ข้ามไปเนื้อหา

อาร์ม็อง ฌ็อง ดูว์ แปลซี เดอ รีเชอลีเยอ

จากวิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี
พระคุณเจ้าพระคาร์ดินัล
ดยุกแห่งรีเชอลีเยอ
มุขมนตรีแห่งรัฐฝรั่งเศส
ดำรงตำแหน่ง
12 สิงหาคม 1624  4 ธันวาคม 1642
กษัตริย์พระเจ้าหลุยส์ที่ 13
ก่อนหน้ามาร์ควิสแห่งอ็องคร์
ว่าง (1617–1624)
ถัดไปพระคาร์ดินัลมาซาแร็ง
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการสงคราม
ดำรงตำแหน่ง
25 พฤศจิกายน 1616  24 เมษายน 1617
กษัตริย์พระเจ้าหลุยส์ที่ 13
ก่อนหน้ากลูก ม็องโก
ถัดไปนีกอลา บรูแลร์ เดอ ซิลลีย์
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ
ดำรงตำแหน่ง
30 พฤศจิกายน 1616  24 เมษายน 1617
กษัตริย์พระเจ้าหลุยส์ที่ 13
ก่อนหน้ากลูก ม็องโก
ถัดไปมาร์ควิสแห่งซิลเลอรี
ข้อมูลส่วนบุคคล
เกิด
Armand Jean du Plessis

(1585-09-09)9 กันยายน 1585
ปารีส ราชอาณาจักรฝรั่งเศส
เสียชีวิต4 ธันวาคม ค.ศ. 1642(1642-12-04) (57 ปี)
ปารีส ราชอาณาจักรฝรั่งเศส
เชื้อชาติฝรั่งเศส
ศาสนาโรมันคาทอลิก
วิชาชีพบาทหลวง, นักการเมือง
ลายมือชื่อ

อาร์ม็อง ฌ็อง ดูว์ แปลซี พระคาร์ดินัลดยุกแห่งรีเชอลีเยอ (ฝรั่งเศส: Armand Jean du Plessis de Richelieu, Cardinal-Duc de Richelieu) เป็นบาทหลวงและรัฐบุรุษชาวฝรั่งเศส ท่านยังได้รับฉายาว่า พระคุณเจ้าแดง (I'Éminence rouge) จากการที่ท่านสวมเสื้อคลุมสีแดงของพระคาร์ดินัล

ภูมิหลัง

[แก้]

อาร์ม็อง เดอ รีเชอลีเยอเกิดที่ปารีส เป็นบุตรชายคนที่สามของครอบครัวขุนนางที่มีฐานะไม่ร่ำรวย บิดาของเขาป่วยเสียชีวิตในช่วงสงครามศาสนาของฝรั่งเศสในปี 1590 ทำให้ครอบครัวตกอยู่ในภาวะขัดสน เมื่อมีอายุเก้าปี เด็กชายอาร์ม็องถูกส่งตัวเข้าวิทยาลัยนาวาร์ในปารีสเพื่อศึกษาปรัชญา ภาษาละติน ภาษากรีก ภาษาฮีบรู ไวยากรณ์ และศิลปกรรม หลังจากออกจากวิทยาลัย เขาได้สืบบรรดาศักดิ์ มาร์ควิสแห่งชีลู (Marquis de Chillou) ซึ่งเป็นยศขุนนางจากญาติห่างๆที่เขามีสิทธิ์สืบทอด จากนั้นจึงเข้ารับการฝึกเตรียมทหาร[1] ทำให้เขาได้เรียนคณิตศาสตร์ ขี่ม้า และมารยาทชั้นสูง ชีวิตส่วนตัวของเขาในช่วงนี้เหมือนกับเด็กเตรียมทหารทั่วไป[2]

พระเจ้าอ็องรีที่ 3 ทรงตอบแทนบิดาของอาร์ม็อง ผู้มีความดีความชอบในสงครามศาสนา โดยการประทานมุขมณฑลลูว์ซง (Luçon) ให้แก่ครอบครัวรีเชอลีเยอ ด้วยเหตุนี้ ครอบครัวรีเชอลีเยอจึงนำรายได้ของมุขมณฑลมาใช้จ่ายส่วนตัวเป็นจำนวนมาก สร้างความไม่พอใจต่อนักบวชบางส่วนที่ต้องการนำเงินไปใช้จ่ายเพื่อศาสนา มารดาของรีเชอลีเยอต้องการปกป้องแหล่งรายได้ดังกล่าวจึงเสนอให้อาลฟงส์ บุตรชายคนที่สอง เตรียมตัวเป็นมุขนายกแห่งลูซง แต่อาลฟงส์ไม่อยากเป็นมุขนายก และเลือกเป็นแค่นักบวชคณะคาร์ทูเซียน ด้วยเหตุนี้ อาร์ม็องผู้น้อง จึงต้องหันไปสู่การเป็นพระ เขาเริ่มเรียนเทววิทยาในปี 1605 และจบการศึกษาในปี 1607

ขึ้นสู่อำนาจ

[แก้]
พระเจ้าหลุยส์ที่ 13 ในวัยหนุ่ม ผู้ซึ่งในช่วงต้นรัชกาลต้องเผชิญปัญหาความขัดแย้งกับพระมารดา พระนางมาเรีย เดอ เมดีชี

ในปี 2157 นักบวชแห่งปัวตีเยได้กล่าวกับริเชอริเยอว่า เขาควรเป็นหนึ่งในตัวแทนในสภาฐานันดร[3] ด้วยความสามารถและความขยันขันแข็งของเขาต่อกิจการของคริสตจักรในฝรั่งเศส ซึ่งหากเข้าไปเป็นส่วนหนึ่งของสภาฐานันดรได้ เขาก็จะได้รับการยกเว้นการเก็บภาษีตามกฎหมายของฝรั่งเศส ในฐานะที่ริเชอริเยอเป็นนักบวชที่มุ่งมันอย่างเต็มที่ต่อกรนำเอาคำประกาศจากการสังคายนาแห่งเทรนต์ประกาศใช้ทั่วฝรั่งเศส ซึ่งเป็นที่คัดค้านของเหล่าฐานันดรที่สาม หรือก็คือพวกสามัญชน หลังจบการประชุมของสภาฐานันดร เหล่าฐานันดรที่สองหรือฐานันของพวกนักบวชได้ตั้งเขาให้เป็นโฆษกทำหน้าที่ประกาศมติและข้อเรียกร้องของฐานันดรหลังการประชุม

