30 บาทรักษาทุกโรค
บทความนี้อาจต้องปรับปรุงให้มีมุมมองที่เป็นกลาง เนื่องจากนำเสนอมุมมองเพียงด้านเดียว ดูหน้าอภิปรายประกอบ โปรดอย่านำป้ายออกจนกว่าจะมีข้อสรุป |
| พระราชบัญญัติหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ พ.ศ. 2545 | |
|---|---|
| |
| ผู้ลงนาม | ภูมิพลอดุลยเดช ป.ร. |
| วันลงนาม | 18 พฤศจิกายน 2545 |
| ผู้ลงนามรับรอง | พันตำรวจโท ทักษิณ ชินวัตร |
| วันประกาศ | 18 พฤศจิกายน 2545 |
| วันเริ่มใช้ | 19 พฤศจิกายน 2545 |
| ท้องที่ใช้ | ประเทศไทย |
| การร่าง | |
| ผู้เสนอ | คณะรัฐมนตรีทักษิณ 1 |
| ผู้ยกร่าง | สภาผู้แทนราษฎรไทย ชุดที่ 21 |
| การยกร่างในชั้นสภาล่าง | |
| วาระที่หนึ่ง | 22 พฤษจิกายน 2544 |
| วาระที่สอง | 15 พฤษภาคม 2545 |
| วาระที่สาม | 15 พฤษภาคม 2545 |
| การยกร่างในชั้นสภาสูง | |
| วาระที่หนึ่ง | 30 พฤษภาคม 2545 |
| วาระที่สอง | 31 สิงหาคม 2545 |
| วาระที่สาม | 31 สิงหาคม 2545 |
30 บาทรักษาทุกโรค หรือชื่อทางการคือ โครงการหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้า[1] หรือต่อมามีคำเรียกว่า สิทธิบัตรทอง เป็นนโยบายของรัฐบาลทักษิณ ชินวัตร ซึ่งสอดคล้องและเป็นไปตามตามมาตรา 52 และมาตรา 82 ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2540
มาตรา ๕๒
บุคคลย่อมมีสิทธิเท่าเทียมกันในการได้รับบริการสาธารณสุขที่ได้มาตรฐาน และผู้ยากไร้มีสิทธิได้รับการรักษาพยาบาลจากศูนย์สาธารณสุขของรัฐได้ฟรี ทั้งนี้ ตามที่กฎหมายบัญญัติ
การบริการสาธารณสุขของรัฐจะต้องให้บริการอย่างทั่วถึงและมีประสิทธิภาพ และต้องส่งเสริมการมีส่วนร่วมขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นและภาคเอกชนเท่าที่เป็นไปได้ด้วย
รัฐพึงป้องกันและขจัดโรคติดต่อที่เป็นอันตรายแก่ประชาชนโดยไม่คิดค่าใช้จ่าย ทั้งนี้ ตามที่กฎหมายบัญญัติ
มาตรา ๘๒
รัฐต้องจัดให้มีและส่งเสริมการบริการสาธารณสุขที่ได้มาตรฐานและมีประสิทธิภาพอย่างทั่วถึง
โดยทักษิณรับแนวคิดของนายแพทย์สงวน นิตยารัมภ์พงศ์ มาจัดทำตามบทบัญญัติในรัฐธรรมนูญ พ.ศ. 2540 เพื่อให้ประชาชนมีหลักประกันสุขภาพ โดยคนไทยทุกคนสามารถรับบริการรักษาโรค โดยจ่ายเพียง 30 บาท โดยภาครัฐจะให้ประชาชนลงทะเบียนกับโรงพยาบาลและรัฐจัดสรรงบประมาณลงในโรงพยาบาลตามจำนวนคน และแจกบัตรประจำตัวให้แก่ผู้รับบริการที่เรียกกันว่า "บัตรทอง" ปัจจุบันดูแลโครงการโดยสำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช.)
