สมเด็จพระจักรพรรดิอากิฮิโตะ
| สมเด็จพระจักรพรรดิอากิฮิโตะ | |
|---|---|
![]() พระบรมฉายาลักษณ์ พ.ศ. 2567 | |
| จักรพรรดิญี่ปุ่น | |
| 7 มกราคม พ.ศ. 2532 - 30 เมษายน พ.ศ. 2562 (30 ปี 3 เดือน 22 วัน) | |
| บรมราชาภิเษก | 12 พฤศจิกายน พ.ศ. 2533 พระราชวังหลวงโตเกียว |
| ไดโจไซ | 22–23 พฤศจิกายน พ.ศ. 2533 |
| รัชศก | เฮเซ |
| นายกรัฐมนตรี | |
| ก่อนหน้า | จักรพรรดิโชวะ |
| ถัดไป | สมเด็จพระจักรพรรดินารูฮิโตะ |
| พระราชสมภพ | 23 ธันวาคม พ.ศ. 2476 พระราชวังหลวงโตเกียว |
| พระอิสริยยศ | โจโก (จักรพรรดิพระเจ้าหลวง) |
| พระบรมนามาภิไธย | อากิฮิโตะ (ได้รับพระราชทานเมื่อวันที่ 29 ธันวาคม พ.ศ. 2476) |
| พิธีฉลองการเจริญวัย | 10 พฤศจิกายน พ.ศ. 2495 |
| พระราชบิดา | จักรพรรดิโชวะ |
| พระราชมารดา | จักรพรรดินีโคจุง |
| จักรพรรดินี (โคโง) | สมเด็จพระจักรพรรดินีมิจิโกะ (พ.ศ. 2502–ปัจจุบัน) |
| พระราชโอรส-ธิดา | |
| ศาสนา | ชินโต |
| ลายพระอภิไธย | |
| ราชวงศ์ญี่ปุ่น |
|---|
|
สมเด็จพระจักรพรรดิอากิฮิโตะ เจ้าชายมาซาฮิโตะ ฮิตาจิโนะมิยะ |
สมเด็จพระจักรพรรดิพระเจ้าหลวงอากิฮิโตะ[1] (ญี่ปุ่น: 上皇陛下[2] (明仁); โรมาจิ: Jōkō Heka (Akihito), อังกฤษ: His Majesty the Emperor Emeritus[3] (Akihito)) ทรงเป็นจักรพรรดิพระองค์ที่ 125 ของญี่ปุ่น[3]
ทรงขึ้นครองราชสมบัติเป็นสมเด็จพระจักรพรรดิ เมื่อวันที่ 7 มกราคม พ.ศ. 2532[3] หลังจากจักรพรรดิโชวะ (พระบรมราชชนก) สวรรคต พระองค์ทรงเป็นจักรพรรดิพระองค์แรกที่ขึ้นครองราชสมบัติภายใต้รัฐธรรมนูญญี่ปุ่นฉบับปัจจุบัน[4] รัชสมัยการครองราชย์ของพระองค์ใช้ชื่อรัชศกว่า "เฮเซ" (ญี่ปุ่น: 平成; โรมาจิ: Heisei)
ทรงสละราชสมบัติ เมื่อวันที่ 30 เมษายน พ.ศ. 2562 เนื่องจากพระชนมายุที่มากขึ้น และปัญหาทางด้านพระพลานามัย ถือว่าเป็นการสละราชสมบัติของจักรพรรดิญี่ปุ่นในรอบ 200 กว่าปี[5] โดยหลังจากการสละราชสมบัติ พระองค์ได้ดำรงพระราชอิสริยยศ "โจโก" (ญี่ปุ่น: 上皇[2]; อังกฤษ: The Emperor Emeritus[3]) หรือ จักรพรรดิพระเจ้าหลวง[1].
ปัจจุบัน ทรงเป็นพระกุลเชษฐ์แห่งราชวงศ์ญี่ปุ่น (พระชนมายุมากที่สุดในพระบรมวงศานุวงศ์) หลังจากการสิ้นพระชนม์ของเจ้าหญิงมิกาซะ เมื่อวันที่ 15 พฤศจิกายน พ.ศ. 2567
สัญลักษณ์ประจำพระองค์ ตัวอักษร "榮"[2]
ที่ประทับหลัก พระตำหนักเซ็นโต (仙洞御所) เขตพระราชฐานอากาซากะ (赤坂御用地) เขตมินาโตะ กรุงโตเกียว[6]
พระราชประวัติ
[แก้]เจ้าชายสึงุ
[แก้]สมเด็จพระจักรพรรดินีนางาโกะประสูติพระราชโอรส เมื่อวันที่ 23 ธันวาคม พ.ศ. 2476 (ปีโชวะที่ 8)[3] เวลา 06:39 นาที ณ ห้องประสูติ พระตำหนักเมจิชั้นใน (明治宮殿) พระราชวังหลวงโตเกียว เขตโคจิมาจิ (麹町区) นครโตเกียว จังหวัดโตเกียว (ปัจจุบัน คือ เขตชิโยดะ กรุงโตเกียว)[7] พระราชโอรสมีน้ำหนัก 3,260 กรัม และความยาวพระวรกาย 50.7 เซนติเมตร[8]
วันที่ 29 ธันวาคม พ.ศ. 2476 หลังจากการประสูติประมาณ 7 วัน มีการจัดพิธีสรงน้ำ (浴湯の儀) และพิธีเฉลิมพระนาม (命名の儀) ซึ่งจะมีการตั้งพระนามและกำหนดสัญลักษณ์ประจำพระองค์ เนื่องจากทรงเป็นพระราชโอรสในสมเด็จพระจักรพรรดิฮิโรฮิโตะ พระองค์จึงทรงได้รับพระราชทานพระนามจากพระบิดาว่า "อากิฮิโตะ" (ญี่ปุ่น: 明仁; โรมาจิ: Akihito) อีกทั้งทรงได้รับพระราชทานพระนามโกโชโงว่า "สึงุ" (ญี่ปุ่น: 継宮; โรมาจิ: Tsugu-no-Miya)[9]
พระนามของพระองค์มีที่มาจากพระบรมราชโองการ "ไทเกียว เซมปุ" (大教宣布) ของจักรพรรดิเมจิ ที่ประกาศใช้เมื่อวันที่ 3 มกราคม พ.ศ. 2413 (ปีเมจิที่ 3) ซึ่งพระนามโกโชโง "สึงุ" (継) แปลว่าสืบทอด มีที่มาจากประโยค "立極垂統、列皇相承、継之述之" (ราชบัลลังก์และสายราชวงศ์ จักรพรรดิแต่ละพระองค์ต่างก็ทรงรับช่วงต่อและสืบทอดต่อเนื่องกันมา) ส่วนพระนามจริง "อากิฮิโตะ" (明仁) แปลว่ากระจ่างแจ้ง มีที่มาจากประโยค "宜明治教以宣揚惟神之大道也" (พึงทำคำสอนแห่งการปกครองให้กระจ่างแจ้ง เพื่อประกาศและเผยแผ่หนทางอันยิ่งใหญ่แห่งเทพเจ้า)[10]
สื่อญี่ปุ่นมีการระบุพระนามพระองค์ในวัยพระเยาว์ว่า "継宮"[11][12] (Tsugu-no-Miya) ส่วนสำนักพระราชวังและสื่อต่างประเทศมีการระบุพระนามในภาษาอังกฤษว่า "Prince Tsugu"[3][13] (เจ้าชายสึงุ)
ณ วันประสูติ พระองค์ทรงเป็นพระราชโอรสในสมเด็จพระจักรพรรดิฮิโรฮิโตะ ดังนั้นพระองค์จึงดำรงฐานันดร "ชินโน"[7] หรือเจ้าชายชั้นเอกแห่งราชวงศ์ญี่ปุ่น ตามกฎหมายราชวงศ์ญี่ปุ่นในยุคก่อนสงคราม
สัญลักษณ์ประจำพระองค์ ถูกกำหนดเป็นตัวอักษร "榮"[2] อันหมายถึงความเจริญงอกงามของดอกไม้และพืชพันธุ์
เจ้าชายสึงุทรงเป็นพระราชบุตรพระองค์ที่ 5 จากทั้งหมด 7 พระองค์ ในสมเด็จพระจักรพรรดิฮิโรฮิโตะกับสมเด็จพระจักรพรรดินีนางาโกะ และทรงเป็นพระราชโอรสพระองค์แรก พระองค์ทรงมีพระเชษฐภคณี, พระอนุชา ,และพระขณิษฐภคณี ดังนี้
- เจ้าหญิงเทรุ (ชิเกโกะ) พระเชษฐภคณี
- เจ้าหญิงฮิซะ (ซาจิโกะ) พระเชษฐภคณี
- เจ้าหญิงทากะ (คาซูโกะ) พระเชษฐภคณี
- เจ้าหญิงโยริ (อัตสึโกะ) พระเชษฐภคณี
- เจ้าชายสึงุ (อากิฮิโตะ)
- เจ้าชายโยชิ (มาซาฮิโตะ) พระอนุชา
- เจ้าหญิงซูงะ (ทากาโกะ) พระขณิษฐา
เนื่องด้วยเจ้าชายสึงุทรงเป็นพระราชโอรสพระองค์แรกในสมเด็จพระจักรพรรดิฮิโรฮิโตะ พระองค์จึงทรงมีสถานะเป็นรัชทายาทลำดับที่หนึ่งหลังประสูติทันที ตามกฎหมายราชวงศ์ญี่ปุ่นในยุคก่อนสงคราม
เมื่อพระชนมายุ 3 ชันษา พระองค์ได้แยกพระองค์จากพระบิดากับพระมารดา ไปประทับที่ตำหนักชั่วคราว ในเขตพระราชฐานอากาซากะ (赤坂御用地) โดยมีพระพี่เลี้ยงคอยดูแลพระองค์แทน ตามธรรมเนียมราชสำนักเดิม[8]
วันที่ 10 เมษายน พ.ศ. 2483 พระองค์เข้ารับการศึกษา ณ โรงเรียนประถมศึกษากากูชูอิน (学習院初等科)[14]
วันที่ 8 ธันวาคม พ.ศ. 2484 เป็นช่วงที่พระองค์กำลังศึกษาในระดับชั้นประถมศึกษาปีที่ 2 สงครามแปซิฟิกซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของสงครามโลกครั้งที่สองได้เริ่มต้นขึ้น[8]
พ.ศ. 2488 เป็นช่วงที่พระองค์กำลังศึกษาในระดับชั้นประถมศึกษาปีที่ 5 สงครามแปซิฟิกเริ่มทวีความรุนแรงยิ่งขึ้น ทำให้พระองค์พร้อมกับพระสหาย 40 คน ต้องย้ายไปประทับไปที่วังนูมาซุ (沼津御用邸) เมืองซุนโต จังหวัดชิซูโอกะ (ปัจจุบันคือ เมืองนูมาซุ จังหวัดชิซูโอกะ) พอญี่ปุ่นพ่ายแพ้ในยุทธการที่ไซปัน ข้าราชบริพารเล็งเห็นว่าวังนูมาซุมีโอกาสที่จะถูกโจมตีทางอากาศได้ พระองค์จึงต้องย้ายไปประทับที่วังนิกโก ทาโมซาวะ (日光田母沢御用邸記念公園) เมืองนิกโก จังหวัดโทจิงิ แทน[8]
เดือนพฤษภาคม พ.ศ. 2488 พระราชวังหลวงโตเกียว รวมถึงตำหนักของพระองค์ในเขตพระราชฐานอากาซากะ (赤坂御用地) ถูกโจมตีทางอากาศและไฟไหม้จนหมดสิ้น ต่อมาในเดือนกรกฎาคม เมืองอุตสึโนมิยะ จังหวัดโทจิงิ ซึ่งอยู่ใกล้กับเมืองนิกโกที่พระองค์ประทับอยู่ ก็ถูกโจมตีทางอากาศเช่นกัน ทำให้พระองค์ต้องย้ายไปประทับที่โรงแรมมินามะ เขตยูโมโตะ เมืองนิกโก จังหวัดโทจิงิ แทน[8]
วันที่ 15 สิงหาคม พ.ศ. 2488 สมเด็จพระจักรพรรดิฮิโรฮิโตะ พระบิดา ประกาศยอมแพ้สงครามผ่านวิทยุ ข้าราชบริพารได้ทำการพาพระองค์แยกออกจากพระสหายเพื่อไปฟังพระราชดำรัสแบบส่วนพระองค์ เนื่องจากในมุมของพระองค์คือการรับฟังพระราชดำรัสจากพระบิดา ซึ่งจะแตกต่างจากเหล่าพระสหายซึ่งเป็นประชาชนทั่วไปที่เป็นการรับพระราชดำรัสจากสมเด็จพระจักรพรรดิ หลังจากที่รับฟังพระราชดำรัส เหล่าข้าราชบริพารต่างพากันร้องไห้ แต่พระองค์ก็ยังทรงไม่เข้าใจมากนัก เนื่องจากเนื้อหาพระราชดำรัสยากเกินไปสำหรับวัยพระองค์ที่จะเข้าใจ อีกทั้งวิทยุมีสัญญาณรบกวนบ่อยครั้ง แต่ข้าราชบริพารก็ได้ทูลพระองค์ต่อว่าสงครามได้จบลงแล้ว และญี่ปุ่นแพ้สงคราม[15]

หลังการประกาศแพ้สงคราม มีความคิดเห็นและแรงกดดันเกินขึ้นในหลากหลายรูปแบบ ทั้งต้องการให้สมเด็จพระจักรพรรดิฮิโรฮิโตะ พระบิดา ถูกดำเนินคดีในฐานะอาชญากรสงคราม บางส่วนก็ต้องการให้พระบิดาสละราชสมบัติ แล้วให้พระองค์ขึ้นครองราชย์แทนภายใต้การนำของผู้สำเร็จราชการ เพื่อปกป้องสถาบันจักรพรรดิให้คงอยู่ เนื่องจากพระองค์ยังทรงพระเยาว์และไม่มีความเกี่ยวข้องใดๆกับสงคราม ซึ่งในท้ายที่สุดแล้ว นายพลดักลาส แมกอาเธอร์ก็ตัดสินใจที่จะไม่ดำเนินคดีใด ๆ กับพระบิดา เพื่อรักษาความสงบภายในประเทศ[16] อย่างไรก็ตาม ยังมีกลุ่มคนบางส่วนที่ไม่พอใจต่อการยอมแพ้ของญี่ปุ่นในครั้งนี้และต้องการที่จะทำสงครามต่อ แต่พวกเขาไม่สามารถอ้างสิทธิ์การทำสงครามในนามของจักรพรรดิได้อีกต่อไป พวกเขาจึงมีแนวคิดที่จะใช้กองกำลังมาเชิญพระองค์ผู้ที่เป็นรัชทายาทมาเป็นหลักตั้งมั่นในการทำสงครามต่อ อย่างไรก็ตามไม่ได้มีเหตุการณ์ตามแนวคิดนี้เกิดขึ้นจริง[17]
เดือนพฤศจิกายน พ.ศ. 2488 พระองค์เสด็จกลับกรุงโตเกียวด้วยรถไฟ จึงทำให้พระองค์ได้มีโอกาสกลับมาเข้าเฝ้าพระบิดาและพระมารดาในรอบกว่า 1 ปี 4 เดือนหลังจากการลี้ภัย[8]
พระองค์ได้กลับมาศึกษาต่อ ณ โรงเรียนประถมศึกษากากูชูอิน (学習院初等科)[8] อีกทั้งนางเอลิซาเบธ เกรย์ วินนิ่ง (エリザベス・ヴァイニング) ชาวอเมริกัน ถูกคัดเลือกจากกองบัญชาการทหารของผู้บัญชาการทหารสูงสุดฝ่ายสัมพันธมิตร (連合国軍最高司令官総司令部) ให้มาเป็นพระอาจารย์สอนภาษาอังกฤษแก่พระองค์ รวมทั้งพระเชษฐภคิณี, พระอนุชา, และพระขณิษฐา[18][19]
วันที่ 27 มิถุนายน พ.ศ. 2491 พระองค์มีพระชนมายุได้ 15 ชันษา ทรงเข้าพบนายพลดักลาส แมกอาเธอร์ และสนทนาด้วยภาษาอังกฤษเป็นเวลา 20 นาที โดยเสด็จพร้อมกับนางเอลิซาเบธ เกรย์ วินนิ่ง พระอาจารย์ เหตุการณ์นี้นับได้ว่าราชวงศ์ญี่ปุ่นได้แสดงความไว้วางใจต่อสหรัฐอเมริกาเป็นอย่างมาก เนื่องจาก ณ ขณะนั้น พระองค์ทรงมีสถานะเป็นรัชทายาท แต่ทรงเข้าพบนายพลชาวอเมริกาเพียงลำพัง พร้อมกับพระอาจารย์ซึ่งเป็นชาวอเมริกันเช่นเดียวกัน ซึ่งพระองค์ทรงสนทนากับเขาอย่างตรงไปตรงมาและมั่นคง ไม่มีอาการประหม่าแต่อย่างใด ส่วนนายพลดักลาส แมกอาเธอร์ ก็ให้เกียรติพระองค์ในฐานะรัชทายาทเป็นอย่างดี[20][21]

มกุฎราชกุมารอากิฮิโตะ
[แก้]วันที่ 23 ธันวาคม พ.ศ. 2494 เจ้าชายสึงุทรงมีพระชนมายุครบ 18 ชันษา ซึ่งถือว่าทรงบรรลุนิติภาวะตามกฎมณเฑียรบาลญี่ปุ่น ฉบับหลังยุคสงคราม (ซึ่งเป็นฉบับที่ใช้จนถึงปัจจุบัน)[22] โดยมีเพียงจักรพรรดิหรือผู้ที่เป็นรัชทายาทเท่านั้นที่จะทรงบรรลุนิติภาวะเมื่อพระชนมายุครบ 18 ชันษา ส่วนพระบรมวงศานุวงศ์พระองค์อื่น ๆ จะบรรลุนิติภาวะที่พระชนมายุ 20 ชันษาตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ของญี่ปุ่นฉบับเดิม (กฎหมายปัจจุบันได้มีการปรับอายุบรรลุนิติภาวะลดเหลือ 18 ปี เมื่อ พ.ศ. 2565)[23]
ทรงเข้าศึกษาระดับปริญญาตรี สาขาเศรษฐศาสตร์การเมือง มหาวิทยากากูชูอิน (学習院大学)[24]
วันที่ 10 พฤศจิกายน พ.ศ. 2495 เจ้าชายสึงุทรงประกอบพิธีบรรลุนิติภาวะ (加冠の儀) พร้อมทั้งพระราชพิธี "ริตไตชิ-โนะ-เร" (立太子の礼) หรือพิธีสถาปนามกุฎราชกุมารในวันเดียวกัน[2] และทรงได้รับพระราชทานเครื่องราชอิสริยาภรณ์เกียรติคุณและราชมิตราภรณ์อันสูงส่งยิ่งดอกเบญจมาศ ชั้นมหาปรมาภรณ์[25]

ภายหลังการสถาปนา สื่อญี่ปุ่นได้มีการระบุพระนามของพระองค์เป็น "皇太子"[26] (Kōtaishi) และสื่อต่างประเทศได้มีการระบุพระนามในภาษาอังกฤษว่า "Crown Prince Akihito"[27][28] (มกุฎราชกุมารอากิฮิโตะ)
