ข้ามไปเนื้อหา

เหตุการณ์ร้ายแรงในราชสำนัก

จากวิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี
มกุฎราชกุมารฮิโรฮิโตะและมกุฎราชกุมารีนางาโกะ เวลาไม่นานหลังพระราชพิธีอภิเษกสมรส ค.ศ. 1924

เหตุการณ์ร้ายแรงในราชสำนัก (ญี่ปุ่น: 宮中某重大事件) เป็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในช่วงระหว่าง ค.ศ. 1920 (ปีไทโชที่ 9) และ ค.ศ. 1921 (ปีไทโชที่ 10) เมื่อเก็นโร ยามางาตะ อาริโตโมะ อดีตผู้บัญชาการทหารสูงสุดและนายกรัฐมนตรีสองสมัยในรัชสมัยเมจิ และผู้สนับสนุนคนอื่นๆ ออกมาบีบบังคับให้ราชสกุลคูนิ โนะ มิยะถอนตัวจากการหมั้นหมายเจ้าหญิงนางาโกะแห่งคูนิกับมกุฎราชกุมารฮิโรฮิโตะ ด้วยเหตุผลจากความเสี่ยงทางพันธุกรรมของเจ้าหญิงนางาโกะที่มีเชื้อสายเป็นโรคตาบอดสี เจ้าชายคูนิโยชิ คูนิโนะมิยะ พระบิดาของเจ้าหญิงนางาโกะ และซูงิอูระ จูโง ซึ่งเป็นพระอาจารย์ของมกุฎราชกุมารและเจ้าหญิงนางาโกะได้ออกมาต่อต้านยามางาตะและคนอื่นๆ โดยอ้างถึงหลักจริยธรรมของความเป็นมนุษย์เหมือนกันแม้จะมีความเสี่ยงตาบอดสี แม้ว่าเหตุการณ์จะไม่เป็นที่รู้จักในสาธารณชนมากนัก แต่ก็กลายมาเป็นความวุ่นวายที่เกี่ยวข้องกับราชสำนัก โลกการเมือง และฝ่ายขวาจัด อันมีแรงตึงเตรียดมาอย่างยาวนานจากความขัดแย้งระหว่างฝ่ายแคว้นศักดินาซัตสึมะกับฝ่ายแคว้นศักดินาโชชู ขบวนการต่อต้านระบบฮัน (藩;ระบบเจ้าแคว้น) ในญี่ปุ่น และเกี่ยวพันถึงการคัดค้านการเสด็จประพาสยุโรปของมกุฎราชกุมารฮิโรฮิโตะ และนายกรัฐมนตรี ฮาระ ทากาชิ ตลอดจนคณะรัฐมนตรีฮาระ ได้ใช้เหตุการณ์นี้เพื่อพยายามกำจัดยามางาตะออกจากอำนาจ

แต่อย่างไรก็ตาม วันที่ 10 กุมภาพันธ์ ค.ศ. 1921 รัฐบาลประกาศว่าไม่มีการเปลี่ยนแปลงใดๆ ในเรื่องการหมั้นหมาย และเหตุการณ์ก็ได้คลี่คลายลง ทั้งสองพระองค์ก็ทรงหมั้นหมายกันอย่างเป็นทางการ หลังจากพระราชพิธีหมั้นไปแล้ว 5 ปี ก็มีการจัดพระราชพิธีอภิเษกสมรสวันที่ 26 มกราคม ค.ศ. 1924 (ปีไทโชที่ 13) ในทางการเมืองเหตุการณ์นี้บรรลุความทะเยอทะยานทางการเมืองของเจ้าชายคูนิโยชิ พระบิดาของเจ้าหญิง ส่วนจอมพลชราอย่าง ยามางาตะ อาริโตโมะถูกกำจัดออกจากอำนาจอย่างสิ้นเชิง เขาถูกสั่งกักบริเวณในบ้านพักและอิทธิพลทางการเมืองของเขาก็ลดลงอย่างรวดเร็ว สุดท้ายเขาถึงแก่อสัญกรรมในปีถัดมาอย่างหมดอาลัยตายอยาก

เหตุการณ์นี้ยังถูกเรียกว่า "เหตุการณ์ตาบอดสีของมกุฎราชกุมารี"[1][2] และ "ปัญหาเรื่องการสถาปนามกุฎราชกุมารี"[3]

การเลือกว่าที่มกุฎราชกุมารี

[แก้]
โทกิโกะ อิชิโจ
โทกิโกะ อิชิโจ 
เจ้าหญิงนางาโกะแห่งคูนิ
เจ้าหญิงนางาโกะแห่งคูนิ 
เจ้าหญิงมาซาโกะแห่งนาชิโมโตะ
เจ้าหญิงมาซาโกะแห่งนาชิโมโตะ 
เจ้าหญิงยาซูโกะ ยามาชินะ
เจ้าหญิงยาซูโกะ ยามาชินะ 

วันที่ 10 พฤศจิกายน ค.ศ. 1915 (ปีไทโชที่ 4) จักรพรรดิไทโช (จักรพรรดิโยชิฮิโตะ) ทรงประกอบพระราชิธีราชาภิเษกเป็นสมเด็จพระจักรพรรดิแห่งญี่ปุ่น ณ พระราชวังหลวงเกียวโต และในปีถัดมา ค.ศ. 1916 (ปีไทโชที่ 5) มีการจัดพระราชพิธีสถาปนามกุฎราชกุมารฮิโรฮิโตะและเริ่มมีข่าวลือถึงการคัดเลือกว่าที่มกุฎราชกุมารี หรือ โคไตชิฮิ[4] โทกิโกะ อิชิโจ บุตรสาวคนที่สามของซาเนเทรุ อิชิโจ[i] ขุนนางคนสำคัญ ได้ถูกเลือกอย่างลับๆ ให้เป็นว่าที่มกุฎราชกุมารี นอกจากนี้ เจ้าหญิงนางาโกะแห่งคูนิ พระธิดาองค์ใหญ่ในเจ้าชายคูนิโยชิ คูนิโนะมิยะ และเจ้าหญิงมาซาโกะแห่งนาชิโมโตะ ธิดาในเจ้าชายโมริมาซะ นาชิโมโตะโนะมิยะ ก็เป็นหนึ่งในว่าที่มกุฎราชกุมารีซึ่งเป็นที่สนใจเช่นกัน เช่นเดียวกับเจ้าหญิงยาซูโกะ ยามาชินะ ธิดาในเจ้าชายยามาชินะ คิคุมาโระ[ii] และยังมีเจ้าหญิงยาซูโกะ ฟูชิมิ พระธิดาในเจ้าชายฮิโรยาซุ ฟูชิมิโนะมิยะก็เป็นหนึ่งในตัวเลือกด้วยเช่นกัน[7]

เจ้าหญิงมาซาโกะ นาชิโมโตะมีพระชนมายุเท่ากันกับมกุฎราชกุมาร แต่มีปัญหาของราชสกุลนาชิโมโตะที่มีบุตรยาก และพระบิดาของเจ้าหญิงมีอิทธิพลทางการเมืองไม่มากนัก ส่วนโทกิโกะ อิชิโจเป็นพระญาติฝ่ายจักรพรรดินีที่มีสายเลือดใกล้ชิดกันเกินไป ส่วนเจ้าหญิงยาซูโกะ ยามาชินะนั้น ถูกตัดออกจากตัวเลือกเพราะเจ้าชายยามาชินะ พระบิดาของพระองค์สิ้นพระชนม์ไปแล้ว ราชสกุลยามาชินะจึงไม่มีอำนาจทางการเมืองใดๆ ดังนั้นจึงมีการเลือกเจ้าหญิงนางาโกะแห่งคูนิเป็นว่าที่พระชายาในมกุฎราชกุมาร

มีทฤษฎีต่างๆ มากมายเกี่ยวกับกระบวนการคัดเลือกมกุฎราชกุมารี แต่มีแหล่งข้อมูลที่เชื่อถือได้เพียงไม่กี่แห่ง[8] อย่างไรก็ตาม ข้อมูลของคิโยโตะ ฟูกูดะบันทึกว่า จักรพรรดินีซาดาโกะทรงปรึกษากับซูงิอูระ จูโง ซึ่งเป็นพระอาจารย์สอนด้านจริยธรรมแก่มุกุฎราชกุมาร ในฐานะที่เขาเป็นสมาชิกของโทงูกาคูมอนโช และพระนางทรงมีรับสั่งให้นางานาริ โอกาซาวาระ สมาชิกของโทงูกาคูมอนโชอีกคนหนึ่ง ทำหน้าที่เก็บรวบรวมภาพถ่ายของว่าที่ผู้มีสิทธิ์ได้รับเลือกเป็นมกุฎราชกุมารี[9] นักเขียนคาโอรุ โอโนะ เชื่อว่า มัตสึกาตะ มาซาโยชิ ซึ่งเป็นเก็นโร (รัฐบุรุษอาวุโส) และเป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย มีส่วนเกี่ยวข้องในเรื่องนี้ รวมถึงอดีตนายกรัฐมนตรียามาโมโตะ กนโนเฮียวเอะ รัฐมนตรีกระทรวงพระราชสำนัก มากิโนะ โนบุอากิ และอดีตรัฐมนตรีกระทรวงพระราชสำนัก ฮาตาโนะ โนรินาโอะ[10] เป็นแนวร่วมสนับสนุนเจ้าหญิงนางาโกะแห่งคูนิให้ได้ตำแหน่งมกุฎราชกุมารี[11] มาซาโกะ คาตาโนะได้อธิบายถึงเหตุการณ์ที่จักรพรรดินีฮารูโกะ พระพันปีหลวงทรงโปรดเจ้าหญิงนางาโกะอย่างมากหลังทรงพบปะกันครั้งแรกในคราวพระราชพิธีพระบรมศพจักรพรรดิเมจิ[12]

มัตสึกาตะ มาซาโยชิ รัฐบุรุษอาวุโส อดีตนายกรัฐมนตรี
ยามาโมโตะ กนโนเฮียวเอะ อดีตนายกรัฐมนตรี ทั้งสองมีส่วนผลักดันให้ราชสำนักเลือกเจ้าหญิงราชสกุลคูนิเป็นว่าที่มกุฎราชกุมารี

