ข้ามไปเนื้อหา

เจ้าหญิงแมรี พระราชกุมารีและเจ้าหญิงแห่งออเรนจ์

จากวิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี
แมรี่ พระราชกุมารี
พระราชกุมารีแห่งอังกฤษ
เจ้าหญิงแห่งออเรนจ์
พระรูปเหมือนเมื่อ ค.ศ.1660
ดำรงพระยศ14 มีนาคม ค.ศ. 1647 –
6 พฤศจิกายน ค.ศ. 1650
ประสูติ(1631-11-04)พฤศจิกายน 4, 1631
พระราชวังเซนต์เจมส์ ลอนดอน อังกฤษ
สวรรคต24 ธันวาคม ค.ศ. 1660(1660-12-24) (29 ปี)
พระราชวังไวต์ฮอล ลอนดอน อังกฤษ
ฝังพระศพ29 ธันวาคม ค.ศ. 1660
เวสต์มินสเตอร์แอบบีย์ ลอนดอน อังกฤษ
พระสวามีวิลเลียมที่ 2 เจ้าชายแห่งออเรนจ์
พระราชบุตรวิลเลียมที่ 3 แห่งอังกฤษ
พระนามเต็ม
แมรี่ เฮนเรียตตา สจวต
ราชวงศ์สจวต (โดยกำเนิด)
ราชวงศ์ออเรนจ์-นัสเซา (โดยการอภิเษกสมรส)
พระราชบิดาพระเจ้าชาร์ลส์ที่ 1 แห่งอังกฤษ
พระราชมารดาอ็องเรียต มารีแห่งฝรั่งเศส
ศาสนาแองกลิคัน
อาชีพผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์แห่งออเรนจ์ (สำหรับพระโอรส)

แมรี่ สจ๊วต (อังกฤษ: Mary Stuart; ดัตช์: Maria Stuart) หรือ เจ้าหญิงแมรี่, พระราชกุมารีและเจ้าหญิงแห่งออเรนจ์ (Mary, Princess Royal and Princess of Orange) (ค.ศ. 1631–1660)

แมรี่ สจ๊วต คือหนึ่งในบุคคลสำคัญ แต่ถูกมองข้ามบ่อยครั้งในหน้าประวัติศาสตร์อังกฤษและเนเธอร์แลนด์ ผู้ซึ่งเป็นสะพานเชื่อมระหว่างสองราชวงศ์ที่ยิ่งใหญ่ นั่นคือ ราชวงศ์สจวต และราชวงศ์ออเรนจ์-นัสเซา ในฐานะพระธิดาองค์โตของพระเจ้าชาร์ลส์ที่ 1 แห่งอังกฤษ (Charles I of England) ชีวิตของพระองค์ถูกกำหนดโดยความผันผวนทางการเมือง สงครามกลางเมืองในอังกฤษ และความขัดแย้งทางศาสนาที่รุนแรง แม้จะใช้ชีวิตส่วนใหญ่ในเนเธอร์แลนด์ แต่บทบาทของพระองค์ ในฐานะเจ้าหญิงพระองค์แรกที่ได้รับพระยศ "พระราชกุมารี" การเป็นพระมารดาของกษัตริย์อังกฤษผู้จะขึ้นครองราชย์ในอนาคต และความภักดีอันแรงกล้าต่อพระบิดาและพี่น้อง ได้สร้างผลกระทบที่ยั่งยืนต่อทั้งสองประเทศ ทำให้พระองค์เป็นผู้มีส่วนสำคัญในเหตุการณ์สำคัญอย่างการปฏิวัติอันรุ่งโรจน์ (Glorious Revolution) ที่จะเกิดขึ้นในอีกหลายทศวรรษต่อมา

พระชนม์ชีพช่วงต้นและพระยศ "พระราชกุมารี"

[แก้]

แมรี่ สจ๊วต ประสูติเมื่อวันที่ 4 พฤศจิกายน ค.ศ. 1631 ที่พระราชวังเซนต์เจมส์ (St. James's Palace) กรุงลอนดอน ประเทศอังกฤษ โดยเป็นพระธิดาองค์โตของพระเจ้าชาร์ลส์ที่ 1 แห่งอังกฤษ (Charles I of England) และพระมารดาคือ เฮนเรียตตา มาเรีย แห่งฝรั่งเศส (Henrietta Maria of France) ซึ่งเป็นเจ้าหญิงคาทอลิกจากราชวงศ์บูร์บง พระองค์มีพระเชษฐาคือเจ้าชายชาร์ลส์ (ต่อมาคือ พระเจ้าชาร์ลส์ที่ 2) และพระอนุชาคือเจ้าชายเจมส์ (ต่อมาคือพระเจ้าเจมส์ที่ 2)

