ข้ามไปเนื้อหา

สมเด็จเจ้าแตงโม

จากวิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี
สมเด็จพระสังฆราชแตงโม (ทอง)
สมเด็จพระสังฆราชแห่งกรุงศรีอยุธยา
พระรูปสมเด็จพระสังฆราชแตงโมในวัดใหญ่สุวรรณาราม
ประสูติบ้านหนองหว้า ตำบลหนองขนาน อำเภอเมือง จังหวัดเพชรบุรี
ทอง ชาติภูมิ

สมเด็จเจ้าแตงโม หรือ สมเด็จพระสังฆราชแตงโม (ทอง) มีพระนามเดิมว่า ทอง ชาติภูมิ ประสูติที่บ้านหนองหว้า ตำบลหนองขนาน อำเภอเมือง จังหวัดเพชรบุรี

พระประวัติในตำนานเมืองเพชร

[แก้]

สมเด็จเจ้าแตงโม เดิมชื่อ ทอง เป็นชาวนาหนองหว้า กำพร้าพ่อแม่แต่เล็ก อยู่กับพี่สาว พี่สาวใช้ให้ตำข้าว หาฟืนทุกวัน วันหนึ่งตำข้าวหก พี่สาวคว้าฟืนไล่ตีเลยวิ่งหนีเอาตัวรอด (อายุประมาณ 9 - 10 ขวบ) แล้วเข้าเมืองเที่ยวระเหเร่ร่อน เข้าหมู่ไปตามฝูงเด็ก ๆ จนมีเพื่อนเล่นเพื่อนเที่ยวมาก เช่น เด็กบ้าน เด็กวัด เด็กทองนี้ได้เที่ยวอด ๆ อยาก ๆ อาศัยแต่น้ำประทังความหิวไปวันหนึ่ง ๆ ด้วยความอดทน วันหนึ่งลงเล่นน้ำกับเด็กวัดใหญ่ที่ท่าหน้าวัด มีเปลือกแตงโมลอยน้ำมา 1 ชิ้น ด้วยความหิวจึงคว้าเปลือกแตงโมได้แล้วก็ดำน้ำลงไปเคี้ยวกิน แล้วโผล่ขึ้นมา เพื่อเด็กที่เล่นน้ำด้วยกันรู้ว่าเด็กทองกินเปลือกแตงโม ก็พากันเย้ยหยันต่าง ๆ ว่าตะกละกินเปลือกแตงโม จึงได้พากันเรียกว่า เด็กแตงโม

อย่างไรก็ดี เด็กทองก็ไม่แสดงความเก้อเขินขัดแค้นต่อเพื่อนเด็กด้วยกัน คงยิ้มแย้มแจ่มใสพูดจาเล่นหัวตามเคย ตั้งแต่วันนั้นมาก็กระจ๋อกระแจ๋กับเด็กวัดใหญ่จนได้เข้าไปเล่นหัวอยู่ในวัดกับเพื่อน ทั้งได้ดูเพื่อนเขาเขียนอ่านกันอยู่เนือง ๆ แล้วก็เลยนอนค้างอยู่กับเพื่อนในวัดด้วยกัน

วันหนึ่งเป็นพิธีมงคลการ เจ้าเมืองได้นิมนต์สมภารไปสวดมนต์เย็น ครั้นเสร็จแล้วกลับวัด พอตกเวลากลางคืนสมภารจำวัด ตอนใกล้รุ่งฝันว่าช้างเผือกตัวหนึ่งได้เข้ามาอยู่ในวัด แล้วขึ้นไปบนหอไตร แทงเอาตู้พระไตรปิฎกล้มลงหมดทั้งหอ ครั้นตื่นจากจำวัดท่านก็นั่งตรองความฝัน จึงทราบได้โดยตำราลักษณะสุบินทำนาย พอได้เวลาท่านจะไปฉันที่บ้านเจ้าเมือง ท่านสั่งกับพระเฝ้ากุฏิว่า ถ้ามีใครมาหาให้เอาตัวไว้ก่อน รอจนกว่าจะพบท่าน แล้วท่านก็ไปฉันอาหาร