พฤศจิกายน ค.ศ. 1917 (ปีไทโชที่ 6) จักรพรรดินีซาดาโกะ (จักรพรรดินีเทเม) ทรงพบกับเจ้าหญิงนางาโกะแห่งคูนิ โดยทรงอ้างเหตุว่าจะทรงเยี่ยมชมการเรียนการสอนของโรงเรียนสตรีกากุชูอิน และทรงประทับใจเจ้าหญิงตั้งแต่แรก[13] เมื่อฮาตาโนะ รัฐมนตรีกระทรวงพระราชสำนัก ทราบเรื่องนี้ เขาจึงสั่งให้คินโนสุเกะ มิอูระ เจ้าหน้าที่กระทรวง เรียกแพทย์ทำการตรวจพระวรกายธิดาทุกคนของราชสกุลคูนิ เจ้าหญิงนางาโกะทรงได้รับการวินิจฉัยว่าทรงแข็งแรง แต่ขณะนั้นยังไม่มีการทดสอบการมองเห็นสีต่างๆ[14] นอกจากนี้ สุมาโกะ ยามาซากิ ท่านยายของเจ้าหญิง มีอาการบกพร่องในการมองเห็นสีเล็กน้อย เจ้าชายคูนิ อาซาอากิระ พระเชษฐาของเจ้าหญิง และเจ้าชายคูนิ คูนิฮิเดะ พระอนุชาของเจ้าหญิง ก็มีอาการตาบอดสีเล็กน้อยเช่นกัน ราชสกุลคูนิจึงให้ ดร.สึโนดะ ทาคาชิ เป็นแพทย์ผู้รับผิดชอบการตรวจพระอาการตาบอดสีของเจ้าหญิงนางาโกะ ซึ่งแพทย์ได้ลงความเห็นว่า ไม่มีปัจจัยใดๆ ที่ทำให้เจ้าหญิงมีความบกพร่องจากตาบอดสี และไม่เป็นอุปสรรคต่อการอภิเษกสมรส[15]

วันที่ 14 มกราคม ค.ศ. 1918 (ปีไทโชที่ 7) ฮาตาโนะ รัฐมนตรีกระทรวงพระราชสำนัก ได้เดินทางไปเข้าเฝ้าฯ เจ้าชายคูนิโยชิ คูนิโนะมิยะ ซึ่งขณะนั้นดำรงตำแหน่งเป็นผู้บัญชาการกองพลทหารราบที่ 15 ที่ประจำอยู่ที่เมืองโทโยฮาชิ จังหวัดไอจิ และถวายมอบจดหมายซึ่งแสดงเจตจำนงว่า เจ้าหญิงนางาโกะจะทรงได้เป็นมกุฎราชกุมารี วันถัดมา ฮาตาโนะได้ไปเข้าเฝ้าฯ และรายงานแก่มกุฎราชกุมารซึ่งทรงประทับอยู่ที่พระตำหนักนูมาสุ[iii] เจ้าชายคูนิโยชิ คูนิโนะมิยะและพระชายาจึงเสด็จเข้าพระราชวังในวันที่ 18 มกราคม เพื่อทรงขอบพระทัยต่อพระมหากรุณาธิคุณของสมเด็จพระจักรพรรดิและสมเด็จพระจักรพรรดินี ในวันเดียวกัน หนังสือพิมพ์ก็ยืนยันว่ามีการยืนยันถึงพิธีหมั้นหมายแล้ว และจักรพรรดิทรงมีพระบรมราชานุญาตว่าจะมีการประกาศอย่างเป็นทางการในวันคล้ายวันพระราชสมภพของมกุฎราชกุมาร วันที่ 29 เมษายน อย่างไรก็ตามการประกาศเรื่องดังกล่าวไม่ได้เกิดขึ้นจริงในวันที่ 29 เมษายน และจนกระทั่งปีถัดมา วันที่ 10 มิถุนายน ค.ศ. 1918 (ปีไทโชที่ 8) พระราชสาส์นแสดงเจตจำนงรับเจ้าหญิงก็ถูกส่งมายังราชสกุลคูนิ โนะ มิยะ ในที่สุด และได้มีการตีพิมพ์บทความเรื่องดังกล่าว[17][18]

หลังจากพระราชพิธีหมั้นได้รับการยืนยัน เจ้าหญิงนางาโกะทรงลาออกจากโรงเรียนกากุชูอินในเดือนกุมภาพันธ์ ค.ศ. 1918 เพื่อเตรียมตัวอภิเษกสมรส วันที่ 13 เมษายน ปีเดียวกัน สถาบันการศึกษาได้ถูกจัดตั้งขึ้นภายในตำหนักของตระกูลคูนิ[iv] สถาบันการศึกษานี้ถูกเรียกว่า "โอฮานะโกเต็น" (วังดอกไม้) [v] เจ้าหญิงประทับอยู่กับคิคุโนะ โกคัง อาจารย์ของวิทยาลัยสตรีโตเกียว ซึ่งได้รับการแต่งตั้งเป็นหัวหน้าฝ่ายการศึกษาของเจ้าหญิง ในเดือนพฤษภาคม ซูงิอูระ จูโง ได้รับการแต่งตั้งให้เป็นอาจารย์ผู้สอนด้านคุณธรรมด้วย[22][23]

ในเดือนมิถุนายน ค.ศ.1919 เมื่อเจ้าหญิงนางาโกะและชิกาโกะ ชิมาซุ เจ้าหญิงคูนิฮิโกะ พระมารดาได้เสด็จไปเข้าเฝ้าจักรพรรดินีซาดาโกะเพื่อกราบทูลของพระอนุญาตอภิเษกสมรส จักรพรรดินีพระราชทานทองข้อพระกรเพชรแก่เจ้าหญิงนางาโกะ ว่าที่พระชายาในอนาคตของพระราชโอรส ซึ่งเป็นทองข้อพระกรเดียวกันกับที่พระนางได้รับพระราชทานมาจากจักรพรรดินีโชเก็ง สำหรับผู้ที่จะเป็นมกุฎราชกุมารีองค์ต่อไป ถือเป็นการยอมรับการหมั้นจากราชสำนัก[24] อีกทั้งในปีเดียวกันมกุฎราชกุมารทรงได้พบกับเจ้าหญิงนางาโกะเป็นครั้งแรกที่พระตำหนักของตระกูลคูนิ[16]

การค้นพบปัญหาตาบอดสี

[แก้]
เจ้าชายคูนิ อาซาอากิระ พระเชษฐาของเจ้าหญิง
เจ้าชายคูนิ คูนิฮิเดะ พระอนุชาของเจ้าหญิง ทั้งสองมีอาการตาบอดสีเล็กน้อยสืบมาจากสุมาโกะ ยามาซากิ ท่านยาย

ช่วงฤดูใบไม้ผลิ ค.ศ. 1920 (ปีไทโชที่ 9) คานาเมะ คูซามะ[vi] ศัลยแพทย์ทหาร ได้ค้นพบว่า เจ้าชายคูนิ คูนิฮิเดะ ทรงมีอาการบกพร่องในการมองเห็นสีขณะที่กำลังทำการตรวจร่างกายนักเรียนกาคุชูอิน เขายังทราบอีกว่า เจ้าชายคูนิ อาซาอากิระพระเชษฐาของพระองค์ และเจ้าทาดาชิเงะ ชิมาซุ ท่านน้าของพระองค์ ก็มีอาการบกพร่องในการมองเห็นสีเช่นกัน คูซามะเชื่อว่าตระกูลชิมาซุและราชสกุลคูนิ โนะ มิยะ มีความเกี่ยวข้องกันเรื่องตาบอดสีโดยการถ่ายทอดทางพันธุกรรม คูซามะได้ปรึกษากับหัวหน้าโรงเรียนแพทย์ทหารเป็นการลับ และกองทัพก็ได้แจ้งข้อมูลดังกล่าวไปยังกระทรวงพระราชสำนะกด้วย กระทรวงพระราชสำนักพยายามปกปิดเรื่องนี้เป็นความลับ เนื่องจากอาจเกิดปัญหาหากเรื่องดังกล่าวถูกเปิดเผยมาในเวลานี้ แต่ข้อมูลดังกล่าวกับถูกทราบโดยฮิราอิ มาซาคัตสึ ผู้บัญชาการศัลยแพทย์ทหารสำรองและเป็นแพทย์ประจำตัวของยามางาตะ อาริโตโมะ เขารายงานเรื่องนี้ให้ยามางาตะทราบ[26] ยามางาตะได้รับรายงานอาการบกพร่องในการมองเห็นสีในช่วงกลางเดือนพฤษภาคม[27]

“ระเบียบการตรวจร่างกายสำหรับผู้สมัครเป็นนายทหารและอาสาสมัครกองทัพอื่นๆ” ที่ออกในปีค.ศ. 1909 (ปีเมจิที่ 42) กำหนดให้ผู้สมัครที่เป็นตาบอดสีจะไม่ผ่านการตรวจวัดร่างกาย[vii] และตามหลักเกณฑ์ของกองทัพเรือด้วยเช่นกัน[viii] นอกจากนี้ พระราชกฤษฎีกาสถานะราชวงศ์ยังระบุว่ามกุฎราชกุมารและพระโอรสจะได้รับการแต่งตั้งเป็นเจ้าหน้าที่ทหารในกองทัพบกและกองทัพเรือเมื่อพระชนมายุได้ 10 พรรษา ยามางาตะมองว่าสิ่งนี้คือปัญหา เนื่องจากจะเกิดปัญหาหากใครก็ตามที่ในวันหนึ่งจะได้ครองราชย์เป็นจักรพรรดิ หรือเป็นจอมทัพ แต่กลับมีอาการตาบอดสี[30]

ยามางาตะสอบถามไปยังฮาตาโนะ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพระราชสำนัก แต่ฮาตาโนะไม่ใส่ใจอะไร[31] ในวันที่ 20 มิถุนายน ฮาตาโนะได้ลาออกจากตำแหน่งเนื่องจากถูกแรงกดดันจากยามางาตะ และยูจิโร นากามูระซึ่งเป็นคนของยามางาตะได้สืบตำแหน่งเป็นรัฐมนตรีแทน[32][33] ตามที่ยามางาตะแจ้งต่อนายกรัฐมนตรีฮาระว่า ฮาตาโนะไม่ได้ทำให้เรื่องนี้มีความคืบหน้า และเขาเองก็ไม่ได้รับความไว้วางใจจากพระราชวงศ์ในการประชุมสภาราชวงศ์เมื่อวันที่ 19 พฤษภาคม ในประเด็นกรณีการลดสถานะเป็นสามัญชนและความผิดพลาดที่ทำให้เรื่องตาบอดสีนี้รั่วไหลสู่สาธารณะ[34] หนังสือพิมพ์โยะมิอุริชิมบุงและโตเกียวอาซาฮีชิมบุง รายงานว่าความล้มเหลวในการประชุมสภาราชวงศ์อาจจะเป็นสาเหตุหลัก[35] และตัวฮาตาโนะเองก็เคยสัมภาษณ์ในขณะนั้นว่าการประชุมสภาราชวงศ์เป็นเหตุหลัก[34] ในทางกลับกัน ฝ่ายต่อต้านยามางาตะวิจารณ์ถึงการลาออกของเขาว่าเป็นการปลดออก เพราะเป็นแผนการของยามางาตะที่ต้องการควบคุมราชสำนัก[36] นายกรัฐมนตรีฮาระก็มีความเห็นเช่นเดียวกัน[37] ในเวลานั้นมีเพียงบุคคลในคณะรัฐบาลและราชสำนักเท่านั้นที่ทราบเรื่องปัญหาตาบอดสี ซึ่งได้แก่ ยามางาตะ, ฮาตาโนะ, เคนโซ อิชิฮาระ ผู้ช่วยรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพระราชสำนัก และไม่มีใครพูดเรื่องนี้ออกมา[38] ต่อมาเมื่อมีการหยิบยกประเด็นการยกเลิกพิธีหมั้นขึ้นมา ฮาตาโนะก็เริ่มออกมาพูดว่า เหตุผลที่เขาโดนบังคับให้ลาออกก็เพราะมีความต้องการยกเลิกพระพิธีหมั้นนั่นเอง ยูซาบูโร คูราโตมิ องคมนตรี รวมไปถึงนักประวัติศาสตร์ เช่น ยูกิโอะ อิโตและมาซาโอะ อาซามิยังได้แสดงความคิดเห็นว่า ยามางาตะได้บังคับให้ฮาตาโนะลาออกเพื่อวางแผนให้เกิดการยกเลิกพิธีหมั้น[39] อย่างไรก็ตาม ไม่มีหลักฐานว่ายามางาตะขอเสนอให้ยกเลิกพระพิธีหมั้นในตอนแรกๆ จนกระทั่งอีกหลายเดือนต่อมา เขาถึงออกมาผลักดันให้ยกเลิกการหมั้นอย่างโจ่งแจ้ง[40]

