ข้ามไปเนื้อหา

โซฟี โดโรเทอา แห่งเบราน์ชไวค์-ลือเนอบวร์ค

จากวิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี
โซฟี โดโรเทอา แห่งเบราน์ชไวค์-ลือเนอบวร์ค
ดัชเชสแห่งเบราน์ชไวค์-ลือเนอบวร์ค
พระชายาเจ้าชายผู้คัดเลือกแห่งฮันโนเฟอร์
โซฟี โดโรเทอา
ประสูติ(1666-09-15)15 กันยายน 1666
ปราสาทเซลเลอ , เซลเลอ, ดัชชีเบราน์ชไวค์-ลือเนอบวร์ค
สวรรคต13 พฤศจิกายน ค.ศ. 1726(1726-11-13) (60 ปี)
ปราสาทอาลเดิน, อาลเดิน , รัฐผู้คัดเลือกฮันโนเฟอร์
ฝังพระศพ4 ธันวาคม ค.ศ. 1726
เบราน์ชไวค์, เยอรมนี
พระสวามีพระเจ้าจอร์จที่ 1 แห่งบริเตนใหญ่
พระราชบุตร
รายละเอียด
พระนามเต็ม
โซฟี โดโรเทอา แห่งเบราน์ชไวค์-ลือเนอบวร์ค
พระบุตรพระเจ้าจอร์จที่ 2 แห่งบริเตนใหญ่
โซฟี โดโรเทอา แห่งฮันโนเฟอร์
ราชวงศ์ฮันโนเฟอร์
ราชวงศ์ราชวงศ์เวลฟ์ (โดยกำเนิด)
ราชวงศ์ฮันโนเฟอร์ (โดยการอภิเษกสมรส)
พระราชบิดาเกออร์ก วิลเฮล์ม ดยุกแห่งเบราน์ชไวค์-ลือเนอบวร์ค
พระราชมารดาเอเลออนอร์ เดสเมียร์ โดลบรูส
ศาสนาลูเทอรัน

โซฟี โดโรเทอา แห่งเบราน์ชไวค์-ลือเนอบวร์ค (เยอรมัน: Sophie Dorothea von Braunschweig-Lüneburg) (15 กันยายน ค.ศ. 1666 – 13 พฤศจิกายน ค.ศ. 1726) หรือที่รู้จักกันในประวัติศาสตร์อังกฤษว่า โซเฟีย โดโรเทีย แห่งเซลเลอ (Sophia Dorothea of Celle) และได้รับฉายาที่น่าเศร้าว่า "เจ้าหญิงแห่งอาลเดิน" (Princess of Ahlden) เธอคือพระชายาผู้ที่ถูกปฏิเสธจากพระเจ้าจอร์จที่ 1 แห่งบริเตนใหญ่ (George I of Great Britain) ซึ่งในขณะนั้นยังดำรงตำแหน่งเจ้าชายผู้คัดเลือกแห่งฮันโนเฟอร์ ชีวิตของเธอเป็นโศกนาฏกรรมแห่งความรัก การทรยศ และการถูกจองจำที่ยาวนานกว่าสามทศวรรษ

ชาติกำเนิดและสถานะที่ซับซ้อน

[แก้]

โซฟี โดโรเทอา ประสูติที่ปราสาทเซลเลอ (Celle Castle) ในฐานะธิดาเพียงคนเดียวของ เกออร์ก วิลเฮล์ม ดยุกแห่งเบราน์ชไวค์-ลือเนอบวร์ค (George William, Duke of Brunswick-Lüneburg) กับ เอเลออนอร์ เดสเมียร์ โดลบรูส (Eléonore Desmier d'Olbreuse) มารดาของเธอเป็นสตรีชาวฝรั่งเศสเชื้อสายอูว์เกอโน (Huguenot) ซึ่งเป็นโปรเตสแตนต์ ที่ไม่มีฐานันดรศักดิ์สูงส่งนัก การสมรสของบิดามารดาของเธอเป็นแบบการแต่งงานต่างฐานันดร (morganatic marriage) ซึ่งหมายความว่า แม้การแต่งงานจะถูกต้องตามกฎหมาย แต่บุตรที่เกิดมาจะไม่มีสิทธิ์สืบทอดฐานันดรศักดิ์หรือทรัพย์สินจากบิดา ทำให้สถานะของโซฟี โดโรเทอา ในช่วงต้นของชีวิตนั้นไม่แน่นอน อย่างไรก็ตาม ด้วยความรักและความพยายามของบิดา มารดาของเธอได้รับพระยศเป็นดัชเชสแห่งเฮอร์เรนฮาวเซน (Duchess of Harburg and Wilhelmsburg) และต่อมาเป็นดัชเชสแห่งลือเนอบวร์ค (Duchess of Lüneburg) ทำให้โซฟี โดโรเทอา ได้รับการรับรองฐานะเจ้าหญิง และมีสิทธิ์ในมรดกจำนวนมาก ซึ่งเป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้เธอเป็นที่ต้องการของราชวงศ์อื่นๆ