ภูมิหลัง
[แก้]ก่อนที่จะมีโครงการสามสิบบาท ประเทศไทยมีระบบสวัสดิการและหลักประกันสุขภาพที่ภาครัฐเข้าไปมีส่วนร่วม 4 ระบบ อันได้แก่ ระบบสวัสดิการรักษาพยาบาลของข้าราชการและรัฐวิสาหกิจ, ระบบประกันสังคม, ระบบประกันสุขภาพโดยสมัครใจ (โครงการบัตรสุขภาพ เสียเงินรายเดือนหรือรายปี) และโครงการสวัสดิการประชาชนด้านการรักษาพยาบาล (สปร.) หรือ บัตรอนาถา ซึ่งเมื่อรวมกับระบบประกันสุขภาพของภาคเอกชน (ประกันชีวิต) แล้ว เท่ากับว่าไทยมีระบบประกันสุขภาพจำนวน 5 ระบบ ทั้งห้าระบบนี้สามารถครอบคลุมประชากรประมาณร้อยละ 70 ของประเทศ จะเห็นได้ว่ายังมีประชากรอีกกว่า 20 ล้านคนหรือร้อยละ 30 ของประเทศที่ยังไม่มีหลักประกันสุขภาพใด ๆ นี่เป็นประเด็นปัญหาสำคัญประการหนึ่งที่ผลักดันให้มีการขยายสวัสดิการรักษาพยาบาลและหลักประกันสุขภาพให้ครอบคลุมกลุ่มประชากรที่ตกหล่น
จุดเริ่มต้นมาจาก นายแพทย์สงวน นิตยารัมภ์พงศ์ ประธานชมรมแพทย์ชนบทรุ่นที่ 8 เป็นผู้บุกเบิกและศึกษาความเป็นไปได้ของโครงการตั้งแต่ปี พ.ศ. 2533 จนมีการเสนอร่าง พ.ร.บ.หลักประกันสุขภาพแห่งชาติเข้าสู่ที่ประชุมรัฐสภา อย่างไรก็ตาม รัฐบาลชวน หลีกภัย ในขณะนั้นกลับไม่เห็นความสำคัญมากนัก ทำให้ร่างกฎหมายฉบับนี้ตกไป[3]
ภายหลังกฎหมายถูกตีตกไป นายแพทย์สงวนก็ยังทำการวิจัยความเป็นไปได้ต่อไป นายแพทย์สงวนพิมพ์สมุดปกเหลืองขึ้นมาเล่มหนึ่ง สรุปความถึงระบบหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้าทั้งหลักการความเป็นมาและโอกาสความเป็นไปได้ในการดำเนินการ[3] ซึ่งจะใช้งบประมาณแค่ราว 30,000 ล้านบาทในขณะนั้น นายแพทย์สงวนใช้หนังสือปกเหลืองเดินสายพูดคุยกับพรรคการเมืองในช่วงก่อนการเลือกตั้ง พ.ศ. 2544 อย่างไรก็ตาม ในบรรดาพรรคการเมืองทั้งหมด มีเพียงพรรคไทยรักไทยที่มองว่ามีความเป็นไปได้[3] รัฐบาลพรรคไทยรักไทยนำไปใช้เป็นนโยบายที่เรียกว่า "30 บาทรักษาทุกโรค" และแต่งตั้งนายแพทย์สงวนเป็นเลขาธิการสำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช.) คนแรก
นโยบายจริง
[แก้]รัฐบาลของนายกรัฐมนตรีทักษิณ ชินวัตร เลือกใช้แนวทางการจัดหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้าเพื่อให้สวัสดิการและหลักประกันสุขภาพที่มีอยู่ครอบคลุมประชากรทั้งหมดของประเทศผ่าน "นโยบายโครงการหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้า 30 บาทรักษาทุกโรค" ซึ่งสามารถดำเนินการได้ทั่วประเทศในปี พ.ศ. 2545 โดยมีวัตถุประสงค์หลัก เพื่อให้ประชาชนไทยทุกคนได้รับบริการสาธารณสุขที่ได้มาตรฐานและผู้ยากไร้มีสิทธิได้รับการรักษาพยาบาลจากสถานบริการของรัฐโดยไม่เสียค่าใช้จ่าย[4]
จุดเน้นเป้าหมายคือ "รากหญ้า" โดยไม่มีการเลือกปฏิบัติ ด้านการรักษาสุขภาพ ถือว่าเป็นหน้าที่ของรัฐที่จะต้องดูแลประชาชนชาวไทย เมื่อนายแพทย์สงวนนำโครงการนี้ไปเสนอนายกรัฐมนตรีทักษิณ ชินวัตร ก็ได้รับการตอบรับ จนกลายมาเป็นนโยบายประชานิยมของพรรคไทยรักไทยในเวลานั้น จนกลายเป็นนโยบาย 30 บาท รักษาทุกโรค ในเวลาต่อมาเรียกขานกันในนาม "บัตรทอง" เพราะไม่ต้องจ่ายเงินแม้แต่บาทเดียว บัตรทองเริ่มต้นตั้งที่งบประมาณจากรัฐจ่ายค่าเบี้ยประกันสังคมให้กับประชาชน แรกเริ่มมีงบประมาณให้หัวละ 1,250 บาท โดยไปขึ้นทะเบียนต่อกับโรงพยาบาลในเขตที่ตนอาศัยอยู่แล้ว เมื่อเจ็บป่วยก็เข้ารักษาตามที่ลงทะเบียนไว้ โรงพยาบาลก็ได้เงินส่วนนี้ไปเฉลี่ยรักษาคนที่ป่วยลักษณะคล้ายกับการประกันสุขภาพ โดย สปสช.