การที่พระมารดาของแมรี่เป็นคาทอลิก ทำให้ราชสำนักของพระเจ้าชาร์ลส์ที่ 1 ตกอยู่ภายใต้แรงกดดันอย่างหนักจากกลุ่มโปรเตสแตนต์หัวรุนแรง (Puritans) ที่เกรงกลัวอิทธิพลของคาทอลิก การศึกษาของแมรี่ในวัยเด็กเน้นภาษาฝรั่งเศส (ซึ่งเป็นภาษาแม่ของพระมารดา) และภาษาอังกฤษ รวมถึงการเต้นรำ ดนตรี และการขี่ม้า ซึ่งเป็นการเตรียมพร้อมสำหรับบทบาทราชินีในอนาคต

ในปี ค.ศ. 1642 พระเจ้าชาร์ลส์ที่ 1 ทรงริเริ่มพระยศ "พระราชกุมารี" (Princess Royal) ขึ้นมาเป็นการเฉพาะสำหรับพระธิดาองค์โตของพระมหากษัตริย์อังกฤษ เพื่อให้เทียบเท่ากับพระยศ "มาดามหลวง" (Madame Royale) ของราชสำนักฝรั่งเศส การได้รับพระยศนี้เป็นการยกสถานะของพระธิดาองค์โตให้มีความสำคัญยิ่งขึ้น แมรี่จึงเป็นเจ้าหญิงพระองค์แรกที่ได้รับพระยศนี้ ซึ่งยังคงใช้สืบต่อมาจนถึงปัจจุบัน สำหรับพระธิดาองค์โตของประมุขแห่งสหราชอาณาจักร

เจ้าหญิงแมรี่ สจ๊วต พระราชกุมารีพระองค์แรก





การอภิเษกสมรสและการย้ายไปเนเธอร์แลนด์

[แก้]

ในปี ค.ศ. 1640 ขณะที่พระชนมายุเพียง 9 พรรษา เจ้าหญิงแมรี่ทรงถูกจับหมั้นกับ วิลเลียมที่ 2 เจ้าชายแห่งออเรนจ์ (Willem II, Prince of Orange) พระโอรสของ เฟรเดอริก เฮนดริก เจ้าชายแห่งออเรนจ์ (Frederick Henry, Prince of Orange) ซึ่งเป็นผู้ปกครองสาธารณรัฐดัตช์ การอภิเษกสมรสนี้มีจุดประสงค์เพื่อสร้างพันธมิตรทางการเมืองและศาสนาที่สำคัญระหว่างอังกฤษและสาธารณรัฐดัตช์ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ในช่วงเวลาที่ความสัมพันธ์ระหว่างพระเจ้าชาร์ลส์ที่ 1 กับรัฐสภาเริ่มเลวร้ายลงอย่างรวดเร็ว

พิธีอภิเษกสมรสจัดขึ้น เมื่อวันที่ 2 พฤษภาคม ค.ศ. 1641 ที่พระราชวังไวต์ฮอลล์ (Whitehall Palace) ในกรุงลอนดอน แม้จะจัดขึ้นอย่างเรียบง่าย เพื่อลดกระแสต่อต้านจากพิวริตัน และเนื่องจากเจ้าหญิงยังทรงพระเยาว์มาก การอภิเษกสมรสจึงยังไม่สมบูรณ์และยังไม่ได้เริ่มต้นชีวิตคู่จริงจัง พระองค์ยังคงประทับอยู่ในอังกฤษ

อย่างไรก็ตาม เมื่อสถานการณ์สงครามกลางเมืองอังกฤษปะทุขึ้น ในปี ค.ศ. 1642 และความปลอดภัยของราชวงศ์ตกอยู่ในอันตราย พระเจ้าชาร์ลส์ที่ 1 และเฮนเรียตตา มาเรีย ได้ตัดสินใจส่งเจ้าหญิงแมรี่ในวัยเพียง 10 พรรษา ไปประทับที่เนเธอร์แลนด์กับพระสวามีของพระองค์ นี่เป็นการจากลาพระบิดาของพระองค์เป็นครั้งสุดท้าย และเป็นจุดเริ่มต้นของชีวิตในต่างแดนที่ไม่อาจหวนกลับบ้านเกิดได้อีก