การอภิเษกสมรสที่ไร้ความสุข

[แก้]

ในปี ค.ศ. 1682 โซฟี โดโรเทอา ถูกจัดให้อภิเษกสมรสกับ เจ้าชายเกออร์ก ลูทวิช แห่งฮันโนเฟอร์ (George Louis of Hanover) ซึ่งเป็นพระญาติชั้นที่หนึ่งและเป็นลูกพี่ลูกน้องสายตรงของเธอ การสมรสนี้ไม่ใช่การสมรสด้วยความรัก แต่เป็นการรวมราชสมบัติและทรัพย์สินระหว่างสองสาขาของราชวงศ์เบราน์ชไวค์-ลือเนอบวร์ค เพื่อประโยชน์ทางการเมืองและเพื่อไม่ให้ทรัพย์สินของเซลเลอตกไปอยู่กับตระกูลอื่น ชีวิตสมรสของทั้งสองพระองค์เต็มไปด้วยความตึงเครียดและความไม่ลงรอยกัน เจ้าชายเกออร์ก ลูทวิช เป็นบุคคลที่เย็นชาและมักแสดงความไม่พอใจต่อพระชายาอย่างเปิดเผย นอกจากนี้ โซฟี โดโรเทอา ยังต้องเผชิญกับความสัมพันธ์ที่ยากลำบากกับ เจ้าหญิงโซฟีแห่งฮันโนเฟอร์ (Sophia of Hanover) ซึ่งเป็นพระมารดาของพระสวามี ผู้ซึ่งไม่เคยเห็นด้วยกับการแต่งงานครั้งนี้แต่แรก เพราะต้องการให้บุตรชายสมรสกับบุคคลที่มีฐานะราชวงศ์ที่สูงกว่า โซฟี โดโรเทอา ให้กำเนิดพระโอรสธิดา 2 พระองค์ คือ เจ้าชายเกออร์ก ออกัสตัส (George Augustus) ซึ่งต่อมาคือ พระเจ้าจอร์จที่ 2 แห่งบริเตนใหญ่ (George II of Great Britain) และ เจ้าหญิงโซฟี โดโรเทอา (Sophia Dorothea) ซึ่งต่อมาเป็นพระราชินีแห่งปรัสเซีย และเป็นมารดาของพระเจ้าฟรีดริชที่ 2 มหาราช (Frederick II the Great)

พระเจ้าจอร์จที่ 1 แห่งบริเตนใหญ่




พระโอรสธิดา

[แก้]

โซฟี โดโรเทอา แห่งเบราน์ชไวค์-ลือเนอบวร์ค และเจ้าชายเกออร์ก ลูทวิช แห่งฮันโนเฟอร์ (ต่อมาคือ พระเจ้าจอร์จที่ 1 แห่งบริเตนใหญ่) มีพระโอรสธิดาร่วมกัน 2 พระองค์ ดังนี้:

พระเจ้าจอร์จที่ 2 แห่งบริเตนใหญ่
พระเจ้าฟรีดริชที่ 2 มหาราช เมื่อครั้งยังเป็นมกุฎราชกุมาร
โซฟี โดโรเทอา


โศกนาฏกรรมรักสามเส้าและการถูกจองจำที่อาลเดิน

[แก้]

เมื่อไม่มีความสุขในชีวิตสมรส โซฟี โดโรเทอา จึงเริ่มมีความสัมพันธ์อันลึกซึ้งกับ เคานต์ฟิลิป คริสตอฟ ฟอน เคอนิกส์มาร์ค (Count Philip Christoph von Königsmarck) นายทหารชาวสวีเดนผู้สง่างามและมีเสน่ห์ ซึ่งเป็นที่รู้จักกันในนาม "เคอนิกส์มาร์ค" ความสัมพันธ์ลับนี้ดำเนินไปหลายปี และทั้งคู่ได้วางแผนที่จะหลบหนีไปด้วยกัน

โศกนาฏกรรมเกิดขึ้น ในเดือนกรกฎาคม ค.ศ. 1694 เมื่อเคานต์ฟอน เคอนิกส์มาร์คได้หายตัวไปอย่างลึกลับ หลังจากพยายามเข้าพบโซฟี โดโรเทอา ที่พระราชวังเฮอร์เรนฮาวเซน (Herrenhausen Palace) เชื่อกันว่าเขาถูกสังหารโดยกลุ่มคนรับใช้ของเจ้าชายเกออร์ก ลูทวิช หรือตามคำสั่งของบิดาของเจ้าชาย หลังจากการหายตัวไปของเคอนิกส์มาร์ค เรื่องราวความสัมพันธ์ลับก็ถูกเปิดเผย