ภายหลังจากที่สภาฐานันดรถูกยุบไป ริเชอริเยอก็ได้เข้าทำงานมารับใช้อันนาแห่งออสเตรีย[4] มเหสีของพระเจ้าหลุยส์ที่ 13 แห่งฝรั่งเศส

การทำงานในราชสำนักนี้ทำให้ริเชอริเยอได้เจอกับคนสนิทของพระพันปีหลวงมาเรีย เดอ เมดิชี ที่มีชื่อว่า คอนซิโน คอนซินีผู้ซึ่งเป็นเสนาบดีที่มีอำนาจมากที่สุดในฝรั่งเศสในตอนนั้น[5] ต่อมาในปี 2159 ริเชอริเยอได้รับการแต่งตั้งเป็นเสนาบดีกระทรวงการต่างประเทศ และได้รับมอบหมายให้ดูแลเกี่ยวกับกิจการความสัมพันธ์ระหว่างประเทศของอาณาจักรฝรั่งเศส เมื่อเข้าสู่สถานะนี้ เจ้าคุณริเชอริเยอก็อยู่ในสถานะเดียวกันกับคอนซินี คือการกลายเป็นที่ปรึกษาทำงานให้กับพระพันปีหลวงมาเรีย เดอ เมดิชี ผู้ซึ่งกุมอำนาจการบริหารอาณาจักรเอาไว้ [6]

อย่างไรก็การถืออำนาจของพระนางมาเรีย เดอ เมดิชีเอาไว้ แม้พระราชโอรสของพระนางอย่าง พระเจ้าหลุยส์ที่ 13 จะมีบรรลุนิติภาวะแล้ว ก็ทำให้เกิดปัญหาทางการเมืองขึ้น และผลสุดท้ายก็คือราชินีมาเรีย เดอ เมดิชีต้องถูกเนรเทศ คนสนิทของนางล้วนแล้วแต่ถูกประหารชีวิต ความพ่ายแพ้ของนางและความตายของคอนซินีทำให้อำนาจของริเชอริเยอหมดลงอย่างรวดเร็ว เขาถูกปลดออกจากตำแหน่ง ถูกส่งให้ไปอยู่ที่อาวิเนียง ซึ่งในระหว่างนั้นริเชอริเยอก็ได้ใช้เวลาประพันธ์งานเขียนเกี่ยวกับการปกครองที่มีชื่อว่า L'Instruction du chrétien ออกมา

ในปี 2162 พระราชินีมาเรีย เดอ เมดีซี ได้เสด็จหนีออกจากที่ประทับของพระองค์ที่ ชาโต เดอ บลัว (Château de Blois) และพยายามก่อกบฏ เมื่อเกิดเหตุแบบนี้ขึ้นพระเจ้าหลุยส์ที่ 13 กับ ชาร์ล อัลเบิร์ต ดยุคแห่งลูยน์ จึงเห็นตรงกันว่าควรเรียกริเชอริเยอกลับเข้ามาในราชสำนักอีกครั้ง เพราะเชื่อว่าเขานั้นสามารถเกลี้ยกล่อมพระนางมาเรียได้ ซึ่งเมื่อริเชอริเยอรับงานนี้ ก็ประสบความสำเร็จกับการเจรจาในครั้งนี้ เมื่อสองแม่ลูกยอมตกลงกันและทำเป็นสัญญาลายลักษณ์อักษร ที่พระนางมาเรีย เดอ เมดีชีจะได้รับอิสระและสถานะในราชสำนัก แลกกับการรับประกันความปลอดภัยและความภักดีต่อพระเจ้าหลุยส์ที่ 13 ผู้เป็นลูกชาย ผลของการเจรจาในครั้งนั้นทำให้ริเชอริเยอกลายเป็นคนสนิทของพระเจ้าหลุยส์ที่ 13

ซึ่งเมื่อดยุคแห่งลูยน์เสียชีวิตไปในปี 2164 ริเชอริเยอก็ได้รับการเลื่อนขึ้นอย่างรวดเร็วและต่อเนื่อง[7] ด้วยความไว้วางใจพระเจ้าหลุยส์ที่ 13 ได้ตั้งริเชอริเยอให้ดำรงตำแหน่งบริหารสำคัญ และเสนอต่อสมเด็จพระสันตะปาปาเกรกอรีที่ 15 ให้สถาปนาริเชอริเยอเป็นพระคาร์ดินัล

บทบาทของริเชอริเยอเพิ่มมากขึ้น จากการเป็นที่ปรึกษาเกี่ยวกับนโยบายปราบปรามพวกอูว์เกอโน หรือกลุ่มชาวฝรั่งเศสผู้นับถือโปรเตสแตนท์ ความสามารถและการให้คำแนะนำเกี่ยวกับนโยบายนี้ทำให้เขาได้รับความไว้วางใจให้เป็นหนึ่งในคณะเสนาบดีของพระเจ้าหลุยส์ที่ 13 ในปี 2167 ภายใต้การควบคุมของอัครเสนาบดีชาร์ล ดยุกแห่งลาวีเยอวีล (Charles, duc de La Vieuville) อย่างไรก็ตาม ดยุกแห่งลาวีเยอวีลกลับถูกปลดจากตำแหน่งในปีเดียวกันกับที่ริเชอริเยอได้รับแต่งตั้งในที่ประชุมคณะเสนาบดี ด้วยปัญหาการคอรัปชั่น สิ่งนี้ทำให้ริเชอริเยอสามารถสะสมอำนาจในสภา ผ่านการได้รับการแต่งตั้งเป็นเสนาบดีผู้เป็นที่ปรึกษาคนสนิทของพระเจ้าหลุยส์ที่ 13 (King's Principal Minister) และต่อมาก็สะสมอำนาจจนได้กลายเป็นอัครมหาเสนาบดีในเวลาต่อมา