การเดินทางไปเนเธอร์แลนด์ของแมรี่เป็นไปอย่างเร่งด่วนและเต็มไปด้วยความตึงเครียด เรือที่บรรทุกพระองค์ข้ามช่องแคบอังกฤษถูกเฝ้าระวังอย่างใกล้ชิดจากกองเรือของรัฐสภา แต่สุดท้ายก็สามารถเดินทางถึงกรุงเฮกได้อย่างปลอดภัย โดยได้รับการต้อนรับอย่างอบอุ่นจากราชสำนักออเรนจ์ และได้รับการเลี้ยงดูภายใต้การดูแลของพระสัสสุ (แม่สามี) อมาเลีย แห่งโซล์มส์-บราวน์เฟลส์ (Amalia of Solms-Braunfels)

วิลเลียมที่ 2 เจ้าชายแห่งออเรนจ์ พระสวามีของแมรี่

พระโอรสและพระธิดา

[แก้]

แมรี่ สจวต และวิลเลียมที่ 2 เจ้าชายแห่งออเรนจ์ มีพระโอรสเพียงพระองค์เดียวคือ:

พระเจ้าวิลเลียมที่ 3 แห่งอังกฤษ พระโอรสองค์เดียวของแมรี่ ผู้มีบทบาทสำคัญในประวัติศาสตร์อังกฤษ





เจ้าหญิงแห่งออเรนจ์และการสนับสนุนราชวงศ์สจวต

[แก้]

เมื่อเดินทางถึงเนเธอร์แลนด์ แมรี่ได้รับการต้อนรับอย่างเป็นทางการ ในฐานะเจ้าหญิงแห่งออเรนจ์ เธอใช้เวลาช่วงวัยสาวในต่างแดน และในปี ค.ศ.1647 เมื่อพระสวามีของพระองค์ขึ้นครองตำแหน่งเป็น วิลเลียมที่ 2 เจ้าชายแห่งออเรนจ์ หลังจากพระบิดาของเขาเสียชีวิต พระองค์จึงทรงดำรงตำแหน่งเป็น เจ้าหญิงแห่งออเรนจ์ อย่างเต็มตัว

ในช่วงเวลาที่พระบิดาของเธอ พระเจ้าชาร์ลส์ที่ 1 กำลังเผชิญหน้ากับการต่อสู้ในสงครามกลางเมืองอังกฤษ และถูกสำเร็จโทษ ในปี ค.ศ.1649 แมรี่ได้แสดงออกถึงความจงรักภักดีต่อราชวงศ์สจวต อย่างไม่เปลี่ยนแปลง เธอให้การสนับสนุนทางการเงินและเป็นที่หลบภัยสำหรับน้องชายของเธอ เจ้าชายชาร์ลส์ ซึ่งต่อมาได้เป็นพระเจ้าชาร์ลส์ที่ 2 แห่งอังกฤษ (Charles II of England) ผู้ลี้ภัยจากอังกฤษไปยังเนเธอร์แลนด์ แม้ว่าการกระทำนี้จะสร้างความตึงเครียดอย่างมากกับรัฐสภาของดัตช์ ซึ่งต้องการรักษาความสัมพันธ์อันดีกับสาธารณรัฐอังกฤษ ภายใต้การนำของโอลิเวอร์ ครอมเวลล์ (Oliver Cromwell) และไม่ต้องการเข้าไปพัวพันกับความขัดแย้งภายในของอังกฤษ

แมรี่ทรงมีบทบาทสำคัญในการระดมทุนและใช้เส้นสายของราชวงศ์ออเรนจ์-นัสเซา (House of Orange-Nassau) เพื่อช่วยเหลือและสนับสนุนน้องชายของพระองค์ ในการพยายามฟื้นฟูราชบัลลังก์อังกฤษ เธอจำนำเครื่องเพชรพลอยส่วนตัว และแม้แต่กู้ยืมเงินในนามของตนเองเพื่อสนับสนุนพระเชษฐาและพระอนุชาที่เป็นผู้ลี้ภัยทางการเมือง ความภักดีของเธอต่อครอบครัวสจวตเป็นที่ประจักษ์แก่ทุกคน แต่ก็ทำให้เธอต้องเผชิญหน้ากับความกดดันทางการเมืองอย่างต่อเนื่องจากฝ่ายดัตช์