วันที่ 18 พฤศจิกายน พ.ศ. 2495 มกุฎราชกุมารอากิฮิโตะ เสด็จฯไปเคารพศาลเจ้าอิเซะ จังหวัดมิเอะ เพื่อรายงานการบรรลุนิติภาวะและการดำรงอิสริยยศมกุฎราชกุมารของพระองค์ต่อเทพีอามาเตราซุ[29]
หลังจากที่พระองค์ทรงประกอบพิธีบรรลุนิติภาวะและพิธีสถาปนามกุฎราชกุมารแล้ว พระองค์จะมีส่วนร่วมในการปฏิบัติพระราชกรณียกิจอย่างเต็มพระองค์ ซึ่งถัดมาไม่นานพระองค์ก็ได้เสด็จฯเยือนยุโรปเป็นเวลา 6 เดือน จึงทำให้พระองค์ไม่สามารถลงเรียนเก็บหน่วยกิตที่มหาวิทยากากูชูอินได้อย่างครบถ้วน พระองค์จึงต้องเปลี่ยนสถานะจากนักศึกษาภาคปกติ เป็นนักศึกษาที่มีการลงทะเบียนเรียนบางรายวิชาแทน จึงทำให้พระองค์ไม่ได้สำเร็จการศึกษาจากมหาวิทยากากูชูอิน[30]

วันที่ 19 สิงหาคม พ.ศ. 2500 พระองค์ทรงมีโอกาสได้เล่นเทนนิสคู่กับนางสาวมิจิโกะ โชดะ ที่สนามเทนนิสเมืองคารูอิซาวะ จังหวัดนางาโนะ ซึ่งเป็นจุดเริ่มต้นของความสัมพันธ์ของทั้งสองพระองค์[30] โดยนางสาวมิจิโกะ โชดะ เป็นบุตรสาวของประธานบริษัท นิสชิน ฟลาวร์ มิลลิ่ง จำกัด
พระองค์ทรงโปรดนางสาวมิจิโกะ โชดะมาก ถึงกับนำรูปถ่ายของเธอไปจัดแสดงในนิทรรศการผลงานส่วนพระองค์ และตั้งชื่อรูปว่า "เพื่อนผู้หญิง" (女ともだち)[31] และยังทรงขอให้นายชินโซ โคอิซึมิ ผู้ดูแลการศึกษาของพระองค์ไปทูลขอการสมรสกับครอบครัวโชดะ จนก่อให้เกิดข่าวลือต่าง ๆ ซึ่งในตอนแรกครอบครัวโชดะได้ปฏิเสธคำขอสมรสของพระองค์ ในเวลาถัดมา นางสาวมิจิโกะ โชดะได้เดินทางไปยุโรปและสหรัฐอเมริกาเป็นเวลาเกือบ 2 เดือน พระองค์ก็ส่งจดหมายหาเธออยู่เรื่อย ๆ และพอเมื่อเธอกลับญี่ปุ่น พระองค์ทรงขอให้รุ่นน้องช่วยติดต่อเธอทางโทรศัพท์อีกครั้งเพื่อสื่อความในพระทัย จนเธอตอบรับคำขอแต่งงานของพระองค์ในวันที่ 3 พฤศจิกายน พ.ศ. 2501[30][32] ส่วนสมเด็จพระจักรพรรดินีนางาโกะ พระราชมารดา ทรงไม่พอพระทัยที่พระองค์จะทรงอภิเษกสมรสกับหญิงสามัญชน เนื่องจากในอดีตส่วนใหญ่แล้วเจ้าชายในราชวงศ์จะอภิเษกสมรสกับบุตรสาวชนชั้นสูงเท่านั้น[33] อย่างไรก็ตาม ในวันที่ 27 พฤศจิกายน พ.ศ. 2501 สภาราชวงศ์ญี่ปุ่นก็ได้อนุมัติการอภิเษกสมรสของมกุฎราชกุมารอากิฮิโตะกับนางสาวมิจิโกะ โชดะ[2][34]
วันที่ 14 มกราคม พ.ศ. 2502 มีการจัดพิธีโนไซ (納采の儀) หรือพิธีหมั้น[2]

วันที่ 10 เมษายน พ.ศ. 2502 มีการจัดพิธีอภิเษกสมรส[2][35] ซึ่งเป็นครั้งแรกของราชวงศ์ญี่ปุ่นที่เจ้าชายทรงอภิเษกสมรสกับหญิงสามัญชน อีกทั้งว่าที่เจ้าหญิงสามัญชนอย่างนางสาวมิจิโกะ โชดะก็ได้เป็นข่าวแพร่สะพัดไปทั่วทั้งประเทศ จนสื่อญี่ปุ่นได้เรียกปรากฏการณ์นี้ว่า "มิจจิบูม" (ミッチーブーム) โดยมีที่มาจากชื่อเล่นของเธอ[30]
หลังจากการอภิเษกสมรส นางสาวมิจิโกะ โชดะ ได้รับการสถาปนาอิสริยยศเป็น "皇太子妃"[36] (Kōtaishihi) ซึ่งมีการระบุพระนามในภาษาอังกฤษว่า "Crown Princess Michiko"[28][37] (มกุฎราชกุมารีมิจิโกะ)
ในวันเดียวกันทั้งสองพระองค์ เสด็จพระราชดำเนินด้วยรถม้าจากพระราชวังหลวงโตเกียว ไปยังพระตำหนักชั่วคราวในเขตชิบูยะ กรุงโตเกียว โดยมีประชาชนมาเฝ้ารับเสด็จตลอดสองข้างทางถึง 530,000 คน[30][38]
พ.ศ. 2503 มกุฎราชกุมารอากิฮิโตะและมกุฎราชกุมารีมิจิโกะ ทรงย้ายมาประทับที่พระตำหนักโทงู ในเขตพระราชฐานอากาซากะ (赤坂御用地) เขตมินาโตะ กรุงโตเกียว[30]
มกุฎราชกุมารอากิฮิโตะและมกุฎราชกุมารีมิจิโกะทรงมีพระราชโอรสและพระราชธิดาร่วมกันทั้งหมด 3 พระองค์ ได้แก่
- เจ้าชายฮิโระ (นารูฮิโตะ) ประสูติ 23 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2503
- เจ้าชายอายะ (ฟูมิฮิโตะ) ประสูติ 30 พฤศจิกายน พ.ศ. 2508
- เจ้าหญิงโนริ (ซายาโกะ) ประสูติ 18 เมษายน พ.ศ. 2512
ทั้งสองพระองค์ทรงตัดสินพระทัยที่จะไม่เลี้ยงพระราชบุตรตามธรรมเนียมราชสำนักเดิม โดยจะทรงเลี้ยงพระราชบุตรอย่างใกล้ชิดตั้งแต่แรกประสูติ[39][30] ยกเลิกระบบการให้นมโดยพระพี่เลี้ยง[40] อีกทั้งมกุฎราชกุมารอากิฮิโตะยังทรงเคยเปลี่ยนผ้าอ้อมให้กับเจ้าชายฮิโระ (นารูฮิโตะ) พระราชโอรส ด้วยพระองค์เองอีกด้วย[41]
มกุฎราชกุมารอากิฮิโตะได้ปฏิบัติพระราชกรณียกิจแทนพระองค์สมเด็จพระจักรพรรดิ เมื่อสมเด็จพระจักรพรรดิฮิโรฮิโตะ พระราชบิดา เสด็จฯเยือนต่างประเทศหรือเข้ารับการรักษาพระองค์ โดยพระองค์ได้ปฏิบัติพระราชกรณียกิจแทนพระองค์ครั้งสุดท้ายเมื่อเดือนกันยายน พ.ศ. 2530 เนื่องจากสมเด็จพระจักรพรรดิฮิโรฮิโตะทรงเข้ารับการผ่าตัดพระอันตคุณ (ลำไส้เล็ก)[30]
สมเด็จพระจักรพรรดิอากิฮิโตะ
[แก้]
วันที่ 7 มกราคม พ.ศ. 2532 สมเด็จพระจักรพรรดิฮิโรฮิโตะ พระราชบิดา สวรรคต[42] จึงทำให้พระองค์เสด็จขึ้นครองราชย์ขึ้นเป็นสมเด็จพระจักรพรรดิอากิฮิโตะต่อจากพระราชบิดาทันที[43] ตามกฎมณเฑียรบาลญี่ปุ่น[22] พระองค์ทรงเสด็จขึ้นครองราชย์เมื่อพระชนมายุ 55 พรรษา และทรงเป็นจักรพรรดิพระองค์ที่ 125 ของญี่ปุ่น[3]

ในวันเดียวกัน มีการจัดพระราชพิธี "เคนจิโทโชเค" (剣璽等承継の儀)[44] หรือพระราชพิธีรับเครื่องไตรราชกกุธภัณฑ์, ตราแผ่นดิน, และตราประจำพระองค์ ณ ท้องพระโรงมัตสึโนมะ พระราชวังหลวงโตเกียว ซึ่งเป็นพระราชพิธีทางสัญลักษณ์ที่แสดงถึงการสืบราชสมบัติ ในพระราชพิธีจะมีเพียงพระบรมวงศานุวงศ์ฝ่ายหน้าที่บรรลุนิติภาวะ, ประมุข 3 ฝ่าย, และคณะรัฐมนตรีเท่านั้นที่ได้เข้าร่วม อีกทั้งนายเคโซ โอบูจิ เลขาธิการใหญ่คณะรัฐมนตรี ได้ประกาศชื่อของรัชศกใหม่ว่า "เฮเซ" หลังจากที่พระองค์เสด็จขึ้นครองราชย์ ซึ่งจะนำมาใช้แทนรัชศกเดิม (โชวะ) โดยให้เริ่มใช้ในวันพรุ่งนี้เป็นวันแรก[45]
วันที่ 8 มกราคม พ.ศ. 2532 (ปีเฮเซ ที่ 1) มีการจัดพระราชพิธี "โซกุยโงโจเก็น" (即位後朝見の儀) หรือพระราชพิธีเข้าเฝ้าสมเด็จพระจักรพรรดิ โดยมีพระบรมวงศานุวงศ์ทุกพระองค์ที่บรรลุนิติภาวะ, ประมุข 3 ฝ่าย, และตัวแทนประชาชนจากภาคส่วนต่างๆ เข้าร่วมพระราชพิธีนี้[46]
วันที่ 12 พฤศจิกายน พ.ศ. 2533 มีการจัดพระราชพิธี "โซกุยเรเซเด็น" (即位礼正殿の儀) หรือพระราชพิธีบรมราชาภิเษก[3] ซึ่งสมเด็จพระจักรพรรดิอากิฮิโตะจะเสด็จประทับบนพระราชบัลลังก์ "ทาคามิกูระ" (高御座) ณ ท้องพระโรงมัตสึโนมะ พระราชวังหลวงโตเกียว[47] ด้วยฉลองพระองค์อันประกอบไปด้วย
- ชุด "โคโรเซ็นโนะโงโฮ" (黄櫨染御袍) เป็นชุดพิธีการโบราณประเภทหนึ่งของญี่ปุ่นที่เรียกว่า "โซกูไต" (束帯) แต่มีสีแดงอมน้ำตาล ซึ่งเป็นสีฉลองพระองค์สำหรับจักรพรรดิเท่านั้น
- มงกุฎ "โอริวเอ-โนะ-คัมมูริ" (御立纓の冠) เป็นมงกุฎโบราณประเภทหนึ่งของญี่ปุ่นที่เรียกว่า "คัมมูริ" (冠) มักใช้สวมคู่กับชุด "โซกูไต" แต่มีปลายยกขึ้นสูง 60 เซ็นติเมตร ซึ่งเป็นมงกุฎสำหรับจักรพรรดิเท่านั้น
- พระหัตถ์ถือ "ฮู่" (笏) โดยมีลักษณะเป็นแผ่นไม้ยาว มักใช้ถือเมื่อสวมชุด "โซกูไต"

หลังจากสมเด็จพระจักรพรรดิอากิฮิโตะประทับบนพระราชบัลลังก์ทาคามิกูระแล้ว ได้มีการเปิดพระวิสูตร จากนั้นพระองค์ทรงมีพระปฐมบรมราชโองการว่า[48]
ตามบทบัญญัติของรัฐธรรมนูญแห่งญี่ปุ่นและกฎหมายราชวงศ์ ข้าพเจ้าได้สืบทอดราชบัลลังก์แล้ว และบัดนี้ได้จัดพิธีบรมราชาภิเษก ณ พระที่นั่งชินเด็นขึ้น เพื่อประกาศการขึ้นครองราชย์ต่อทั้งในประเทศและต่างประเทศ ในวาระนี้ ข้าพเจ้าขอปฏิญาณอีกครั้งว่า จะยึดมั่นในพระราชหฤทัยของจักรพรรดิโชวะ พระบรมราชชนก ซึ่งทรงใช้เวลาในรัชสมัยกว่า 60 ปีร่วมทุกข์ร่วมสุขกับประชาชนไม่ว่าในสถานการณ์ใดๆ และจะมุ่งมั่นปฏิบัติหน้าที่ในฐานะสัญลักษณ์แห่งความเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันของประเทศญี่ปุ่นและประชาชนชาวญี่ปุ่น โดยจะขอปฏิบัติตามรัฐธรรมนูญแห่งญี่ปุ่นอย่างเคร่งครัด ข้าพเจ้าขอแสดงความปรารถนาอย่างจริงใจว่า ด้วยปัญญาและความพยายามอย่างไม่หยุดยั้งของประชาชน ประเทศของเราจะสามารถพัฒนาต่อไปได้ และจะสามารถอุทิศตนเพื่อมิตรภาพและสันติภาพของประชาคมระหว่างประเทศ รวมถึงเพื่อความผาสุกและความเจริญรุ่งเรืองของมวลมนุษยชาติสืบไป
ในงานพระราชพิธีบรมราชาภิเษกมีผู้แทนจากประเทศต่างๆ จำนวน 158 ประเทศเข้าร่วมในงาน[3]

ในวันเดียวกัน มีการจัดพระราชพิธี "โชกูงะ อนเร็ตสึ" (祝賀御列の儀) หรือพระราชพิธีขบวนแห่เฉลิมฉลองการขึ้นครองราชย์ ซึ่งสมเด็จพระจักรพรรดิอากิฮิโตะและสมเด็จพระจักรพรรดินีมิจิโกะ ประทับรถยนต์พระที่นั่งเปิดประทุน เสด็จจากพระราชวังหลวงโตเกียว ไปยังเขตพระราชฐานอากาซากะ (赤坂御用地) โดยมีประชาชนกว่า 117,000 คนร่วมรับเสด็จตลอดสองข้างทาง[49][50]
วันที่ 22 - 23 พฤศจิกายน พ.ศ. 2533 มีการจัดพระราชพิธี "ไดโจไซ" (大嘗宮の儀)[2] ซึ่งเป็นโบราณราชพิธีหลังจากการขึ้นครองราชสมบัติของจักรพรรดิ โดยจัดขึ้นในตอนกลางคืนจนถึงเช้ามืดวันถัดไป พระราชพิธีนี้เป็นพิธีอธิษฐานของจักรพรรดิเพื่อให้ประเทศชาติและประชาชนสงบสุข รวมถึงขอให้พืชพรรณธัญญาหารอุดมสมบูรณ์ โดยสมเด็จพระจักรพรรดิอากิฮิโตะทรงฉลองพระองค์สีขาวที่เรียกว่า "โกไซฟูกุ" (御祭服) ซึ่งเป็นฉลองพระองค์ที่มีความศักดิ์สิทธิ์
เดือนธันวาคม พ.ศ. 2536 ทรงย้ายที่ประทับจากพระตำหนักโทงู เขตพระราชฐานอากาซากะ (赤坂御用地) ไปประทับที่พระตำหนักหลวง (御所) ในพระราชวังหลวงโตเกียว เขตชิโยดะ กรุงโตเกียว[47]
วันที่ 12 พฤศจิกายน พ.ศ. 2542 สมเด็จพระจักรพรรดิอากิฮิโตะและสมเด็จพระจักรพรรดินีมิจิโกะ เสด็จพระราชดำเนินร่วมงานพิธีเฉลิมฉลองการครองราชสมบัติครบ 10 ปีที่จัดขึ้นโดยรัฐบาล ณ โรงละครแห่งชาติ และเสด็จฯไปยังสะพานนิจูบาชิ (二重橋) เพื่อรับการถวายพระพรจากประชาชน ณ สวนด้านนอกพระราชวังหลวงโตเกียว[51]
วันที่ 12 พฤศจิกายน พ.ศ. 2552 สมเด็จพระจักรพรรดิอากิฮิโตะและสมเด็จพระจักรพรรดินีมิจิโกะ เสด็จพระราชดำเนินร่วมพิธีเฉลิมฉลองการครองราชสมบัติครบ 20 ปีที่จัดขึ้นโดยรัฐบาล ณ โรงละครแห่งชาติ และมีการจัดงานเฉลิมฉลองสำหรับประชาชน ณ สวนด้านนอกพระราชวังหลวงโตเกียว[52][53]
เดือนกรกฎาคม พ.ศ. 2553 พระองค์ทรงเปิดเผยพระราชประสงค์ที่จะสละราชสมบัติครั้งแรกต่อคณะที่ปรึกษาสำนักพระราชวัง และในเดือนถัดมา พระองค์ทรงมีพระราชดำรัสที่สื่อถึงพระราชประสงค์ของพระองค์ว่า "เมื่อพิจารณาถึงสุขภาพของข้าพเจ้าที่เสื่อมถอยลงไปเรื่อยๆ เกรงว่าจะเป็นเรื่องยากที่จะปฏิบัติกิจในฐานะสัญลักษณ์ของชาติด้วยกายและวิญญาณเหมือนที่เคยเป็นมา" สำนักพระราชวังจึงมีการทบทวนและทยอยลดพระราชกรณียกิจของพระองค์ลงในเบื้องต้น โดยส่งต่อให้กับมกุฎราชกุมารนารูฮิโตะและเจ้าชายอากิชิโนะ พระราชโอรส ยกเว้นพระราชกรณียกิจที่สำคัญที่พระองค์ยังคงดำเนินอยู่[54]
วันที่ 8 สิงหาคม พ.ศ. 2559 พระองค์ทรงเผยแพร่พระราชประสงค์ต่อประชาชนผ่านโทรทัศน์อีกครั้ง โดยทรงย้ำถึงความกังวลถึงพระชนมายุของพระองค์ต่อการปฏิบัติพระราชกรณียกิจในสถานะสัญลักษณ์ของประเทศ รวมถึงพระพลานามัยของพระองค์ที่อ่อนล้าลงอีกด้วย[55][56] พระองค์ทรงมีพระราชดำรัสย้ำถึงพระพลานามัยของพระองค์เองมาตลอดระยะเวลาหลายปี แต่ทรงไม่สามารถที่จะแสดงพระราชประสงค์ที่จะสละราชสมบัติออกมาโดยตรงได้ เนื่องจากจะเป็นการแทรกแซงทางการเมือง โดยการสละราชสมบัตินั้นต้องไปแก้ไขกฎหมายราชวงศ์ญี่ปุ่น ซึ่งกฎหมายฉบับนี้ไม่ได้กำหนดเรื่องการสละราชสมบัติเอาไว้ การขึ้นครองราชย์ของจักรพรรดิพระองค์ใหม่จะเกิดขึ้นก็ต่อเมื่อจักรพรรดิพระองค์ก่อนสวรรคตเท่านั้น[22] อีกทั้งทางสำนักพระราชวังก็ออกมาปฏิเสธเรื่องการสละราชสมบัติของพระองค์มาโดยตลอด[57] อย่างไรก็ตาม รัฐบาลจึงได้ทำการพิจารณาความเป็นไปได้ และตกลงทำการตรากฎหมายพิเศษขึ้นมาใช้ครั้งเดียวเพื่อสนองพระราชประสงค์ของพระองค์[58]