อัครมหาเสนาบดี

[แก้]

นโยบายของพระคาร์ดินัลริเชอลิเยอมีเป้าหมายสำคัญสองประการ ได้แก่ การรวมศูนย์อำนาจในฝรั่งเศสและการต่อต้านราชวงศ์ฮับส์บวร์ก (ซึ่งปกครองทั้งในออสเตรียและสเปน)[8] ท่านเจ้าคุณมองว่าการฟื้นฟูความถูกต้องตามหลักคาทอลิกนั้น เป็นกลยุทธ์ทางการเมืองของรัฐฮับส์บวร์กและออสเตรีย ซึ่งเป็นผลเสียต่อผลประโยชน์แห่งชาติของฝรั่งเศส

ภาพวาดตามจินตนาการคาร์ดินัลด์ริเชอริเยอ ในช่วงการปิดล้อมที่ลาลอชเช ในการต่อสู้กับพวกฮูเกอโนต์

ไม่นานหลังจากที่เขาได้รับตำแหน่งอัครมหาเสนาบดีของพระเจ้าหลุยส์ที่ 13 พระคาร์ดินัลริเชอลิเยอก็ต้องเผชิญกับวิกฤติการณ์ในวัลเตลลีนา หุบเขาแห่งหนึ่งในแคว้นลอมบาร์เดีย (ทางตอนเหนือของอิตาลี) เพื่อสกัดกั้นความพยายามของสเปนในการครอบครองดินแดนดังกล่าว ริเชอลิเยอจึงให้การสนับสนุนรัฐโปรเตสเตนท์สวิตเซอร์แลนด์ ซึ่งเป็นรัฐที่นับถือโปรเตสแตนต์ที่อ้างสิทธิ์ในหุบเขายุทธศาสตร์แห่งนี้เช่นกัน พระคาร์ดินัลริเชอริเยอได้ส่งกองทัพเข้ายึดวัลเตลลีนาและขับไล่กองทหารรักษาการณ์ของพระสันตะปาปาออกไป[9] การตัดสินใจสนับสนุนรัฐโปรเตสแตนต์เพื่อต่อต้านพระสันตะปาปาในช่วงแรกนี้ เป็นสิ่งที่แสดงให้เห็นนโยบายต่างประเทศตลอดสมัยของเจ้าคุณริเชอริเยอ

เพื่อรวบอำนาจภายในประเทศ ริเชอลิเยอมุ่งจำกัดอิทธิพลของเหล่าขุนนางลง ในปี 2169 เขาได้ยกเลิกตำแหน่งแม่ทัพแห่งฝรั่งเศส (Constable of France) และมีคำสั่งให้ทำลายป้อมปราการและปราสาททั้งหมด ยกเว้นเฉพาะที่จำเป็นต่อการป้องกันการรุกรานจากภายนอก ด้วยเหตุนี้เอง เขาจึงสามารถตัดอำนาจการป้องกันที่สำคัญของเจ้าชาย ดยุค และขุนนางท้องถิ่นต่างๆ ที่สร้างเมืองที่สามารถเป็นแหล่งซ่องสุมกำลังอาวุธได้

สำหรับริเชอริเยอ อีกหนึ่งอุปสรรคสำคัญการรวมศูนย์อำนาจของฝรั่งเศส คือความแตกแยกทางศาสนา ระหว่างชาวฮูเกอโนต์ ซึ่งเป็นหนึ่งในกลุ่มการเมืองและศาสนาที่ใหญ่ที่สุดในประเทศ[10] มีอำนาจทางทหารที่สำคัญและได้ลุกฮือต่อต้านรัฐบาลอยู่บ่อยครั้ง ยิ่งไปกว่านั้น พระเจ้าชาร์ลส์ที่ 1 แห่งอังกฤษยังประกาศสงครามอังกฤษ-ฝรั่งเศส (1627-1629)/สงครามกับฝรั่งเศสเพื่อช่วยเหลือฝ่ายฮูเกอโนต์ ในปี 2170 ริเชอลิเยอได้สั่งกองทัพเข้าล้อมเมืองลารอแชล ซึ่งเป็นป้อมปราการสำคัญของฮูเกอโนต์ โดยพระคาร์ดินัลเป็นผู้บัญชาการทัพที่ล้อมเมืองด้วยตนเอง กองทัพอังกฤษที่นำโดยดยุกแห่งบักกิงแฮมยกทัพมาช่วยเหลือชาวลารอแชล แต่กลับล้มเหลวโดยสิ้นเชิง อย่างไรก็ตาม เมืองดังกล่าวยังคงต้านทานอยู่นานกว่าหนึ่งปีก่อนจะยอมจำนนในปี 2171

แม้พวกฮูเกอโนต์จะพ่ายแพ้อย่างหนักที่ลารอแชล แต่พวกเขายังคงต่อสู้ภายใต้การนำของอ็องรี ดยุกแห่งโรอ็อง กระนั้นก็ตาม กองทัพโปรเตสแตนต์ก็พ่ายแพ้อีกครั้งในปี 2172 และโรอ็องจำต้องยอมรับเงื่อนไขของสันติภาพแห่งอาเลส์ ผลลัพธ์ก็คือการยอมรับความต่างทางศาสนาสำหรับโปรเตสแตนต์ จะยังคงได้รับความคุ้มครองตามกฤษฎีกาน็องต์ต่อไป แต่พระคาร์ดินัลริเชอริเยอได้ยกเลิกสิทธิทางการเมืองและการคุ้มครองของพวกเขา อย่างไรก็ตาม โรอ็องมิได้ถูกประหารชีวิตเช่นเดียวกับผู้นำการกบฏในช่วงหลัง ๆ ของสมัยริเชอลิเยอ ตรงกันข้าม เขายังได้รับแต่งตั้งให้เป็นนายทัพในกองทัพฝรั่งเศสในเวลาต่อมา