ครั้นเสร็จแล้วกลับมาวัด ถามพระว่ามีใครมาหาหรือเปล่า พระตอบว่าไม่มีใครมาหา ท่านจึงคอยอยู่จนเย็นก็ไม่เห็นมีใครมา จึงไต่ถามพระสามเณรศิษย์ว่า เมื่อคืนมีใครแปลกหน้าเข้ามาบ้างหรือเปล่า เด็กวัดคนหนึ่งเรียนว่า มีเด็กทองเข้ามานอนด้วยคนหนึ่ง ท่านจึงได้ให้ไปตามตัวมา ครั้นเด็กทองมาแล้ว ท่านจึงได้พิจารณาดู รู้ว่าเด็กทองนี้เองที่เข้าสุบิน ท่านจึงไต่ถามเรื่องราวต่าง ๆ จนได้ความตลอดแล้ว จึงชักชวนให้อยู่ในวัด มิให้ระเหระหนไปไหน

ธรรมเนียมวัดแต่โบราณ เมื่อใครพาเด็กให้มาเล่าเรียนแล้ว มักจะปล่อยให้เล่นหัวกันเสียให้คุ้นเคยสัก 2 - 3 เวลาก่อน จึงจะให้ลงมือเขียนอ่าน พอถึงวันกำหนด ท่านจึงเรียกเด็กทองให้เขียนหนังสือ เด็กทองก็เขียนได้ตั้งแต่ ก, ข, ก.กา ไปจนถึงเกย ตลอดจนอ่านหนังสือพระมาลัยได้ ท่านมีความประหลาดใจจึงถามว่าเจ้ารู้มาจากไหน เด็กทองบอกว่ารู้ที่วัดนี้เอง เพราะดูเพื่อนเขาเขียนเขาอ่านจึงจำได้ ท่านสมภารจึงได้ให้บวชเป็นเณร หัดเทศน์ธรรมวัตรและมหาชาติ และเรียนอรรถแปลบาลีด้วย

ครั้นเทศกาลเข้าพรรษา เจ้าเมืองให้สมภารเทศน์ไตรมาส วันหนึ่งท่านสมภารไม่สบาย จึงให้สามเณรแตงโมไปแทน ครั้นสามเณรแตงโมไปถึง เจ้าเมืองเห็นเข้าก็ไม่ศรัทธา จึงบอกว่า เมื่อพ่อเณรมาแล้วก็เทศน์ไปเถิด แล้วกลับเข้าไปในห้องเสีย สามเณรแตงโมก็ขึ้นเทศน์ พอตั้งนะโมแล้วเดินบทจุลนีย์ เริ่มทำนองธรรมวัตรสำแดงไป ผู้ทายกทั้งข้างหน้าข้างในได้ฟังเพราะจับใจ ทั้งกระแสเสียงก็แจ่มใส เมื่อเอ่ยถึงพระพุทธคุณมีพระอรหังเป็นต้น เสียงสาธุการและพนมมือแลเป็นฝักถั่วไปทั้งโรงธรรม ท่านเจ้าเมืองฟังอยู่ข้างในถึงกับนั่งอยู่ไม่ได้ จึงต้องกลับมานั่งฟังข้างนอกอย่างเคย และเพิ่มเครื่องกัณฑ์ติดเทียนขึ้นอีก เมื่อเทศน์จบแล้ว โดยความเลื่อมใสเข้าไปประเคนของและซักไซ้ไต่ถามเหตุผลว่าอยู่ที่ไหน แล้วปวารณาเป็นโยมอุปัฏฐาก อาราธนาให้มาแทนสมภารต่อไปว่า ท่านแก่เฒ่าชราอาพาธ อย่าให้มาประดักประเดิดเลย ขอให้พ่อเณรมาเทศน์แทนท่านเถิด ต่อนั้นไปสามเณรแตงโมก็มาเทศน์แทนเสมอ