วันที่ 1 ธันวาคม พ.ศ. 2560 สภาราชวงศ์ญี่ปุ่นได้มีมติกำหนดวันสละราชสมบัติของพระองค์เป็นวันที่ 30 เมษายน พ.ศ. 2562 และวันขึ้นครองราชย์ของจักรพรรดิพระองค์ใหม่ (มกุฎราชกุมารนารูฮิโตะ) ในวันที่ 1 พฤษภาคม พ.ศ. 2562[59]
วันที่ 24 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2562 สมเด็จพระจักรพรรดิอากิฮิโตะและสมเด็จพระจักรพรรดินีมิจิโกะ เสด็จพระราชดำเนินร่วมพิธีเฉลิมฉลองการครองราชสมบัติครบ 30 ปีที่จัดขึ้นโดยรัฐบาล ณ โรงละครแห่งชาติ[60][61]
วันที่ 1 เมษายน พ.ศ. 2562 โยชิฮิเดะ ซูงะ เลขาธิการใหญ่คณะรัฐมนตรี ได้ประกาศชื่อของรัชศกใหม่ว่า "เรวะ" ซึ่งจะนำมาใช้แทนรัชศก "เฮเซ" ที่จะสิ้นสุดลงเมื่อพระองค์สละราชสมบัติ[62]
วันที่ 13 มิถุนายน พ.ศ. 2562 มีการประกาศใช้กฎหมายพิเศษว่าด้วยการสละราชสมบัติของจักรพรรดิ[63] โดยในมาตรา 2 ได้ระบุว่า เมื่อจักรพรรดิสละราชสมบัติ ณ วันที่มีผลบังคับใช้ มกุฎราชกุมารจะสืบราชสมบัติต่อทันที

สมเด็จพระจักรพรรดิพระเจ้าหลวงอากิฮิโตะ
[แก้]วันที่ 18 เมษายน พ.ศ. 2562 เสด็จฯไปเคารพศาลเจ้าอิเซะ จังหวัดมิเอะ เพื่อรายงานการสละราชสมบัติต่อเทพอามาเตราซุ[64]
วันที่ 23 เมษายน พ.ศ. 2562 เสด็จฯไปเคารพสุสานของจักรพรรดิโชวะ เพื่อรายงานการสละราชสมบัติ[65]
วันที่ 30 เมษายน พ.ศ. 2562 มีการจัดพระราชพิธี "ไทเรเซเดน" (退位礼正殿の儀) หรือพระราชพิธีสละราชสมบัติ ณ พระราชวังหลวงโตเกียว[66] ซึ่งถือว่าเป็นการสละราชสมบัติของจักรพรรดิญี่ปุ่นในรอบ 200 กว่าปี[67] โดยครั้งล่าสุดคือการสละราชสมบัติของจักรพรรดิโคกากุ เมื่อวันที่ 7 พฤษภาคม พ.ศ. 2360 จากนั้นเสด็จฯไปเคารพศาลเจ้า 3 แห่งในพระราชวังหลวงโตเกียว เพื่อรายงานการสละราชสมบัติ[68] อีกทั้งในวันเดียวกันนี้ถือว่าเป็นวันสุดท้ายของรัชศก "เฮเซ" ที่ดำเนินมาเป็นระยะเวลากว่า 30 ปี
วันที่ 1 พฤษภาคม พ.ศ. 2562 เวลา 00:00 นาฬิกา กฎหมายพิเศษว่าด้วยการสละราชสมบัติของจักรพรรดิได้มีการบังคับใช้[69] จึงทำให้มกุฎราชกุมารนารูฮิโตะ พระราชโอรส เสด็จขึ้นครองราชสมบัติเป็นสมเด็จพระจักรพรรดินารูฮิโตะ และรัชศกได้เปลี่ยนเป็นปีเรวะ ที่ 1 อีกทั้งตามกฎหมายพิเศษ ได้กำหนดให้จักรพรรดิที่สละราชสมบัติดำรงพระราชอิสริยยศ "โจโก" (ญี่ปุ่น: 上皇[2]; อังกฤษ: The Emperor Emeritus[3]) หรือ จักรพรรดิพระเจ้าหลวง[1]
วันที่ 26 เมษายน พ.ศ. 2563 พระองค์กับสมเด็จพระจักรพรรดินีพระพันปีหลวงมิจิโกะได้ย้ายที่ประทับจากพระราชวังหลวงโตเกียว ไปประทับที่พระตำหนักเซ็นโต (仙洞御所) ในเขตพระราชฐานอากาซากะ (赤坂御用地) เขตมินาโตะ กรุงโตเกียว[6]
หลังจากการสละราชสมบัติ พระองค์ไม่ค่อยได้ปรากฏพระองค์ในการทำพระราชกรณียกิจต่าง ๆ จึงทำให้พระองค์มีเวลาในการกลับไปทำวิจัยดังเดิม[70]
พระพลานามัย
[แก้]- เดือนธันวาคม พ.ศ. 2496 ทรงได้รับการวินิจฉัยว่าเป็นวัณโรค ซึ่งพระองค์ได้รับการรักษาด้วยยาสเตรปโตมัยซิน ซึ่งเป็นยาที่พึ่งพัฒนาขึ้นมาใหม่ ณ สมัยนั้น จนกระทั่งเดือนกันยายน พ.ศ. 2500 ทรงได้รับการวินิจฉัยว่าหายจากพระอาการประชวรเกือบจะสมบูรณ์แล้ว[71]
- เดือนธันวาคม พ.ศ. 2545 สำนักพระราชวังออกแถลงการณ์ว่าพระองค์ทรงประชวรมะเร็งต่อมลูกหมาก ถัดมาในเดือนมกราคม พ.ศ. 2546 พระองค์ทรงเข้ารับการผ่าตัดเพื่อนำเอาต่อมลูกหมากออกทั้งหมด และในเดือนกรกฎาคม พ.ศ. 2547 พระองค์ทรงเข้ารับการบำบัดด้วยฮอร์โมนเพื่อควบคุมไม่ให้มะเร็งมีการเกิดซ้ำอีก[72] อย่างไรก็ตามการฉีดฮอร์โมนเข้าใต้พระฉวี (ผิวหนัง) อย่างต่อเนื่อง อาจทำให้เกิดผลข้างเคียงต่อความบางของกระดูกได้ จึงต้องบำบัดด้วยการออกกำลังกายเพิ่มขึ้นทดแทน[73]
- เดือนธันวาคม พ.ศ. 2551 ทรงมีอาการไม่สบายพระทรวง จากการวินิจฉัยพบว่าพระหทัยเต้นผิดจังหวะ จึงได้มีการเฝ้าระวังพระอาการอย่างใกล้ชิด[74]
- เดือนกุมภาพันธ์ พ.ศ. 2554 สำนักพระราชวังออกแถลงการณ์ว่าพระองค์ทรงมีภาวะหลอดเลือดพระหทัยตีบ[72]
- เดือนพฤศจิกายน พ.ศ. 2554 ทรงมีอาการหลอดลมอักเสบ มีพระปรอท (ไข้) สูง และพระปับผาสะ (ปอด) บวม จึงเสด็จฯไปประทับรักษา ณ โรงพยาบาลมหาวิทยาลัยโตเกียว[75]
- วันที่ 18 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2555 ทรงเข้ารับการผ่าตัดบายพาสพระหทัย ซึ่งการผ่าตัดเป็นไปอย่างราบรื่น[76]
- วันที่ 30 มกราคม พ.ศ. 2563 พระองค์ทรงล้มและหมดพระสติไปชั่วขณะ ณ พระตำหนักที่ประทับ โดยระหว่างนั้นสมเด็จพระจักรพรรดินีพระพันปีหลวงมิจิโกะทรงประทับอยู่ข้างๆ ได้กดกริ่งเรียกแพทย์ประจำสำนักพระราชวัง หลังจากนั้นไม่นานก็ทรงรู้สึกพระองค์ จากนั้นทรงเข้ารับวินิจฉัยด้วยเครื่องสร้างภาพด้วยเรโซแนนซ์แม่เหล็ก (MRI) ที่โรงพยาบาลสำนักพระราชวัง รวมถึงการตรวจโดยแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ ซึ่งไม่พบสาเหตุของอาการที่เกิดขึ้น[77]
- วันที่ 26 กรกฎาคม พ.ศ. 2565 สำนักพระราชวังออกแถลงการณ์ว่าพระองค์ทรงมีภาวะหัวใจซีกขวาล้มเหลว ทรงได้รับการรักษาด้วยการเสวยยา ควบคุมปริมาณการดื่มน้ำ และลดการออกกำลังกาย ซึ่งพระอาการของพระองค์ดีขึ้นตามลำดับ[78]
- วันที่ 10 พฤษภาคม พ.ศ. 2568 สำนักพระราชวังออกแถลงการณ์ว่าพระองค์ทรงมีภาวะกล้ามเนื้อพระหทัยขาดเลือดแบบไม่แสดงอาการ จำเป็นต้องมีการเฝ้าดูพระอาการอย่างใกล้ชิด และทรงเข้ารับการรักษาด้วยการเสวยยา[79]
พระราชกรณียกิจ
[แก้]
พิธีราชสำนัก
[แก้]ระหว่างที่พระองค์ทรงครองราชสมบัติ พระองค์ทรงร่วมพิธีราชสำนักต่าง ๆ ดังนี้
- ทุกวันที่ 1 มกราคมของทุกปี มีการจัดพิธี "ชินเน็น-ชูกูงะ" (新年祝賀の儀) เพื่อรับการถวายพระพรปีใหม่ จากพระบรมวงศานุวงศ์และคณะรัฐมนตรี ณ ท้องพระโรงมัตสึโนมะ พระราชวังหลวงโตเกียว[80]
- ทุกวันที่ 2 มกราคมของทุกปี มีการจัดพิธี "ชินเน็น-อิปปัน-ซังงะ" (新年一般参賀) หรือการออกมหาสมาคมเนื่องในวันขึ้นปีใหม่ เพื่อรับการถวายพระพรจากประชาชน ณ สวนฝั่งตะวันออกของพระราชวังหลวงโตเกียว[81]
- ในเดือนมกราคมของทุกปี มีการจัดพิธี "โคโช ฮาจิเมะ" (講書始) ซึ่งเป็นการเสด็จออกรับฟังการบรรยายจากผู้ทรงคุณวุฒิในสาขาวิชามนุษยศาสตร์ สังคมศาสตร์ และวิทยาศาสตร์ โดยมีพระบรมวงศานุวงศ์ร่วมเสด็จด้วย ณ ท้องพระโรงมัตสึโนมะ พระราชวังหลวงโตเกียว[82]
- ในเดือนมกราคมของทุกปี มีการจัดพิธี "อูตาไก ฮาจิเมะ" (歌会始の儀) ซึ่งเป็นพิธีการขับร้องบทกวีในท่วงทำนองโบราณตามแบบแผนดั้งเดิมของญี่ปุ่น โดยมีพระบรมวงศานุวงศ์ร่วมเสด็จด้วย ณ ท้องพระโรงมัตสึโนมะ พระราชวังหลวงโตเกียว[83]
- ทุกวันที่ 23 ธันวาคมของทุกปี มีการจัดพิธี "เท็นโน-ทันโจบิ-อิปปัน-ซังงะ" (天皇誕生日一般参賀) หรือการออกมหาสมาคมเนื่องในวันเฉลิมพระชนมพรรษาของสมเด็จพระจักรพรรดิอากิฮิโตะ เพื่อรับการถวายพระพรจากประชาชน ณ สวนฝั่งตะวันออกของพระราชวังหลวงโตเกียว[84]
- ในช่วงฤดูใบไม้ผลิและฤดูใบไม้ร่วงของทุกปี ทรงเป็นเจ้าภาพงานเลี้ยงน้ำชา เพื่อต้อนรับแขกผู้มีเกียรติจากหลากหลายวงการในประเทศญี่ปุ่น ที่เขตพระราชฐานอากาซากะ (赤坂御用地) กรุงโตเกียว[85]

กิจการของรัฐ
[แก้]
จักรพรรดิทรงเป็นสัญลักษณ์แห่งญี่ปุ่น และจะทรงกระทำเฉพาะกิจการของรัฐตามที่บัญญัติไว้ในรัฐธรรมนูญเท่านั้น โดยระหว่างที่พระองค์ทรงครองราชสมบัติ พระองค์ได้ปฏิบัติพระราชกรณียกิจในด้านกิจการของรัฐ ดังนี้
- พิธีเปิดรัฐสภา[86]
- พิธี "ชินนินชิกิ" (親任式) เป็นพิธีแต่งตั้งนายกรัฐมนตรีหลังจากได้รับการเสนอชื่อจากรัฐสภา หรือเป็นพิธีแต่งตั้งประธานศาลสูงสุด หลังจากได้รับการเสนอชื่อจากคณะรัฐมนตรี[87]
- พิธี "นินโชกันนินเมชิกิ" (認証官任命式) เป็นพิธีรับรองเจ้าหน้าที่รัฐระดับสูงทั้งหมด 17 ตำแหน่ง หลังจากได้รับการเสนอชื่อจากคณะรัฐมนตรี เช่น รัฐมนตรีว่าการ, กรรมการตรวจเงินแผ่นดิน, เอกอัครราชทูตสามัญผู้มีอำนาจเต็ม, ผู้พิพากษาศาลสูงสุด เป็นต้น[88]
- พิธีพระราชทานเครื่องราชอิสริยาภรณ์ชั้นสายสะพาย ซึ่งจะจัดในฤดูใบไม้ผลิและฤดูใบไม้ร่วงของทุกปี
- พิธีพระราชทานเครื่องราชอิสริยาภรณ์วัฒนธรรม ซึ่งจะจัดขึ้นทุกวันที่ 3 พฤศจิกายนของทุกปี
- พิธีถวายสาส์นตราตั้ง โดยเอกอัครราชทูตวิสามัญผู้มีอำนาจเต็มคนใหม่จากต่างประเทศ
มีนวิทยา
[แก้]สมเด็จพระจักรพรรดิอากิฮิโตะทรงสนพระทัยทางด้านชีววิทยามาตั้งแต่พระเยาว์ โดยเฉพาะปลาหรือมีนวิทยา หลังจากการอภิเษกสมรสกับสมเด็จพระจักรพรรดินีมิจิโกะ ทรงทุ่มเทให้กับการวิจัยและการจำแนกพันธุ์ปลาบู่[24] ซึ่งผลงานทางด้านมีนวิทยาของพระองค์ ประกอบไปด้วย
- พ.ศ. 2506 บทความวิจัยฉบับแรกของพระองค์เกี่ยวกับกระดูกสะบักของปลาบู่ ได้ตีพิมพ์ในวารสาร Ichthyological Research ซึ่งเป็นวารสารวิทยาศาสตร์ที่มีการตีพิมพ์รายไตรมาส[24]
- พ.ศ. 2508 ทรงเสด็จเยือนประเทศไทย พระบาทสมเด็จพระมหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร ได้ขอพระราชทานปลานิลจากพระองค์ ซึ่งพระองค์ก็ได้ทำการถวายปลานิลเป็นจำนวน 50 ตัว เมื่อเวลาผ่านไป ปลานิลได้ตายลงจนเหลือเพียง 10 ตัว พระบาทสมเด็จพระมหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร จึงทรงนำปลานิลกลับมาเลี้ยงด้วยพระองค์เองในวังสวนจิตรลดา จนสามารถเพาะขยายพันธุ์และสามารถพระราชทานให้กรมประมงได้ถึง 10,000 ตัว ภายในเวลาเพียงไม่ถึง 1 ปี[89] จนปัจจุบัน ปลานิลกลายเป็นหนึ่งในปลาเศรษฐกิจที่สำคัญชนิดหนึ่งของไทย
- พ.ศ. 2523 ทรงได้รับเลือกให้เป็นสมาชิกต่างชาติของ Linnean Society of London ซึ่งเป็นสมาคมวิชาการศึกษาในด้านประวัติศาสตร์ธรรมชาติ, วิวัฒนาการ และอนุกรมวิธาน[24]
- วันที่ 23 ตุลาคม พ.ศ. 2535 ทรงพระราชนิพนธ์บทความเรื่อง "Early cultivators of science in Japan" (นักบุกเบิกวิทยาศาสตร์ยุคแรกในญี่ปุ่น) ในวารสารไซเอินซ์[90]
- นักวิจัยได้อัญเชิญพระนามของพระองค์ไปตั้งเป็นชื่อสายพันธุ์ใหม่ของปลาบู่ เพื่อถวายพระเกียรติให้กับพระองค์ที่ทรงทุ่มเทในการวิจัยด้านนี้มาหลายปี โดยสายพันธุ์ปลาบู่ที่มีพระนามของพระองค์ ได้แก่ "Platygobiopsis akihito" (2535)[91] และ "Exyrias akihito" (2548)[92] นอกจากนี้ยังมีการอัญเชิญพระนามของพระองค์ไปตั้งเป็นชื่อสกุลของปลาบู่อีกด้วย โดยสกุลของปลาบู่ที่ตั้งขึ้นใหม่ มีชื่อว่า "Akihito"[93]
- พ.ศ. 2541 ทรงได้รับพระราชทานเหรียญรางวัล Charles II Medal จากราชสมาคมแห่งสหราชอาณาจักรเป็นพระองค์แรกของโลก สำหรับผลงานวิจัยด้านมีนวิทยา[94]
- พ.ศ. 2543, 2551, และ 2559 ทรงเป็นนักวิจัยหลักในการตีพิมพ์บทความในวารสาร Gene[95][96][97]
- ทรงเป็นสมาชิกสมาคมวิชาการมีนวิทยาแห่งญี่ปุ่น (The Ichthyological Society of Japan) โดยพระองค์มีการตีพิมพ์งานวิจัยทั้งหมด 28 ฉบับ (ข้อมูล ณ พ.ศ. 2561)[98]