ยามางาตะในฐานะแกนนำยกเลิกพระพิธีหมั้น

[แก้]
เก็นโร ยามางาตะ อาริโตโมะ

ในเวลาเดียวกัน ยามางาตะได้รายงานปัญหาตาบอดสีแก่เก็นโร มัตสึกาตะ มาซาโยชิและไซอนจิ คิมโมจิในการประชุมทรัพย์สินพระราชวงศ์ ทั้งมัตสึกาตะและไซอนจิต่างตกตะลึงกับเรื่องนี้ และทั้งสองได้สั่งการให้นากามูระ รัฐมนตรีกระทรวงพระราชสำนักเร่งสอบสวนข้อเท็จจริงทางการแพทย์ในเรื่องนี้[36] นากามูระได้สั่งการให้โตซาบูโร อิเคเบะ หัวหน้าแพทย์ประจำพระองค์ และเจ้าหน้าที่จากสำนักพระราชวัง คือ มาซานาโอะ โฮริกับคินโนสุเกะ มิอูระ สืบสวนถึงการถ่ายทอดทางพันธุกรรมของโรคตาบอดสี การตรวจสอบนี้ไม่ได้เป็นการวินิจฉัยโรคใหม่ แต่โฮริได้เขียนความเห็นโดยอิงตามทฤษฎีทางการแพทย์ที่ได้รับการยอมรับ โดยส่งมาในวันที่ 11 ตุลาคม[41] ความคิดเห็นดังกล่าวระบุว่า หากผู้หญิงที่เกิดในครอบครัวที่เป็นโรคตาบอดสีแต่งงานกับผู้ชายที่มีสุขภาพดี ลูกชายครึ่งหนึ่งของพวกเธอก็มีแนวโน้มที่จะเป็นโรคตาบอดสี ดังนั้นการแต่งงานควรได้รับการพิจารณาด้วยความเอาใจใส่และไตร่ตรองเป็นพิเศษ และกฎเกณฑ์ที่ห้ามบุคคลที่เป็นโรคตาบอดสีรับราชการทหารก็ควรได้รับการแก้ไขเช่นกัน[42]

หลังจากได้พิจารณาความเห็นนี้ ยามางาตะได้เชิญมัตสึกาตะ, ไซอนจิและนากามูระ รวมถึงโตสุเกะ ฮิราตะ ข้าราชการฝ่ายยามางาตะและเป็นเจ้าหน้าที่สำนักพระราชวัง ให้เข้าไปหารือกันที่บ้านพักของเขา เขาได้ส่งรายละเอียดความเห็นดังกล่าวไปยังเจ้าชายซาดานารุ ฟูชิมิโนะมิยะ ประธานกลุ่มพระบรมวงศานุวงศ์[ix] และพยายามชักจูงให้เจ้าชายซาดานารุทรงเกลี้ยกล่อมเจ้าชายคูนิโยชิ คูนิโนะมิยะด้วยเหตุผลนี้[44] เมื่อเจ้าชายคูนิโยชิเสด็จกลับมาจากไปทำธุรกิจที่ไต้หวัน วันที่ 12 พฤศจิกายน เจ้าชายซาดานารุทรงเรียกตัวฮิเดโตชิ คิมูระ เจ้าหน้าที่บริหารราชการราชสกุลคูนิ โนะ มิยะ มาเข้าเฝ้าฯ เพื่อเสนอความเห็นนี้[45] นอกจากนี้เมื่อไซอนจิได้พบกับเจ้าชายคูนิโยชิที่เกียวโต เขาได้ทูลแนะนำเจ้าชายเป็นการส่วนตัวให้ถอนตัวจากการหมั้นหมายครั้งนี้[46]

การต่อต้านจากราชสกุลคูนิและซูงิอูระ จูโง รวมถึงบุคคลอื่น

[แก้]
เจ้าชายคูนิโยชิ คูนิโนะมิยะ พระบิดาของเจ้าหญิง
ซูงิอูระ จูโง

เมื่อซูงิอูระ จูโงพบกับยามางาตะ วันที่ 13 ตุลาคม ยามางาตะพูดกับเขาว่า "ตัวเจ้าชายคูนิเองก็มีปัญหา" เขาจึงสงสัยว่าเกิดอะไรขึ้นและเริ่มรวบรวมข้อมูล[47] ต่อมาในวันที่ 18 พฤศจิกายน ขณะที่เขาไปพำนักที่ตำหนักของราชสกุลคูนิเพื่อถวายพระอักษรให้เจ้าหญิงนางาโกะ เขาได้รับฟังปัญหาเรื่องตาบอดสีจากหัวหน้าฝ่ายการศึกษา คิคุโนะ โกคัง และวาคาเบะ สุเคคิจิ ซึ่งรับใช้ราชสกุลคูนิ และได้อ่านรายงานความเห็นเรื่องตาบอดสี เขาก็เข้าใจสถานการณ์ที่เกิดขึ้น[48][49][50] ซูงิอูระกล่าวว่า "ความเห็นเช่นนี้ก็ควรจะเป็นเรื่องๆ หนึ่ง แต่ไม่ใช่เรื่องสลักสำคัญอะไร"[49] เขากล่าวว่าความบกพร่องในการมองเห็นสีเป็นเพียงข้อบกพร่องเล็กน้อย และกล่าวว่า "พระราชโองการของจักรพรรดิเป็นเสมือนเหงื่อ" เป็นสำนวนที่เปรียบเปรยว่า การยกเลิกพระพิธีหมั้นที่กำหนดไว้เป็นทางการแล้วจะส่งผลเสียหายต่อราชธรรมของพระจักรพรรดิ[51]

ในขณะที่ ซางาทาโร คาคุ ผู้อำนวยการสำนักงานผูกขาดสินค้าซึ่งมีความสนิทสนมกับราชสกุลคูนิ โนะ มิยะ ได้ขอให้ฮิเดทาโร ฟูจิตะ คนที่รู้จักมักคุ้นช่วยจัดทำรายงานการสืบทอดกรรมพันธุ์ตาบอดสีโดยเขาไม่ได้บอกว่าเพื่อไปใช้ทำอะไร[52] ฟูจิตะทำรายงานสำเร็จวันที่ 25 พฤศจิกายน[53] รายงานระบุว่าความบกพร่องในการมองเห็นสีนั้นถ่ายทอดได้เฉพาะในเด็กชายครึ่งหนึ่งเท่านั้น และหากผู้หญิงแต่งงานกับผู้ชายที่ไม่มียีนความบกพร่องในการมองเห็นสี การถ่ายทอดความบกพร่องในการมองเห็นสีนั้นจะหายไปหลังจากผ่านไปสามชั่วอายุคน โดยยังอ้างว่า บิดาของสุมาโกะ ยามาซากิ อนุภรรยาในทาดาโยชิ ชิมาซุ (ที่ 2) เป็นโรคตาบอดสี และเจ้าหญิงนางาโกะเป็นทายาทรุ่นที่ 3 จึงไม่มียีนของโรคตาบอดสี[54] มันจึงเป็นรายงานที่ "สุกเอาเผากิน" และไม่เป็นไปตามทฤษฎีทางวิชาการทั่วไป[55]

เจ้าชายคูนิโยชิ คูนิโนะมิยะมีพระประสงค์ต่อต้านเรื่องนี้ถึงที่สุด พระองค์เสด็จไปเข้าเฝ้าจักรพรรดินีซาดาโกะเมื่อวันที่ 28 พฤศจิกายน และทรงยื่นคำร้องถึงพระจักรพรรดินีเป็นลายลักษณ์อักษร โดยเริ่มต้นว่า "กิจการของพระราชวงศ์ควรจะได้รับการรับฟังอย่างเคารพจากประชาชนทั่วไป ว่ากันว่าเรื่องเหล่านี้ได้รับการตัดสินโดยสมเด็จพระจักรพรรดิเป็นการชั่วคราว ข้าพเจ้ามีความเห็นว่า การเปลี่ยนแปลงพิธีอย่างไม่สนใจประชาชนนั้นคงเป็นเรื่องยาก เพราะจะทำให้เกิดความวุ่นวายในหมู่สาธารณชน หากมีการละเว้นส่วนใดในพระบัญชาของจักรพรรดิที่ส่งผลให้เกิดการเปลี่ยนแปลงขึ้นมา ไม่เพียงแต่เจ้าหน้าที่ผู้มีอำนาจทำเช่นนั้นจะไม่พ้นผิดแล้ว แต่คนเหล่านั้นจะยังถือว่ามีความผิดฐานไม่จงรักภักดีและฝ่าฝืนพระราชโองการ (ละเว้น) อีกด้วย" จากนั้นเจ้าชายคูนิโยชิทรงกล่าวอีกว่า หากสมเด็จพระจักรพรรดิ หรือสมเด็จพระจักรพรรดินีมีพระราชประสงค์ให้เกิดการเพิกถอนพระพิธีหมั้นเอง หรือหากมีความชัดเจนว่าเรื่องนี้ทำให้สายพระโลหิตของพระจักรพรรดิต้องด่างพร้อย เจ้าชายจะทรงถอนตัวในทันที[56][57] อย่างไรก็ตาม จักรพรรดินีซาดาโกะทรงพิโรธทัศนคตินี้ของเจ้าชายคูนิอย่างมาก พระนางทรงมองว่าเจ้าชายประพฤติพระองค์ไม่เคารพ พระนางจึงส่งลายพระหัตถ์คำร้องกลับผ่านทางเจ้ากรมวังของพระนาง[58]