ในเดือนธันวาคม ค.ศ. 1694 โซฟี โดโรเทอา และเจ้าชายเกออร์ก ลูทวิช ได้รับการหย่าร้าง โดยมีคำตัดสินว่าโซฟี โดโรเทอา เป็นฝ่ายผิดในข้อหาละทิ้งคู่สมรส แม้จะไม่มีการพิสูจน์อย่างชัดเจนว่าเธอมีความสัมพันธ์ชู้สาวจริงหรือไม่ก็ตาม ผลของการหย่าร้างคือเธอถูกถอดถอนจากฐานะทั้งหมด ยกเว้นยศเจ้าหญิง และถูกกักบริเวณตลอดชีวิตที่ ปราสาทอาลเดิน (Schloss Ahlden) ซึ่งเป็นปราสาทเล็กๆ ในชนบท โดยเธอได้รับอนุญาตให้มีข้าราชบริพารและเงินใช้จ่ายจำนวนมาก แต่ถูกห้ามไม่ให้พบกับบุตรของเธอโดยเด็ดขาด

ปราสาทอาลเดิน สถานที่คุมขัง โซฟี โดโรเทอา
ฟิลิป คริสตอฟ ฟอน เคอนิกส์มาร์ค




ชีวิตในอาลเดินและการสิ้นพระชนม์

[แก้]

โซฟี โดโรเทอา ใช้ชีวิตในฐานะ "เจ้าหญิงแห่งอาลเดิน" เป็นเวลาถึง 32 ปี ในการถูกจองจำ เธอได้รับอนุญาตให้ตกแต่งห้องส่วนตัว เขียนจดหมาย (แม้จดหมายจะถูกตรวจสอบ) และรับแขกบางคนจากราชสำนักของบิดามารดา เมื่อบิดาของเธอเสียชีวิต ในปี ค.ศ. 1705 เธอกลายเป็นสตรีที่ร่ำรวยมหาศาล เนื่องจากเธอได้สืบทอดมรดกส่วนตัวจำนวนมากจากบิดา ซึ่งเป็นทรัพย์สินที่แยกต่างหากจากราชสมบัติของฮันโนเฟอร์ อย่างไรก็ตาม ความมั่งคั่งนี้ไม่อาจชดเชยการถูกพรากจากอิสรภาพและบุตรที่เธอรักได้

ในระหว่างที่เธอถูกจองจำ เจ้าชายเกออร์ก ลูทวิช พระสวามีเก่าของเธอก็ได้ขึ้นเป็น พระเจ้าจอร์จที่ 1 แห่งบริเตนใหญ่ ในปี ค.ศ. 1714 ทำให้เธอกลายเป็นอดีตพระชายาของกษัตริย์อังกฤษ แต่เธอก็ยังคงถูกคุมขังในเยอรมนีต่อไป

โซฟี โดโรเทอา สิ้นพระชนม์ เมื่อวันที่ 13 พฤศจิกายน ค.ศ. 1726 ที่ปราสาทอาลเดิน พระชนมายุ 60 พรรษา แม้จะมีการพยายามรื้อฟื้นคดีหลังจากเธอเสียชีวิต แต่รายละเอียดเกี่ยวกับการหายตัวไปของเคอนิกส์มาร์คและความผิดของเธอก็ยังคงเป็นปริศนาทางประวัติศาสตร์ เรื่องราวของเธอสะท้อนถึงความโหดร้ายของข้อกำหนดทางราชวงศ์ที่อยู่เหนือความสุขส่วนบุคคล และยังคงเป็นแรงบันดาลใจให้กับวรรณกรรมและภาพยนตร์หลายเรื่องจนถึงปัจจุบัน

อ้างอิง

[แก้]
  • Black, Jeremy. (2001). George I: America's First King. Yale University Press.
  • Fraser, Flora. (2004). The Unruly Queen: The Life of Queen Caroline. Alfred A. Knopf.
  • Rösel, Jürgen. (1998). Sophia Dorothea of Celle: An Electress in Captivity. Hanover: Hahn.
  • Sharp, Tony. (2007). The Restoration of the Monarchy in Denmark, 1660-1662. Boydell & Brewer.
  • Vickers, Hugo. (2003). Elizabeth, The Queen Mother. Arrow Books.

ดูเพิ่ม

[แก้]