- นับตั้งแต่พระองค์ทรงทำการวิจัยมา พระองค์ทรงค้นพบปลาบู่สายพันธุ์ใหม่ทั้งหมด 8 สายพันธุ์[24][99] ได้แก่
- Glossogobius aureus (2518)
- Pandaka trimaculata (2518)
- Myersina nigrivirgata (2526)
- Astrabe flavimaculata (2531)
- Astrabe fasciata (2531)
- Cristatogobius aurimaculatus (2543)
- Callogobius albipunctatus (2564)
- Callogobius dorsomaculatus (2564)
- ทรงเคยได้รับปลาบลูจิลล์จากนายกเทศมนตรีนครชิคาโก สหรัฐอเมริกา ซึ่งเป็นปลาในลุ่มแม่น้ำมิสซิสซิปปี และพระองค์ได้พระราชทานให้กับกรมประมงในการเพาะเลี้ยงขยายพันธุ์ เนื่องจากทรงมีพระราชประสงค์ให้ปลาชนิดนี้เป็นแหล่งอาหารให้กับคนยากจน อย่างไรก็ตาม ปลาชนิดนี้กลับขยายพันธุ์อย่างรวดเร็วจนผิดปกติ และส่งผลลบต่อระบบนิเวศ ซึ่งพระองค์ทรงเสียพระทัยเป็นอย่างมาก และได้มีพระราชดำรัสถึงเหตุการณ์นี้ในวันที่ 11 พฤศจิกายน พ.ศ. 2550[100]
การรำลึกถึงสงคราม
[แก้]
วันที่ 6 สิงหาคม พ.ศ. 2503 ขณะที่ทรงดำรงอิสริยยศมกุฎราชกุมาร ทรงร่วมพิธีรำลึกครบรอบ 15 ปีการทิ้งระเบิดปรมาณูที่จังหวัดฮิโรชิมา ซึ่งถือว่าเป็นครั้งแรกของพระบรมวงศานุวงศ์ที่เสด็จไปร่วมพิธีรำลึกถึงสงคราม โดยการร่วมงานของพระองค์ในครั้งนี้ได้ทำให้พิธีรำลึกกลายเป็นพิธีระดับชาติต่อมาจนถึงปัจจุบัน[101]
ภายหลังการขึ้นครองราชย์ พระองค์ได้เสด็จฯไปในพิธีรำลึกสงครามเนื่องในโอกาสครบรอบที่สำคัญเป็นประจำ เพื่อแสดงความเสียพระทัยอย่างสุดซึ้งต่อความเสียหายที่เกิดขึ้นจากสงคราม เช่น
- พิธีรำลึกครบรอบ 50 ปีหลังสงครามโลกครั้งที่สอง ที่นางาซากิ, ฮิโรชิมา, โอกินาวะ, และโตเกียว[47]
- พิธีรำลึกครบรอบ 60 ปีของยุทธการที่ไซปัน[4]
- พิธีรำลึกครบรอบ 70 ปีของการทัพหมู่เกาะมาเรียนาและปาเลา[4]
- พิธีรำลึกยุทธการที่โอกินาวะ ทรงร่วมพิธีนี้ทั้งหมด 11 ครั้ง[4]
ด้านธรรมชาติ
[แก้]ทรงปฏิบัติพระราชกรณียกิจในด้านการรักษาสิ่งแวดล้อมและธรรมชาติ เช่น
- ทรงร่วมงานปลูกต้นไม้แห่งชาติ (全国植樹祭) เป็นประจำทุกปี ซึ่งทรงสืบทอดพระราชกรณียกิจนี้มาจากจักรพรรดิโชวะ พระบรมราชชนก[47][102]
- ทรงร่วมชมการแข่งขันประมงแห่งชาติเพื่อความอุดมสมบูรณ์ของท้องทะเล (全国豊かな海づくり大会) เป็นประจำทุกปี[47]
ด้านกีฬา
[แก้]
ทรงปฏิบัติพระราชกรณียกิจในด้านส่งเสริมการกีฬา เช่น
- ทรงร่วมพิธีเปิดงานการแข่งขันกีฬาแห่งชาติ (国民体育大会) เป็นประจำทุกปี ซึ่งทรงสืบทอดพระราชกรณียกิจนี้มาจากจักรพรรดิโชวะ พระบรมราชชนก[47][103]
- ทรงดำรงตำแหน่งประธานกิตติมศักดิ์การแข่งขันพาราลิมปิกฤดูร้อน 1964 กรุงโตเกียว[30]
- วันที่ 7 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2541 ทรงร่วมพิธีเปิดการแข่งขันโอลิมปิกฤดูหนาว 1998[104]
- ทรงร่วมชมการแข่งขันกีฬาต่าง ๆ เช่น แกรนด์ซูโม่ทัวร์นาเมนต์[105], เบสบอล[106], บาสเก็ตบอล[107]
ด้านเยาวชน
[แก้]ทรงปฏิบัติพระราชกรณียกิจในด้านการส่งเสริมเยาวชน เช่น
ด้านศิลปะและวัฒนธรรม
[แก้]ทรงปฏิบัติพระราชกรณียกิจในด้านการส่งเสริมศิลปะและวัฒนธรรม เช่น
ด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี
[แก้]ทรงปฏิบัติพระราชกรณียกิจในด้านการส่งเสริมวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี เช่น
- ทรงเป็นองค์ประธานมอบรางวัลในงาน Japan Prize Award[112] ซึ่งเป็นพิธีมอบรางวัลให้แก่นักวิทยาศาสตร์และวิศวกรจากทั่วโลกที่มีผลงานโดดเด่นและสร้างสรรค์ในสาขาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี
- ทรงเป็นองค์ประธานมอบรางวัลของสถาบันวิทยาศาสตร์แห่งญี่ปุ่น[113]
- ทรงเป็นองค์ประธานมอบรางวัลของสถาบันชีววิทยาศาสตร์นานาชาติ[114]

ด้านผู้พิการ
[แก้]ทรงปฏิบัติพระราชกรณียกิจในด้านการสนับสนุนผู้พิการ เช่น
การเสด็จเยี่ยมพื้นที่ภัยพิบัติ
[แก้]- เดือนกรกฎาคม พ.ศ. 2534 เสด็จฯเยือนเมืองชิมาบาระ จังหวัดนางาซากิ เพื่อเยี่ยมผู้ประสบภัยจากตระกอนภูเขาไฟอุนเซ็น-ฟูเก็น ซึ่งมีผู้เสียชีวิต 43 ราย[47]
- เดือนกรกฎาคม พ.ศ. 2536 เสด็จฯเยือนเกาะโอกูชิริ เพื่อเยี่ยมผู้ประสบภัยจากสึนามิ จากเหตุการณ์แผ่นดินไหวใหญ่ทางตะวันตกเฉียงใต้ของฮอกไกโด[47]
- วันที่ 31 มกราคม พ.ศ. 2538 เสด็จฯเยือนจังหวัดเฮียวโกะ เพื่อเยี่ยมผู้ประสบภัยจากแผ่นดินไหวครั้งใหญ่ฮันชิง ซึ่งมีผู้เสียชีวิตกว่า 6,400 ราย[47]
- เดือนตุลาคม พ.ศ. 2547 เสด็จฯเยี่ยมผู้ประสบภัย จากเหตุการณ์แผ่นดินไหวที่นีงาตะ-ชูเอ็ตสึ[72]
- วันที่ 16 มีนาคม พ.ศ. 2554 ทรงมีพระราชดำรัสผ่านวิดิโอถึงผู้ประสบภัยเหตุการณ์แผ่นดินไหวและคลื่นสึนามิในโทโฮกุ[115], เสด็จฯวางช่อดอกไม้รำลึกถึงผู้เสียชีวิตในเหตุการณ์[116], อีกทั้งเหตุการณ์ภัยพิบัตินี้ได้ส่งผลกระทบต่อโรงไฟฟ้านิวเคลียร์ ทำให้ญี่ปุ่นมีปัญหาเรื่องการใช้ไฟฟ้าภายในประเทศ จึงต้องมีนโยบายในการงดจ่ายกระแสไฟฟ้าบางช่วงเวลาในบางพื้นที่ โดยเขตชิโยดะซึ่งเป็นที่ตั้งของพระราชวังหลวงโตเกียวนั้นไม่ได้อยู่ในแผนการงดจ่ายกระแสไฟฟ้า อย่างไรก็ตาม พระองค์ก็ทรงร่วมงดใช้ไฟฟ้าวันละ 2 - 4 ชั่วโมงในพระตำหนักด้วยพระองค์เอง ตั้งแต่วันที่ 15 - 23 มีนาคม พ.ศ. 2554[117]
- เดือนพฤษภาคม พ.ศ. 2559 เสด็จฯเยี่ยมผู้ประสบภัย จากเหตุการณ์แผ่นดินไหวที่คุมาโมโตะ[54]
การเสด็จเยือนต่างจังหวัด
[แก้]วันที่ 17 - 19 กรกฎาคม พ.ศ. 2518 ทรงเสด็จฯเยือนจังหวัดโอกินาวะ เป็นครั้งแรก ขณะที่พระองค์ดำรงพระอิสริยยศมกุฎราชกุมาร ซึ่งจังหวัดโอกินาวะเคยอยู่ภายใต้การปกครองของสหรัฐอเมริกา และเพิ่งได้กลับคืนสู่การปกครองของญี่ปุ่นในปี พ.ศ. 2515 โดยจุดประสงค์หลักคือทรงเข้าร่วมพิธีเปิดงานมหกรรมนานาชาติทางทะเลโอกินาวะ อย่างไรก็ตาม มีกลุ่มการเมืองฝ่ายซ้ายสุดขั้วได้ระดมพลขัดขวางพิธีเปิดและพิธีปิดของงานเป็นจำนวนถึง 22,000 คน และมีกลุ่มคนบางส่วนได้ก่อเหตุที่รุนแรง เช่น ขว้างขวดเปล่าใส่ขบวนรถยนต์ที่ประทับ และขว้างระเบิดเพลิงขณะที่ทรงไปเคารพหอคอยฮิเมะยูริ อย่างไรก็ตาม ไม่มีเหตุอันตรายใด ๆ เกิดขึ้นแก่พระองค์โดยตรง และในเวลาถัดมาได้มีการจับกุมสมาชิกกลุ่มหัวรุนแรง 401 คนในข้อหาขัดขวางการปฏิบัติหน้าที่ของเจ้าพนักงานและรวมตัวกันโดยมีอาวุธร้ายแรง[118]
สมเด็จพระจักรพรรดิอากิฮิโตะและสมเด็จพระจักรพรรดินีมิจิโกะ ทรงเสด็จพระราชดำเนินเยือนต่างจังหวัดครบทั้ง 47 จังหวัดตั้งแต่ที่ยังทรงดำรงตำแหน่งมกุฎราชกุมาร โดยหลังจากพระองค์เสด็จขึ้นครองราชย์แล้ว พระองค์ก็ได้เสด็จฯเยือนครบทั้ง 47 จังหวัดเป็นครั้งที่ 2 ในปี พ.ศ. 2546 และเป็นครั้งที่ 3 ในปี พ.ศ. 2560[47]
| ประเทศ | วันที่ | พระราชกรณียกิจ | เสด็จพร้อมด้วย |
|---|---|---|---|
| 30 มีนาคม - 12 ตุลาคม พ.ศ. 2496 | ทรงร่วมพิธีบรมราชาภิเษกสมเด็จพระราชินีนาถอลิซาเบธที่ 2
ซึ่งเป็นการเยือนต่างประเทศครั้งแรกของพระองค์
|
||
| 8 - 25 มิถุนายน พ.ศ. 2519 | เสด็จเยือนเพื่อส่งเสริมความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ | มกุฎราชกุมารีมิจิโกะ | |
| 26 กรกฎาคม - 2 สิงหาคม พ.ศ. 2524 | ทรงร่วมพิธีอภิเษกสมรสเจ้าชายชาร์ลส์ ฟิลิป อาร์เธอร์ จอร์จ | มกุฎราชกุมารีมิจิโกะ | |
| 30 มีนาคม - 12 ตุลาคม พ.ศ. 2496 | เสด็จเยือนเป็นการส่วนพระองค์ | ||
| 30 มีนาคม - 12 ตุลาคม พ.ศ. 2496 | เสด็จเยือนเป็นการส่วนพระองค์ | ||
| 11 - 22 ตุลาคม พ.ศ. 2516 | เสด็จเยือนเพื่อส่งเสริมความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ | มกุฎราชกุมารีมิจิโกะ | |
| 23 กุมภาพันธ์ - 9 มีนาคม พ.ศ. 2528 | เสด็จเยือนเพื่อส่งเสริมความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ | มกุฎราชกุมารีมิจิโกะ | |
| 30 มีนาคม - 12 ตุลาคม พ.ศ. 2496 | เสด็จเยือนเป็นการส่วนพระองค์ | ||
| 30 มีนาคม - 12 ตุลาคม พ.ศ. 2496 | เสด็จเยือนเป็นการส่วนพระองค์ | ||
| 1 - 15 มิถุนายน พ.ศ. 2528 | เสด็จเยือนเพื่อส่งเสริมความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ | มกุฎราชกุมารีมิจิโกะ | |
| 30 มีนาคม - 12 ตุลาคม พ.ศ. 2496 | เสด็จเยือนเป็นการส่วนพระองค์ | ||
| 1 - 15 มิถุนายน พ.ศ. 2528 | เสด็จเยือนเพื่อส่งเสริมความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ | มกุฎราชกุมารีมิจิโกะ | |
| 30 มีนาคม - 12 ตุลาคม พ.ศ. 2496 | เสด็จเยือนเป็นการส่วนพระองค์ | ||
| 1 - 15 มิถุนายน พ.ศ. 2528 | เสด็จเยือนเพื่อส่งเสริมความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ | มกุฎราชกุมารีมิจิโกะ | |
| 30 มีนาคม - 12 ตุลาคม พ.ศ. 2496 | เสด็จเยือนเป็นการส่วนพระองค์ | ||
| 22 กันยายน - 7 ตุลาคม พ.ศ. 2503 | ทรงร่วมงานครบรอบ 100 ปีความสัมพันธ์ทางการทูต | มกุฎราชกุมารีมิจิโกะ | |
| 3 - 10 ตุลาคม พ.ศ. 2530 | เสด็จเยือนเพื่อส่งเสริมความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ | มกุฎราชกุมารีมิจิโกะ | |
| 12 พฤศจิกายน - 9 ธันวาคม พ.ศ. 2503 | เสด็จเยือนเพื่อส่งเสริมความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ | มกุฎราชกุมารีมิจิโกะ | |
| 12 พฤศจิกายน - 9 ธันวาคม พ.ศ. 2503 | เสด็จเยือนเพื่อส่งเสริมความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ | มกุฎราชกุมารีมิจิโกะ | |
| 20 - 28 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2518 | ทรงร่วมพิธีบรมราชาภิเษก | มกุฎราชกุมารีมิจิโกะ | |
| 22 มกราคม - 10 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2505 | เสด็จเยือนเพื่อส่งเสริมความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ | มกุฎราชกุมารีมิจิโกะ | |
| 5 - 10 พฤศจิกายน พ.ศ. 2505 | เสด็จเยือนเพื่อส่งเสริมความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ | มกุฎราชกุมารีมิจิโกะ | |
| 10 - 17 พฤษภาคม พ.ศ. 2507 | เสด็จเยือนเพื่อส่งเสริมความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ | มกุฎราชกุมารีมิจิโกะ | |
| 14 - 21 ธันวาคม พ.ศ. 2507 | เสด็จเยือนเพื่อส่งเสริมความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ | มกุฎราชกุมารีมิจิโกะ | |
| 9 - 31 พฤษภาคม พ.ศ. 2510 | เสด็จเยือนเพื่อส่งเสริมความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ | มกุฎราชกุมารีมิจิโกะ | |
| 9 - 31 พฤษภาคม พ.ศ. 2510 | เสด็จเยือนเพื่อส่งเสริมความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ | มกุฎราชกุมารีมิจิโกะ | |
| 12 - 27 มิถุนายน พ.ศ. 2521 | ทรงร่วมงานครบรอบ 70 ปีการอพยพของชาวญี่ปุ่น | มกุฎราชกุมารีมิจิโกะ | |
| 19 - 28 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2513 | เสด็จเยือนเพื่อส่งเสริมความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ | มกุฎราชกุมารีมิจิโกะ | |
| 3 - 12 มิถุนายน พ.ศ. 2514 | เสด็จเยือนเพื่อส่งเสริมความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ | มกุฎราชกุมารีมิจิโกะ | |