พระเจ้าชาร์ลส์ที่ 1 พระบิดาของแมรี่ ผู้ถูกสำเร็จโทษในช่วงสงครามกลางเมืองอังกฤษ





การเป็นหม้ายและการต่อสู้เพื่อพระโอรส

[แก้]

ชีวิตของเจ้าหญิงแมรี่ต้องเผชิญกับโศกนาฏกรรมหลายครั้ง ในปี ค.ศ. 1650 พระสวามีของพระองค์ วิลเลียมที่ 2 เจ้าชายแห่งออเรนจ์ สิ้นพระชนม์อย่างกะทันหันด้วยไข้ทรพิษ (smallpox) เพียงไม่กี่วันก่อนวันคล้ายวันประสูติของเขา ทำให้แมรี่ทรงเป็นหม้ายตั้งแต่อายุเพียง 19 ปี และยังทรงพระครรภ์อยู่ ไม่กี่วันหลังจากการสิ้นพระชนม์ของพระสวามี แมรี่ก็ได้ให้กำเนิดพระโอรสเพียงพระองค์เดียวคือ วิลเลียมที่ 3 (Willem III)

การสิ้นพระชนม์ของวิลเลียมที่ 2 สร้างความวุ่นวายอย่างมากในสาธารณรัฐดัตช์ เนื่องจากไม่มีผู้สืบทอดตำแหน่งสตาดเฮาเดอร์ (Stadtholder) ที่โตพอ แมรี่ทรงดำรงตำแหน่งเป็นผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ ให้แก่พระโอรสที่ยังทรงพระเยาว์อยู่ แต่พระองค์ต้องต่อสู้กับการแย่งชิงอำนาจและการเมืองภายในของสาธารณรัฐดัตช์อย่างดุเดือด อมาเลีย แห่งโซล์มส์-บราวน์เฟลส์ (Amalia of Solms-Braunfels) พระสัสสุของเธอ และรัฐสภา (States General) ซึ่งนำโดยผู้นำอย่าง โยฮัน เดอ วิท (Johan de Witt) ต่างก็ต้องการมีอิทธิพลเหนือการเลี้ยงดูและอนาคตของเจ้าชายวิลเลียมที่ 3 นำไปสู่ความขัดแย้งเรื่องผู้ปกครองที่เรียกว่า "ปัญหาการแต่งตั้งผู้สำเร็จราชการ" (Guardian Question)

ในช่วงนี้ สาธารณรัฐดัตช์เข้าสู่ "ช่วงไร้สตาดเฮาเดอร์ครั้งที่หนึ่ง" (First Stadtholderless Period) โดยอำนาจถูกรวบรวมโดยกลุ่มพ่อค้าและนักการเมืองที่ต้องการลดอิทธิพลของราชวงศ์ออเรนจ์-นัสเซา แมรี่พยายามอย่างเต็มที่เพื่อปกป้องสิทธิและอนาคตของพระโอรส ในฐานะเจ้าชายแห่งออเรนจ์ในอนาคต และต่อสู้เพื่อสถานะของราชวงศ์ออเรนจ์-นัสเซา แม้จะต้องเผชิญกับการเมืองที่ซับซ้อนและการเป็นหม้ายตั้งแต่ยังเด็ก

โยฮัน เดอ วิท ผู้นำสำคัญของรัฐสภาดัตช์ในยุค "Guardian Question"





การเสด็จกลับอังกฤษและสิ้นพระชนม์

[แก้]

ในปี ค.ศ. 1660 ราชวงศ์สจวตได้กลับคืนสู่บัลลังก์อังกฤษ โดยมีพระเจ้าชาร์ลส์ที่ 2 พระเชษฐาของแมรี่ขึ้นครองราชย์ เหตุการณ์นี้เป็นชัยชนะส่วนตัวที่ยิ่งใหญ่สำหรับแมรี่ ซึ่งได้ทุ่มเทแรงกายและใจในการสนับสนุนราชวงศ์ของเธอตลอดหลายปีที่ผ่านมา แมรี่ได้เดินทางกลับไปยังอังกฤษในช่วงสั้นๆ ในเดือนกันยายน ค.ศ. 1660 เพื่อเฉลิมฉลองการฟื้นฟูราชวงศ์ และจัดการเรื่องส่วนตัว รวมถึงการกู้ยืมเงินที่เธอใช้ไปเพื่อสนับสนุนพี่น้องของเธอ

