自主停電」お続けに - MSN産経ニュース". sankei.jp.msn.com (ภาษาญี่ปุ่น). คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2011-03-26. สืบค้นเมื่อ 2025-08-28.
  118. "昭和51年 警察白書". www.npa.go.jp. สืบค้นเมื่อ 2025-08-26.
  119. "天皇・皇族の外国ご訪問一覧表(戦後)(昭和28年~昭和63年) - 宮内庁". www.kunaicho.go.jp. สืบค้นเมื่อ 2025-07-28.
  120. "天皇・皇族の外国ご訪問一覧表(平成元年~平成10年) - 宮内庁". www.kunaicho.go.jp. สืบค้นเมื่อ 2025-08-27.
  121. "天皇・皇族の外国ご訪問一覧表(平成11年~平成20年) - 宮内庁". www.kunaicho.go.jp. สืบค้นเมื่อ 2025-07-28.
  122. "天皇・皇族の外国ご訪問一覧表(平成21年以降) - 宮内庁". www.kunaicho.go.jp. สืบค้นเมื่อ 2025-07-28.
  123. หนังสือ "愉しき御航海を――皇太子殿下へ" โดย ยูกิโอะ มิชิมะ ตีพิมพ์ 10 มีนาคม พ.ศ. 2496
  124. "国賓・公賓など外国賓客一覧表(平成元年~平成10年) - 宮内庁". www.kunaicho.go.jp. สืบค้นเมื่อ 2025-09-02.
  125. "国賓・公賓など外国賓客一覧表(平成11年~平成20年) - 宮内庁". www.kunaicho.go.jp. สืบค้นเมื่อ 2025-09-04.
  126. "国賓・公賓など外国賓客一覧表(平成21年~平成31年) - 宮内庁". www.kunaicho.go.jp. สืบค้นเมื่อ 2025-09-04.
  127. https://www.gettyimages.com/detail/news-photo/emperor-akihito-in-traditional-dress-in-japan-november-08-news-photo/110829634?adppopup=true
  128. "The Belgian King Albert II and Queen Paola and their eldest son,..." Getty Images (ภาษาอังกฤษแบบบริติช). 2013-07-16. สืบค้นเมื่อ 2025-09-28.
  129. https://commons.wikimedia.org/wiki/File:Haile_Selassie_I_with_Crown_Prince_Akihito.jpg
  130. https://www.gettyimages.com/detail/news-photo/grand-duke-henri-of-luxembourg-his-daughter-princess-news-photo/880768064?adppopup=true
  131. https://web.archive.org/web/20160304101210/http://static3.volkskrant.nl/static/photo/2012/9/7/7/album_large_1067182.jpg
  132. "King Carl XVI Gustaf and Queen Silvia of Sweden are greeted by..." Getty Images (ภาษาดัตช์). 2007-03-26. สืบค้นเมื่อ 2025-08-29.
  133. https://web.archive.org/web/20120529062913/https://www.borger.dk/foa/Sider/default.aspx?fk=26&foaid=10196200&paid=
  134. "Media Centre > Buckingham Palace press releases > Appointment of a new Garter Knight". www.royal.gov.uk (ภาษาอังกฤษ). คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2008-06-04. สืบค้นเมื่อ 2025-08-29.
  135. https://www.omsa.org/files/jomsa_arch/Splits/1988/153251_JOMSA_Vol39_12_19.pdf
  136. "The Order of Sikatuna | GOVPH". Official Gazette of the Republic of the Philippines (ภาษาอังกฤษแบบอเมริกัน). คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2016-10-13. สืบค้นเมื่อ 2025-08-29.
  137. "News - 120302". www.ops.gov.ph. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2008-08-17. สืบค้นเมื่อ 2025-08-29.
  138. ราชกิจจานุเบกษา, แจ้งความสำนักนายกรัฐมนตรี เรื่อง พระราชทานเครื่องราชอิสริยาภรณ์, เล่ม ๘๑, ตอน ๒๒ ง, ๓ มีนาคม ค.ศ. ๒๕๐๗, หน้า ๕๗๒
  139. ราชกิจจานุเบกษา, ประกาศสำนักนายกรัฐมนตรี เรื่อง พระราชทานเครื่องราชอิสริยาภรณ์ (แด่ สมเด็จพระจักรพรรดิแห่งญี่ปุ่นราชมิตราภรณ์), เล่ม ๑๐๘, ตอน ๑๗๔ ง, ๓ ตุลาคม ค.ศ. ๒๕๓๔, หน้า ๙๗๒๔
  140. https://www.boe.es/boe/dias/1972/01/20/pdfs/A01047-01047.pdf
  141. https://www.boe.es/boe/dias/1981/07/29/pdfs/A17260-17260.pdf
  142. https://www.boe.es/boe/dias/1985/02/28/pdfs/A05055-05055.pdf
  143. "About Government - National Orders". www.info.gov.za. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2012-10-22. สืบค้นเมื่อ 2025-08-29.
  144. 1 2 https://www.ordens.presidencia.pt/?idc=154&list=1
  145. https://www.parlament.gv.at/dokument/XXIV/AB/10542/imfname_251156.pdf
  146. https://web.archive.org/web/20130510210006/http://www.president.lv/images/modules/items/DOC/tzo%20registrs.doc
  147. 1 2 https://gendai.media/articles/-/136769?page=2
  148. https://imagelink.kyodonews.jp/search?product_type=1,2,11&keyword=%E7%B6%99%E5%AE%AE%E6%98%8E%E4%BB%81&opendetail=4676104
  149. https://imagelink.kyodonews.jp/search?product_type=1,2,11&keyword=%E7%B6%99%E5%AE%AE%E6%98%8E%E4%BB%81&opendetail=4676145
  150. 1 2 https://number.bunshun.jp/articles/-/852161?page=2
  151. หนังสือพิมพ์ "日本経済" ฉบับวันที่ 21 ตุลาคม พ.ศ. 2493
  152. "高校生だった上皇は、銀座に「脱走」した…歴史に残る「銀ブラ事件」の「驚きの全貌」". 現代ビジネス (ภาษาญี่ปุ่น). 2024-09-11. สืบค้นเมื่อ 2025-08-25.
  153. 1 2 "なぜ、皇太子一家はある「岬」を訪ね続けたのか? 不可視にされた「歴史」を浮き彫りにする原思想史学の新境地!【発売前試し読み・原武史『地形の思想史』】#3". カドブン (ภาษาญี่ปุ่น). 2019-12-19. สืบค้นเมื่อ 2025-08-29.
  154. "歴代2番目の高齢即位、59歳2か月…新天皇陛下". 読売新聞オンライン (ภาษาญี่ปุ่น). 2019-05-01. สืบค้นเมื่อ 2025-08-26.
  155. "紀宮さまの婚約によりにわかに関心を集めている 皇室の家計はどうなってるの? [家計簿・家計管理] All About". All About(オールアバウト) (ภาษาญี่ปุ่น). สืบค้นเมื่อ 2025-08-28.
  156. หนังสือ "天皇の御料車" หน้า 96
  157. 1 2 3 Ando)ハフポスト日本版の記者(2013年4月から2023年7月まで), 安藤健二(Kenji (2016-01-08). "天皇陛下が免許更新。愛車のホンダ・インテグラで高齢者講習". ハフポスト (ภาษาญี่ปุ่น). สืบค้นเมื่อ 2025-08-28.
  158. 1 2 "天皇陛下の愛車は「キャブ車」だった!? いまなおご愛用される陛下の愛車に迫る". 自動車情報誌「ベストカー」 (ภาษาญี่ปุ่น). 2017-11-09. สืบค้นเมื่อ 2025-08-28.
  159. สารคดี "天皇 運命の物語 (1) -敗戦国の皇太子" https://www.nhk-ondemand.jp/goods/G2018094346SA000/
  160. https://www.gettyimages.com/detail/news-photo/crown-prince-akihito-and-prince-naruhito-enjoy-skiing-at-news-photo/971858762?adppopup=true