| 6 - 23 พฤษภาคม พ.ศ. 2516 | เสด็จเยือนเพื่อส่งเสริมความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ | มกุฎราชกุมารีมิจิโกะ | |
| 8 - 25 มิถุนายน พ.ศ. 2519 | เสด็จเยือนเพื่อส่งเสริมความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ | มกุฎราชกุมารีมิจิโกะ | |
| 12 - 27 มิถุนายน พ.ศ. 2521 | ทรงร่วมงานครบรอบ 70 ปีการอพยพของชาวญี่ปุ่น | มกุฎราชกุมารีมิจิโกะ | |
| 5 - 14 ตุลาคม พ.ศ. 2522 | เสด็จเยือนเพื่อส่งเสริมความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ | มกุฎราชกุมารีมิจิโกะ | |
| 27 กุมภาพันธ์ - 7 มีนาคม พ.ศ. 2524 | เสด็จเยือนเพื่อส่งเสริมความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ | มกุฎราชกุมารีมิจิโกะ | |
| 10 - 25 มีนาคม พ.ศ. 2526 | เสด็จเยือนเพื่อส่งเสริมความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ | มกุฎราชกุมารีมิจิโกะ | |
| 25 กุมภาพันธ์ - 8 มีนาคม พ.ศ. 2527 | เสด็จเยือนเพื่อส่งเสริมความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ | มกุฎราชกุมารีมิจิโกะ | |
| 23 กุมภาพันธ์ - 9 มีนาคม พ.ศ. 2528 | เสด็จเยือนเพื่อส่งเสริมความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ | มกุฎราชกุมารีมิจิโกะ | |
| 1 - 15 มิถุนายน พ.ศ. 2528 | เสด็จเยือนเพื่อส่งเสริมความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ | มกุฎราชกุมารีมิจิโกะ | |
| ภายหลังการขึ้นครองราชสมบัติ | |||
| 26 กันยายน - 6 ตุลาคม พ.ศ. 2534 | เสด็จเยือนเพื่อส่งเสริมความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ | สมเด็จพระจักรพรรดินีมิจิโกะ | |
| 8 - 15 มิถุนายน พ.ศ. 2549 | ทรงร่วมงานฉลองการครองราชสมบัติครบ 60 ปีของ | สมเด็จพระจักรพรรดินีมิจิโกะ | |
| 26 กันยายน - 6 ตุลาคม พ.ศ. 2534 | เสด็จเยือนเพื่อส่งเสริมความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ | สมเด็จพระจักรพรรดินีมิจิโกะ | |
| 26 กันยายน - 6 ตุลาคม พ.ศ. 2534 | เสด็จเยือนเพื่อส่งเสริมความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ | สมเด็จพระจักรพรรดินีมิจิโกะ | |
| 23 - 28 ตุลาคม พ.ศ. 2535 | เสด็จเยือนเพื่อส่งเสริมความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ | สมเด็จพระจักรพรรดินีมิจิโกะ | |
| 6 - 9 สิงหาคม พ.ศ. 2536 | ทรงร่วมงานพระบรมศพสมเด็จพระราชาธิบดีโบดวงแห่งเบลเยียม | สมเด็จพระจักรพรรดินีมิจิโกะ | |
| 3 - 19 กันยายน พ.ศ. 2536 | เสด็จเยือนเพื่อส่งเสริมความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ | สมเด็จพระจักรพรรดินีมิจิโกะ | |
| 3 - 19 กันยายน พ.ศ. 2536 | เสด็จเยือนนครรัฐวาติกัน | สมเด็จพระจักรพรรดินีมิจิโกะ | |
| 3 - 19 กันยายน พ.ศ. 2536 | เสด็จเยือนเพื่อส่งเสริมความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ | สมเด็จพระจักรพรรดินีมิจิโกะ | |
| 10 - 26 มิถุนายน พ.ศ. 2537 | เสด็จเยือนเพื่อส่งเสริมความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ | สมเด็จพระจักรพรรดินีมิจิโกะ | |
| 3 - 17 กรกฎาคม พ.ศ. 2552 | เสด็จเยือนรัฐฮาวายเพื่อส่งเสริมความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ
และทรงร่วมงานครบรอบ 50 ปีมูลนิธิทุนการศึกษา มกุฎราชกุมารอากิฮิโตะ |
สมเด็จพระจักรพรรดินีมิจิโกะ | |
| 2 - 14 ตุลาคม พ.ศ. 2537 | เสด็จเยือนเพื่อส่งเสริมความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ | สมเด็จพระจักรพรรดินีมิจิโกะ | |
| 30 พฤษภาคม - 13 มิถุนายน พ.ศ. 2540 | เสด็จเยือนเพื่อส่งเสริมความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ | สมเด็จพระจักรพรรดินีมิจิโกะ | |
| 23 พฤษภาคม - 5 มิถุนายน พ.ศ. 2541 | เสด็จเยือนเพื่อส่งเสริมความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ | สมเด็จพระจักรพรรดินีมิจิโกะ | |
| 21 - 30 พฤษภาคม พ.ศ. 2550 | ทรงร่วมงานตามคำทูลเชิญของสมาคม
Linnean Society of London เนื่องในวันครบรอบ 300 ปี ชาตะกาลของคอล ฟ็อน ลินเนีย |
สมเด็จพระจักรพรรดินีมิจิโกะ | |
| 16 - 20 พฤษภาคม พ.ศ. 2555 | ทรงร่วมงานฉลองการครองราชสมบัติครบ 60 ปีของ | สมเด็จพระจักรพรรดินีมิจิโกะ | |
| 23 พฤษภาคม - 5 มิถุนายน พ.ศ. 2541 | เสด็จเยือนเพื่อส่งเสริมความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ | สมเด็จพระจักรพรรดินีมิจิโกะ | |
| 20 พฤษภาคม - 1 มิถุนายน พ.ศ. 2543 | เสด็จเยือนเพื่อส่งเสริมความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ | สมเด็จพระจักรพรรดินีมิจิโกะ | |
| 20 พฤษภาคม - 1 มิถุนายน พ.ศ. 2543 | เสด็จเยือนเพื่อส่งเสริมความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ | สมเด็จพระจักรพรรดินีมิจิโกะ | |
| 21 - 30 พฤษภาคม พ.ศ. 2550 | เสด็จเยือนเพื่อส่งเสริมความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ | สมเด็จพระจักรพรรดินีมิจิโกะ | |
| 6 - 20 กรกฎาคม พ.ศ. 2545 | เสด็จเยือนเพื่อส่งเสริมความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ | สมเด็จพระจักรพรรดินีมิจิโกะ | |
| 8 - 15 มิถุนายน พ.ศ. 2549 | เสด็จเยือนเพื่อส่งเสริมความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ
เนื่องในโอกาสครบรอบ 40 ปีความสัมพันธ์ทางการทูต |
สมเด็จพระจักรพรรดินีมิจิโกะ | |
| 21 - 30 พฤษภาคม พ.ศ. 2550 | เสด็จเยือนเพื่อส่งเสริมความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ | สมเด็จพระจักรพรรดินีมิจิโกะ | |
| 3 - 17 กรกฎาคม พ.ศ. 2552 | เสด็จเยือนเพื่อส่งเสริมความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ | สมเด็จพระจักรพรรดินีมิจิโกะ | |
| 30 พฤศจิกายน - 6 ธันวาคม พ.ศ. 2556 | เสด็จเยือนเพื่อส่งเสริมความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ | สมเด็จพระจักรพรรดินีมิจิโกะ | |
| 8 - 9 เมษายน พ.ศ. 2558 | เสด็จเยือนเพื่อรำลึกการสิ้นสุดสงครามโลกครั้งที่สองครบรอบ 70 ปี | สมเด็จพระจักรพรรดินีมิจิโกะ | |
| 26 - 30 มกราคม พ.ศ. 2559 | เสด็จเยือนเพื่อส่งเสริมความสัมพันธ์ระหว่างประเทศในโอกาส
ครบรอบ 60 ปีความสัมพันธ์ทางการทูต |
สมเด็จพระจักรพรรดินีมิจิโกะ | |
| 28 กุมภาพันธ์ - 6 มีนาคม พ.ศ. 2560 | เสด็จเยือนเพื่อส่งเสริมความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ
โดยเป็นการเยือนต่างประเทศครั้งสุดท้ายของพระองค์ในรัชสมัยเฮเซ |
สมเด็จพระจักรพรรดินีมิจิโกะ | |
- เสด็จเยือนเนเธอร์แลนด์ พ.ศ. 2522
- เสด็จเยือนอินเดีย พ.ศ. 2556
- เสด็จเยือนฟิลิปปินส์ พ.ศ. 2559
การต้อนรับประมุขจากต่างประเทศ
[แก้]หลังจากที่ทรงขึ้นครองราชย์ พระองค์ได้ต้อนรับการมาเยือนประเทศญี่ปุ่นอย่างเป็นทางการของประมุขจากต่างประเทศในฐานะแขกของรัฐ (国賓)[124][125][126] ดังนี้
| ประเทศ | วันที่ | ประมุข | พร้อมด้วย |
|---|---|---|---|
| ตุลาคม พ.ศ. 2532 | รอเบิร์ต มูกาบี | - | |
| ธันวาคม พ.ศ. 2532 | Ali Hassan Mwinyi | Siti Mwiny (ภริยา) | |
| พฤษภาคม พ.ศ. 2533 | Zayed bin Sultan Al Nahyan | Mohamed bin Zayed Al Nahyan (เจ้าชาย) | |
| Sultan bin Zayed Al Nahyan (เจ้าชาย) | |||
| Ahmed bin Zayed Al Nahyan (เจ้าชาย) | |||
| Nasser bin Zayed Al Nahyan (เจ้าชาย) | |||
| พฤษภาคม พ.ศ. 2533 | โน แท-อู | คิม อก-ซุก (ภริยา) | |
| มีนาคม พ.ศ. 2537 | คิม ย็อง-ซัม | ซน มยองซุน (ภริยา) | |
| ตุลาคม พ.ศ. 2541 | คิม แด-จุง | อี ฮี-โฮ (ภริยา) | |
| มิถุนายน พ.ศ. 2546 | โน มู-ฮย็อน | คว็อน ยัง-ซุก | |
| สหภาพโซเวียต | เมษายน พ.ศ. 2534 | มีฮาอิล กอร์บาชอฟ | ไรซา กอร์บาโชวา (ภริยา) |
| ตุลาคม พ.ศ. 2534 | สมเด็จพระราชินีนาถเบียทริกซ์ | เจ้าชายวิลเลิม-อเล็กซานเดอร์ เจ้าชายแห่งออเรนจ์ | |
| ตุลาคม พ.ศ. 2557 | สมเด็จพระราชาธิบดีวิลเลิม-อเล็กซานเดอร์ | สมเด็จพระราชินีมักซิมา | |
| มกราคม พ.ศ. 2535 | จอร์จ เอช. ดับเบิลยู. บุช | บาร์บารา บุช (ภริยา) | |
| เมษายน พ.ศ. 2539 | บิล คลินตัน | ฮิลลารี คลินตัน (ภริยา) | |
| เมษายน พ.ศ. 2557 | บารัก โอบามา | - | |
| มีนาคม พ.ศ. 2535 | อัลเบร์โต ฟูฆิโมริ | - | |
| เมษายน พ.ศ. 2535 | วาตส์ลัฟ ฮาแว็ล | Olga Šplíchalová (ภริยา) | |
| มีนาคม พ.ศ. 2536 | ฟิเดล รามอส | อเมลิตา รามอส (ภริยา) | |
| ธันวาคม พ.ศ. 2545 | กลอเรีย มาคาปากัล-อาร์โรโย | โฮเซ มิเกล อาร์โรโย (สามี) | |
| มิถุนายน พ.ศ. 2558 | เบนิกโน อากีโนที่ 3 | - | |
| เมษายน พ.ศ. 2536 | สมเด็จพระราชาธิบดีอัซลัน มูฮิบบุดดิน ชาห์ | ตวนกู บัยนุน บินติ โมห์ด อาลี | |
| มีนาคม พ.ศ. 2548 | สมเด็จพระราชาธิบดีซัยยิด ซีรอญุดดีน | เติงกู เฟาซียะห์ บินติ เติงกู อับดุลราชิด | |
| ตุลาคม พ.ศ. 2555 | สมเด็จพระราชาธิบดีอับดุล ฮาลิม มูอัซซัม ชาห์ | รายา ประไหมสุหรี อากง ตวนกู ฮัมไมนาล บินดิ ฮาไมดุน | |
| ตุลาคม พ.ศ. 2536 | บอริส เยลต์ซิน | ไนนา เยลต์ซิน (ภริยา) | |
| ตุลาคม พ.ศ. 2536 | มารียู ซูวารึช | Maria Barroso (ภริยา) | |
| ธันวาคม พ.ศ. 2537 | แลค วาแวนซา | Mirosława Danuta Gołoś (ภริยา) | |
| กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2538 | Mary Robinson | Nicholas Robinson (สามี) | |
| มีนาคม พ.ศ. 2538 | ฮุสนี มุบาร็อก | ซูซาน ษาบิต (ภริยา) | |
| กรกฎาคม พ.ศ. 2538 | เนลสัน แมนเดลา | - | |
| ตุลาคม พ.ศ. 2544 | ทาบอ อึมแบกี | Zanele Dlamini (ภริยา) | |
| มีนาคม พ.ศ. 2539 | เฟร์นังดู เอ็งรีกี การ์โดซู | Ruth Leite (ภริยา) | |
| กรกฎาคม พ.ศ. 2539 | ซัยนุลอาบิดีน บิน อะลี | ลัยลา บิน อะลี (ภริยา) | |
| กรกฎาคม พ.ศ. 2539 | สมเด็จพระราชาธิบดีอัลแบร์ที่ 2 | สมเด็จพระราชินีเปาลาแห่งเบลเยียม | |
| เจ้าชายฟีลิป ดยุกแห่งบราบันต์ | |||
| ตุลาคม พ.ศ. 2559 | สมเด็จพระราชาธิบดีฟีลิป | สมเด็จพระราชินีมาตีลด์ | |
| พฤศจิกายน พ.ศ. 2539 | ฌัก ชีรัก | Bernadette Chodron de Courcel (ภริยา) | |
| มิถุนายน พ.ศ. 2556 | ฟร็องซัว ออล็องด์ | วาเลรี ทรีแอร์แวแลร์ (คู่ครองนอกสมรส) | |
| มีนาคม พ.ศ. 2540 | Ernesto Zedillo | Nilda Patricia Velasco (ภริยา) | |
| ตุลาคม พ.ศ. 2546 | บิเซนเต ฟอกซ์ | มาริตา ซาฆากุน (ภริยา) | |
| เมษายน พ.ศ. 2540 | โรมัน แฮร์ทโซค | คริสทีอาเนอ เคราส์ (ภริยา) | |
| พฤศจิกายน พ.ศ. 2540 | Petar Stoyanov | Antonina Stoyanova (ภริยา) | |
| เมษายน พ.ศ. 2541 | ออสการ์ ลุยจี สกัลฟาโร | - | |
| พฤศจิกายน พ.ศ. 2541 | เจียง เจ๋อหมิน | หวัง เย่ผิง (ภริยา) | |
| พฤษภาคม พ.ศ. 2551 | หู จิ่นเทา | หลิว หย่งชิง (ภริยา) | |
| ธันวาคม พ.ศ. 2541 | การ์โลส เมเนม | - | |
| เมษายน พ.ศ. 2542 | แกรนด์ดยุกฌ็อง | แกรนด์ดัชเชสโฌเซฟีน-ชาร์ล็อต | |
| พฤศจิกายน พ.ศ. 2560 | แกรนด์ดยุกอ็องรี | เจ้าหญิงอาแล็กซ็องดรา (พระธิดา) | |