สเปนภายใต้ราชวงศ์ฮับส์บวร์กใช้ประโยชน์จากความขัดแย้งระหว่างฝรั่งเศสกับชาวฮูเกอโนต์เพื่อขยายอิทธิพลของตนในอิตาลีตอนเหนือ โดยได้ให้เงินสนับสนุนกบฏฮูเกอโนต์เพื่อยื้อเวลากองทัพฝรั่งเศสเอาไว้ ในขณะเดียวกันกับการขยายดินแดนในอิตาลี อย่างไรก็ตาม ริเชอลิเยอตอบโต้ด้วยท่าทีแข็งกร้าว หลังจากเที่พวกฮูโกนโนต์ยอมจำนน เขาได้บัญชาการกองทัพฝรั่งเศสด้วยตนเองไปยังอิตาลีเหนือเพื่อสกัดกั้นสเปน เมื่อวันที่ 26 พฤศจิกายน 2172 เขาได้รับพระราชทานบรรดาศักดิ์เป็นดยุกแห่งริเชอลิเยอ (duc de Richelieu) และเป็นขุนนางสูงสุดแห่งฝรั่งเศส (Peer of France)

ในปีถัดมา สถานะทางการเมืองของเขาตกอยู่ในภาวะเสี่ยงจากผู้สนับสนุนเก่าอย่างมาเรีย เดอ เมดิชี ซึ่งเชื่อว่าพระคาร์ดินัลริเชอริเยอได้แย่งชิงอิทธิพลทางการเมืองไปจากตน จึงเรียกร้องให้พระโอรสปลดอัครมหาเสนาบดี พระเจ้าหลุยส์ที่ 13 เองมิได้รังเกียจแนวทางนี้นัก เนื่องจากไม่โปรดริเชอลิเยอเป็นการส่วนตัว แต่ถึงกระนั้น ริเชอลิเยอในฐานะนักการเมืองผู้มากด้วยเล่ห์เหลี่ยมก็สามารถโน้มน้าวให้พระมหากษัตริย์หันมาเข้าข้างตน และกลับมาต่อต้านพระราชมารดาได้สำเร็จ

เมื่อวันที่ 11 พฤศจิกายน 2173 มาเรีย เดอ เมดิชี และกัสตง ดยุกแห่งออร์เลอ็องส์ พระอนุชาของกษัตริย์ สามารถเกลี้ยกล่อมให้พระเจ้าหลุยส์ตกลงปลดริเชอลิเยอ แต่พระคาร์ดินัลซึ่งล่วงรู้แผนการนี้ได้รีบชักจูงให้พระมหากษัตริย์กลับใจไม่ปลดเขาออกจากตำแหน่ง และยุยงให้กำจัดพระมารดาของพระองค์ออกจากตำแหน่งแทน เป็นผลให้หลังจากนั้น มาเรีย เดอ เมดิชี ถูกเนรเทศไปยังเมืองกงเปียญ แม้เธอและดยุกแห่งออร์เลอ็องส์จะยังคงสมคบคิดต่อต้านริเชอลิเยอ แต่ก็ไม่ประสบผลสำเร็จ ขุนนางฝรั่งเศสส่วนใหญ่ก็ยังไร้อำนาจ การก่อการที่สำคัญเพียงครั้งเดียวคือการลุกฮือของอ็องรี ดยุกแห่งมงต็อมม็องซี ในปี 2175 ซึ่งถูกริเชอลิเยอสั่งประหารชีวิตเพื่อปราบปรามอย่างเด็ดขาด ในปี 2177 นโยบายอันโหดเหี้ยมเหล่านี้ล้วนเป็นกลยุทธ์ของริเชอลิเยอในการข่มขวัญเหล่าศัตรูทางการเมืองของตน รวมทั้งสร้างเครือข่ายหน่วยข่าวกรองและสายลับที่เข้มแข็งที่สุดในฝรั่งเศสและยุโรปในช่วงสมัยหนึ่ง

ในเหตุการณ์ “วันแห่งการหลอกลวง” (Day of the Dupes) เมื่อ พ.ศ. 2173 ดูประหนึ่งว่า มารี เดอ เมดิชี สามารถทำให้ริเชอลิเยอถูกปลดออกจากตำแหน่งได้ ทว่าริเชอลิเยอกลับรอดพ้นจากแผนการดังกล่าวและมาเรีย เดอ เมดีชีกลับถูกเนรเทศแทน

สงครามสามสิบปี

[แก้]
ภาพวาดคาร์ดินัลด์ริเชอริเยอโดยโรเบิร์ต นันทิว

ก่อนที่ริเชอลิเยอจะขึ้นสู่อำนาจ เหล่าอาณาจักรส่วนใหญ่ในทวีปยุโรปได้เข้าไปพัวพันกับสงครามสามสิบปีแล้ว :ซึ่งในช่วงเวลานั้นฝรั่งเศสยังไม่ได้ทำสงครามโดยตรงกับราชวงศ์ฮัพส์บวร์ก ซึ่งปกครองทั้งสเปนและจักรวรรดิโรมันอันศักดิ์สิทธิ์ จึงให้เงินอุดหนุนและความช่วยเหลือแก่คู่ต่อสู้ของฮัพส์บวร์กอย่างลับๆ อย่างไรก็ตาม ริเชอลิเยอเชื่อว่าสงครามกับสเปนเป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้[11] ในการนั้นเขาจึงต้องหาพันธมิตร สาธารณรัฐดัตช์เป็นตัวเลือกที่เหมาะสม เพราะทั้งมีพรมแดนติดกันและมีความบาดหมางกับสเปนร่วมกัน ดังนั้นฝรั่งเศสจึงสานสัมพันธ์กับสาธารณรัฐดัชต์ ผ่านการทำสนธิสัญญากงเปียน (Treaty of Compiègne) ในช่วงเดือนมิถุนายน 2167