แหล่งข้อมูลอย่างเป็นทางการ

[แก้]
  • เว็บไซต์สำนักพระราชวังอิมพีเรียล (Imperial Household Agency) ภาษาอังกฤษ https://www.kunaicho.go.jp/eindex.html
  • เว็บไซต์สำนักพระราชวังอิมพีเรียล (Imperial Household Agency) ภาษาญี่ปุ่น https://www.kunaicho.go.jp/
  • ประกาศสํานักนายกรัฐมนตรี เรื่อง หลักเกณฑ์การทับศัพท์ภาษาเยอรมัน สเปน ญี่ปุ่น และมลายู ลงวันที่ 13 มีนาคม พ.ศ. 2561
ก่อนหน้า สมเด็จพระจักรพรรดิอากิฮิโตะ ถัดไป
จักรพรรดิโชวะ
จักรพรรดิแห่งญี่ปุ่น
(7 มกราคม พ.ศ. 2532 – 30 เมษายน พ.ศ. 2562)
สมเด็จพระจักรพรรดิ
นารูฮิโตะ
มกุฎราชกุมารฮิโรฮิโตะ
มกุฎราชกุมารแห่งญี่ปุ่น (โคไตชิ)
(10 พฤศจิกายน พ.ศ. 2495 – 7 มกราคม พ.ศ. 2532)
มกุฎราชกุมารนารูฮิโตะ
สมเด็จพระจักรพรรดินี
มาซาโกะ

ลำดับโปเจียมแห่งราชวงศ์ญี่ปุ่น
(ลำดับที่ 3)

สมเด็จพระจักรพรรดินี
พระพันปีหลวงมิจิโกะ