โซฟี โดโรเทอา แห่งเบราน์ชไวค์-ลือเนอบวร์ค
บทความนี้ไม่มีการอ้างอิงจากแหล่งที่มาใด |
| โซฟี โดโรเทอา แห่งเบราน์ชไวค์-ลือเนอบวร์ค | |||||
|---|---|---|---|---|---|
| ดัชเชสแห่งเบราน์ชไวค์-ลือเนอบวร์ค พระชายาเจ้าชายผู้คัดเลือกแห่งฮันโนเฟอร์ | |||||
โซฟี โดโรเทอา | |||||
| ประสูติ | 15 กันยายน 1666 ปราสาทเซลเลอ , เซลเลอ, ดัชชีเบราน์ชไวค์-ลือเนอบวร์ค | ||||
| สวรรคต | 13 พฤศจิกายน ค.ศ. 1726 (60 ปี) ปราสาทอาลเดิน, อาลเดิน , รัฐผู้คัดเลือกฮันโนเฟอร์ | ||||
| ฝังพระศพ | 4 ธันวาคม ค.ศ. 1726 เบราน์ชไวค์, เยอรมนี | ||||
| พระสวามี | พระเจ้าจอร์จที่ 1 แห่งบริเตนใหญ่ | ||||
| พระราชบุตร รายละเอียด | |||||
| |||||
| พระบุตร | พระเจ้าจอร์จที่ 2 แห่งบริเตนใหญ่ โซฟี โดโรเทอา แห่งฮันโนเฟอร์ | ||||
| ราชวงศ์ | ฮันโนเฟอร์ | ||||
| ราชวงศ์ | ราชวงศ์เวลฟ์ (โดยกำเนิด) ราชวงศ์ฮันโนเฟอร์ (โดยการอภิเษกสมรส) | ||||
| พระราชบิดา | เกออร์ก วิลเฮล์ม ดยุกแห่งเบราน์ชไวค์-ลือเนอบวร์ค | ||||
| พระราชมารดา | เอเลออนอร์ เดสเมียร์ โดลบรูส | ||||
| ศาสนา | ลูเทอรัน | ||||
โซฟี โดโรเทอา แห่งเบราน์ชไวค์-ลือเนอบวร์ค (เยอรมัน: Sophie Dorothea von Braunschweig-Lüneburg) (15 กันยายน ค.ศ. 1666 – 13 พฤศจิกายน ค.ศ. 1726) หรือที่รู้จักกันในประวัติศาสตร์อังกฤษว่า โซเฟีย โดโรเทีย แห่งเซลเลอ (Sophia Dorothea of Celle) และได้รับฉายาที่น่าเศร้าว่า "เจ้าหญิงแห่งอาลเดิน" (Princess of Ahlden) เธอคือพระชายาผู้ที่ถูกปฏิเสธจากพระเจ้าจอร์จที่ 1 แห่งบริเตนใหญ่ (George I of Great Britain) ซึ่งในขณะนั้นยังดำรงตำแหน่งเจ้าชายผู้คัดเลือกแห่งฮันโนเฟอร์ ชีวิตของเธอเป็นโศกนาฏกรรมแห่งความรัก การทรยศ และการถูกจองจำที่ยาวนานกว่าสามทศวรรษ
ชาติกำเนิดและสถานะที่ซับซ้อน
[แก้]โซฟี โดโรเทอา ประสูติที่ปราสาทเซลเลอ (Celle Castle) ในฐานะธิดาเพียงคนเดียวของ เกออร์ก วิลเฮล์ม ดยุกแห่งเบราน์ชไวค์-ลือเนอบวร์ค (George William, Duke of Brunswick-Lüneburg) กับ เอเลออนอร์ เดสเมียร์ โดลบรูส (Eléonore Desmier d'Olbreuse) มารดาของเธอเป็นสตรีชาวฝรั่งเศสเชื้อสายอูว์เกอโน (Huguenot) ซึ่งเป็นโปรเตสแตนต์ ที่ไม่มีฐานันดรศักดิ์สูงส่งนัก การสมรสของบิดามารดาของเธอเป็นแบบการแต่งงานต่างฐานันดร (morganatic marriage) ซึ่งหมายความว่า แม้การแต่งงานจะถูกต้องตามกฎหมาย แต่บุตรที่เกิดมาจะไม่มีสิทธิ์สืบทอดฐานันดรศักดิ์หรือทรัพย์สินจากบิดา ทำให้สถานะของโซฟี โดโรเทอา ในช่วงต้นของชีวิตนั้นไม่แน่นอน อย่างไรก็ตาม ด้วยความรักและความพยายามของบิดา มารดาของเธอได้รับพระยศเป็นดัชเชสแห่งเฮอร์เรนฮาวเซน (Duchess of Harburg and Wilhelmsburg) และต่อมาเป็นดัชเชสแห่งลือเนอบวร์ค (Duchess of Lüneburg) ทำให้โซฟี โดโรเทอา ได้รับการรับรองฐานะเจ้าหญิง และมีสิทธิ์ในมรดกจำนวนมาก ซึ่งเป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้เธอเป็นที่ต้องการของราชวงศ์อื่นๆ