สามเณรแตงโมนี้ได้เล่าเรียนศึกษายังอาจารย์ที่มีอยู่ในอารามต่าง ๆ ในเมืองเพชรบุรี การศึกษาเช่นทางพระปริยัติธรรมและข้อกิจวัตรปฏิบัติจนสิ้นความรู้ของท่านสมภารในสมัยนั้น ท่านสมภารจึงได้พาตัวสามเณรแตงโมเข้ากรุงศรีอยุธยา ไปฝากไว้ต่อคุณวัดหลวงแห่งหนึ่ง ได้ศึกษาพระปริยัติธรรมจนจบพระไตรปิฎก นับได้ว่าเป็นเปรียญแล้ว ได้อุปสมบทเป็นพระภิกษุที่มีชื่อเสียงโด่งดัง จนเจ้าฟ้าเจ้าแผ่นดินนับถือ โปรดให้เป็นอาจารย์สอนหนังสือพระราชบุตร พระราชนัดดา ให้เสด็จมาเล่าเรียนพระพุทธศาสนา ปฏิบัติในคัมภีร์พระไตรย์เพทางคศาสตร์ นัยว่ากาลภายหลังมาเมื่อสมเด็จพระเจ้าลูกยาเธอพระองค์นั้นได้เสด็จเสวยราชย์แล้ว โปรดตั้งพระอาจารย์แตงโมเป็นพระราชาคณะที่พระสุวรรณมุนี ซึ่งปรากฏในฝูงชนภายหลังเรียกกันว่า สมเด็จเจ้าแตงโม

เมื่อท่านได้มั่งคั่งด้วยสมณศักดิ์ฐานันดรแล้ว ภายหลังต่อมาท่านคิดถึงภูมิลำเนาบ้านเกิดเดิม และวัดอันเป็นสถานมูลศึกษาของท่าน จึงได้ถวายพระพรลาสมเด็จพระเจ้าแผ่นดินว่า จะออกไปปฏิสังขรณ์พระอารามที่เคยอยู่พำนักอาศัย เป็นการบำเพ็ญพุทธบูชา ก็ทรงอนุญาตอนุโมทนา แล้วถวายท้องพระโรงในพระราชวังองค์หนึ่งเป็นการช่วย เจ้าคุณอาจารย์ท่านได้นำมาประดิษฐานเป็นศาลาการเปรียญไว้ในวัดใหญ่นั้น ตัวไม้และเสาไม้ใหญ่งามมาก ลวดลายที่เขียนและลายสลักก็เป็นฝีมือโบราณ บานประตูศาลาการเปรียญสลักงามเป็นลายก้านขดปิดทองอย่างวิจิตร

สมเด็จเจ้าแตงโม ได้ให้ช่างหล่อรูปท่านไว้รูปหนึ่ง แต่สมเด็จกรมพระยาดำรงราชานุภาพว่า "ของสำคัญอีกอย่างหนึ่งนั้น คือรูปพระสงฆ์หล่อเท่าตัวคนนั่งพับเพียบพนมมือ ฝีมือที่ปั้นและหล่อเหมือนคน ดีกว่ารูปของท่านขรัวโตหรือรูปสมเด็จพระราชาคณะที่ได้เคยเห็นในที่อื่น ๆ รูปนั้นเขาเรียกกันว่ารูปสมเด็จเจ้าแตงโม คือท่านผู้ที่สร้างวัดใหญ่นี้…ระลึกถึงชาติภูมิจึงออกมาบูรณะวัดใหญ่และสร้างวัดขึ้นมาอีก 2 วัด คือ วัดหนองหว้าวัดหนึ่ง เพื่ออุทิศให้โยมมารดา และวัดดอนบ้านใหม่ เพื่ออุทิศส่วนกุศลให้โยมบิดา ทำเท่ากันเหมือนกัน แลยังปรากฏอยู่ด้วยกัน จนตราบเท่าทุกวันนี้ทั้ง 2 วัด