ให้ความรู้เกี่ยวกับหลักประกันสุขภาพเอาไว้ว่า คนไทยทุกคนมีสิทธิได้รับบริการสาธารณสุขที่มีมาตรฐานและมีประสิทธิภาพ ตาม พ.ร.บ.หลักประกันสุขภาพแห่งชาติ พ.ศ. 2545[5] โดยมีสำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ ทำหน้าที่จัดบริการสาธารณสุขให้แก่บุคคลที่ไม่มีสิทธิสวัสดิการรักษาพยาบาลจากกฎหมายประกันสังคมหรือสิทธิสวัสดิการรักษาพยาบาลของข้าราชการ/รัฐวิสาหกิจ หรือหน่วยงานของรัฐอื่นๆ ภายใต้การควบคุมดูแลของคณะกรรมการหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ ซึ่งมีชื่อ เรียกอย่างเป็นทางการว่า "สิทธิหลักประกันสุขภาพ" หรือที่เคยรู้จักกันในนาม สิทธิ 30 บาทหรือสิทธิบัตรทอง เพื่อเข้าถึงบริการสาธารณสุขที่มีมาตรฐานอย่างทั่วถึง ตั้งแต่ การสร้างเสริมสุขภาพ การป้องกันโรค การรักษาพยาบาล และการฟื้นฟูสมรรถภาพที่จำเป็นต่อสุขภาพ และการดำรงชีวิต
ผู้มีสิทธิหลักประกันสุขภาพคือคนไทยทุกคนที่มีเลขประจำตัวประชาชน 13 หลัก และไม่มีสิทธิสวัสดิการรักษาพยาบาลตามกฎหมายประกันสังคมหรือสิทธิสวัสดิการรักษาพยาบาลของข้าราชการ/พนักงานรัฐวิสาหกิจ หรือสวัสดิการรักษาพยาบาลอย่างอื่นที่รัฐจัดให้
นอกจากนี้การสร้างหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้าผ้านโครงการ 30 บาท ฯ ทำให้ประเทศไทยกลายเป็นประเทศกำลังพัฒนาไม่กี่ประเทศ เช่น ตุรกี เกาหลีใต้ และเม็กซิโก ที่สามารถจัดให้มีสวัสดิการและหลักประกันสุขภาพแก่ประชาชนทุกคนในประเทศ และแซงหน้าประเทศอุตสาหกรรมบางประเทศ เช่น สหรัฐอเมริกา ซึ่งแม้จะมีความพยายามมาตั้งแต่กลางทศวรรษ 2470 ในช่วงภาวะเศรษฐกิจตกต่ำครั้งใหญ่ (The Great Depression) แต่จนถึงปัจจุบัน รัฐบาลสหรัฐอเมริกา ก็ยังไม่สามารถจัดหลักประกันสุขภาพที่ครอบคลุมประชากรทั้งหมดได้[4]
ข้อวิจารณ์
[แก้]โครงการ 30 บาทรักษาทุกโรค เพิ่มภาระงานแก่ลูกจ้างสาธารณสุข จนทำให้แพทย์จำนวนมากลาออก การบริการเป็นไปได้อย่างล่าช้าและด้อยประสิทธิภาพลง โดยในช่วงต้นของโครงการนั้น พรรคประชาธิปัตย์ ได้ออกมาต่อต้านโครงการนี้ โดยเรียกว่า 30 บาทตายทุกโรค[6]
นอกจากนี้ โครงการดังกล่าวทำให้รายได้ของอุตสาหกรรมโรงพยาบาลลดลง โรงพยาบาลหลายแห่งต้องหาแหล่งรายได้อื่นเพื่อมาชดเชยในส่วนที่ลดไป[7]
โครงการยกระดับ
[แก้]เมื่อวันที่ 7 ตุลาคม พ.ศ. 2566 เศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง มีคำสั่งแต่งตั้ง คณะกรรมการพัฒนาระบบสุขภาพแห่งชาติ ขึ้น เพื่อดำเนินโครงการยกระดับของโครงการ 30 บาทรักษาทุกโรค โดยมีองค์ประกอบดังนี้[8]
| ลำดับที่ | ชื่อ | ตำแหน่งสำคัญ | ตำแหน่งในคณะกรรมการ |
|---|---|---|---|
| 1 | นายเศรษฐา ทวีสิน | นายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง | ประธานกรรมการ |
| 2 | นายภูมิธรรม เวชยชัย | รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ | รองประธานกรรมการ |
| 3 | นางสาวแพทองธาร ชินวัตร | หัวหน้าพรรคเพื่อไทย | |
| 4 | นายสุทิน คลังแสง | รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม | กรรมการ |
| 5 | นางสาวศุภมาส อิศรภักดี | รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม | |
| 6 | นายประเสริฐ จันทรรวงทอง | รัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม | |
| 7 | นายอนุทิน ชาญวีรกูล | รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย | |
| 8 | นายพิพัฒน์ รัชกิจประการ | รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน | |
| 9 | นพ.ชลน่าน ศรีแก้ว | รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข | |
| 10 | นายดนุชา พิชยนันท์ | เลขาธิการสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ | |
| 11 | นายชัชชาติ สิทธิพันธุ์ | ผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร | |
| 12 | ผศ.ทพ.สุชิต พูลทอง | นายกทันตแพทยสภา | |
| 13 | ศ.เกียรติคุณ พญ.สมศรี เผ่าสวัสดิ์ | นายกแพทยสภา | |
| 14 | ศ.กภ.ประวิตร เจนวรรธนะกุล | นายกสภากายภาพบำบัด | |
| 15 | รศ.สุจิตรา เหลืองอมรเลิศ | นายกสภาการพยาบาล | |
| 16 | ทนพ.สมชัย เจิดเสริมอนันต์ | นายกสภาเทคนิคการแพทย์ | |
| 17 | รศ.ภญ.จิราพร ลิ้มปานานนท์ | นายกสภาเภสัชกรรม | |
| 18 | นพ.เฉลิม หาญพาณิชย์ | นายกสมาคมโรงพยาบาลเอกชน | |
| 19 | นางสาวสารี อ๋องสมหวัง | เลขาธิการสำนักงานสภาองค์กรของผู้บริโภค | |
| 20 | นพ.สุรพงษ์ สืบวงศ์ลี | อดีตรองนายกรัฐมนตรี | กรรมการและเลขานุการ |
| 21 | นพ.โอภาส การย์กวินพงศ์ | ปลัดกระทรวงสาธารณสุข | กรรมการและผู้ช่วยเลขานุการ |
| 22 | นพ.จเด็จ ธรรมธัชอารี | เลขาธิการสำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ |
ต่อมาได้มีการจัดทำโครงการ 30 บาทรักษาทุกที่ ด้วยบัตรประชาชนใบเดียว ซึ่งเป็นหนึ่งในโครงการยกระดับของโครงการ 30 บาทรักษาทุกโรค เพื่อให้ประชาชนสามารถเข้ารับการรักษาโรคต่าง ๆ ในโรงพยาบาลในพื้นที่ที่กำหนดได้ทั้งหมด ซึ่งแบ่งเป็น 3 ระยะ ดังนี้
- ระยะที่ 1 ใน 4 จังหวัด คือ จังหวัดร้อยเอ็ด จังหวัดแพร่ จังหวัดเพชรบุรี และจังหวัดนราธิวาส โดยเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี เป็นประธานทำพิธีเปิดเมื่อวันที่ 7 มกราคม พ.ศ. 2567 ที่ลานหน้าหอชมเมืองร้อยเอ็ด ในจังหวัดร้อยเอ็ด และมีการเปิดระบบออนไลน์ไปยังอีก 3 จังหวัดที่เหลือ[9]
- ระยะที่ 2 ใน 8 จังหวัด คือ จังหวัดนครราชสีมา จังหวัดเพชรบูรณ์ จังหวัดนครสวรรค์ จังหวัดสิงห์บุรี จังหวัดสระแก้ว จังหวัดหนองบัวลำภู จังหวัดอำนาจเจริญ และจังหวัดพังงา โดยแพทองธาร ชินวัตร รองประธานกรรมการคณะกรรมการพัฒนาระบบสุขภาพแห่งชาติ และนายแพทย์ชลน่าน ศรีแก้ว รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุขในขณะนั้น เป็นประธานทำพิธีเปิดเมื่อวันที่ 30 มีนาคม พ.ศ. 2567 ที่โคราช ชาติชาย ฮอลล์ และลิปตพัลลภ ฮอลล์ ภายในศูนย์กีฬาเฉลิมพระเกียรติ 80 พรรษา 5 ธันวาคม 2550 ในจังหวัดนครราชสีมา[10]
- ระยะที่ 3
ส่วนนี้รอเพิ่มเติมข้อมูล คุณสามารถช่วยเพิ่มข้อมูลส่วนนี้ได้ (มีนาคม 2024) |
ได้มีการจัดทำโครงการ 30 บาทรักษาทุกที่ ฟอกไตฟรีทุกแห่ง ซึ่งเป็นการยืนยันว่า สามารถใช้สิทธิ์ 30 บาทในการฟอกไตได้โดยไม่ต้องกังวลเรื่องค่าใช้จ่ายเพิ่มเติม โดย สำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ จะดูแลไม่ให้หน่วยบริการฟอกเลือดด้วยเครื่องไตเทียมในระบบหลักประกันสุขภาพแห่งชาติเรียกเก็บค่าบริการจากผู้ป่วยเพิ่มเติม และหากพบให้ดําเนินการทางกฎหมายทันที[11]
อ้างอิง
[แก้]- ↑ "เส้นทางสู่หลักประกันสุขภาพถ้วนหน้า". คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2019-10-17. สืบค้นเมื่อ 2019-10-17.