การอภิเษกสมรสที่ไร้ความสุข
[แก้]ในปี ค.ศ. 1682 โซฟี โดโรเทอา ถูกจัดให้อภิเษกสมรสกับ เจ้าชายเกออร์ก ลูทวิช แห่งฮันโนเฟอร์ (George Louis of Hanover) ซึ่งเป็นพระญาติชั้นที่หนึ่งและเป็นลูกพี่ลูกน้องสายตรงของเธอ การสมรสนี้ไม่ใช่การสมรสด้วยความรัก แต่เป็นการรวมราชสมบัติและทรัพย์สินระหว่างสองสาขาของราชวงศ์เบราน์ชไวค์-ลือเนอบวร์ค เพื่อประโยชน์ทางการเมืองและเพื่อไม่ให้ทรัพย์สินของเซลเลอตกไปอยู่กับตระกูลอื่น ชีวิตสมรสของทั้งสองพระองค์เต็มไปด้วยความตึงเครียดและความไม่ลงรอยกัน เจ้าชายเกออร์ก ลูทวิช เป็นบุคคลที่เย็นชาและมักแสดงความไม่พอใจต่อพระชายาอย่างเปิดเผย นอกจากนี้ โซฟี โดโรเทอา ยังต้องเผชิญกับความสัมพันธ์ที่ยากลำบากกับ เจ้าหญิงโซฟีแห่งฮันโนเฟอร์ (Sophia of Hanover) ซึ่งเป็นพระมารดาของพระสวามี ผู้ซึ่งไม่เคยเห็นด้วยกับการแต่งงานครั้งนี้แต่แรก เพราะต้องการให้บุตรชายสมรสกับบุคคลที่มีฐานะราชวงศ์ที่สูงกว่า โซฟี โดโรเทอา ให้กำเนิดพระโอรสธิดา 2 พระองค์ คือ เจ้าชายเกออร์ก ออกัสตัส (George Augustus) ซึ่งต่อมาคือ พระเจ้าจอร์จที่ 2 แห่งบริเตนใหญ่ (George II of Great Britain) และ เจ้าหญิงโซฟี โดโรเทอา (Sophia Dorothea) ซึ่งต่อมาเป็นพระราชินีแห่งปรัสเซีย และเป็นมารดาของพระเจ้าฟรีดริชที่ 2 มหาราช (Frederick II the Great)

พระโอรสธิดา
[แก้]โซฟี โดโรเทอา แห่งเบราน์ชไวค์-ลือเนอบวร์ค และเจ้าชายเกออร์ก ลูทวิช แห่งฮันโนเฟอร์ (ต่อมาคือ พระเจ้าจอร์จที่ 1 แห่งบริเตนใหญ่) มีพระโอรสธิดาร่วมกัน 2 พระองค์ ดังนี้:
- เจ้าชายเกออร์ก ออกัสตัส (George Augustus) (ค.ศ. 1683–1760) เป็นพระโอรสองค์โต และต่อมาได้สืบราชบัลลังก์เป็น พระเจ้าจอร์จที่ 2 แห่งบริเตนใหญ่ (George II of Great Britain) พระองค์ทรงอภิเษกสมรสกับเจ้าหญิงคาโรลีนแห่งอันสบาค (Caroline of Ansbach) และมีพระโอรสธิดาหลายพระองค์ ซึ่งรวมถึง เจ้าชายเฟรเดอริก เจ้าชายแห่งเวลส์ (Frederick, Prince of Wales) ผู้เป็นพระบิดาของพระเจ้าจอร์จที่ 3 (George III of the United Kingdom)
- เจ้าหญิงโซฟี โดโรเทอา (Sophie Dorothea) (ค.ศ. 1687–1757) เป็นพระธิดาเพียงพระองค์เดียว เธออภิเษกสมรสกับ พระเจ้าฟรีดริช วิลเฮล์มที่ 1 แห่งปรัสเซีย (Frederick William I of Prussia) ซึ่งเป็นที่รู้จักในนาม "กษัตริย์ทหาร" (Soldier King) และเป็นพระมารดาของ พระเจ้าฟรีดริชที่ 2 มหาราช (Frederick II the Great) กษัตริย์ผู้โด่งดังแห่งปรัสเซีย



โศกนาฏกรรมรักสามเส้าและการถูกจองจำที่อาลเดิน
[แก้]เมื่อไม่มีความสุขในชีวิตสมรส โซฟี โดโรเทอา จึงเริ่มมีความสัมพันธ์อันลึกซึ้งกับ เคานต์ฟิลิป คริสตอฟ ฟอน เคอนิกส์มาร์ค (Count Philip Christoph von Königsmarck) นายทหารชาวสวีเดนผู้สง่างามและมีเสน่ห์ ซึ่งเป็นที่รู้จักกันในนาม "เคอนิกส์มาร์ค" ความสัมพันธ์ลับนี้ดำเนินไปหลายปี และทั้งคู่ได้วางแผนที่จะหลบหนีไปด้วยกัน