ในวันที่ 1 ธันวาคม หลังจากซูงิอูระเดินทางเยือนศาลเจ้าเมจิ เขาได้พบปะกับสหายและลูกศิษย์ที่โรงเรียนมัธยมศึกษาตอนต้นญี่ปุ่นที่เขาเป็นผู้ก่อตั้ง ซึ่งพรรคพวกรวมถึงยูซาบูโร อิจิโนเสะ, ฮิราอิชิ อุจินโด, ยูคิจิ ฮาตะ, ฮิโรโอะ ชิมะ และซาบูโร คาวาจิ โดยเริ่มดำเนินการอย่างจริงจัง[59] จากนั้นในวันที่ 3 ธันวาคม ซูงิอูระได้พบกับอดีตอาจารย์ของเขา คือ อาราตะ ฮามาโอะ ในเวลานี้ ซูงิอูระแย้งว่า หากมีการยกเลิกพิธีหมั้น ซึ่งเป็นการขัดศีลธรรมของความเป็นมนุษย์ หลักจริยธรรมทั้งหมดที่เขาได้สั่งสอนมกุฎราชกุมารมาจนถึงจุดนั้นก็จะสูญเปล่า และเจ้าหญิงนางาโกะจะไม่ทรงมีทางเลือกอื่น นอกจากต้องก่ออัตวินิบาตกรรม ไม่ก็ออกบวชถือพรหมจรรย์ และเขาจึงวิงวอนขอให้พิธีหมั้นยังคงมีต่อไป แต่คำร้องของเขาไม่ได้รับการยอมรับ[60][61] วันต่อมา เขายื่นจดหมายลาออกต่อนางานาริ โองาซาวาระ หัวหน้าสมาคมโทงูกาคูมอนโช โดยส่งถึงประธานโทโง เฮฮาจิโร โดยอ้างเหตุผลว่าป่วย[62] ตั้งแต่วันที่ 6 ธันวาคมเป็นต้นมา ซูงิอุระไม่ได้มาบรรยายที่สถาบันโทงูกักไค เนื่องจากป่วย และเขาไม่ได้บรรยายอีกเลยจนกระทั่งสิ้นภาคเรียนของโรงเรียน[63]

จนกระทั่งตอนนี้ นายกรัฐมนตรี ฮาระ ทากาชิ ไม่ได้รับทราบข้อมูลใดๆ มาก่อน แต่ในวันที่ 7 ธันวาคม เขาได้ทราบเรื่องการยกเลิกพระพิธีหมั้นเป็นครั้งแรกจากไซอนจิ และทานากะ กิอิชิ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม[64] ยามางาตะยังได้อธิบายสถานการณ์ให้ฮาระฟัง เพื่อพยายามโน้มน้าวให้ฮาระมาเป็นพวกเดียวกัน[65] ต่อมาฮาระก็ได้ไปเข้าพบมัตสึกาตะในวันที่ 15 ธันวาคม และในที่สุดก็ได้ข้อสรุปว่าควรยุติพระพิธีหมั้น[66]

วันที่ 6 ธันวาคม ยามางาตะเดินทางไปยังโตเกียวและเข้าเฝ้าฯ เจ้าชายคูนิโยชิที่ตำหนักคูนิ เพื่อทูลถามถึงลายพระหัตถ์ที่พระองค์ได้ส่งถึงพระจักรพรรดินี และพยายามโน้มน้าวให้เจ้าชายถอนการหมั้นหมาย ฝ่ายเจ้าชายคูนิทรงเริ่มกระวนกระวายพระทัย และนาโอฮาชิโร คูริตะ ผู้อำนวยการฝ่ายกิจการพระบรมวงศานุวงศ์จึงเริ่มร่างจดหมายปฏิเสธพระพิธีหมั้น[67] ราววันที่ 9 ธันวาคม เจ้าชายคูนิโยชิทรงส่งลายพระหัตถ์ถึงยามางาตะ และมาซาโยชิ มัตสึกาตะ ซึ่งพร้อมด้วยสำเนาลายพระหัตถ์ที่พระองค์ส่งถึงจักรพรรดินีรวมถึงรายงานการแพทย์ด้วย ยามางาตะได้ทูลตอบพระองค์ไปว่า หากราชสกุลคูนิ โนะ มิยะ ปฏเสธการหมั้นหมายแล้ว ทุกคนก็จะยกย่องในความจงรักภักดีที่ราชสกุลคูนิมีต่อพระบรมราชวงศ์[68] [x]

ยูจิโร นากามูระ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพระราชสำนัก "คนของยามางาตะ" ผู้มีบทบาทผลักดันในการยกเลิกพระราชพิธีหมั้น

วันที่ 16 ธันวาคม ยามางาตะส่งจดหมายถึงเจ้าชายคูนิโยชิ เพื่อขอให้พระองค์ส่งผู้เชี่ยวชาญไปสอบสวนเรื่องนี้อีกครั้ง และหากผลลัพธ์ออกมาตรงกับรายงานของกระทรวงพระราชสำนัก เจ้าชายก็ควรปฏิเสธการหมั้นหมายครั้งนี้[69] จากนั้นวันที่ 20 ธันวาคม นากามูระ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพระราชสำนักได้ดำเนินการผ่านกระทรวงศึกษาธิการได้แต่งตั้งคณะกรรมการที่ประกอบด้วยบุคคล 5 คน ได้แก่ ศาสตราจารย์ซันกิจิ ซาโต คณบดีคณะแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยโตเกียว, ศาสตราจารย์คินโนสุเกะ มิอูระ คณะแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยโตเกียว, ศาสตราจารย์เซน นางาอิ คณะแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยโตเกียว, ศาสตราจารย์จูจิโร คาวาโมโตะ คณะแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยโตเกียว และศาสตราจารย์เคนจิโร ฟูจิอิ คณะวิทยาศาสตร์ มหาวิทยาลัยโตเกียว เพื่อศึกษาวิจัยเกี่ยวกับพันธุกรรมของโรคตาบอดสี วันต่อมามีรายงานว่า หากเจ้าหญิงนางาโกะทรงมีพันธุกรรมของโรคตาบอดสี เหล่าพระโอรสครึ่งหนึ่งที่ประสูติกับเจ้าหญิงและมกุฎราชกุมารก็จะเป็นโรคตาบอดสี[70] รายงานนี้รัฐมนตรีกระทรวงพระราชสำนักเสนอต่อยามางาตะ มัตสึกาตะ และไซอนจิ จากนั้นจึงส่งไปให้เจ้าชายคูนิโยชิ[70] เหล่าเก็นโรและนายกรัฐมนตรีฮาระคิดว่าเรื่องนี้คงถึงที่สุดแล้ว[71] เมื่อยามางาตะทราบว่าเจ้าชายคูนิทรงอ่านรายงานดังกล่าวแล้ว และกำลังทรงพิจารณาถอนพระพิธีหมั้นนี้โดยสมัครใจ ยามางาตะจึงยื่นคำร้องขอพระราชทานอภัยโทษต่อรัฐมนตรีช่วยฝ่ายดูแลกิจการราชสำนักในวันที่ 30 ธันวาคม โดยระบุว่าหากราชสกุลคูนิถอนตัวออกจากการหมั้นหมายนี้ เขาก็จะต้องแสดงความรับผิดชอบที่ไม่ได้มีการสอบสวนก่อนที่จะมีการประกาศพิธีหมั้น และเขาจะต้องถูกดำเนินการทางวินัย จึงขอพระราชทานอภัยโทษ จากนั้นเขาก็เดินทางไปพักผ่อนที่โกกิอัน เมืองโอดาวาระ[72]

อย่างไรก็ตาม วันที่ 23 ธันวาคม ซูงิอูระเข้าพบนางานาริ โองาซาวาระ และประกาศว่าเขาคัดค้านการถอนหมั้นอย่างเด็ดขาด และจะลาออกจากตำแหน่งเจ้าหน้าที่ดูแลงานของสมาคมโทงูกาคูมอนโชไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นก็ตาม ในวันที่ 27 ธันวาคม เขาได้รับการเกลี้ยกล่อมจากประธานโทโง เฮฮาจิโร ให้อยู่ต่อ แต่เขาปฏิเสธ[73]

การขยายตัวของฝ่ายขวา ฝ่ายต่อต้านการเมืองแบบตระกูลและกลุ่มการเมือง

[แก้]
มิตสึรุ โทยามะ บุคคลสำคัญของฝ่ายขวา

ซูงิอูระลังเลที่จะหันไปหาอดีตนายกรัฐมนตรีโอกูมะ ชิเงโนบุ ซึ่งเป็นศัตรูทางการเมืองของยามางาตะ เพราะเขาพยายามหลีกเลี่ยงไม่ให้ประเด็นการยกเลิกพิธีหมั้นกลายเป็นเครื่องมือทางการเมือง อย่างไรก็ตามเขาได้เชิญเคนจิโร มากิโนะ ศาสตราจารย์จากมหาวิทยาลัยวาเซดะ ซึ่งเป็นคนที่สนิทกับโอกูมะ เพื่อปรึกษาหารือในวันที่ 30 ธันวาคม วันต่อมา มากิโนะได้เดินทางไปพบกับโอกูมะพร้อมกับมาซาซาดะ ชิโอซาวา[74] โอกูมะกล่าวว่าเขาจะขออุทธรณ์ต่อจักรพรรดิและจักรพรรดินี แต่ในความเป็นจริงเขาไม่ได้ดำเนินการอะไร อย่างไรก็ตาม มีการกระจายข่าอย่างรวดเร็วนับจากนั้นเป็นต้นมา และสถานการณ์ก็ลุกลามไปสู่ประเด็นทางการเมืองที่รุนแรง[75]

ราวปลายปีค.ศ. 1920 ซูงิอูระและคนอื่นๆ ได้ติดต่อกับโมโตโยชิ มิบุ น้องเขยในเจ้าชายคูนิโยชิ และซาดาโกะ อาริมะ อดีตเจ้าหญิงซึ่งเป็นพระธิดาองค์ที่สองในเจ้าชายโยชิฮิสะ คิตาชิราคาวะ รวมถึงโยรินาริ อาริมะ สามีของซาดาโกะ มิบุได้กล่าวว่ามีเพียงคนเดียวเท่านั้นที่จะสามารถโน้มน้าวพระทัยองค์จักรพรรดินีได้ คือ อิกูโกะ โนมะ พระชนนีในองค์จักรพรรดินีเอง และซาดาโกะ อาริมะได้กล่าวว่า เธอจะเป็นคนเข้าไปกราบทูลกับเจ้าหญิงฟูซาโกะ คิตาชิรากาวะ พี่สะใภ้ซึ่งเป็นพระชายาในเจ้าชายนารูฮิซะ คิตาชิรากาวะโนะมิยะ พี่ชายของซาดาโกะให้ทราบถึงเรื่องนี้[76]

วันที่ 24 ธันวาคม มิตสึรุ โทยามะ บุคคลสำคัญของฝ่ายขวาได้รับทราบถึงเหตุการณ์ดังกล่าวจึงไปเยี่ยมซูงิอูระ ซึ่งเป็นเพื่อนของเขา[77] ตามบันทึกประจำวันของฮาระ เคอิ บันทึกข้อมูลจากทานากะ กิอิจิ ว่า ซูงิอูระทำให้ข้อมูลรั่วไหลสู่โทยามะและคนอื่นๆ[78] เมื่อพวกเขาพบปะกันอีกครั้งวันที่ 11 มกราคม ค.ศ. 1921 ซูงิอูระเตือนโทยามะไม่ให้นำเหตุการณ์นี้ไปใช้เป็นเรื่องการเมือง[79] ไม่มีหลักฐานชัดเจนว่าโทยามะนำเรื่องนี้ไปทำอะไรต่อในภายหลังช่วงเหตุการณ์ร้ายแรงในราชสำนัก แต่อาซามิ มาซาโอะคาดเดาว่า การที่โทยามะเข้ามาเกี่ยวข้องกับเรื่องนี้อาจส่งอิทธิพลกระทบต่อยามางาตะ นายกรัฐมนตรีฮาระ และคนอื่นๆ[80]