| มิถุนายน พ.ศ. 2542 | โทมัส เคล็สทีล | Margot Klestil-Löffler (ภริยา) | |
| ธันวาคม พ.ศ. 2542 | สมเด็จพระราชาธิบดีอับดุลลอฮ์ที่ 2 | สมเด็จพระราชินีรานยา | |
| เมษายน พ.ศ. 2543 | Árpád Göncz | Zsuzsanna Göntér (ภริยา) | |
| มีนาคม พ.ศ. 2544 | สมเด็จพระราชาธิบดีฮารัลด์ที่ 5 | สมเด็จพระราชินีซอนยา | |
| มิถุนายน พ.ศ. 2546 | เมกาตี ซูการ์โนปูตรี | เตาฟิก กีมัซ (สามี) | |
| พฤศจิกายน พ.ศ. 2549 | ซูซีโล บัมบัง ยูโดโยโน | กริสเตียนี เฮราวาตี (ภริยา) | |
| พฤศจิกายน พ.ศ. 2547 | สมเด็จพระราชินีนาถมาร์เกรเธอที่ 2 | เจ้าชายเฮนริก (พระราชสวามี) | |
| พฤศจิกายน พ.ศ. 2548 | สมเด็จพระราชาธิบดีมุฮัมมัดที่ 6 | - | |
| มีนาคม พ.ศ. 2550 | สมเด็จพระราชาธิบดีคาร์ลที่ 16 กุสตาฟ | สมเด็จพระราชินีซิลเวีย | |
| พฤศจิกายน พ.ศ. 2550 | เหงียน มิญ เจี๊ยต | Trần Thị Kim Chi (ภริยา) | |
| มีนาคม พ.ศ. 2557 | เจือง เติ๊น ซาง | Mai Thị Hạnh (ภริยา) | |
| พฤษภาคม พ.ศ. 2561 | เจิ่น ดั่ย กวาง | Nguyễn Thị Hiền (ภริยา) | |
| พฤศจิกายน พ.ศ. 2551 | สมเด็จพระราชาธิบดีฆวน การ์โลสที่ 1 | สมเด็จพระราชินีโซเฟีย | |
| เมษายน พ.ศ. 2560 | สมเด็จพระราชาธิบดีเฟลิเปที่ 6 | สมเด็จพระราชินีเลติเซีย | |
| พฤษภาคม พ.ศ. 2552 | เซลลัปปัน รามนาทัน | อูร์มิลา นันเฑ (ภริยา) | |
| ตุลาคม พ.ศ. 2559 | โทนี ตัน เค็ง ยัม | Mary Chee Bee Kiang (ภริยา) | |
| พฤษภาคม พ.ศ. 2553 | พระบาทสมเด็จพระบรมนาถ นโรดม สีหมุนี | - | |
| พฤศจิกายน พ.ศ. 2554 | สมเด็จพระราชาธิบดีชิกเม เคซาร์ นัมกเยล วังชุก | สมเด็จพระราชินีเจจุน ปัทมา วังชุก | |
| มีนาคม พ.ศ. 2555 | เศาะบาห์ อัลอะห์มัด อัลญาบิร อัศเศาะบาห์ | - |
- บิล คลินตัน ประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกา เยือนญี่ปุ่น เมื่อ พ.ศ. 2539
- บารัก โอบามา ประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกา เยือนญี่ปุ่น เมื่อ พ.ศ. 2557
- เบนิกโน อากีโนที่ 3 ประธานาธิบดีฟิลิปปินส์ เยือนญี่ปุ่น เมื่อ พ.ศ. 2558
พระเกียรติยศ
[แก้]| ธรรมเนียมพระยศของ สมเด็จพระจักรพรรดิอากิฮิโตะ | |
|---|---|
ธงประจำพระอิสริยยศ | |
| สัญลักษณ์ | ตัวอักษร "榮" |
| คำยกย่อง | เฮกะ (陛下) |
| ลำดับโปเจียม | 3 |
ลำดับพระราชอิสริยยศ
[แก้]- 23 ธันวาคม พ.ศ. 2476 – 10 พฤศจิกายน พ.ศ. 2495: เจ้าชายอากิฮิโตะ (明仁親王) หรือ เจ้าชายสึงุ (ญี่ปุ่น: 継宮; อังกฤษ: Prince Tsugu)
- 10 พฤศจิกายน พ.ศ. 2495 – 7 มกราคม พ.ศ. 2532: มกุฎราชกุมารอากิฮิโตะ (ญี่ปุ่น: 皇太子; อังกฤษ: Crown Prince Akihito)
- 7 มกราคม พ.ศ. 2532 – 30 เมษายน พ.ศ. 2562: สมเด็จพระจักรพรรดิอากิฮิโตะ (ญี่ปุ่น: 天皇; อังกฤษ: His Majesty the Emperor)
- 1 พฤษภาคม พ.ศ. 2562 – ปัจจุบัน: สมเด็จพระจักรพรรดิพระเจ้าหลวงอากิฮิโตะ (ญี่ปุ่น: 上皇; อังกฤษ: His Majesty the Emperor Emeritus)
เครื่องราชอิสริยาภรณ์
[แก้]ญี่ปุ่น
[แก้]
เครื่องราชอิสริยาภรณ์เกียรติคุณและราชมิตราภรณ์อันสูงส่งยิ่งดอกเบญจมาศ ชั้นมหาปรมาภรณ์ (2495)[25]
เครื่องราชอิสริยาภรณ์เกียรติคุณและราชมิตราภรณ์อันสูงส่งยิ่งดอกเบญจมาศ ชั้นสังวาลย์ (2532)[127]
เครื่องราชอิสริยาภรณ์อันมีเกียรติคุณสูงส่ง โชติช่วงยิ่งดอกคิริ
เครื่องราชอิสริยาภรณ์มงคลรัตน์ ชั้น 1 สายสะพาย
เครื่องราชอิสริยาภรณ์วัฒนธรรม
Red Cross Order of Merit
ต่างประเทศ
[แก้]ราชตระกูล
[แก้]| พงศาวลีของสมเด็จพระจักรพรรดิอากิฮิโตะ | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
| ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
เกร็ด
[แก้]วัยพระเยาว์
[แก้]- ตารางกิจวัตรประจำวันของพระองค์คือ ตื่นบรรทมตอน 05:30 น. จากนั้นทรงเข้าเรียน, ออกกำลังกาย, เสวยพระกระยาหารและของว่าง และทรงเข้าบรรทมตอน 20:00 น. โดยทุกเช้าและตอนเย็น พระองค์ต้องทำการถวายความเคารพต่อพระบรมฉายาลักษณ์ของพระบรมราชชนกและพระบรมราชชนนี[147]
- ทุกวันอาทิตย์ พระองค์จะเสวยพระกระยาหารกลางวันร่วมกับพระบรมราชชนก, พระบรมราชชนนี, พระเชษฐภคิณี, พระราชอนุชา, และพระขณิษฐภคิณี จากนั้นจะทรงทอดพระเนตรภาพยนตร์ร่วมกัน[147]
- ทรงมีสุนัขทรงเลี้ยงชื่อว่า "ทามะ"[148]
- ทรงเรียนการทรงม้ามาตั้งแต่สมัยพระเยาว์ โดยม้าทรงเลี้ยงมีชื่อว่า "วากาซะ"[149]
- ทรงเรียนเทนนิสตั้งแต่พระชนมายุ 13 พรรษา โดยนายโคอิจิโร่ อิชิอิ อดีตนักกีฬาเทนนิสของมหาวิทยาลัยเคโอ เป็นพระอาจารย์สอนเทนนิส ซึ่งสอนสัปดาห์ละ 1 ครั้ง ครั้งละ 3 - 4 ชั่วโมง[150]
หลังสงครามโลกครั้งที่ 2
[แก้]- วันที่ 15 สิงหาคม พ.ศ. 2488 จักรพรรดิโชวะ พระบรมราชชนก ประกาศยอมแพ้สงครามผ่านวิทยุ พระองค์ได้มีการบันทึกในสมุดบันทึกส่วนพระองค์ว่า "นับจากนี้ไป เราจะต้องเข้มแข็งขึ้นกว่าเดิม"[16]
- เนื่องจากในยุคสงคราม จักรพรรดิจะถูกยกย่องให้เทียบเท่าเทพเจ้า อย่างไรก็ตาม หลังการแพ้สงครามประมาณ 1 ปี นางเอลิซาเบธ เกรย์ วินนิ่ง (エリザベス・ヴァイニング) พระอาจารย์สอนภาษาอังกฤษ พยายามเรียกพระองค์โดยใช้พระนามที่เรียบง่ายว่า "จิมมี่" ซึ่งในตอนแรกพระองค์ทรงตอบว่า "ไม่ใช่ครับ ผมคือเจ้าชาย" เธอจึงตอบกลับพระองค์ว่า "ใช่แล้ว พระองค์คือเจ้าชายอากิฮิโตะ แต่ในชั้นเรียนนี้พระองค์จะมีพระนามภาษาอังกฤษว่า จิมมี่" ซึ่งพระองค์ก็ทรงยิ้มตอบรับ[16]
- มีนักอนุรักษ์นิยมทำการวิพากย์วิจารณ์อย่างรุนแรงว่า การที่ให้นางเอลิซาเบธ เกรย์ วินนิ่ง มาเป็นพระอาจารย์ เป็นการกระทำที่ไร้มารยาทมาก เนื่องจากเธอเป็นชาวอเมริกัน และญี่ปุ่นพึ่งพ่ายแพ้สงครามกับสหรัฐอเมริกามา[16]
- นางเอลิซาเบธ เกรย์ วินนิ่ง เคยถามนักเรียนในชั้นรวมถึงพระองค์ว่าโตขึ้นอยากเป็นอะไร พระองค์ทรงเขียนคำตอบว่า "อยากเป็นจักรพรรดิ"[16]
- ทรงถูกเชิญให้ไปเล่นเกมกระดานที่บ้านของนางเอลิซาเบธ เกรย์ วินนิ่ง พระองค์ทรงได้ร่วมเล่นเกมเศรษฐีกับลูกของเหล่านายทหารอเมริกัน ผลก็คือทรงพ่ายแพ้ ซึ่งเป็นเรื่องปกติเพราะพระองค์ทรงไม่คุ้นเคยกับเกมกระดานนี้ แต่ท่าทีของพระองค์กลับเงียบสงบ ซึ่งพระสหายได้กล่าวว่าพระองค์ทรงได้เรียนรู้ที่จะยอมรับการพ่ายแพ้อย่างสง่างามแล้ว[16]
มัธยมศึกษา - มหาวิทยาลัย
[แก้]- ในช่วงมัธยมศึกษาตอนต้น พระองค์กับพระราชอนุชาทรงเริ่มสนใจในวิชาประวัติศาสตร์และชีววิทยา และทรงร่วมกันเก็บแมลงและจับปลาที่พระตำหนักในเมืองนูมาซุ[24]
- ขณะที่ทรงศึกษาระดับชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 ทรงเป็นหัวหน้าชมรมขี่ม้า[151]
- ทรงเคยออกจากพระตำหนักโดยไม่ได้แจ้งให้ข้าราชบริพารทราบ เพื่อทรงไปเดินเล่นในย่านกินซะกับพระสหายอีก 2 คน (อากิระ ฮาชิโมโตะ และทากาฮิโกะ เซ็งเงะ) เมื่อเหล่าข้าราชบริพารทราบถึงกับเกิดความโกลาหลและมีการเรียกประชุมฉุกเฉินขึ้น ซึ่งในเวลาถัดมาไม่นานก็ได้รับการแจ้งจากเจ้าหน้าที่ตำรวจในพื้นที่ว่าพบพระองค์อยู่แถวสถานีรถไฟชินบาชิ ซึ่งเจ้าหน้าที่ตำรวจก็พยายามเกลี้ยกล่อมให้พระองค์กลับพระตำหนัก แต่พระองค์ปฏิเสธ จึงได้มีการตั้งตำรวจนอกเครื่องแบบในการติดตามรักษาความปลอดภัย โดยพระองค์กับพระสหายได้พากันไปที่ร้านกาแฟและร้านขนมหวาน อีกทั้งยังมีพระสหายผู้หญิงอีกคนที่มาร่วมด้วยในภายหลัง คือเซ็ตสึโกะ วาตานาเบะ ซึ่ง ณ ขณะนั้น พระองค์ทรงโปรดเธอ และเป็นจุดประสงค์หลักของพระองค์ที่ออกจากพระตำหนักในครั้งนี้ หลังจากที่กลับพระตำหนักแล้ว พระสหายทั้งสองก็โดนตำหนิอย่างรุนแรงจากหัวหน้าสำนักราชเลขานุการในมกุฎราชกุมาร เนื่องจากในช่วงนั้นยังมีความเคลื่อนไหวที่รุนแรงของกลุ่มแรงงาน หลังจากการเกิดเหตุการณ์ Bloody May Day ซึ่งพระองค์อาจจะโดนลอบทำร้ายได้ และพระองค์ได้ชี้แจงในภายหลังว่าพระองค์เพียงแค่อยากลองขึ้นรถไฟเหมือนคนทั่วไปดูสักครั้ง[152]
- ทรงเข้าศึกษาระดับปริญญาตรี สาขาเศรษฐศาสตร์การเมือง มหาวิทยากากูชูอิน (学習院大学) เนื่องจากในมหาวิทยาลัยยังไม่มีสาขาชีววิทยาที่พระองค์สนพระทัย[24]
มกุฎราชกุมาร
[แก้]- ก่อนที่พระองค์จะอภิเษกสมรส ทรงมักจะเสด็จไปประทับที่พระตำหนักตากอากาศ ณ เมืองคารูอิซาวะ จังหวัดนางาโนะ โดยที่แห่งนี้เคยเป็นตำหนักของเจ้าชายอาซากะ ก่อนที่จะถูกปลดฐานันดรศักดิ์ในปี พ.ศ. 2490 ซึ่งในเวลาถัดมาตำหนักแห่งนี้ได้ถูกซื้อและพัฒนาเป็นโรงแรมเซ็งกาตากิ (千ヶ滝プリンスホテル) เนื่องด้วยพระองค์ทรงโปรดการไปประทับที่พระตำหนักแห่งนี้ทุกช่วงฤดูร้อน จึงเป็นสาเหตุนำพาให้พระองค์ได้พบกับสมเด็จพระจักรพรรดินีมิจิโกะ ที่สนามเทนนิส ณ เมืองเดียวกัน หลังการอภิเษกสมรสกับสมเด็จพระจักรพรรดินีมิจิโกะ และมีพระราชโอรส/ธิดา พระองค์ก็ยังคงทรงพาสมเด็จพระจักรพรรดินีมิจิโกะและพระราชโอรส/ธิดาทั้ง 3 พระองค์ไปประทับ ณ ที่แห่งนี้ด้วย[153]
- สาเหตุที่พระองค์โปรดที่แห่งนี้เพราะว่าบรรยากาศดูไม่อึดอัดเหมือนพระตำหนักตากอากาศอื่น ๆ หลังจากที่พระองค์ขึ้นครองราชย์แล้วพระองค์ก็ไม่ได้เสด็จไปประทับอีกเลย ปัจจุบันโรงแรมแห่งนี้ถูกเปลี่ยนชื่อเป็น Karuizawa Prince Hotel ซึ่งพระตำหนักยังคงอยู่แต่ถูกทิ้งร้าง[153]
หลังการขึ้นครองราชย์
[แก้]- ทรงเป็นจักรพรรดิที่ขึ้นครองราชย์โดยมีพระชนมายุมากที่สุดเป็นอันดับ 3 ในประวัติศาสตร์ราชวงศ์ญี่ปุ่น (55 พรรษา) โดยอันดับที่ 1 คือ จักรพรรดิโคนิง ที่ทรงขึ้นครองราชย์เมื่อพระชนมายุ 61 พรรษา ส่วนอันดับ 2 คือ สมเด็จพระจักรพรรดินารูฮิโตะ พระราชโอรส ซึ่งทรงขึ้นครองราชย์เมื่อพระชนมายุ 59 พรรษา[154]
- หลังจากจักรพรรดิโชวะ สวรรคต เนื่องด้วยพระองค์ทรงเป็นทายาทโดยชอบธรรม จึงต้องมีการเสียภาษีมรดกตามกฎหมายเป็นจำนวน 428 ล้านเยน[155]
รถยนต์พระที่นั่ง
[แก้]- เมื่อพระองค์ดำรงอิสริยยศมกุฎราชกุมาร ทรงโปรดการขับรถยนต์เที่ยวเล่นเป็นอย่างมาก พระองค์เคยได้รับพระราชทานรถยนต์รุ่น Prince Sedan จากบริษัท Prince Motor (ปัจจุบันถูกควบรวบเข้ากับบริษัทนิสสัน) ซึ่งภายหลังจากการขึ้นครองราชย์ พระองค์ทรงเปลี่ยนไปขับรถยนต์รุ่นฮอนด้า อินทีกราแทน[156]
- รถยนต์พระที่นั่งที่ทรงโปรด คือ รถเก๋งสีเทารุ่นฮอนด้า อินทีกรา ซึ่งเป็นเกียร์ธรรมดา ผลิตในปี พ.ศ. 2534 และมีราคา 1.2 ล้านเยน (ณ ขณะนั้น) พระองค์ทรงขับรถคันนี้ภายในพระราชวังหลวงโตเกียวเป็นประจำในวันหยุดสุดสัปดาห์ โดยมีสมเด็จพระจักรพรรดินีมิจิโกะประทับอยู่ข้างพระองค์ภายในรถด้วย[157][158]
- วันที่ 8 มกราคม พ.ศ. 2559 ทรงต่อใบอนุญาตขับขี่สำหรับผู้สูงอายุเป็นครั้งสุดท้าย ซึ่งขณะนั้นพระองค์ทรงมีพระชนมายุ 82 พรรษา ทรงสอบภาคปฏิบัติที่อุทยานตะวันออกของพระราชวังหลวงโตเกียวภายใต้การกำกับดูแลของเจ้าหน้าที่จากสำนักงานตำรวจนครบาล และทรงเสียภาษีที่เกี่ยวข้องเหมือนกับประชาชนทั่วไป[157][158]
- ทรงพกใบขับขี่ติดตัวพระองค์อยู่เสมอ[157]
ความชอบส่วนพระองค์
[แก้]อ้างอิง
[แก้]- 1 2 3 สื่อไทยมีการใช้พระนามนี้ https://www.thairath.co.th/news/foreign/2870440 https://www.prachachat.net/breaking-news/news-993367 https://siamrath.co.th/n/368369
- 1 2 3 4 5 6 7 8 9 10 "上皇上皇后両陛下". 宮内庁 (ภาษาญี่ปุ่น). สืบค้นเมื่อ 2025-08-23.