โศกนาฏกรรมเกิดขึ้น ในเดือนกรกฎาคม ค.ศ. 1694 เมื่อเคานต์ฟอน เคอนิกส์มาร์คได้หายตัวไปอย่างลึกลับ หลังจากพยายามเข้าพบโซฟี โดโรเทอา ที่พระราชวังเฮอร์เรนฮาวเซน (Herrenhausen Palace) เชื่อกันว่าเขาถูกสังหารโดยกลุ่มคนรับใช้ของเจ้าชายเกออร์ก ลูทวิช หรือตามคำสั่งของบิดาของเจ้าชาย หลังจากการหายตัวไปของเคอนิกส์มาร์ค เรื่องราวความสัมพันธ์ลับก็ถูกเปิดเผย
ในเดือนธันวาคม ค.ศ. 1694 โซฟี โดโรเทอา และเจ้าชายเกออร์ก ลูทวิช ได้รับการหย่าร้าง โดยมีคำตัดสินว่าโซฟี โดโรเทอา เป็นฝ่ายผิดในข้อหาละทิ้งคู่สมรส แม้จะไม่มีการพิสูจน์อย่างชัดเจนว่าเธอมีความสัมพันธ์ชู้สาวจริงหรือไม่ก็ตาม ผลของการหย่าร้างคือเธอถูกถอดถอนจากฐานะทั้งหมด ยกเว้นยศเจ้าหญิง และถูกกักบริเวณตลอดชีวิตที่ ปราสาทอาลเดิน (Schloss Ahlden) ซึ่งเป็นปราสาทเล็กๆ ในชนบท โดยเธอได้รับอนุญาตให้มีข้าราชบริพารและเงินใช้จ่ายจำนวนมาก แต่ถูกห้ามไม่ให้พบกับบุตรของเธอโดยเด็ดขาด


ชีวิตในอาลเดินและการสิ้นพระชนม์
[แก้]โซฟี โดโรเทอา ใช้ชีวิตในฐานะ "เจ้าหญิงแห่งอาลเดิน" เป็นเวลาถึง 32 ปี ในการถูกจองจำ เธอได้รับอนุญาตให้ตกแต่งห้องส่วนตัว เขียนจดหมาย (แม้จดหมายจะถูกตรวจสอบ) และรับแขกบางคนจากราชสำนักของบิดามารดา เมื่อบิดาของเธอเสียชีวิต ในปี ค.ศ. 1705 เธอกลายเป็นสตรีที่ร่ำรวยมหาศาล เนื่องจากเธอได้สืบทอดมรดกส่วนตัวจำนวนมากจากบิดา ซึ่งเป็นทรัพย์สินที่แยกต่างหากจากราชสมบัติของฮันโนเฟอร์ อย่างไรก็ตาม ความมั่งคั่งนี้ไม่อาจชดเชยการถูกพรากจากอิสรภาพและบุตรที่เธอรักได้
ในระหว่างที่เธอถูกจองจำ เจ้าชายเกออร์ก ลูทวิช พระสวามีเก่าของเธอก็ได้ขึ้นเป็น พระเจ้าจอร์จที่ 1 แห่งบริเตนใหญ่ ในปี ค.ศ. 1714 ทำให้เธอกลายเป็นอดีตพระชายาของกษัตริย์อังกฤษ แต่เธอก็ยังคงถูกคุมขังในเยอรมนีต่อไป
โซฟี โดโรเทอา สิ้นพระชนม์ เมื่อวันที่ 13 พฤศจิกายน ค.ศ. 1726 ที่ปราสาทอาลเดิน พระชนมายุ 60 พรรษา แม้จะมีการพยายามรื้อฟื้นคดีหลังจากเธอเสียชีวิต แต่รายละเอียดเกี่ยวกับการหายตัวไปของเคอนิกส์มาร์คและความผิดของเธอก็ยังคงเป็นปริศนาทางประวัติศาสตร์ เรื่องราวของเธอสะท้อนถึงความโหดร้ายของข้อกำหนดทางราชวงศ์ที่อยู่เหนือความสุขส่วนบุคคล และยังคงเป็นแรงบันดาลใจให้กับวรรณกรรมและภาพยนตร์หลายเรื่องจนถึงปัจจุบัน
อ้างอิง
[แก้]- Black, Jeremy. (2001). George I: America's First King. Yale University Press.
- Fraser, Flora. (2004). The Unruly Queen: The Life of Queen Caroline. Alfred A. Knopf.
- Rösel, Jürgen. (1998). Sophia Dorothea of Celle: An Electress in Captivity. Hanover: Hahn.
- Sharp, Tony. (2007). The Restoration of the Monarchy in Denmark, 1660-1662. Boydell & Brewer.
- Vickers, Hugo. (2003). Elizabeth, The Queen Mother. Arrow Books.