ในปีเดียวกันนั้น กองทัพฝรั่งเศสที่ได้รับเงินสนับสนุนอย่างลับ ๆ และอยู่ภายใต้การบัญชาการของมาร์กีส์เดอเคอวร์ ได้เริ่มปฏิบัติการเพื่อปลดปล่อยหุบเขาวัลเตลลีนจากการยึดครองของสเปน ต่อมาในปี 2168 ริเชอลิเยอได้ให้เงินสนับสนุนแก่อีร์นสต์ ฟอน มันส์เฟลด์ ทหารรับจ้างชื่อดังซึ่งปฏิบัติการในเยอรมนีภายใต้การว่าจ้างของอังกฤษ อย่างไรก็ตาม ค่าใช้จ่ายของการทำศึกคราวนี้นั้นสูงลิ่ว จนทำให้ฝรั่งเศสเกือบล่มจม พระคาร์ดินัลและพระเจ้าหลุยส์ที่ 13 จึงตกลงทำสันติภาพกับสเปนผ่านสนธิสัญญามงซง แต่สันติภาพนี้ก็อยู่เพียงแสนสั้นเมื่อเกิดความตึงเครียดจากสงครามการสืบทอดบัลลังก์แห่งมองตาญขึ้นมา[12]

ต่อมาในปี 2172 จักรพรรดิเฟอร์ดินันด์ที่ 2 แห่งจักรวรรดิโรมันอันศักดิ์สิทธิ์ ได้เริ่มปราบปรามฝ่ายโปรเตสแตนต์จำนวนมากในเยอรมนี ริเชอลิเยอซึ่งวิตกต่อการขยายอำนาจของจักรวรรดิโรมันอันศักดิ์สิทธิ์ จึงกระตุ้นให้สวีเดนเข้ามาเกี่ยวข้องกับสงครามเพื่อคานอำนาจเอาไว้ เพราะฝรั่งเศสยังไม่พร้อมรบกับจักรวรรดิโรมันอันศักดิ์สิทธิ์ตรงๆ เพราะยังมีปัญหากับสเปนอยู่ เนื่องจากสเปนมีความทะเยอทะยานในอิตาลีตอนเหนือ ดินแดนดังกล่าวถือเป็นภูมิภาคยุทธศาสตร์สำคัญในการรักษาดุลอำนาจยุโรป เพราะเป็นเส้นเชื่อมระหว่างฮัพส์บวร์กของจักรวรรดิโรมันอันศักดิ์สิทธิ์กับฮัพส์บวร์กในสเปน หากราชวงศ์ฮัพส์บวร์กสามารถครองภูมิภาคนี้ได้ ฝรั่งเศสย่อมตกอยู่ในวงล้อมของฮับส์บวร์ก ดังนั้นการเข้าหาสวีเดนเพื่อสร้างแนวร่วมจึงเป็นอีกหนึ่งวิธีในการรักษาดุลอำนาจของยุโรปไว้ พระคุณเจ้าริเชอริเยอจึงได้แนะนำพระเจ้าหลุยส์ที่ 13 เจริญสัมพันธไมตรีกับสวีเดน นำไปสู่การทำสนธิสัญญาบัลวัลเด (Treaty of Barwalde) ในเวลาต่อมา อย่างไรก็ตามการทำสงครามนำไปสู่ค่าใช้จ่ายทางทหารที่พุ่งสูงขึ้น ทำให้ต้องมีการปรับเพิ่มภาษีเพื่อหางบประมาณรองรับในการทำสงคราม ริเชอลิเยอแก้ปัญหานี้ด้วยการขึ้นภาษีเกลือ (gabelle) และภาษีที่ดิน (taille)[13] ซึ่งภาระตกอยู่กับประชาชนชั้นล่างเป็นส่วนใหญ่ เพราะชนชั้นสูงฝรั่งเศสได้รับการงดเว้นภาษี ในการนี้เพื่อเก็บภาษีอย่างมีประสิทธิภาพและลดการทุจริต ริเชอลิเยอจึงลดบทบาทเจ้าหน้าที่ท้องถิ่น แล้วแต่งตั้งหรือเจ้าหน้าที่ที่ในสังกัดโดยตรงของราชสำนักเข้ามาทำหน้าที่นี้โดยตรง อย่างไรก็ตาม มาตรการทางการเงินนี้ก่อให้เกิดความไม่พอใจในหมู่ชาวนา และนำไปสู่การลุกฮือหลายครั้งระหว่าง 2179-2182 ซึ่งในฐานะผู้ปกครองดินแดนเจ้าคุณริเชอริเยอจัดการเหตุความไม่สงบที่เกิดขึ้นด้วยความโหดเหี้ยม[14]

แม้ว่าริเชอริเยอจะอยู่ไม่ถึงความสำเร็จในสงครามสามสิบปี แต่การเป็นพันธมิตรกับรัฐโปรเตสแตนท์ เพื่อหวังผลประโยชน์ทางการเมือง ก็ทำให้ฝรั่งเศสสามารถสกัดกั้นอิทธิพลของราชวงศ์ฮัพส์บวร์กลงได้ในที่สุด

นโยบายต่อโลกใหม่

[แก้]

ในช่วงสมัยอำนาจของริเชอลิเยอขึ้น เป็นช่วงเวลาเดียวกันที่ฝรั่งเศสขยายอำนาจไปยังดินแดนใหม่หรือทวีปอเมริกา ซึ่งฝรั่งเศสมีนิคมที่ชื่อว่า นิวฟรานซ์ (New France) ซึ่งชาวฝรั่งเศสฌัก การ์ติเยร์ได้สำรวจและค้นพบนั้น มีชาวยุโรปอาศัยอยู่อย่างถาวรไม่ถึง 100 คน ในช่วงเวลาที่ขับเคี่ยวกันเกี่ยวกับการแสวงหาดินแดนในโลกใหม่ ริเชอลิเยอได้กระตุ้นให้พระเจ้าหลุยส์ที่ 13 ส่งเสริมกการขยายอำนาจในโลกใหม่ โดยก่อตั้ง Compagnie de la Nouvelle France ตามแบบอย่างของบริษัทเวสต์อินเดียของดัตช์ แต่ที่แตกต่างจากชาติล่าอาณานิคมอื่น ๆ ฝรั่งเศสได้ส่งเสริมให้มีการอยู่ร่วมกันอย่างสงบระหว่างชนพื้นเมืองกับผู้ตั้งถิ่นฐาน และพยายามผนวกชาวอินเดียนให้เข้ากับสังคมอาณานิคม ซามูเอล เดอ ชอมแพลง (Samuel de Champlain) ผู้ว่าการนิวฟรานซ์ในสมัยเจ้าคุณริเชอลิเยอ มองว่าการสมรสระหว่างชาวฝรั่งเศสกับชาวอินเดียนเป็นวิธีหนึ่งในการเพิ่มจำนวนประชากรในอาณานิคม ภายใต้คำแนะนำของริเชอลิเยอ พระเจ้าหลุยส์ที่ 13 ได้ออกกพระราชกฤษฎีกา ใน พ.ศ. 2170 ซึ่งกำหนดให้ชาวอินเดียนที่หันมานับถือศาสนาคริสต์นิกายคาทอลิกถือเป็น “ชาวฝรั่งเศสโดยธรรมชาติ” โดยระบุว่า