- 1 2 3 4 5 6 7 8 9 10 "Their Majesties the Emperor Emeritus and Empress Emerita". The Imperial Household Agency (ภาษาอังกฤษ). สืบค้นเมื่อ 2025-08-23.
- 1 2 3 4 "象徴の在り方、模索の日々 天皇陛下の歩み:時事ドットコム". 時事ドットコム (ภาษาญี่ปุ่น). สืบค้นเมื่อ 2025-08-24.
- ↑ "Naruhito: Japan's emperor proclaims enthronement in ancient ceremony" (ภาษาอังกฤษแบบบริติช). 2019-10-22. สืบค้นเมื่อ 2025-08-23.
- 1 2 "仙洞御所・宮邸". 宮内庁 (ภาษาญี่ปุ่น). สืบค้นเมื่อ 2025-08-23.
- 1 2 "国立国会図書館デジタルコレクション". dl.ndl.go.jp. สืบค้นเมื่อ 2025-08-23.
- 1 2 3 4 5 6 7 https://www.jiji.com/jc/v4?id=201906heiseiayumi0002
- ↑ "国立国会図書館デジタルコレクション". dl.ndl.go.jp. สืบค้นเมื่อ 2025-08-23.
- ↑ "<近代茨城の肖像>(40)市村瓚次郎 東洋史研究界の巨匠:東京新聞デジタル". 東京新聞デジタル (ภาษาญี่ปุ่น). สืบค้นเมื่อ 2025-08-31.
- ↑ "館長ブログ ほっと物語 | 金沢蓄音器館". www.kanazawa-museum.jp. สืบค้นเมื่อ 2025-08-31.
- ↑ https://imagelink.kyodonews.jp/search?product_type=1,2,11&keyword=%E7%B6%99%E5%AE%AE&pg=1&opendetail=4676088
- ↑ https://www.gettyimages.com/detail/news-photo/portrait-of-crown-prince-akihito-son-of-emperor-hirohito-of-news-photo/139062935?adppopup=true
- ↑ https://imagelink.kyodonews.jp/search?product_type=1,2,11&keyword=%E7%B6%99%E5%AE%AE%E6%98%8E%E4%BB%81&opendetail=2689269
- ↑ "明仁皇太子は、昭和天皇の「玉音放送」をどこでどう聞いたのか? そこで起きていた「意外な事態」". 現代ビジネス (ภาษาญี่ปุ่น). 2024-09-07. สืบค้นเมื่อ 2025-08-25.
- 1 2 3 4 5 6 "父は、神と呼ばれたが、彼はジミーと呼ばれた (Published 2019)" (ภาษาญี่ปุ่น). 2019-04-30. สืบค้นเมื่อ 2025-08-24.
- ↑ "終戦後も「徹底抗戦」をとなえた「反乱軍」が、「明仁皇太子」を誘拐しようとした理由". 現代ビジネス (ภาษาญี่ปุ่น). 2024-09-09. สืบค้นเมื่อ 2025-08-25.
- ↑ แปลจากวิกิพีเดียญี่ปุ่น https://ja.wikipedia.org/wiki/エリザベス・ヴァイニング
- ↑ https://www.gettyimages.com/detail/news-photo/crown-prince-akihito-wearing-the-uniform-of-peers-school-news-photo/2078494739?adppopup=true
- ↑ https://dot.asahi.com/articles/-/117270?page=3
- ↑ https://gendai.media/articles/-/136822?page=3
- 1 2 3 "e-Gov 法令検索". laws.e-gov.go.jp. สืบค้นเมื่อ 2025-08-23.
- ↑ "ปรับอายุบรรลุนิติภาวะ". www.thairath.co.th. 2022-04-02. สืบค้นเมื่อ 2025-08-31.
- 1 2 3 4 5 6 7 "ハゼの新種発見:「天皇」にとっての「学術研究」とは(石田雅彦) - エキスパート". Yahoo!ニュース (ภาษาญี่ปุ่น). สืบค้นเมื่อ 2025-08-23.
- 1 2 https://imagelink.kyodonews.jp/search?product_type=1,2,11&keyword=%E7%B6%99%E5%AE%AE%E6%98%8E%E4%BB%81&opendetail=4676163
- ↑ https://www2.nhk.or.jp/archives/movies/?id=D0009010001_00000
- ↑ https://austin.as.fsu.edu/items/show/1341
- 1 2 ":: Crown Princess Michiko visited Chiang Mai, 1964., Picture Lanna, Mr. Boonserm Satrabhaya, Lanna Photos, Northern Thailand Photos, Northern Thailand Pictures, Past Pictures ::". lannainfo.library.cmu.ac.th. สืบค้นเมื่อ 2025-08-31.
- ↑ https://imagelink.kyodonews.jp/search?product_type=1,2,11&keyword=%E7%B6%99%E5%AE%AE%E6%98%8E%E4%BB%81&opendetail=4676199
- 1 2 3 4 5 6 7 8 9 https://www.jiji.com/jc/v4?id=201906heiseiayumi0003
- ↑ "1/10 女ともだちと題した皇太子の作品 - ab Cuore". goo blog (ภาษาญี่ปุ่น). สืบค้นเมื่อ 2025-08-25.
- ↑ https://web.archive.org/web/20091002204229/http://www.time.com/time/magazine/article/0,9171,892335-7,00.html
- ↑ หนังสือ "入江相政日記" สำนักพิมพ์อาซาฮี ตีพิมพ์ พ.ศ. 2533
- ↑ https://www2.nhk.or.jp/archives/movies/?id=D0009170034_00000
- ↑ https://www.gettyimages.com/detail/news-photo/akihito-crown-prince-of-japan-and-his-wife-michiko-shoda-news-photo/545333917?adppopup=true
- ↑ "〈1958年の今日〉11月27日 : 美智子さまが初の民間出身の皇太子妃に". nippon.com (ภาษาญี่ปุ่น). 2023-11-27. สืบค้นเมื่อ 2025-08-31.
- ↑ "Crown Prince Akihito and Crown Princess Michiko visit the school (currently Emperor Emeritus and Empress Emerita). - Sydney Japanese International School" (ภาษาอังกฤษแบบออสเตรเลีย). สืบค้นเมื่อ 2025-08-31.
- ↑ https://www.gettyimages.com/detail/news-photo/crown-prince-akihito-of-japan-pictured-on-left-with-his-news-photo/1094886028?adppopup=true
- ↑ https://www.dailyshincho.jp/article/2022/02230700/?all=1&page=3
- ↑ https://www.dailyshincho.jp/article/2022/02230700/?all=1&page=4
- ↑ https://www.dailyshincho.jp/article/2022/02230700/?all=1&page=5
- ↑ "天皇陛下崩御に関する件 - Wikisource". ja.wikisource.org (ภาษาญี่ปุ่น). สืบค้นเมื่อ 2025-08-23.
- ↑ "皇太子明仁親王殿下が皇位を継承された件 - Wikisource". ja.wikisource.org (ภาษาญี่ปุ่น). สืบค้นเมื่อ 2025-08-23.
- ↑ หนังสือ "加藤陽子" หน้า 423
- ↑ https://www.youtube.com/watch?v=ntWG_3FXpPQ
- ↑ "主な式典におけるおことば(平成元年):天皇陛下のおことば - 宮内庁". www.kunaicho.go.jp. สืบค้นเมื่อ 2025-08-26.
- 1 2 3 4 5 6 7 8 9 10 https://www.jiji.com/jc/v4?id=201906heiseiayumi0004
- ↑ "主な式典におけるおことば(平成2年):天皇陛下のおことば - 宮内庁". www.kunaicho.go.jp. สืบค้นเมื่อ 2025-08-26.
- ↑ Inc, Nikkei (2019-11-10). "平成のパレード 11万人集う". 日本経済新聞 (ภาษาญี่ปุ่น). สืบค้นเมื่อ 2025-08-26.
- ↑ https://www.youtube.com/watch?v=-8aH2dexkbE
- ↑ "ご即位十年関連行事 - 宮内庁". www.kunaicho.go.jp. สืบค้นเมื่อ 2025-08-26.
- ↑ "天皇陛下御在位20年慶祝行事等". www.kantei.go.jp. สืบค้นเมื่อ 2025-08-26.
- ↑ "記念特集 - 宮内庁". www.kunaicho.go.jp. สืบค้นเมื่อ 2025-08-26.
- 1 2 https://www.jiji.com/jc/v4?id=201906heiseiayumi0006
- ↑ "天皇陛下、生前退位希望を示唆". BBCニュース (ภาษาญี่ปุ่น). สืบค้นเมื่อ 2025-07-24.
- ↑ "Message from His Majesty The Emperor". The Imperial Household Agency. 8 August 2016. สืบค้นเมื่อ 8 August 2016.
- ↑ "天皇陛下「退位」の意向 日本報道". BBCニュース (ภาษาญี่ปุ่น). สืบค้นเมื่อ 2025-08-26.
- ↑ "Japan's Emperor Akihito hints at wish to abdicate". BBC News (ภาษาอังกฤษแบบบริติช). 2016-08-08. สืบค้นเมื่อ 2025-08-26.
- ↑ "なぜ天皇陛下の退位は4月末日になったか 安倍首相との"バトル"の結果は?". PRESIDENT Online(プレジデントオンライン) (ภาษาญี่ปุ่น). 2017-12-11. สืบค้นเมื่อ 2025-07-24.
- ↑ https://www.kantei.go.jp/jp/content/kihonhoushin.pdf
- ↑ https://www.gettyimages.com/detail/news-photo/emperor-akihito-and-empress-michiko-receive-banzai-cheers-news-photo/1131948856?adppopup=true
- ↑ "สำคัญไฉนรัชสมัยจักรพรรดิญี่ปุ่น". สยามรัฐ. 2019-04-03. สืบค้นเมื่อ 2025-07-24.
- ↑ "e-Gov 法令検索". laws.e-gov.go.jp. สืบค้นเมื่อ 2025-07-24.
- ↑ https://www.gettyimages.com/detail/news-photo/emperor-akihito-visits-the-naiku-inner-shrine-while-news-photo/1143629533?adppopup=true
- ↑ https://www.gettyimages.com/detail/news-photo/emperor-akihito-visits-the-mausoleum-of-emperor-showa-or-news-photo/1144479901?adppopup=true
- ↑ วิดิโอพระราชพิธี https://www.youtube.com/watch?v=UaX5IdVx_1c
- ↑ "Naruhito: Japan's emperor proclaims enthronement in ancient ceremony" (ภาษาอังกฤษแบบบริติช). 2019-10-22. สืบค้นเมื่อ 2025-07-25.
- ↑ https://www.gettyimages.com/detail/news-photo/emperor-akihito-leaves-the-kasukodokoro-one-of-the-imperial-news-photo/1145957244?adppopup=true
- ↑ "e-Gov 法令検索". laws.e-gov.go.jp. สืบค้นเมื่อ 2025-07-24.
- ↑ "上皇陛下 「週イチ皇居通い」が生んだハゼ新種発見の快挙". NEWSポストセブン (ภาษาญี่ปุ่น). สืบค้นเมื่อ 2025-08-27.
- ↑ "主な式典におけるおことば(平成21年):天皇陛下のおことば - 宮内庁". www.kunaicho.go.jp. สืบค้นเมื่อ 2025-08-25.
- 1 2 3 https://www.jiji.com/jc/v4?id=201906heiseiayumi0005
- ↑ "公表事項 - 宮内庁". www.kunaicho.go.jp. สืบค้นเมื่อ 2025-08-29.
- ↑ "公表事項 - 宮内庁". www.kunaicho.go.jp. สืบค้นเมื่อ 2025-08-29.
- ↑ "公表事項 - 宮内庁". www.kunaicho.go.jp. สืบค้นเมื่อ 2025-08-29.
- ↑ "公表事項 - 宮内庁". www.kunaicho.go.jp. สืบค้นเมื่อ 2025-08-29.
- ↑ Inc, Nikkei (2020-01-30). "上皇さま、一時意識失う 検査では異常なし". 日本経済新聞 (ภาษาญี่ปุ่น). สืบค้นเมื่อ 2025-08-27.
- ↑ "公表事項 - 宮内庁". www.kunaicho.go.jp. สืบค้นเมื่อ 2025-08-29.
- ↑ "上皇さまは「無症候性心筋虚血」、動脈硬化の進行確認され御所で投薬治療…宮内庁が診断結果発表". 読売新聞オンライン (ภาษาญี่ปุ่น). 2025-05-10. สืบค้นเมื่อ 2025-08-29.
- ↑ 産経新聞 (2019-01-01). "陛下「国の発展と国民の幸せを祈ります」 皇居で新年祝賀の儀". 産経新聞:産経ニュース (ภาษาญี่ปุ่น). สืบค้นเมื่อ 2025-08-31.
- ↑ "「平成」残り4カ月、新年一般参賀に最多の15万人:皇室関係の今後の主な予定". nippon.com (ภาษาญี่ปุ่น). 2019-01-07. สืบค้นเมื่อ 2025-08-31.
- ↑ https://www.asahi.com/gallery/photo/national/michikosama/20211016/21.html
- ↑ "新年恒例の "歌会始の儀" の平成30年お題「語」を生け、お花で表現しました | いけばな光風流 家元 内藤正風" (ภาษาญี่ปุ่น). 2018-01-13. สืบค้นเมื่อ 2025-08-31.
- ↑ 産経新聞 (2018-12-24). "天皇陛下85歳 最後の一般参賀に最多8万2850人 夜にはご家族でお祝いの夕食会". 産経新聞:産経ニュース (ภาษาญี่ปุ่น). สืบค้นเมื่อ 2025-08-31.