จุดเริ่มต้นมาจากนายแพทย์สงวน นิตยารัมภ์พงศ์ประธานชมรมแพทย์ชนบทรุ่นที่ 8 จากการเสนอแนวคิดหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้าแก่พรรคการเมืองหลายพรรค ในช่วงเลือกตั้ง พรรคไทยรักไทย เห็นถึงความเป็นไปได้ จึงนำมาเป็นนโยบายในการหาเสียง และได้นำมาใช้เมื่อพรรคได้รับเลือกให้จัดตั้งรัฐบาลภายใต้การนำของ ทักษิณ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ในขณะนั้นได้ประกาศนโยบายหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้าแก่ประชาชน ในชื่อ โครงการ “30 บาท รักษาทุกโรค” ในเดือนกุมภาพันธ์ พ.ศ. 2544 และถือเป็นภารกิจสำคัญยิ่งของรัฐบาล
- ↑ https://www.ratchakitcha.soc.go.th/DATA/PDF/2540/A/055/1.PDF
- 1 2 3 ย้อนรอย “หลักประกันสุขภาพถ้วนหน้า” พลิกโฉมระบบสุขภาพไทย hfocus
- 1 2 ตันมันทอง, สุนทร. "โครงการหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้า 30 บาทรักษาทุกโรค พ.ศ. 2545 – 2552" (PDF). คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิม (PDF)เมื่อ 2019-10-17. สืบค้นเมื่อ 2019-10-17.
- ↑ "พระราชบัญญัติหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ พ.ศ. ๒๕๔๕". สำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ. สืบค้นเมื่อ 2016-07-20.
- ↑ "ลักษณะ ย้อนแย้ง 30 บาท ′รักษาทุกโรค′ อารมณ์ หงุดหงิด". matichon.co.th. มติชน. 29 ธันวาคม 2015. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2015-12-31. สืบค้นเมื่อ 20 มกราคม 2017.
- ↑ "ปรากฏการณ์ "รัฐบาลพรรคเดียว" ไทยรักไทย ทำไมชนะถล่มทลาย14 ปีก่อน". www.thairath.co.th. 2019-03-14.
- ↑ "นายกฯ เซ็นตั้งบอร์ดพัฒนาระบบสุขภาพแห่งชาติ ดึง "อุ๊งอิ๊ง" นั่งรองประธาน". ผู้จัดการออนไลน์. 8 ตุลาคม 2023. สืบค้นเมื่อ 7 มกราคม 2024.
{{cite news}}: CS1 maint: url-status (ลิงก์) - ↑ "นายกฯ เศรษฐา ลงพื้นที่ร้อยเอ็ด พร้อมคิกออฟ "30 บาทรักษาทุกที่"". โพสต์ทูเดย์. 7 มกราคม 2024. สืบค้นเมื่อ 7 มกราคม 2024.
{{cite news}}: CS1 maint: url-status (ลิงก์) - ↑ "คิกออฟ ยกระดับ "30 บาทรักษาทุกที่" ด้วยบัตรประชาชนใบเดียว 8 จังหวัด". ไทยรัฐ. 30 มีนาคม 2024. สืบค้นเมื่อ 30 มีนาคม 2024.
{{cite news}}: CS1 maint: url-status (ลิงก์) - ↑ "บอร์ดสปสช.เคาะ 'ฟอกไตฟรีทุกแห่ง' ห้าม! หน่วยฟอกเลือดในระบบฯเก็บเงินผู้ป่วย". bangkokbiznews. 2025-10-06. สืบค้นเมื่อ 2025-10-06.