วัดใหญ่นั้นมีนามใหม่เรียกว่า วัดใหญ่สุวรรณาราม ตามชื่อของสมเด็จสังฆราชองค์นั้น และราษฎรพากันนับถือจึงให้ช่างจีปั้นรูปหล่อสังฆราชทองในเวลาท่านออกมาเมืองเพชรบุรี แล้วหล่อไว้สักการบูชาตราบเท่าจนกาลบัดนี้

รูปสมเด็จเจ้าแตงโมนี้มีเวลาเอาออกแห่งเป็นครั้งคราวพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว มีพระบรมราชวินิจฉัยเกี่ยวกับสมณศักดิ์ของสมเด็จเจ้าแตงโมไว้ในพระราชหัตถเลขาเมื่อเสด็จประพาสมณฑลราชบุรีใน ร.ศ. 128 ฉบับที่ 5 ว่า

"...มีรูปเจ้าอาวาสเดิมซึ่งว่าเป็นผู้ปฏิสังขรณ์นั่งประนมมือถือดอกบัวตูมอยู่รูปหนึ่ง ทำด้วยความตั้งใจจะให้เหมือน ฝีมือดีพอใช้ …ตั้งหน้าเรียนพระปริยัติธรรมจนได้เป็นพระราชาคณะ แล้วจึงกลับออกมาปฏิสังขรณ์วัดนี้ บางปากกล่าวว่าภายหลังได้เป็นสมเด็จพระสังฆราช เป็นที่น่าสงสัยอยู่บ้างว่ากลัวจะหลงที่สังฆราช ด้วยตำแหน่งพระครูเมืองเพชรบุรี 5 อย่างเดียวกันกับเมืองนครศรีธรรมราช เมืองสงขลา เมืองพัทลุง แต่ตามหนังสือเก่า ๆ เขานับว่าเป็นพระราชาคณะทั้งนั้น ชะรอยครู 5 องค์นี้จะเป็นพระสังฆราชาองค์หนึ่ง เช่น พระพากุลเถรเป็นพระสังฆราชาเมืองสวางคบุรี เพชรบุรีนี้ในเวลานั้นน่าที่พระครูสุวรรณมุนีเป็นสังฆราชา ท่านสมเด็จเจ้าแตงโมนี้จะเป็นพระครูสุวรรณมุนีเสียดอกกระมัง จึงได้ชื่อวัดเพิ่มขึ้นว่า วัดใหญ่สุวรรณาราม ทุกวันนี้พระครูสุวรรณมุนีก็ยังเป็นเจ้าคณะอยู่..."