“ลูกหลานของชาวฝรั่งเศสที่คุ้นเคยกับดินแดนแห่งนี้ นิวฟรานซ์ รวมถึงชาวอินเดียนทั้งหมดที่ถูกนำเข้าสู่ความรู้แห่งความเชื่อและประกาศยึดมั่นในความเชื่อนั้น จะถูกนับว่าเป็นและได้รับการยกย่องให้เป็นชาวฝรั่งเศสโดยธรรมชาติ และในฐานะนั้น พวกเขาสามารถมาอาศัยอยู่ในฝรั่งเศสได้เมื่อปรารถนา อีกทั้งสามารถซื้อขาย มอบ หรือรับมรดกและของกำนัลได้เช่นเดียวกับราษฎรฝรั่งเศสโดยแท้ โดยไม่ต้องขอหนังสือแสดงสัญชาติแต่อย่างใด”

การจัดสำมะโนประชากรนิวฟรานซ์ใน พ.ศ. 2209 ซึ่งจัดทำราว 20 ปีหลังจากการถึงแก่อสัญกรรมของพระคาร์ดินัลริเชอลิเยอ แสดงให้เห็นว่ามีประชากรในนิวฟรานซ์จำนวน 3,215 คน ซึ่งมากกว่าหลายทศวรรษก่อนหน้านี้อย่างมาก แต่ก็ยังคงมีความแตกต่างด้านจำนวนเพศอย่างชัดเจน โดยมีผู้ชาย 2,034 คน และผู้หญิง 1,181 คน[15]

บั้นปลายชีวิต

[แก้]
พระคาร์ดินัลด์มาซาแร็ง ผู้สืบทอดตำแหน่งต่อจากริเชอริเยอ
พระคาร์ดินัลด์ริเชอริเยอในช่วงวาระสุดท้ายของชีวิต

ในช่วงท้าย ริเชอลิเยอสร้างความบาดหมางกับบุคคลจำนวนมาก รวมถึงสมเด็จพระสันตะปาปาเออร์บันที่ 8 เนื่องด้วยความไม่พอใจที่พระสันตะปาปาปฏิเสธที่จะทรงแต่งตั้งเขาเป็นสมณทูต (papal legate) ประจำฝรั่งเศส[16] ขณะที่พระสันตะปาปาเองก็ไม่เห็นชอบต่อการบริหารศาสนจักรหรือการดำเนินนโยบายการต่างประเทศของเขา อย่างไรก็ตาม ความขัดแย้งดังกล่าวได้รับการคลี่คลายลงเมื่อพระสันตะปาปาทรงแต่งตั้งฌูล มาซาแร็ง ซึ่งเป็นพันธมิตรทางการเมืองคนสำคัญของริเชอลิเยอ ให้ดำรงตำแหน่งพระคาร์ดินัลใน พ.ศ. 2184 แม้ริเชอลิเยอจะมีความสัมพันธ์ที่ไม่ราบรื่นกับศาสนจักรโรมันคาทอลิก แต่เขาก็มิได้สนับสนุนแนวคิดการปฏิเสธอำนาจของพระสันตะปาปาในฝรั่งเศสโดยสิ้นเชิง ดังเช่นที่พวกกัลลิกานิสต์ (Gallicanists) ต้องการ[17]

นอกจากความขัดแย้งกับสันตะสำนักแล้ว ปัญหาการเมืองภายในเองก็เป็นสิ่งที่ริเชอริเยอต้องเผชิญ โดยเฉพาะปัญหาการแย่งชิงอำนาจและการวางตัวผู้สืบทอดอำนาจ พระคาร์ดินัลได้แนะนำ อ็องรี กัวฟีเย เดอ รือเซ มาร์กีส์ เดอ แซ็งก์-มาร์ส (Henri Coiffier de Ruzé, marquis de Cinq-Mars) แก่พระเจ้าหลุยส์ที่ 13[18] โดยเขาคนนี้มีบิดาเป็นมิตรสหายของริเชอลิเยอและที่สำคัญ ริเชอลิเยอหวังว่าแซ็งก์-มาร์สจะกลายเป็นคนโปรดของกษัตริย์ เพื่อที่เขาจะได้เข้าไปบงการการตัดสินใจของกษัตริย์ได้ แซ็งก์-มาร์สได้รับความโปรดปรานในฐานะคนสนิทของพระเจ้าหลุยส์ตั้งแต่ พ.ศ. 2182 แต่ตรงกันข้ามกับที่ริเชอลิเยอคาดหมาย เขาไม่ใช่บุคคลที่ควบคุมได้ง่าย มาร์กีส์หนุ่มตระหนักว่าคาร์ดินัลจะไม่ยอมให้ตนก้าวขึ้นสู่ตำแหน่งทางการเมือง ใน พ.ศ. 2184 เขาได้เข้าร่วมแผนการกบฏของกงต์ เดอ ซัวซง แม้ในความพยายามก่อกบฎครั้งนั้นจะไม่มีการสาวข้อมูลมาถึงตัวเข้า แต่ในปีถัดมา เขาก็วางแผนสมคบกับขุนนางคนสำคัญอีกครั้ง ซึ่งรวมถึงพระอนุชาของพระมหากษัตริย์ ดยุกแห่งออร์เลอ็องส์ เพื่อก่อการกบฏ อีกทั้งยังได้ลงนามในสัญญาลับกับกษัตริย์แห่งสเปนซึ่งให้คำมั่นว่าจะช่วยเหลือฝ่ายกบฏด้วย อย่างไรก็ตาม เครือข่ายสายลับของริเชอลิเยอได้ล่วงรู้ถึงแผนการ และเขาได้รับสำเนาสัญญาดังกล่าว แซ็งก์-มาร์สจึงถูกจับกุมและประหารชีวิต แม้พระเจ้าหลุยส์จะทรงเห็นชอบต่อการลงโทษดังกล่าว แต่พระองค์ก็เริ่มเหินห่างจากริเชอลิเยอหลังเหตุการณ์นี้