วันที่ 16 มกราคม คาซูโอะ ฟูรูชิมะ ลูกศิษย์ของซูงิอูระเข้าเยี่ยมเขาและหารือเกี่ยวกับการเปิดเผยเรื่องการยกเลิกพิธีหมั้นต่อนักข่าวหนังสือพิมพ์หลายคนและ "คนที่สติดี" ในหมู่สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร[81]

วันที่ 23 มกราคม เรียวโซ อิโอกิ, เคนจิโร มากิโนะ, ยาซูกูนิ มัตสึไดระ, มาซาโยชิ โอชิคาวะ, คันอินจิ โอตาเกะและโนบูโอะ สึกูดะ รวมตัวกันเรียกว่ากลุ่มโจนันโซ/โคคุมินกิไค พยายามใช้เหตุการณ์นี้เพื่อโค่นล้มยามางาตะและกลุ่มตระกูลชนชั้นปกครองฮัมบัตสึออกจากอำนาจ ได้ประชุมกันและตัดสินใจร่วมมือกันเพื่อต่อต้านการยกเลิกพระราชพิธีหมั้น[82] วันรุ่งขึ้น เคนจิโร มากิโนะ เดินทางไปพบกับซูงิอูระ แต่ซูงิอูระไม่ค่อยไว้ใจกลุ่มนี้และไม่ยอมร่วมมือ กลุ่มนี้จึงลงมือเอง ทั้งหกคนส่งจดหมายเตือนไปยังยามางาตะและฮาระ[83]

วันที่ 24 มกราคม เคซูเกะ คูราฮาระ[xi] ได้เผยแพร่เอกสารที่ไม่ระบุชื่อคนเขียนและมีความลึกลับชื่อว่า "ความอยุติธรรมและการไม่เคารพกระทรวงพระราชสำนัก" ให้กับแวดวงการเมืองและหนังสือพิมพ์ โดยอิงข้อมูลจากเรื่องราวของเคนโซ ทาเคดะ สมาชิกคนหนึ่งในราชสกุลคูนิ[87] เอกสารดังกล่าวได้วิพากษ์วิจารณ์ยามางาตะ (ซึ่งมีการสงวนนามว่าเป็นท่าน "ลอร์ด XX") ที่สมคบวางแผนที่จะยกเลิกพระราชพิธีหมั้น และวิจารณ์ยูจิโร นากามูระ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพระราชสำนักและคนอื่นๆ ที่ดำเนินการในเรื่องนี้[88] นายกรัฐมนตรีฮาระเริ่มเฝ้าระวังมากขึ้นหลังได้อ่านเอกสารลึกลับต่างๆ ในขณะที่ทาเคจิโร โทโคนามิ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทยสั่งการให้สำนักพิมพ์หนังสือพิมพ์และนิตยสารห้ามรายงานข่าวเกี่ยวกับว่าที่มกุฎราชกุมารี[89] อย่างไรก็ตาม ตามความเห็นของฟูมิโยชิ คูโรซาวะ กล่าวว่า รัฐมนตรีโทโคนามิ มาจากแคว้นศักดินาซัตสึมะมีความเห็นอกเห็นใจกลุ่มโจนันโซ/โคคุมิน กิไคอิ ขึงทำให้ไม่มีการปราบปรามที่เพียงพอ[90] (ยามางาตะมาจากแคว้นศักดินาโชชู สองแคว้นนี้เคยต่อสู้แย่งชิงความเป็นใหญ่ในรัชกาลก่อน)

วันที่ 26 มกราคม หนังสือพิมพ์โยะมิอุริชิมบุงรายงานว่า ซูงิอูระได้ยื่นหนังสือลาออกจากสมาชิกโทงูกาคูมอนโช (สำนักโทงูแห่งราชสำนัก) เนื่องจากความขัดแย้งทางศีลธรรมกับรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพระราชสำนัก แม้ว่าจะไม่มีการกล่าวถึงเหตุการณ์ร้ายแรงในราชสำนัก แต่หนังสือพิมพ์ฉบับนี้ก็ถูกสั่งห้ามเผยแพร่[91] รัฐบาลพยายามทำให้สถานการณ์สงบ แต่ยาซูโกโร ซาซากิ สมาชิดสภาผู้แทนราษฎรที่มีฉายาว่า "ราชามองโกล" กลับก่อเรื่องวุ่นวาย พร้อมขู่ว่าจะสอบสวนหาสาเหตุของการห้ามเผยแพร่หนังสือพิมพ์นั้นต่อที่ประชุมสภา[92] เพื่อตอบโต้เรื่องนี้ ฟูรูชิมะ คาซูโอะ ซึ่งเชื่อว่าการหารือเรื่องต่างๆ เกี่ยวกับราชสำนักในรัฐสภาเป็นสิ่งที่ไม่เหมาะสม เขาได้ยื่นอุทธรณ์ต่อพรรคริกเคนเซยูไกซึ่งปกครองประเทศในขณะนั้น และพรรคเคนเซไกกับพรรคริกเคนโคคุมินโตซึ่งเป็นฝ่ายค้าน และได้อุทธรณ์ต่อชิเงซาบูโร โอคุ ประธานสภาผู้แทนราษฎร เพื่อระงับกระทู้ถามของซาซากิ[93]

ท่ามกลางสถานการณ์นี้ ยามางาตะพยายามโน้มน้าวให้สภาองคมนตรีตัดสินใจยกเลิกพระราชพิธีหมั้น และเขาสั่งให้เคโงะ คิโยระ รองประธานสภาองคมนตรี ซึ่งเป็นคนสนิทของเขาดำเนินการตามนั้น อย่างไรก็ตามคิโยระลังเลและยอมไม่ทำตามยามางาตะ เพราะสมาชิกสภาองคมนตรีเช่น ชิเงโนบุ ฮิรายามะและโนบูชิเงะ โฮซูมิ อยู่ข้างฝ่ายซูงิอูระ และคิโยระไม่มีความหวังที่จะให้เสียงของสภาเป็นเอกฉันท์ได้ แม้ว่าสภาองคมนตรีจะเคยหารือในเรื่องนี้แล้ว นอกจากนี้ คิโยระกลับตัดสินใจทรยศยามางาตะ โดยไปเข้าฝ่ายซูงิอูระ[94]

จากซ้าย: โอนิซาบูโร เดกูจิ ผู้นำขบวนการทางศาสนาโอโอโมโตะ, มิตสึรุ โทยามะ และเรียวเฮ อุจิดะ ซึ่งโทยามะและอุจิดะเป็นกลุ่มพลังฝ่ายขวาที่สำคัญในการต่อต้านอำนาจของยามางาตะที่พยายามควบคุมราชสำนัก

วันที่ 1 กุมภาพันธ์ กลุ่มโจนันโซ/โคคุมินกิไค ได้ส่งจดหมายไปยังบ้านพักของยามางาตะ โดยมีชื่อเรื่องว่า "เสนอต่อท่านยามางาตะ ด้วยความเคารพ" เนื้อหาแทบจะเหมือนกับจดหมายลึกลับที่ส่งมาจากคูราฮาระ และยามากาตะได้ตอบกลับผ่านเลขานุการของเขา แต่ทั้งสองฝ่ายไม่สามารถตกลงกันได้[95] นอกจากนี้เรียวเฮ อุจิดะและทากาโยชิ โอมิตะ ฝ่ายขวาได้ส่งจดหมายไปยังเก็นโรและนายกรัฐมนตรีในวันที่ 9 กุมภาพันธ์[96] และยังมีข่าวลือว่า กลุ่มยูซอนฉะที่ก่อตั้งโดยอิคคิ คิตะ, ชูเม โอคาวะ และคาเมทาโร มิตสึคาวะ วางแผนที่จะลอบสังหารยามางาตะ[96][97]

กลุ่มพลังฝ่ายขวาจัดและชาตินิยมสุดโต่งตัดสินใจลุกฮือขึ้นมาในวันสถาปนาชาติ 11 กุมภาพันธ์ และเริ่มเตรียมการ กลุ่มโจนันโซระดมกำลังนักศึกษาและเยาวชนจัด "พิธีสวดมนต์แห่งชาติ" ในขณะที่เรียวเฮ อุจิดะและคนอื่นๆ เชิญแรงงานเอกชนจัด "พิธีถวายดาบสวดภาวนา" ณ ศาลเจ้าเมจิ เพื่อสวดอำนวยพรแก่การอภิเษกสมรสของมกุฎราชกุมารและให้เลื่อนการเสด็จประพาสต่างประเทศของพระองค์[98]

ในขณะที่ ราชสกุลคูนิ โนะ มิยะต้องการให้การหมั้นหมายครั้งนี้เกิดขึ้นให้จงได้ จึงมีการเข้าแทรกแซงสื่อสิ่งพิมพ์ตีพิมพ์บทความเกี่ยวกับเจ้าหญิงนางาโกะ โดยใช้โกคัน คิคุโนะและคนอื่นๆ เป็นแหล่งข้อมูล[99] ตัวอย่างเช่น หนังสือพิมพ์โตเกียวนิชินิชิชิมบุง วันที่ 3 กุมภาพันธ์ เผยแพร่เกร็ดเล็กเกร็ดน้อยที่เจ้าหญิงนางาโกะที่ไม่ทรงเคยดุด่าเจ้าหน้าที่ของราชสำนักคนใดเลย ทรงตรัสกับพวกเขาด้วยความเมตตา และมีการยกย่องคุณธรรมของพระนาง[100]

เหตุการณ์คลี่คลาย

[แก้]
นายกรัฐมนตรีฮาระ ทากาชิ

ในเดือนกุมภาพันธ์ นายกรัฐมนตรีฮาระและฟูรูชิมะเริ่มเคลื่อนไหวมากขึ้น และประเด็นหลักของเหตุการณ์ได้เปลี่ยนไปจากเรื่องของยามางาตะและซูงิอูระ[101]

นายกรัฐมาตรีฮาระเกรงว่าเรื่องร้ายแรงจะเกิดขึ้นหากประเด็นเรื่องการยกเลิกพระพิธีหมั้นไม่ได้รับการแก้ไข เขาจึงพบปะกับนากามูระ รัฐมนตรีกระทรวงพระราชสำนัก เพื่อหารือเกี่ยวกับเรื่องนี้เมื่อวันที่ 2 กุมภาพันธ์ เมื่อฮาระกล่าวว่าต้องมีคนรับผิดชอบและตัดสินใจเรื่องนี้ นากามูระตอบว่าเขาจะรับผิดชอบและจัดการเรื่องนี้เอง[102]

หนังสือพิมพ์โตเกียวอาซาฮีชิมบุน รายงานว่า "ไม่มีการเปลี่ยนแปลงงานหมั้น รัฐมนตรีกระทรวงพระราชสำนักลาออกแล้ว (11 กุมภาพันธ์ 1921)"