อย่างไรก็ตาม ในระหว่างการประทับที่อังกฤษ พระองค์ได้ติดเชื้อไข้ทรพิษ (smallpox) ซึ่งเป็นโรคระบาดร้ายแรงในยุคนั้น แมรี่ทรงเจ็บป่วยอย่างรวดเร็ว แม้จะได้รับการรักษาโดยแพทย์หลวงและเพื่อนสนิทหลายคน แต่พระอาการก็ทรุดลงอย่างต่อเนื่อง พระองค์สิ้นพระชนม์ลงอย่างกะทันหัน เมื่อวันที่ 24 ธันวาคม ค.ศ. 1660 ด้วยพระชนมายุเพียง 29 ปี

ก่อนสิ้นพระชนม์ แมรี่ได้จัดทำพินัยกรรม โดยมอบทรัพย์สินส่วนหนึ่งให้กับพระเชษฐาของเธอและญาติคนอื่นๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง เธอได้แต่งตั้งให้พระเจ้าชาร์ลส์ที่ 2 เป็นผู้พิทักษ์พระโอรสของเธอ เพื่อให้แน่ใจว่าพระโอรสของเธอจะได้รับการดูแลและได้รับการปกป้องจากอิทธิพลทางการเมืองของฝ่ายที่ต่อต้านราชวงศ์ออเรนจ์ในเนเธอร์แลนด์ พระศพของเจ้าหญิงแมรี่ถูกฝังเคียงข้างพระบิดาของพระองค์ในมหาวิหารเวสต์มินสเตอร์ (Westminster Abbey) กรุงลอนดอน

พระเจ้าชาร์ลส์ที่ 2 พระเชษฐาของแมรี่ ผู้กลับมาครองราชย์ในอังกฤษ





มรดก

[แก้]

แม้จะมีพระชนม์ชีพที่สั้นเพียง 29 พรรษา แต่ เจ้าหญิงแมรี่ สจวต ได้ทิ้งมรดกอันสำคัญซึ่งส่งผลกระทบต่ออนาคตของอังกฤษและเนเธอร์แลนด์อย่างมาก พระองค์ทรงเป็นเจ้าหญิงพระองค์แรกของราชวงศ์อังกฤษที่ได้รับพระยศ "พระราชกุมารี" (Princess Royal) ซึ่งเป็นการวางรากฐานธรรมเนียมปฏิบัติสำหรับพระธิดาองค์โตของกษัตริย์ในราชสำนักอังกฤษมาจนถึงปัจจุบัน

บทบาทที่สำคัญที่สุดของพระองค์คือการเป็นพระมารดาของพระเจ้าวิลเลียมที่ 3 แห่งอังกฤษ (William III of England) ผู้ซึ่งต่อมาได้อภิเษกสมรสกับสมเด็จพระราชินีนาถแมรี่ที่ 2 (Mary II of England) ซึ่งเป็นพระธิดาของพระเจ้าเจมส์ที่ 2 และเป็นลูกพี่ลูกน้องของวิลเลียมที่ 3 และได้ขึ้นครองราชย์ร่วมกันในเหตุการณ์การปฏิวัติอันรุ่งโรจน์ ปี ค.ศ. 1688 ซึ่งถือเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญในประวัติศาสตร์อังกฤษ เหตุการณ์นี้ได้เปลี่ยนแปลงการปกครองไปสู่ระบอบราชาธิปไตยภายใต้รัฐธรรมนูญ และเสริมสร้างบทบาทของรัฐสภาให้เข้มแข็งขึ้นอย่างถาวร บทบาทของแมรี่ในฐานะมารดาของกษัตริย์ผู้ปฏิวัติจึงมีความสำคัญอย่างยิ่ง

นอกจากนี้ การอภิเษกสมรสของพระองค์ ยังได้สร้างสายสัมพันธ์ที่สำคัญระหว่างราชวงศ์อังกฤษกับราชวงศ์ที่มีอิทธิพลในยุโรปอย่าง ออเรนจ์-นัสเซา ซึ่งมีผลต่อการเมืองระหว่างประเทศและพันธมิตรในยุคนั้น ท้ายที่สุด ชีวิตของเจ้าหญิงแมรี่สะท้อนถึงการเป็นสัญลักษณ์แห่งความภักดีอย่างไม่เปลี่ยนแปลงต่อพระบิดาและราชวงศ์สจวต แม้จะต้องเผชิญกับการพลัดถิ่น ความยากลำบาก และความกดดันทางการเมืองอย่างแสนสาหัสตลอดพระชนม์ชีพ

อ้างอิง

[แก้]

ดูเพิ่ม

[แก้]