ในขณะนั้น ริเชอลิเยอกำลังป่วยหนักจากไข้มาลาเรีย โรคทางเดินปัสสาวะติดขัด วัณโรคลำไส้ และไมเกรน นอกจากนี้ แขนขวาของเขายังเป็นหนองจากวัณโรคกระดูก และเขาไอเป็นเลือด (ภายหลังการชันสูตรพบว่าปอดเต็มไปด้วยโพรงและเนื้อตาย) คณะแพทย์ยังคงรักษาโดยการเจาะเลือดอยู่บ่อยครั้ง ทำให้ร่างกายอ่อนแรงลงยิ่งขึ้นเมื่อรู้สึกว่าความตายใกล้เข้ามา เขาได้เสนอชื่อ ฌูล มาซาร็อง ผู้ติดตามที่จงรักภักดีที่สุดคนหนึ่ง ให้เป็นผู้สืบตำแหน่งอัครมหาเสนาบดี

ริเชอลิเยอถึงแก่อสัญกรรมเมื่อวันที่ 4 ธันวาคม พ.ศ. 2185 สิริอายุ 57 ปี ร่างของเขาถูกดองและฝังไว้ ณ โบสถ์ซอร์บอน ในขณะนั้นประชาชนส่วนใหญ่เกลียดชังเขา และในหลายแคว้นของราชอาณาจักรได้จุดกองไฟเฉลิมฉลองต่อการสิ้นชีวิตของเขา[19] ต่อมาในช่วงการปฏิวัติฝรั่งเศส ศพของเขาถูกนำออกจากสุสาน และส่วนหน้าของศีรษะที่ถูกตัดออกและเปลี่ยนระหว่างการดองศพถูกขโมยไป มาพบอีกครั้งอยู่ในครอบครองของนิโกลาส อาร์เมซ แห่งบริตทานีในราว พ.ศ. 2339 และเขามักนำใบหน้าที่เก็บรักษาไว้อย่างดีนั้นออกแสดงเป็นครั้งคราว ต่อมา หลุยส์-ฟิลิปป์ อาร์เมซ หลานชายได้รับมรดกและยังคงนำออกแสดงและให้ยืมเพื่อการศึกษาเป็นบางครั้ง ใน พ.ศ. 2409 นโปเลียนที่ 3 เกลี้ยกล่อมให้อาร์เมซส่งคืนใบหน้าแก่รัฐบาลเพื่อนำไปฝังรวมกับร่างของริเชอลิเยออีกครั้ง ต่อมาในการตรวจสอบารทรุดตัวของพื้นโบสถ์ใน พ.ศ. 2438 ทำให้สามารถถ่ายภาพศีรษะดังกล่าวได้

มรดก

[แก้]
ภาพวาดริเชอริเยอ โดยฟิลิป เดอ แชมปิยง

ช่วงเวลาดำรงตำแหน่งของริเชอลิเยอเป็นห้วงเวลาสำคัญแห่งการปฏิรูปฝรั่งเศส เดิมทีโครงสร้างการเมืองของประเทศยังคงมีลักษณะแบบศักดินา ขุนนางผู้ทรงอำนาจมีบทบาทสูง กฎหมายแตกต่างกันไปในแต่ละภูมิภาค[20] ขุนนางบางส่วนมักจะพยายามลดทอนอำนาจกษัตริย์ จัดตั้งกองกำลังส่วนตน และผูกสัมพันธ์กับอำนาจต่างชาติ ระบบเช่นนี้ถูกแทนที่ด้วยอำนาจแบบรวมศูนย์ภายใต้การนำของริเชอลิเยอ[21] ผลประโยชน์ท้องถิ่นและแม้แต่ศาสนจักรถูกทำให้ขึ้นต่อผลประโยชน์ของชาติ และโดยเฉพาะต่อองค์อธิปัตย์ซึ่งเป็นสัญลักษณ์ของชาติ การกำหนดนโยบายการต่างประเทศของริเชอลิเยอยังมีบทบาทสำคัญต่อการจำกัดอิทธิพลของราชวงศ์ฮัพส์บวร์คในยุโรป แม้ริเชอลิเยอจะไม่ทันมีชีวิตอยู่จนเห็นจุดสิ้นสุดของสงครามสามสิบปี แต่สงครามได้ยุติลงใน พ.ศ. 2191 โดยฝรั่งเศสก้าวขึ้นมาในฐานะมหาอำนาจสำคัญ ขณะที่จักรวรรดิโรมันอันศักดิ์สิทธิ์เข้าสู่ภาวะถดถอย

ความสำเร็จของริเชอลิเยอมีความหมายอย่างยิ่งต่อพระเจ้าหลุยส์ที่ 14 บุตรของพระเจ้าหลุยส์ที่ 13 พระองค์สืบสานแนวนโยบายของริเชอลิเยอในการสร้างระบบสมบูรณาญาสิทธิราชย์ โดยใช้นโยบายกดทับอำนาจของชนชั้นขุนนางอย่างสิ้นเชิง และลบล้างอำนาจทางการเมืองของพวกฮูเกอโนต์ด้วยกฤษฎีกากฏบัตรฟงแตนโบล ยิ่งไปกว่านั้น พระเจ้าหลุยส์ยังอาศัยชัยชนะจากสงครามสามสิบปีเพื่อสถาปนาอำนาจนำของฝรั่งเศสในยุโรปภาคพื้นทวีป อันเป็นผลให้แนวนโยบายของริเชอลิเยอกลายเป็นรากฐานสำคัญที่นำไปสู่การที่พระเจ้าหลุยส์ที่ 14 ทรงเป็นกษัตริย์ผู้ทรงอำนาจสูงสุด และฝรั่งเศสกลายเป็นมหาอำนาจอันดับหนึ่งของยุโรปในช่วงปลายคริสต์ศตวรรษที่ 17