พระยาปริยัติธรรมธาดาได้เขียนบันทึกไว้เมื่อ พ.ศ. 2464 เกี่ยวกับสมเด็จเจ้าแตงโมว่า

"...ท่านให้หล่อรูปท่านไว้รูปหนึ่ง เรื่องหล่อรูปนี้เล่าว่าช่างปั้นหุ่นแสนยากทำไม่เหมือนได้เลย มาได้ตาแป๊ะหลังโกงคนหนึ่งเป็นช่างปั้นอย่างเอก หล่อเอาเหมือนมิได้เพี้ยนผิด ท่านจึงให้หล่อรูปตาแป๊ะไว้เป็นที่ระลึกด้วย รูปหล่อนั้นนั่งพับเพียบประนมมือถือดอกบัว ๆ นั้นถ้าเป็นของเดิมคงแปลว่านั่งทำพุทธบูชาเวลาไหว้พระ ลักษณะรูปทรงสัณฐานของท่านเป็นสันทัดคนทรงสูง ๆ ปากแหลมอย่างเรียกว่าปากครุฑ ถ้าใครเคยเห็นสมเด็จพระวันรัตแดงวัดสุทัศน์ อาจกล่าวว่ามีลักษณะละม้ายคล้ายคลึงกันได้ ในโบสถ์วัดใหญ่นั้นยังมีของเป็นพยานสำคัญอยู่อีกสิ่งหนึ่ง คือฝาบาตรมุกซึ่งเจ้าอธิการวัดได้รักษาต่อ ๆ กันมาใส่ตู้กระจกโดยความเคารพนับถือ จารึกชื่อไว้ว่าฝาบาตรของสังฆราชทอง…เมื่อครั้งปฏิสังขรณ์วัดใหญ่นั้น เล่าว่าท่านได้ปฏิสังขรณ์วัดหนองหว้าซึ่งเป็นวัดอยู่ในตำบลชาติภูมิของท่านด้วย บานประตูวัดหนองหว้านั้นก็สลักเสลาลวดลายวิจิตรบรรจง จนบางคนมาเห็นบานประตูวัดสุทัศน์ลายสลักเครือไม้นกเนื้อสลับซับซ้อนกันหลายชั้น ที่วัดใหญ่เป็นลายสลักชั้นเดียว ถึงวัดหนองหว้าก็คงเป็นชั้นเดียว บานประตูวัดสุทัศน์ หนังสือพระราชวิจารณ์กล่าวชัดเจนเสียแล้วว่าเป็นของรัชกาลที่ 2 ทรงสร้างซึ่งคนทั้งหลายเคยพิศวงว่าเอามาแต่ที่โน่นที่นี่นั้นผิดหมด..."

พระราชพงศาวดาร แผ่นดินสมเด็จพระสรรเพชญที่ 8 กล่าวไว้ตอนหนึ่งว่า

"...จึงเสด็จพระราชดำเนินโดยกระบวนพยุหยาตราชลมารคสถลมารค ขึ้นไปนมัสการพระพุทธบาทตามอย่างพระราชประเพณีมาแต่ก่อน แล้วทรงพระกรุณาให้ช่างพนักงานจัดการยกเครื่องบนพระมณฑปพระพุทธบาทขณะนั้น สมเด็จพระสังฆราชตามเสด็จขึ้นไปช่วยเป็นแม่งานด้วย สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวมีพระทัยปราโมทย์ยิ่งนัก จึงทรงพระกรุณามอบการทั้งปวงถวายให้สมเด็จพระสังฆราชเป็นแม่งาน แล้วก็เสด็จกลับยังกรุงเทพมหานคร..."

และต่อมาเมื่อครั้งนั้นหลังคาพระมณฑปเป็นหลังคาเหมือนวัดพนัญเชิง อยู่มาสมเด็จเจ้าแตงโมจึงถวายพระพรแก่สมเด็จพระบรมกษัตราธิราชเจ้าว่าจะล้างหลังคาลงเสียจะทำยอดพระมณฑปขึ้นไว้ สมเด็จพระบรมกษัตราธิราชเจ้าจึงโปรดให้ขึ้นมาดูแล แต่โบราณมามีต้นไม้ต้น 1 ใหญ่ประมาณ 3 อ้อม มีดอกเท่าฝาบาตร ครั้นเพลาเช้าเพลาเย็นบาน กลางวันตูม เมื่อจะบานนั้นหันหน้าดอกเข้าไปข้างพระมณฑปทุกเพลา มีสัณฐานดอกนั้นเหมือนดอกทานตะวัน ครั้นเมื่อสมเด็จพระเจ้าแตงโมทำมณฑปขึ้นไป ว่าต้นไม้นั้นกีดทรงพระมณฑปอยู่ จึงฟันต้นไม้นั้นเสีย แต่วันนั้นไป ท่านสมเด็จพระเจ้าแตงโมก็ตั้งแต่ลงโลหิตไปจนเท่าวันตาย