ท่ามกลางสถานการณ์นี้ โทโคนามิ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย เข้าไปกดดันโทสุเกะ ฮิราตะ ผู้มีอิทธิพลในกลุ่มการเมืองของยามางาตะ และนากามูระ รัฐมนตรีกระทรวงพระราชสำนัก ให้ยุติกระบวนการยกเลิกพระพิธีหมั้น และจึงทำให้ฮิราตะเริ่มเปลี่ยนแนวคิดของเขาเอง การเปลี่ยนใจของฮิราตะส่งผลกระทบอย่างรุนแรงต่อนากามูระ ซึ่งตัดสินใจดำเนินการให้มีพระพิธีหมั้นต่อไป โดยเขาจะลาออกเพื่อแสดงความรับผิดชอบ[103] ในทางการเมือง วันที่ 3 กุมภาพันธ์ ชิเงซาบูโร โอคุ ประธานสภาผู้แทนราษฎร ได้หารือกับคูนิซึเกะ โอคาซากิจากพรรคเซยูไก, ชูจิ ชิโมโอกะจากพรรคเคนเซไก และคาซูโอะ โคจิมะจากพรรคริกเคนโคคุมินโต แล้วจึงร้องขอให้นายกรัฐมนตรีฮาระแจ้งต่อรัฐมนตรีนากามูระว่าห้ามเปลี่ยนแปลงพระพิธีหมั้น[104][105] วันที่ 4 กุมภาพันธ์ ไซอนจิและนายกรัฐมนตรีฮาระได้พบปะกัน และทั้งสองแสดงความกังวลว่า เจ้าชายคูนิโยชิ พระบิดาของเจ้าหญิงนางาโกะมีพระอุปนิสัยแปลกๆ บางอย่าง และอาจเข้ามาก้าวก่ายในฐานะพระญาติฝ่ายจักรพรรดินีในอนาคต ฮาระกล่าวว่า ยามางาตะเป็นผู้เริ่มเหตุการณ์นี้ และหากผู้ใต้บังคับบัญชาของเขาอย่างฮิราตะและนากามูระ ถูกบังคับให้ต้องผลักดันพระพิธีหมั้นต่อ ก็เหมือนกับว่าบันไดถูกดึงออกไปจากใต้เท้าของยามางาตะแล้ว (ฮาระเปรียบเปรยว่ายามางาตะก็อยู่ในสภาพที่ผูกคอตายแล้ว)[106]

จากนั้นนายกรัฐมนตรีฮาระจึงได้ดำเนินการแก้ไขสถานการณ์ เขาได้ขอให้โกคิจิ มัตสึโมโตะ ผู้รับผิดชอบด้านข้อมูล ส่งข้อความไปยังยามางาตะและคนอื่นๆ เพื่อให้เกิดการตัดสินใจที่ชัดเจนเกี่ยวกับจุดยืนของพวกเขา และมัตสึโมโตะได้เดินทางไปหายามางาตะเมื่อวันที่ 5 กุมภาพันธ์ ยามางาตะตอบกลับโดยกล่าวว่า "ฮาระพูดถูก" และถึงแม้ว่าเขาจะไม่ละทิ้งเรื่องทฤษฎีกรรมพันธุ์ทางสายเลือด แต่เขาก็บอกว่าด้วยสถานการณ์มันเป็นแบบนี้จึงหลีกเลี่ยงไม่ได้แล้ว[107] การประชุมคณะรัฐมนตรีวันที่ 8 กุมภาพันธ์ นายกรัฐมนตรีฮาระได้แจ้งให้สมาชิกคณะรัฐมนตรีทราบถึงรายละเอียดของเหตุการณ์ร้ายแรงในราชสำนัก และเหตุการณ์ดังกล่าวก็ได้รับการเปิดเผยต่อสาธารณะ[108]

วันที่ 9 กุมภาพันธ์ นากามูระได้เข้าพบยามางาตะและแนะนำให้เขาละทิ้งเรื่องตาบอดสีไปเสีย เนื่องจากจะส่งผลเสียต่อราชวงศ์เพราะมันจะทำให้ปัญหาการหมั้นมีความซับซ้อนมากขึ้น ยามางาตะไม่โต้แย้งอะไร[109] วันต่อมา วันที่ 10 กุมภาพันธ์ นากามูระ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพระราชสำนักเดินทางกลับโตเกียวและรายงานต่อนายกรัฐมนตรีฮาระ ว่าเขาตัดสินใจที่จะดำเนินการให้การอภิเษกสมรสดำเนินต่อไปเพื่อระงับความวุ่นวายของฝ่ายขวาและพวกชาตินิยมสุดโต่ง และเขาก็จะขอลาออกจากตำแหน่ง[110][104][111] เวลาหกโมงเย็นของวันเดียวกัน ทาเคจิ คาวามูระ อธิบดีกรมตำรวจและสำนักงานความมั่นคงแห่งกระทรวงมหาดไทย ประกาศว่า ตนได้ยินมาว่าไม่มีการเปลี่ยนแปลงใดๆ ในเรื่องของมกุฎราชกุมารี และนากามูระ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพระราชสำนักไ้ดยื่นหนังสือลาออกแล้ว[112][xii] จากนั้นในเวลา 20.00 น. รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพระราชสำนักจึงออกประกาศว่า[113]

ประเด็นการสถาปนาเจ้าหญิงนางาโกะเป็นมกุฎราชกุมารี กระทรวงเราได้ยินข่าวลือต่างๆ มากมายหลากหลายทั่วโลก แต่การตัดสินใจดังกล่าวยังคงไม่เปลี่ยนแปลง[111]

วันต่อมา วันที่ 11 กุมภาพันธ์ เรียวเฮ อูจิดะ และขบวนการฝ่ายขวาได้รวมตัวกันที่ศาลเจ้าเมจิตามที่วางแผนไว้[114] เจ้าหน้าที่ของราชสกุลคูนิ โนะ มิยะยังปรากฏตัวที่ศาลเจ้าเมจิด้วย[114] ซูงิอูระยังเดินทางเยือนศาลเจ้ายาซูกูนิเพื่อแสดงการขอบคุณจากเหตุพระพิธีหมั้นนี้[114] และในวันที่ 13 กุมภาพันธ์ ได้มีการจัดงานเฉลิมฉลองส่วนตัวที่โรงเรียนมัธยมต้นและมัธยมปลายนิฮอนกาคุเอ็น[115]

เรื่องราวหลังจากนั้น

[แก้]
ยามางาตะในปี 1921 หลังพ่ายแพ้ในเหตุการณ์ร้ายแรงในราชสำนัก

แม้ว่ายามางาตะจะพ่ายแพ้ แต่เมื่อโกคิจิ มัตสึโมโตะเดินทางไปพบเขาที่โกกิอังในวันที่ 10 กุมภาพันธ์ เขาได้กล่าวว่า "ฉันต่อสู้เพื่อสมเด็จพระจักรพรรดิและถูกฆ่าตายในสนามรบ" และ "ฉันจะต่อสู้เพื่อหลักการแห่งสายเลือดบริสุทธิ์ต่อไป" ซึ่งแสดงให้เห็นถึงความมุ่งมั่นของเขาในทฤษฎีของตนเอง[116] จากนั้นวันที่ 14 กุมภาพันธ์ เมื่อยามางาตะ, ไซอนจิ คิมโมจิ และมัตสึกาตะ มาซาโยชิ ได้ประชุมหารือว่าจะดำเนินการอย่างไรต่อไป มัตสึกาตะเสนอความรับผิดชอบและจะลาออกจากตำแหน่งผู้รักษาพระราชลัญจกรของญี่ปุ่น ยามางาตะตระหนักถึงความรับผิดชอบของเขา แต่ยังคงตั้งคำถามว่าเขาควรจะลาออกหรือไม่ หรือ ดำรงตำแหน่งเดิมต่อไป อย่างไรก็ตาม มัตสึกาตะได้แนะนำโนบูอากิ มากิโนะให้เป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรงพระราชสำนักคนต่อไป และในวันที่ 18 กุมภาพันธ์ เขาได้กรายถวายบังคมทูลลาออกจากตำแหน่งผู้รักษาพระราชลัญจกรของญี่ปุ่น โดยไม่ได้แจ้งให้ยามางาตะทราบ เหตุการณ์นี้บีบให้ยามางาตะต้องลาออกด้วยในวันที่ 21 กุมภาพันธ์ เขาได้ยื่นหนังสือกราบบังคมทูลลาออกจากตำแหน่งประธานสภาองคมนตรี และยอมรับเพียงตำแหน่งเกียรติยศทางการเท่านั้น[117] ต่อมา ยามางาตะถูกกักบริเวณในบ้านพักที่โกกิอัง แต่ฮาระ ทากาชิได้เขามาช่วยเหลือเขา และในวันที่ 18 พฤษภาคม จักรพรรดิทรงมีพระราชบัญชาให้มัตสึกาตะและยามางาตะดำรงตำแหน่งเดิมต่อไป และการลาออกของพวกเขาถูกปฏิเสธ[118]

วันที่ 17 มีนาคม เคซูเกะ คูราฮาระ ผู้เป็นคนเขียนจดหมายลึกลับนั้น ได้เขียนจดหมายถึงเคนโซ ทาเคดะ สมาชิกคนหนึ่งในราชสกุลคูนิ โดยเรียกร้องค่าเดินทาง 30,000 เยน และเงิน 1,250 เยนสำหรับค่าสมาคมลับชั่วคราว ในที่สุดมีการตกลงให้ลดจำนวนเงินเหลือ 15,000 เยน[119] และแม้ว่า ยูซาบูโร คูราโตมิ ซึ่งเคยทำงานให้กับมากิโนะ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพระราชสำนัก และรักษาการประธานโซชิเรียว จะคัดค้านการจ่ายเงิน แต่ทาเคดะก็จ่ายเงิน 5,000 เยนให้กับคูราฮาระ ซึ่งคาดว่าน่าจะเป็นเงินของราชสกุลคูนิ โนะ มิยะ[120][xiii] อย่างไรก็ตาม แหล่งที่มาของเงินยังคงไม่ชัดเจน[123]

จักรพรรดินีซาดาโกะ หรือ จักรพรรดินีเทเม แม้ว่าเหตุการณ์ร้ายแรงในราชสำนักจะคลี่คลายแล้ว พระนางก็ยังทรงต่อต้านท่าทีของเจ้าชายคูนิโยชิและลังเลที่จะให้พระราชโอรสอภิเษกสมรสกับราชสกุลคูนิ