ริเชอลิเยอยังมีชื่อเสียงจากมาตรการแบบเผด็จการที่ใช้เพื่อธำรงอำนาจ เขาใช้การควบคุมสื่อสิ่งพิมพ์[22] สร้างเครือข่ายสายลับภายในขนาดใหญ่ ห้ามการอภิปรายเรื่องการเมืองในที่สาธารณะ และดำเนินคดีจนถึงขั้นประหารชีวิตผู้ที่บังอาจคิดจะต่อต้านเขา นักประวัติศาสตร์และนักปรัชญาชาวแคนาดา จอห์น รอลสตัน ซอล เรียกขานริเชอลิเยอว่าเป็น “บิดาแห่งรัฐชาติสมัยใหม่ อำนาจรวมศูนย์สมัยใหม่ และหน่วยข่าวกรับลับสมัยใหม่”

มรดกทางการเมืองของเขายังมีความสำคัญต่อโลกโดยรวม ความคิดเรื่องรัฐชาติที่เข้มแข็งและนโยบายต่างประเทศเชิงรุกมีส่วนสร้างระบบการเมืองระหว่างประเทศสมัยใหม่ ในฐานะนักการเมืองและนักบวช ริเชอลิเยอมีบทบาทสำคัญในการวางรากฐานความโดดเด่นของฝรั่งเศสในคริสต์ศตวรรษที่ 17 และมีอิทธิพลต่อการทำให้นโยบายระหว่างประเทศมีลักษณะทางโลกมากขึ้นในช่วงสงครามสามสิบปี

แนวทางบุกเบิกของเขาในการดำเนินความสัมพันธ์ทางการทูตของฝรั่งเศส โดยใช้ raison d'état (เหตุผลแห่งรัฐ) ต่อความสัมพันธ์เชิงอำนาจที่ไม่ได้สนอำนาจทางศาสนา แม้ในระยะแรกจะถูกคัดค้าน แต่ต่อมาก็ถูกประเทศชาติยุโรปอื่น ๆ นำไปประยุกต์ใช้เป็นเครื่องมือเชิงยุทธศาสตร์ทางการทูต

อีกด้านหนึ่งของมรดกที่ไม่ค่อยมีการกล่าวถึงคือความเกี่ยวพันของเขากับซามูเอล เดอ ช็องแปล็ง และอาณานิคมใหม่ที่เพิ่งก่อตั้งขึ้นริมแม่น้ำแซ็งลอรองซ์ การธำรงและการสนับสนุนแคนาดาในสมัยริเชอลิเยอทำให้อาณานิคมแห่งนี้ – และด้วยทำเลยุทธศาสตร์บริเวณทางผ่านแม่น้ำแซ็งลอรองซ์–เกรตเลกส์เข้าสู่ภาคพื้นทวีปอเมริกาเหนือ – พัฒนาไปสู่จักรวรรดิฝรั่งเศสในทวีปอเมริกาเหนือ ซึ่งบางส่วนต่อมาได้กลายเป็นประเทศแคนาดาและรัฐลุยเซียนาของสหรัฐอเมริกา

ริเชอลิเยอยังเป็นที่รู้จักในฐานะผู้ประดิษฐ์ “มีดบนโต๊ะอาหาร” เนื่องจากเขาเกิดความรำคาญต่อมารยาทอันไม่เหมาะสมที่ผู้ใช้มีดคมบนโต๊ะอาหารมักแสดงออก เช่น การนำมีดมาใช้เขี่ยฟัน ใน พ.ศ. 2180 เขาจึงสั่งให้ทำมีดบนโต๊ะอาหารของตนให้มีคมทื่อและปลายมน การออกแบบนี้ได้รับความนิยมอย่างรวดเร็วทั่วฝรั่งเศส และต่อมาแพร่หลายไปยังประเทศอื่น ๆ


อ้างอิง

[แก้]
  1. Wedgwood, p. 187.
  2. Treasure, Geoffrey Russell Richards (1972). Cardinal Richelieu and the Development of Absolutism (ภาษาอังกฤษ). St. Martin's Press. p. 10. ISBN 978-0-7136-1286-8.
  3. Bergin, p. 130.
  4. Bergin, p. 135.
  5. Pardoe, pp. 103–104.
  6. Parker, 1984, p. 130.
  7. R J Knecht (2014). Richelieu. Routledge. pp. 16–. ISBN 978-1-317-87455-3. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 24 July 2020. สืบค้นเมื่อ 20 May 2018.
  8. Wedgwood, p. 188.
  9. Wedgwood, p. 195.
  10. Zagorin, p. 16.
  11. "Armand Jean du Plessis de Richelieu | Encyclopedia.com". www.encyclopedia.com. สืบค้นเมื่อ 2023-07-15.
  12. Wedgwood, p. 247.
  13. Collins, p. 62.
  14. Zagorin, pp. 8–12.
  15. "Statistics for the 1666 Census". Library and Archives Canada. 2006. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 4 September 2015. สืบค้นเมื่อ 24 June 2010.
  16. Perkins, p. 273.
  17. Phillips, p. 3.
  18. Perkins, p. 195.
  19. Lodge, Sir Richard (1903). The Life of Cardinal Richelieu (ภาษาอังกฤษ). A. L. Burt Company. p. 322.
  20. Collins, p. 1.
  21. Collins, p. 1  although Collin does note that this can be exaggerated.
  22. Phillips, p. 266.

แหล่งข้อมูลอื่น

[แก้]