สมเด็จเจ้าแตงโมถึงแก่มรณภาพปีใดไม่ปรากฏหลักฐาน แต่ชีวประวัติและผลงานของท่านในจังหวัดเพชรบุรีที่วัดใหญ่สุวรรณาราม วัดหนองหว้า และวัดดอนบ้านใหม่ รู้จักกันแพร่หลายมาแต่โบราณ (ปรากฏในพระราชหัตถเลขาของรัชกาลที่ 5 และของบุคคลอื่น ๆ) จนถึงปัจจุบัน นับเป็นหลักฐานทางประวัติศาสตร์และศิลปกรรมเป็นอย่างมาก อีกทั้งยังเป็นที่เชิดชูชื่อเสียงของวัดใหญ่สุวรรณารามและจังหวัดเพชรบุรีอีกทางหนึ่งด้วย

ที่มา: ตำนานเมืองเพชร โดย พระยาปริยัติธรรมธาดา (แพ ตาละลักษมณ์)

การศึกษา

[แก้]

ทรงเป็นศิษย์วัดใหญ่สุวรรณาราม จังหวัดเพชรบุรี ต่อมาได้บรรพชาเป็นสามเณร ณ วัดนี้ ท่านได้เล่าเรียนหนังสือไทย ขอม และคัมภีร์สรรพวิชาต่าง ๆ ทั้งพระปริยัติธรรมและพระไตรปิฎกจนแตกฉาน สิ้นภูมิปัญญาแห่งครูอาจารย์ในเมืองเพชรบุรี ทั้งยังสามารถเทศนาได้อย่างไพเราะจับใจ มีชื่อเสียงยิ่งนัก อาจารย์เห็นว่าควรจะส่งสามเณรแตงโมให้ได้เล่าเรียนสูงยิ่งขึ้นต่อไปอีก จึงพาเดินทางไปยังพระนครหลวง ฝากฝังไว้ ณ สำนักอาจารย์ที่มีชื่อเสียงแห่งหนึ่ง

สามเณรแตงโมนั้นมีวิริยะอุตสาหะมิท้อถอย เล่าเรียนจนเจนจบสามารถทรงไว้ซึ่งพระไตรปิฎก ต่อมาเมื่ออุปสมบทแล้วได้เล่าเรียนในแขนงวิชาคัมภีร์ไตรเพทศาสตร์ เวทมนตร์คาถา สรรพวิชาอาคมต่าง ๆ และวิชาช่างอีกด้วย

สถาปนา

[แก้]

จำเนียรการผ่านมา ท่านก็เจริญในวิทยาการมีความรู้ความสามารถเป็นอเนกปริยาย และได้รับพระมหากรุณาธิคุณจากพระมหากษัตริย์ ทรงสถาปนาให้ท่านเป็นพระราชาคณะที่ "พระสุวรรณมุนี" ตามนามเดิมของท่านว่า ทอง และยังมีหน้าที่ถวายอักษรและสรรพวิทยาการแด่พระราชโอรสพระราชนัดดา แห่งพระมหากษัตราธิราชอีกด้วย นับได้ว่าท่านเป็นพระเถระที่สำคัญองค์หนึ่งแห่งกรุงศรีอยุธยา

ในลำดับต่อมาท่านก็ได้รับความเคารพจากพระมหากษัตริย์ยิ่งขึ้น เมื่อตำแหน่งสมเด็จพระสังฆราชว่างลง พระองค์จึงได้ทรงสถาปนาพระสุวรรณมุนี ให้มีสมณศักดิ์สูงขึ้นเป็นสมเด็จพระสังฆราช สกลสังฆปริณายก และท่านก็ดำรงตำแหน่งสังฆราชแต่นั้นสืบมา

ดังได้กล่าวมาแล้วว่าสมเด็จฯท่านเป็นผู้มีกตัญญูกตเวทิตาธรรมสูง จึงได้มาบูรณปฏิสังขรณ์วัดใหญ่ฯอุทิศให้อุปัชฌาย์อาจารย์ และในคราวครั้งเดียวกันนี้เอง ท่านยังมาสร้าง "วัดหนองหว้า" อุทิศให้โยมมารดา และยังได้ทำศพโยมมารดาที่นั่นด้วย ที่วัดหนองหว้านี้ยังมีบานประตูอุโบสถแบบเดียวกันกับบานประตูวัดใหญ่ฯหลงเหลืออยู่แต่เพียงบานเดียว เพราะวัดนี้ได้ร้างอยู่คราวหนึ่ง บานประตูจึงถูกทอดทิ้งกรำแดดกรำฝน