ประเด็นที่ยังไม่คลี่คลายอีกประเด็นหนึ่งคือ การเสด็จประพาสตะวันตกของมกุฎราชกุมาร ได้มีกำหนดการทางการในวันที่ 13 กุมภาพันธ์ โดยวันเสด็จออกเดินทางจากญี่ปุ่นคือ วันที่ 3 มีนาคม[124] และมีการประกาศให้ทราบโดยทั่วกันวันที่ 15 กุมภาพันธ์[125] เจ้าชายคูนิโยชิทรงทราบเรื่องนี้มาก่อนที่จะออกประกาศ จึงได้ขอเข้าเฝ้าฯ มกุฎราชกุมารก่อนที่จะเสด็จออกนอกประเทศ แต่จักรพรรดินีซาดาโกะ หรือ จักรพรรดินีเทเมทรงพิโรธอย่างมากที่การเข้าเฝ้าดังกล่าวเป็นการถือวิสาสะก่อนที่จะมีประกาศเป็นทางการ เจ้าชายทรงกราบทูลขอให้นำเจ้าหญิงนางาโกะ พระธิดาเข้าเฝ้าสมเด็จพระจักรพรรดิ แต่สมเด็จพระจักรพรรดินีทรงปฏิเสธ[126] จักรพรรดินีทรงพิโรธต่อท่าทีของเจ้าชายคูนิโยชิที่ "คิดว่าตนได้ชัยชนะแล้ว" พระนางจึงมีรับสั่งให้ฮาตาโนะ อดีตรัฐมนตรีกระทรวงพระราชสำนักมาเข้าเฝ้าฯ เมื่อวันที่ 9 พฤษภาคม ซึ่งเป็นเวลานานในสองเดือนต่อมา พระนางตรัสว่าการหมั้นหมายนี้เป็นการกำหนดอย่างเป็นทางการแล้ว และไม่มีเหตุผลที่จะต้องยกเลิก[127] ฮาตาโนะตอบโต้โดยกราบทูลเตือนจักรพรรดินีว่า นับตั้งแต่กระทรวงพระราชสำนักได้ประกาศว่าไม่มีการเปลี่ยนแปลงใดๆ เกี่ยวกับการหมั้นหมาย จึงไม่สามารถยกเลิกได้ในขณะนี้[128]

ฮาระ ทากาชิยืนกรานว่าปัญหาการอภิเษกสมรสยังไม่คลี่คลาย และควรมีการตัดสินใจหลังจากที่มกุฎราชกุมารได้เป็นผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์แล้ว[xiv] อย่างไรก็ตาม นายกรัฐมนตรีฮาระถูกลอบสังหารที่สถานีรถไฟโตเกียว วันที่ 4 พฤศจิกายน[130] ปีถัดมา ในวันที่ 1 กุมภาพันธ์ ค.ศ. 1922 (ไทโชที่ 11) ยามางาตะถึงแก่อสัญกรรมอย่างหมดอาลัยตายอยาก และไม่มีกลุ่มบริวารของเขาที่จะต่อต้านการหมั้นหมายอีกต่อไป[131] ตามที่ซูเตมิ ชินดะ ระบุว่า มกุฎราชกุมารทรงยืนยันว่าจะมีการหมั้นหมายอย่างแน่นอนตั้งแต่เดือนกันยายน ค.ศ. 1921[131][xv] ในทางกลับกัน ในเวลาต่อมาโทโมโกะ โอตานิ พระขนิษฐาของจักรพรรดินีโคจุง ได้เล่าว่า ในช่วงเหตุการณ์วุ่นวายที่เกิดขึ้นโดยฝ่ายยามางาตะนั้น พระนางไม่ทรงแสดงท่าทีเศร้าโศกใดๆ เลย แต่ดูเหมือนจะทรงอดทนเอาไว้[133]

ในระหว่างที่มกุฎราชกุมารเสด็จเยือนต่างประเทศ มีข่าวลือแพร่สะพัดถึงแผนการที่จะเพิกถอนการหมั้นหมายระหว่างพระองค์กับเจ้าหญิงนางาโกะ และจะมีการสถาปนาเจ้าหญิงซากิโกะแห่งคายะ พระธิดาในเจ้าชายคูนิโนริ คายะโนะมิยะ ขึ้นเป็นมกุฎราชกุมารีแทน ข่าวลือเหล่านี้ได้รับการบันทึกไว้ในไดอารี่ของยูซาบูโร คูราโตมิ และในรายงานจากสถานเอกอัครราชทูตอังกฤษในญี่ปุ่น[134]

เจ้าชายคูนิโยชิ คูนิโนะมิยะทรงฉายพระรูปร่วมกับพระชายา พระโอรสและธิดา เป็นที่ระลึกในช่วงประกาศหมั้นหมาย เจ้าหญิงนางาโกะประทับอยู่แถวหน้า

เดือนพฤษภาคม ค.ศ. 1922 มากิโนะ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพระราชสำนักได้เตรียมพร้อมกับพระราชวงศ์ และวันที่ 9 มิถุนายน เขากราบทูลขอพระอนุญาตจากจักรพรรดินีซาดาโกะ จักรพรรดินีทรงรู้สึกว่าเป็นเรื่องน่าเสียดายที่มีสายเลือดที่ไม่บริสุทธิ์อย่างโรคตาบอดสีเข้ามาสู่พระราชวงศ์ แต่พระองค์ก็ทรงรู้สึกเสียพระทัยที่พระนางเองมีการถ่ายทอดภาวะสายตาสั้นให้กับพระราชโอรสของพระองค์ด้วย[xvi] หากทุกคนได้ตัดสินใจหลังจากการพิจารณาอย่างรอบคอบแล้วว่าจะไม่มีการเปลี่ยนแปลงใดๆ พระนางไม่ทรฃมีทางเลือกอื่นนอกจากต้องกลืนน้ำพระเนตรและให้การรับรองจากจักรพรรดินี[136] จากนั้นวันที่ 12 มิถุนายน มกุฎราชกุมาร ผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ ได้ทรงให้ความยินยอม และในวันที่ 20 มิถุนายน ก็ได้มีประกาศรับรองจากจักรพรรดิ[137] จึงได้มีการตกลงกันว่าพระราชพิธีหมั้นจะจัดขึ้นในวันที่ 28 กันยายน และพระราชพิธีอภิเษกสมรสจะจัดขึ้นในฤดูใบไม้ร่วงของปีถัดไป คือปี ค.ศ. 1923 (ปีไทโช 12)[138] อย่างไรก็ตาม จักรพรรดินีซาดาโกะยังคงตรัสในเดือนเมษายนของปีเดียวกันว่า พระราชพิธีอภิเษกสมรสจะเกิดขึ้นได้หลังจากมกุฎราชกุมารทำพิธีนีอินาเมะไซแล้วเท่านั้น[139] พระราชพิธีอภิเษกสมรสถูกเลื่อนออกไปโดยผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์เนื่องจากเกิดแผ่นดินไหวครั้งใหญ่คันโต ค.ศ. 1923 ในวันที่ 1 กันยายน และในที่สุดมีการจัดพระราชพิธีวันที่ 26 มกราคม ค.ศ. 1924[138]

แม้ว่านี่จะเป็นจุดสิ้นสุดของเหตุการณ์ แต่ความวุ่นวายครั้งใหม่ก็เกิดขึ้นภายในราชสกุลคูนิไม่นานหลังจากนั้น เมื่อเจ้าชายคูนิ อาซาอากิระ พระเชษฐาของเจ้าหญิง ทรงยกเลิกการหมั้นหมายกับคิคูโกะ ซาไก โดยเจ้าชายคูนิโยชิ พระบิดาของเจ้าหญิง ทรงตั้งข้อสงสัยเรื่องความบริสุทธิ์ของคิคูโกะ และไม่มีมูลความจริง จนเป็นเรื่องอื้อฉาวไปทั่วราชสำนัก[140][141]

อ้างอิง

[แก้]

หมายเหตุ

[แก้]
  1. เนื่องจากพระชายาในจักรพรรดิโคเมทรงมาจากตระกูลคูโจ จักรพรรดินีในจักรพรรดิเมจิมาจากตระกูลอิชิโจ และจักรพรรดินีในจักรพรรดิไทโชมาจากตระกูลคูโจ จึงเชื่อกันว่าจักรพรรดินีองค์ต่อไปย่อมมาจากตระกูลอิชิโจ[5]
  2. ค.ศ. 1918 เจ้าหญิงยาซูโกะทรงเสกสมรสกับมาร์ควิสนางาทาเกะ อาซาโนะ หลังจากอาซาโนะสูญเสียภริยาคนแรกคือ เจ้าหญิงยาซูโกะ ฟูชิมิ[6]
  3. จักรพรรดิโชวะทรงมีพระดำรัสในการแถลงข่าวเนื่องในโอกาสครบรอบวันคล้ายวันราชาภิเษกสมรส 50 ปีของพระองค์ (23 มกราคม ค.ศ. 1974) ว่า วันนั้นพระองค์ไม่ทรงได้รับแจ้งเกี่ยวกับการคัดเลือกพระชายาเลยแม้แต่น้อย[16]
  4. ตำหนักของราชสกุลคูนิ โนะ มิยะได้ถูกย้ายไปยังย่านมิยาชิโระ เขตชิบูยะ (ปัจจุบันเป็นวิทยาเขตของมหาวิทยาลัยพระหฤทัยศักดิ์สิทธิ์ (ญี่ปุ่น))[19])に移転していた[20]
  5. ต่อมาโอฮานะโกเต็น ได้ถูกบริจาคอาคารเรียนให้แก่โรงเรียนมัธยมปลายสตรีเขตสามแห่งจังหวัดโตเกียว ซึ่งตั้งอยู่ในแขวงอาซาบุ โตเกียว (ปัจจุบันคือ ย่านอาซาบุ-จูบัง เขตมินาโตะ (โตเกียว)) ในปีค.ศ. 1933 ถูกเปลี่ยนเป็น "หอพักเกียวโกะ" เดิมใช้เป็นห้องฝึกอบรมนักเรียนและยังคงได้รับการอนุรักษ์ไว้จนถึงปัจจุบัน[21]
  6. เขาเกิดในจังหวัดยามานาชิ หลังจากจบการศึกษาแพทยศาสตร์จากมหาวิทยาลัยโตเกียวอิมพีเรียล เขาได้เป็นศัลยแพทย์ทหาร ในปี 1911 (ปีเมจิที่ 44) เขาได้เป็นอาจารย์ที่โรงเรียนแพทย์ทหาร และในปี 1920 เขาได้เป็นศัลยแพทย์ทหารขั้นสองเทียบเท่ากับยศพันโท[25]
  7. ข้อ 5 วรรค 4 ของข้อบังคับเดียวกันระบุว่า “ผู้ที่มีความสามารถในการมองเห็นด้วยตาเปล่าในแต่ละข้างน้อยกว่า 0.7 และผู้ที่มีอาการตาบอดสี…” และระบุอาการตาบอดสี (ความบกพร่องในการมองเห็นสี) เป็นเกณฑ์สำหรับการไม่ผ่านคุณสมบัติระดับ C [28]
  8. แต่ทั้งเจ้าชายคูนิ อาซาอากิระ และเจ้าทาดาชิเงะ ชิมาซุ กลับได้เป็นทหารเรือ ทั้งๆ ที่ทั้งสองมีอาการตาบอดสี[29]
  9. เจ้าหญิงซาจิโกะ ฟูชิมิ พระธิดาของเจ้าชายซาดานารุ เคยได้รับเลือกให้เป็นพระชายาในจักรพรรดิไทโช แต่การหมั้นหมายถูกยกเลิกเนื่องจากเจ้าหญิงทรงพระประชวร[43]
  10. บันทึกของฮาระ ทาคาชิ ระบุว่า ยามางาตะเข้าเฝ้าเจ้าชายคูนิโยชิเมื่อวันที่ 10 ธันวาคม และเป็นการพูดคุยแบบเห็นหน้าค่าตา ในขณะที่ชีวประวัติของทานากะ กิอิชิ เขียนว่า ยามางาตะไม่ได้เข้าพระพักตร์เจ้าชายคูนิ แต่มีการส่งคำตอบนั้นไปให้เจ้าชายในวันที่ 16 ธันวาคม[68]
  11. เคซูเกะ คูราฮาระ (1870-1930) เกิดที่จังหวัดชิมาเนะ เขาทำงานเป็นอาจารย์ในไต้หวันและเซี่ยเหมิน และเคยทำหน้าที่เป็นล่ามประจำกองบัญชาการกองทัพที่ 1 ในช่วงสงครามรัสเซีย–ญี่ปุ่น หลังสงครามเขาทำหน้าที่เป็นประธานและบรรณาธิการบริหารของหนังสือพิมพ์แมนจูเรียเดลีในหยิงโข่ว[84][85] มาซาโอะ อาซามิคาดเดาว่า คูราฮาระน่าจะรู้จักกับเจ้าชายคูนิโยชิซึ่งเคยอยู่ที่กองบัญชาการกองทัพที่ 1 ในช่วงสงครามรัสเซีย-ญี่ปุ่น และยังคงมาเยี่ยมเยียนราชสกุลคูนิ โนะ มิยะบ่อยครั้งหลังสงคราม[86]
  12. ฮาระ ทากาชิได้สั่งการให้กระทรวงมหาดไทยไม่ประกาศข่าวนี้ แต่หลังจากได้รับการร้องขอจากนากามูระ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพระราชสำนัก คาวามูระ อธิบดีกรมตำรวจและสำนักงานความมั่นคง เกรงว่า กลุ่มขวาจัดจะก่อให้เกิดความไม่สงบ จึงเพิกเฉยต่อคำสั่งของฮาระและประกาศข่าวนี้ออกไป[112]
  13. 5,000 เยนเทียบเท่ากับประมาณ 15 ล้านเยนในปี 2007[121] หรือเทียบเท่าเงินเดือนห้าเดือนของนายกรัฐมนตรีในขณะนั้น[122]
  14. ตามที่ฟูมิทากะ คูโรซาวะ กล่าวว่า ฮาระ ทาคาชิ ผู้ซึ่งส่งเสริมการขยายตัวของการเมืองแบบพรรค แต่การก้าวขึ้นสู่อำนาจของเจ้าชายคูนิและอดีตกลุ่มศักดินาซัตสึมะหลังจากการตายของยามางาตะเป็นสิ่งที่เขาต้องการหลีกเลี่ยงโดยสิ้นเชิง[129]
  15. ทรงเก็บพระฉายาลักษณฺของเจ้าหญิงนางาโกะในห้องประทับของพระองค์เอง[132]
  16. พวกชาตินิยมสุดโต่งถือว่าการที่มกุฎราชกุมารทรงสวมแว่นตาเป็นเรื่องอื้อฉาว[135]