- ↑ https://www.gettyimages.com/detail/news-photo/prince-akishino-princess-mako-princess-kiko-of-akishino-news-photo/670630746?adppopup=true
- ↑ "国会開会式 - 宮内庁". www.kunaicho.go.jp. สืบค้นเมื่อ 2025-08-31.
- ↑ "親任式 - 宮内庁". www.kunaicho.go.jp. สืบค้นเมื่อ 2025-08-31.
- ↑ "認証官任命式 - 宮内庁". www.kunaicho.go.jp. สืบค้นเมื่อ 2025-08-31.
- ↑ tatchai_art (2021-01-15). "สัมพันธ์แน่นแฟ้นราชวงศ์ไทย-ญี่ปุ่น กับการทูตหยุดโลกเริ่มต้นขึ้นจาก "ปลา"". สืบค้นเมื่อ 2025-08-23.
- ↑ Akihito (1992-10-23). "Early Cultivators of Science in Japan". Science. 258 (5082): 578–580. doi:10.1126/science.1411568.
- ↑ "Wayback Machine" (PDF). www.wdc-jp.biz. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิม (PDF)เมื่อ 2012-03-16. สืบค้นเมื่อ 2025-08-23.
- ↑ "Wayback Machine" (PDF). rmbr.nus.edu.sg. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิม (PDF)เมื่อ 2006-10-16. สืบค้นเมื่อ 2025-08-23.
- ↑ "Akihito vanuatu summary page". FishBase (ภาษาอังกฤษ). สืบค้นเมื่อ 2025-08-23.
- ↑ "Royal Society King Charles II Medal | Royal Society". royalsociety.org (ภาษาอังกฤษแบบบริติช). คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2025-05-15. สืบค้นเมื่อ 2025-08-23.
- ↑ Akihito; Iwata, Akihisa; Kobayashi, Takanori; Ikeo, Kazuho; Imanishi, Tadashi; Ono, Hiroaki; Umehara, Yumi; Hamamatsu, Chika; Sugiyama, Kayo; Ikeda, Yuji; Sakamoto, Katsuichi; Fumihito, Akishinonomiya; Ohno, Susumu; Gojobori, Takashi (2000-12-23). "Evolutionary aspects of gobioid fishes based upon a phylogenetic analysis of mitochondrial cytochrome b genes". Gene. 259 (1): 5–15. doi:10.1016/S0378-1119(00)00488-1. ISSN 0378-1119.
- ↑ Akihito; Fumihito, Akishinonomiya; Ikeda, Yuji; Aizawa, Masahiro; Makino, Takashi; Umehara, Yumi; Kai, Yoshiaki; Nishimoto, Yuriko; Hasegawa, Masami; Nakabo, Tetsuji; Gojobori, Takashi (2008-12-31). "Evolution of Pacific Ocean and the Sea of Japan populations of the gobiid species, Pterogobius elapoides and Pterogobius zonoleucus, based on molecular and morphological analyses". Gene. 427 (1): 7–18. doi:10.1016/j.gene.2008.09.026. ISSN 0378-1119.
- ↑ Akihito; Akishinonomiya, Fumihito; Ikeda, Yuji; Aizawa, Masahiro; Nakagawa, So; Umehara, Yumi; Yonezawa, Takahiro; Mano, Shuhei; Hasegawa, Masami; Nakabo, Tetsuji; Gojobori, Takashi (2016-02-01). "Speciation of two gobioid species, Pterogobius elapoides and Pterogobius zonoleucus revealed by multi-locus nuclear and mitochondrial DNA analyses". Gene. Marine Genomics. 576 (2, Part 1): 593–602. doi:10.1016/j.gene.2015.10.014. ISSN 0378-1119.
- ↑ หนังสือพิมพ์ "読売新聞" ฉบับวันที่ 18 ตุลาคม พ.ศ. 2561
- ↑ "FishBase". www.fishbase.se (ภาษาอังกฤษ). สืบค้นเมื่อ 2025-08-23.
- ↑ https://web.archive.org/web/20190502000705/kyoto-np.jp/top/article/20190426000054
- ↑ "60年安保 揺れた8・6 広島県・市式典 皇太子参列 公文書に舞台裏". 中国新聞ヒロシマ平和メディアセンター (ภาษาญี่ปุ่น). สืบค้นเมื่อ 2025-08-25.
- ↑ "全国植樹祭 - 宮内庁". www.kunaicho.go.jp. สืบค้นเมื่อ 2025-08-31.
- ↑ https://www.gettyimages.com/detail/news-photo/crown-prince-akihito-addresses-while-crown-princess-michiko-news-photo/989054808?adppopup=true
- ↑ "天皇皇后両陛下のご日程(平成10年1月~3月) - 宮内庁". www.kunaicho.go.jp. สืบค้นเมื่อ 2025-08-26.
- ↑ https://www.gettyimages.com/detail/news-photo/prince-naruhito-crown-prince-akihito-crown-princess-michiko-news-photo/980428676?adppopup=true
- ↑ https://www.gettyimages.com/detail/news-photo/crown-prince-akihito-crown-princess-michiko-prince-naruhito-news-photo/974469804?adppopup=true
- ↑ https://www.gettyimages.com/detail/news-photo/emperor-akihito-and-empress-michiko-attend-a-basketball-news-photo/966894492?adppopup=true
- ↑ https://www.gettyimages.com/detail/news-photo/emperor-akihito-and-empress-michiko-inspect-a-class-at-news-photo/488742311?adppopup=true
- 1 2 3 4 5 6 "その他の主な式典へのお出まし - 宮内庁". www.kunaicho.go.jp. สืบค้นเมื่อ 2025-08-31.
- ↑ https://www.gettyimages.com/detail/news-photo/crown-prince-akihito-addresses-while-crown-princess-michiko-news-photo/975439068?adppopup=true
- ↑ "日本芸術院授賞式 - 宮内庁". www.kunaicho.go.jp. สืบค้นเมื่อ 2025-08-31.
- ↑ "日本国際賞授賞式 - 宮内庁". www.kunaicho.go.jp. สืบค้นเมื่อ 2025-08-31.
- ↑ "日本学士院授賞式 - 宮内庁". www.kunaicho.go.jp. สืบค้นเมื่อ 2025-08-31.
- ↑ "国際生物学授賞式 - 宮内庁". www.kunaicho.go.jp. สืบค้นเมื่อ 2025-08-31.
- ↑ "東北地方太平洋沖地震に関する天皇陛下のおことば - 宮内庁". www.kunaicho.go.jp. สืบค้นเมื่อ 2025-08-26.
- ↑ https://www.gettyimages.com/search/2/image?family=editorial&page=5&phrase=crown%20prince%20akihito&sort=mostpopular&phraseprocessing=excludenaturallanguage
- ↑ "両陛下、「自主停電」お続けに - MSN産経ニュース". sankei.jp.msn.com (ภาษาญี่ปุ่น). คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2011-03-26. สืบค้นเมื่อ 2025-08-28.
- ↑ "昭和51年 警察白書". www.npa.go.jp. สืบค้นเมื่อ 2025-08-26.
- ↑ "天皇・皇族の外国ご訪問一覧表(戦後)(昭和28年~昭和63年) - 宮内庁". www.kunaicho.go.jp. สืบค้นเมื่อ 2025-07-28.
- ↑ "天皇・皇族の外国ご訪問一覧表(平成元年~平成10年) - 宮内庁". www.kunaicho.go.jp. สืบค้นเมื่อ 2025-08-27.
- ↑ "天皇・皇族の外国ご訪問一覧表(平成11年~平成20年) - 宮内庁". www.kunaicho.go.jp. สืบค้นเมื่อ 2025-07-28.
- ↑ "天皇・皇族の外国ご訪問一覧表(平成21年以降) - 宮内庁". www.kunaicho.go.jp. สืบค้นเมื่อ 2025-07-28.
- ↑ หนังสือ "愉しき御航海を――皇太子殿下へ" โดย ยูกิโอะ มิชิมะ ตีพิมพ์ 10 มีนาคม พ.ศ. 2496
- ↑ "国賓・公賓など外国賓客一覧表(平成元年~平成10年) - 宮内庁". www.kunaicho.go.jp. สืบค้นเมื่อ 2025-09-02.
- ↑ "国賓・公賓など外国賓客一覧表(平成11年~平成20年) - 宮内庁". www.kunaicho.go.jp. สืบค้นเมื่อ 2025-09-04.
- ↑ "国賓・公賓など外国賓客一覧表(平成21年~平成31年) - 宮内庁". www.kunaicho.go.jp. สืบค้นเมื่อ 2025-09-04.
- ↑ https://www.gettyimages.com/detail/news-photo/emperor-akihito-in-traditional-dress-in-japan-november-08-news-photo/110829634?adppopup=true
- ↑ "The Belgian King Albert II and Queen Paola and their eldest son,..." Getty Images (ภาษาอังกฤษแบบบริติช). 2013-07-16. สืบค้นเมื่อ 2025-09-28.
- ↑ https://commons.wikimedia.org/wiki/File:Haile_Selassie_I_with_Crown_Prince_Akihito.jpg
- ↑ https://www.gettyimages.com/detail/news-photo/grand-duke-henri-of-luxembourg-his-daughter-princess-news-photo/880768064?adppopup=true
- ↑ https://web.archive.org/web/20160304101210/http://static3.volkskrant.nl/static/photo/2012/9/7/7/album_large_1067182.jpg
- ↑ "King Carl XVI Gustaf and Queen Silvia of Sweden are greeted by..." Getty Images (ภาษาดัตช์). 2007-03-26. สืบค้นเมื่อ 2025-08-29.
- ↑ https://web.archive.org/web/20120529062913/https://www.borger.dk/foa/Sider/default.aspx?fk=26&foaid=10196200&paid=
- ↑ "Media Centre > Buckingham Palace press releases > Appointment of a new Garter Knight". www.royal.gov.uk (ภาษาอังกฤษ). คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2008-06-04. สืบค้นเมื่อ 2025-08-29.
- ↑ https://www.omsa.org/files/jomsa_arch/Splits/1988/153251_JOMSA_Vol39_12_19.pdf
- ↑ "The Order of Sikatuna | GOVPH". Official Gazette of the Republic of the Philippines (ภาษาอังกฤษแบบอเมริกัน). คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2016-10-13. สืบค้นเมื่อ 2025-08-29.
- ↑ "News - 120302". www.ops.gov.ph. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2008-08-17. สืบค้นเมื่อ 2025-08-29.
- ↑ ราชกิจจานุเบกษา, แจ้งความสำนักนายกรัฐมนตรี เรื่อง พระราชทานเครื่องราชอิสริยาภรณ์, เล่ม ๘๑, ตอน ๒๒ ง, ๓ มีนาคม ค.ศ. ๒๕๐๗, หน้า ๕๗๒
- ↑ ราชกิจจานุเบกษา, ประกาศสำนักนายกรัฐมนตรี เรื่อง พระราชทานเครื่องราชอิสริยาภรณ์ (แด่ สมเด็จพระจักรพรรดิแห่งญี่ปุ่นราชมิตราภรณ์), เล่ม ๑๐๘, ตอน ๑๗๔ ง, ๓ ตุลาคม ค.ศ. ๒๕๓๔, หน้า ๙๗๒๔
- ↑ https://www.boe.es/boe/dias/1972/01/20/pdfs/A01047-01047.pdf
- ↑ https://www.boe.es/boe/dias/1981/07/29/pdfs/A17260-17260.pdf
- ↑ https://www.boe.es/boe/dias/1985/02/28/pdfs/A05055-05055.pdf
- ↑ "About Government - National Orders". www.info.gov.za. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2012-10-22. สืบค้นเมื่อ 2025-08-29.
- 1 2 https://www.ordens.presidencia.pt/?idc=154&list=1
- ↑ https://www.parlament.gv.at/dokument/XXIV/AB/10542/imfname_251156.pdf
- ↑ https://web.archive.org/web/20130510210006/http://www.president.lv/images/modules/items/DOC/tzo%20registrs.doc
- 1 2 https://gendai.media/articles/-/136769?page=2
- ↑ https://imagelink.kyodonews.jp/search?product_type=1,2,11&keyword=%E7%B6%99%E5%AE%AE%E6%98%8E%E4%BB%81&opendetail=4676104
- ↑ https://imagelink.kyodonews.jp/search?product_type=1,2,11&keyword=%E7%B6%99%E5%AE%AE%E6%98%8E%E4%BB%81&opendetail=4676145
- 1 2 https://number.bunshun.jp/articles/-/852161?page=2
- ↑ หนังสือพิมพ์ "日本経済" ฉบับวันที่ 21 ตุลาคม พ.ศ. 2493
- ↑ "高校生だった上皇は、銀座に「脱走」した…歴史に残る「銀ブラ事件」の「驚きの全貌」". 現代ビジネス (ภาษาญี่ปุ่น). 2024-09-11. สืบค้นเมื่อ 2025-08-25.
- 1 2 "なぜ、皇太子一家はある「岬」を訪ね続けたのか? 不可視にされた「歴史」を浮き彫りにする原思想史学の新境地!【発売前試し読み・原武史『地形の思想史』】#3". カドブン (ภาษาญี่ปุ่น). 2019-12-19. สืบค้นเมื่อ 2025-08-29.
- ↑ "歴代2番目の高齢即位、59歳2か月…新天皇陛下". 読売新聞オンライン (ภาษาญี่ปุ่น). 2019-05-01. สืบค้นเมื่อ 2025-08-26.
- ↑ "紀宮さまの婚約によりにわかに関心を集めている 皇室の家計はどうなってるの? [家計簿・家計管理] All About". All About(オールアバウト) (ภาษาญี่ปุ่น). สืบค้นเมื่อ 2025-08-28.
- ↑ หนังสือ "天皇の御料車" หน้า 96
- 1 2 3 Ando)ハフポスト日本版の記者(2013年4月から2023年7月まで), 安藤健二(Kenji (2016-01-08). "天皇陛下が免許更新。愛車のホンダ・インテグラで高齢者講習". ハフポスト (ภาษาญี่ปุ่น). สืบค้นเมื่อ 2025-08-28.
- 1 2 "天皇陛下の愛車は「キャブ車」だった!? いまなおご愛用される陛下の愛車に迫る". 自動車情報誌「ベストカー」 (ภาษาญี่ปุ่น). 2017-11-09. สืบค้นเมื่อ 2025-08-28.
- ↑ สารคดี "天皇 運命の物語 (1) -敗戦国の皇太子" https://www.nhk-ondemand.jp/goods/G2018094346SA000/
- ↑ https://www.gettyimages.com/detail/news-photo/crown-prince-akihito-and-prince-naruhito-enjoy-skiing-at-news-photo/971858762?adppopup=true
แหล่งข้อมูลอย่างเป็นทางการ
[แก้]- เว็บไซต์สำนักพระราชวังอิมพีเรียล (Imperial Household Agency) ภาษาอังกฤษ https://www.kunaicho.go.jp/eindex.html
- เว็บไซต์สำนักพระราชวังอิมพีเรียล (Imperial Household Agency) ภาษาญี่ปุ่น https://www.kunaicho.go.jp/
- ประกาศสํานักนายกรัฐมนตรี เรื่อง หลักเกณฑ์การทับศัพท์ภาษาเยอรมัน สเปน ญี่ปุ่น และมลายู ลงวันที่ 13 มีนาคม พ.ศ. 2561
| ก่อนหน้า | สมเด็จพระจักรพรรดิอากิฮิโตะ | ถัดไป | ||
|---|---|---|---|---|
| จักรพรรดิโชวะ | จักรพรรดิแห่งญี่ปุ่น (7 มกราคม พ.ศ. 2532 – 30 เมษายน พ.ศ. 2562) |
สมเด็จพระจักรพรรดิ นารูฮิโตะ | ||
| มกุฎราชกุมารฮิโรฮิโตะ | มกุฎราชกุมารแห่งญี่ปุ่น (โคไตชิ) (10 พฤศจิกายน พ.ศ. 2495 – 7 มกราคม พ.ศ. 2532) |
มกุฎราชกุมารนารูฮิโตะ | ||
| สมเด็จพระจักรพรรดินี มาซาโกะ |
ลำดับโปเจียมแห่งราชวงศ์ญี่ปุ่น (ลำดับที่ 3) |
สมเด็จพระจักรพรรดินี พระพันปีหลวงมิจิโกะ |
- บุคคลที่เกิดในปี พ.ศ. 2476
- บุคคลที่ยังมีชีวิตอยู่
- จักรพรรดิญี่ปุ่น
- จักรพรรดิญี่ปุ่นผู้ทรงสละราชสมบัติ
- พระเจ้าหลวง
- โคไตชิ
- พระราชโอรสในจักรพรรดิญี่ปุ่น
- พระราชบุตรในจักรพรรดิโชวะ
- นักมีนวิทยาชาวญี่ปุ่น
- ผู้ได้รับเครื่องราชอิสริยาภรณ์ ร.ม.ภ.
- ผู้ได้รับเครื่องราชอิสริยาภรณ์ ม.จ.ก. (ฝ่ายหน้า)
- ผู้ได้รับเครื่องอิสริยาภรณ์เลฌียงดอเนอร์
- บุคคลในยุคโชวะ
- บุคคลในยุคเฮเซ
- บุคคลในยุคเรวะ