การเสด็จกลับเพชรบุรี

[แก้]

ท่านได้เสด็จกลับมาปฏิสังขรณ์วัดใหญ่สุวรรณาราม นับเป็นการปฏิสังขรณ์ครั้งใหญ่ที่สุดครั้งหนึ่ง แล้วก็กลับไปกรุงศรีอยุธยา ปรากฏว่าในแผ่นดินสมเด็จพระเจ้าเสือนั้นสมเด็จพระสังฆราชได้ไปช่วยเป็นแม่กองก่อสร้างมณฑปพระพุทธบาทสระบุรีขึ้นใหม่ ให้มียอดเป็นห้ายอดด้วยของเดิมมีเพียงยอดเดียวทั้งยังทรุดโทรมมาก ดังมีข้อความปรากฏอยู่ในพระราชพงศาวดารเป็นใจความว่า

“ในปีมะเมีย จัตวาศกนั้น ทรงพระกรุณาดำรัสให้ช่างต่ออย่างพระมณฑปพระพุทธบาท ให้มีห้ายอด ให้ย่อเกล็ดบานแถลงแลยอดแทรกด้วย นายช่างต่ออย่างแล้วเอาเข้าทูลถวาย จึงมีพระดำรัสสั่งให้ปรุงเครื่องบนมณฑปตามอย่างนั้นเสร็จ จึงเสร็จพระราชดำเนินโดยขบวนพยุหยาตราชลมารค สถลมารคขึ้นไปนมัสการพระพุทธบาท ตามอย่างพระราชประเพณีมาแต่ก่อน แล้วทรงพระกรุณาให้ช่างพนักงานจัดการยกเครื่องบนพระมณฑปพระพุทธบาท ขณะนั้นสมเด็จพระสังฆราชตามเสด็จขึ้นไปช่วยเป็นแม่กองด้วย สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวมีพระทัยปราโมทย์ยิ่งนักจึงทรงพระกรุณามอบการทั้งปวงถวายให้สมเด็จพระสังฆราชเป็นแม่กองแล้วก็เสด็จยังกรุงเทพพระมหานคร”

สมเด็จพระสังฆราชได้ควบคุมการก่อสร้างฉลองพระเดชพระคุณพระมหาบพิตรสมภารเจ้า จนสามารถยกเครื่องบนพระมณฑปทั้งห้ายอด เสร็จทันเสด็จขึ้นไปนมัสการพระพุทธบาท แต่การตกแต่งภายใน เช่น ปิดกระจกนั้นยังไม่ทันเสร็จ ดังข้อความในพระราชพงศาวดารมีว่า

“ฝ่ายนายช่างกระทำการมณฑปพระพุทธบาทยกเครื่องบนแล้ว จึงจับการปูนและการรักต่อไป แลการทอง การกระจกนั้นยังมิได้สำเร็จ”

เรื่องราวของท่าน ปรากฏว่าได้เล่าสืบต่อ ๆ กันมาหลายชั่วอายุคนแล้ว ทำนองตำนาน พระยาปริยัติธรรมธาดา (แพ ตาละลักษมณ์) ได้เขียนไว้ในเรื่อง"ตำนานเมืองเพชร" พิมพ์เมื่อ พ.ศ. 2464 โดยได้ฟังจากท่านผู้เฒ่าผู้แก่ และสมภารจ้อย"วัดหนองกะชอง" (หนองกาทอง) นับได้ว่าท่านเจ้าคุณพระปริยัติธรรมธาดาเป็นท่านแรกที่เขียนประวัติสมเด็จพระสังฆราช (แตงโม) ไว้เป็นหลักฐาน