เชิงอรรถ

[แก้]
  1. 藤樫準二著「皇太子妃・色盲事件」(鶴見俊輔、中川六平編『天皇百話 上』所収)
  2. 河原宏「「父なる天皇」はいかに作られるか」、『昭和の終焉・1988.9-1989.2』所収
  3. 『国史大辞典』15下巻 p.565
  4. 大野芳 2012, p. 51.
  5. 大野芳 2012, p. 52.
  6. 大野芳 2012, p. 65.
  7. 大野芳 2012, pp. 52–53.
  8. 浅見雅男 2013, p. 22.
  9. 浅見雅男 2013, p. 24.
  10. 大野芳 2012, p. 95.
  11. 大野芳 2012, p. 66.
  12. 片野真佐子 2003, p. 123.
  13. 大野芳 2012, p. 98.
  14. 大野芳 2012, pp. 100–101.
  15. 溝口元 2000, pp. 92–93.
  16. 1 2 高橋絋 1988, p. 194.
  17. 大野芳 2012, pp. 106–108, 115.
  18. 浅見雅男 2013, pp. 25–27.
  19. "旧久邇宮邸御常御殿パンフレット" (pdf). 聖心女子大学. สืบค้นเมื่อ 2020-12-15.
  20. 片野真佐子 2003, p. 126.
  21. "仰光寮". 財団法人 駒場松桜会. สืบค้นเมื่อ 2019-09-05.
  22. 大野芳 2012, pp. 108–109.
  23. 浅見雅男 2013, p. 28.
  24. 片野真佐子 2003, p. 127.
  25. 浅見雅男 2013, p. 31.
  26. 浅見雅男 2013, pp. 29–34.
  27. 永井和 2012, p. 797.
  28. 久芳宇三郎、宇田淳彦, บ.ก. (1911). 現行兵事法令集. 小池商店出版部. pp. 87–88.
  29. 浅見雅男 2013, p. 36.
  30. 浅見雅男 2013, pp. 34–36.
  31. 黒沢文貴 2013, p. 38.
  32. 伊藤之雄 2010, pp. 143–144.
  33. 大野芳 2012, pp. 124–129.
  34. 1 2 永井和 2012, p. 795.
  35. 永井和 2012, p. 781、798.
  36. 1 2 浅見雅男 2013, p. 37.
  37. 黒沢文貴 2013, pp. 38–39.
  38. 永井和 2012, p. 796.
  39. 永井和 2012, p. 795-796.
  40. 永井和 2012, p. 797、799.
  41. 浅見雅男 2013, pp. 38–40.
  42. 黒沢文貴 2013, p. 40.
  43. 浅見雅男 2013, p. 43.
  44. 浅見雅男 2013, pp. 42–43.
  45. 大野芳 2012, p. 171.
  46. 黒沢文貴 2013, p. 41.
  47. 大野芳 2012, pp. 168–171.
  48. 浅見雅男 2013, p. 45.
  49. 1 2 大野芳 2012, p. 174.
  50. 昭和天皇実録第二, p. 663.
  51. 浅見雅男 2013, p. 87.
  52. 大野芳 2012, p. 173.
  53. 大野芳 2012, p. 178.
  54. 大野芳 2012, pp. 179–182.
  55. 浅見雅男 2013, p. 69.
  56. 浅見雅男 2013, pp. 47–53.
  57. 大野芳 2012, pp. 184–186.
  58. 浅見雅男 2013, pp. 14, 15, 48.
  59. 浅見雅男 2013, p. 55.
  60. 浅見雅男 2013, pp. 58–60.
  61. 大野芳 2012, p. 198.
  62. 伊藤之雄 2011, p. 92.
  63. 昭和天皇実録第二, pp. 663–664.
  64. 浅見雅男 2013, pp. 61–63.
  65. 黒沢文貴 2013, pp. 45–46.
  66. 浅見雅男 2013, pp. 75–76.
  67. 大野芳 2012, pp. 200–201.
  68. 1 2 浅見雅男 2013, pp. 70–71.
  69. 伊藤之雄 2011, p. 93.
  70. 1 2 浅見雅男 2013, pp. 80–83.
  71. 黒沢文貴 2013, pp. 48–49.
  72. 浅見雅男 2013, pp. 83–84.
  73. 浅見雅男 2013, pp. 84–85.
  74. 大野芳 2012, pp. 231–232.
  75. 浅見雅男 2013, pp. 101–104.
  76. 浅見雅男 2013, p. 95.
  77. 浅見雅男 2013, pp. 96–97.
  78. 浅見雅男 2013, p. 96.
  79. 浅見雅男 2013, pp. 97–99.
  80. 浅見雅男 2013, pp. 97–101.
  81. 伊藤之雄 2009, p. 442.
  82. 浅見雅男 2013, pp. 107–108.
  83. 浅見雅男 2013, pp. 109–111.
  84. 浅見雅男 2013, pp. 117–118.
  85. "来原慶助". コトバンク. สืบค้นเมื่อ 2020-06-03.
  86. 浅見雅男 2013, pp. 118–119.
  87. 大野芳 2012, pp. 241–244.
  88. 浅見雅男 2013, pp. 114–116.
  89. 大野芳 2012, pp. 244–245.
  90. 加藤陽子 2018, p. 97.
  91. 浅見雅男 2013, p. 128.
  92. 浅見雅男 2013, p. 130.
  93. 浅見雅男 2013, pp. 130–133.
  94. 伊藤之雄 2009, pp. 442–443.
  95. 大野芳 2012, pp. 253–254.
  96. 1 2 黒沢文貴 2013, p. 56.
  97. 大野芳 2012, pp. 236–237.
  98. 大野芳 2012, p. 254.
  99. 森暢平 2016, pp. 49–46.
  100. 森暢平 2016, pp. 48.
  101. 浅見雅男 2013, p. 133.
  102. 浅見雅男 2013, pp. 133–136.
  103. 黒沢文貴 2013, pp. 56–57.
  104. 1 2 黒沢文貴 2013, p. 57.
  105. 浅見雅男 2013, p. 137.
  106. 浅見雅男 2013, pp. 137–141.
  107. 浅見雅男 2013, pp. 141–142.
  108. 浅見雅男 2013, p. 144.
  109. 伊藤之雄 2009, p. 443.
  110. 大野芳 2012, pp. 273–276.
  111. 1 2 昭和天皇実録第三, p. 12.
  112. 1 2 浅見雅男 2013, pp. 147–149.
  113. 大野芳 2012, pp. 106–108.
  114. 1 2 3 浅見雅男 2013, p. 151.
  115. 浅見雅男 2013, p. 155.
  116. 黒沢文貴 2013, pp. 58–59.
  117. 伊藤之雄 2009, pp. 444–445.
  118. 伊藤之雄 2009, pp. 447–450.
  119. 大野芳 2012, pp. 291–294.
  120. 雄次, 小田部 (2009). 皇族. 中公新書. 中央公論新社. pp. 159–160. ISBN 978-4-12-102011-6.
  121. 佐野眞一 2007, p. 80.
  122. 小田部雄次 2009, p. 160.
  123. 佐野眞一 2007, p. 82.
  124. 浅見雅男 2016, p. 241.
  125. "官報 1921年2月15日" - NDL Digital Collections
  126. 浅見雅男 2016, pp. 241–242.
  127. 浅見雅男 2016, pp. 242–244.
  128. 浅見雅男 2013, pp. 11–14.
  129. 黒沢文貴 2013, p. 66.
  130. 浅見雅男 2013, pp. 161–162.
  131. 1 2 伊藤之雄 2011, p. 114.
  132. 浅見雅男 2013, p. 165.
  133. 河原, 敏明 (2000) [1993]. 良子皇太后. 文春文庫. 文藝春秋. p. 79. ISBN 4-16-741603-4.
  134. 原, 武史 (2017) [2015]. 皇后考. 講談社学術文庫. 講談社. pp. 265–266. ISBN 978-4-06-292473-3.
  135. 黒沢文貴 2013, pp. 67–68.
  136. 浅見雅男 2013, pp. 166–167.
  137. 浅見雅男 2013, pp. 168–169.
  138. 1 2 浅見雅男 2013, pp. 169–170.
  139. 原, 武史 (2008). 昭和天皇. 岩波新書. 岩波書店. p. 64. ISBN 978-4-00-431111-9.
  140. 浅見雅男 2013, pp. 171–233.
  141. 永井和. "久邇宮朝融王婚約破棄事件と元老西園寺". สืบค้นเมื่อ 2020-11-27.

บรรณานุกรม

[แก้]