ข้ามไปเนื้อหา

คณะภคินีพระหฤทัยของพระเยซูเจ้าแห่งกรุงเทพฯ

จากวิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี
คณะภคินีพระหฤทัยของพระเยซูเจ้าแห่งกรุงเทพฯ
Sisters of Sacred Heart of Jesus of Bangkok
Sœurs du Sacré-Cœur de Jésus de Bangkok
ชื่อย่อS.H.B.
คําขวัญข้าพเจ้าทำได้ทุกสิ่งอาศัยพระองค์ (ฟีลิปปี 4:13)
ก่อตั้งค.ศ. 1871
ผู้ก่อตั้งคุณพ่ออาลอยส์ อันฟองส์ ดอนต์
ประเภทคณะนักบวชคาทอลิก[1]
สํานักงานใหญ่กรุงเทพมหานคร ประเทศไทย
คุณแม่อันนา อรัญญา กิจบุญชู
เว็บไซต์http://www.shb.or.th/

คณะภคินีพระหฤทัยของพระเยซูเจ้าแห่งกรุงเทพฯ (อังกฤษ: Sisters of Sacred Heart of Jesus of Bangkok; ฝรั่งเศส: Sœurs du Sacré-Cœur de Jésus de Bangkok) เป็นคณะนักบวชหญิงโรมันคาทอลิกพื้นเมืองของประเทศไทยที่อยู่ภายใต้สิทธิอำนาจของประมุขแห่งอัครสังฆมณฑลกรุงเทพฯ โดยมีรากมาจากคณะรักกางเขน

ประวัติ

[แก้]

ในปีค.ศ. 1834 ได้มีคริสตศาสนิกชนชาวเวียดนาม หรือ คริสตังค์ญวน กว่า 1,350 คนอพยพลี้ภัยจากการเบียดเบียนคริสต์ศาสนิกชนของจักรพรรดิมิญ หมั่งในประเทศเวียดนามมายังสยามเพื่อมาพึ่งพระบรมโพธิสมภารในพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว ในครั้งนี้ พระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว โปรดเกล้าฯให้คริสตังค์ญวนจำนวนประมาณ 1,350 คน นั้น ตั้งบ้านเรือนอยู่ในบริเวณวัดส้มเกลี้ยง เหนือบ้านเขมรซึ่งมีคริสตังค์จำนวนหนึ่งอาศัยอยู่ก่อนแล้ว ทรงใช้เงินส่วนพระองค์ซื่อที่ดินสวนแปลงใหญ่ใกล้เคียงกัน พระราชทานให้อาศัยอยู่ โปรดเกล้าให้สร้างโรงใหญ่เพื่อเป็นที่พักอาศัย พร้อมทั้งพระราชทานเครื่องอุปโภคให้อีกเป็นจำนวนมาก ทรงพระราชทานทรัพย์ส่วนพระองค์สร้างโบสถ์หลังแรก ซึ่งเป็นโบสถ์ชั่วคราวทำด้วยไม้ไผ่ ใช้ชื่อว่า วัดแซงต์ฟร็องซัวส์ซาเวียร์ (ฝรั่งเศส: Église Saint-François-Xavier; ปัจจุบันถูกเรียกว่า วัดนักบุญฟรังซิสเซเวียร์ สามเสน) ชุมชนนี้จึงถูกเรียกว่า บ้านญวณแซงต์ฟร็องซัวส์ซาเวียร์ และในกลุ่มชาวเวียดนามอพยพเหล่านี้ ได้มีภคินีคณะรักกางเขนจากโคชินไชนารวมอยู่ด้วย เมื่อเห็นว่ามีวัดเป็นที่เรียบร้อยแล้ว บรรดาภคินีเหล่านั้นได้ขอร้องคุณพ่อเจ้าวัดให้รับตนกลับมาเป็นภคินีผู้ปฏิบัติวินัยดังเดิม พระสังฆราชยัง ปอล ฮิแลร์ มิแชล กูรเวอซี (ฝรั่งเศส: Mgr. Jean-Paul-Hilaire-Michel Courvezy) เห็นสมควร จึงได้สร้างอารามแซงต์ฟร็องซัวส์ซาเวียร์ขึ้น รับภคินีได้ 15 คน ให้ถือวินัยอย่างเดียวกับที่เคยใช้ในโคชินไชนา คณะภคินีเหล่านี้เป็นกำลังในการสอนนักเรียนหญิงดังได้กล่าวข้างต้น และยังได้ทำหน้าที่รับเลี้ยงเด็กหญิงกำพร้าด้วย

ในปีค.ศ. 1851 คุณพ่อโกลเดต์ เจ้าอาวาสวัดแซงต์ฟร็องซัวส์ซาเวียร์ สามเสนในขณะนั้น ได้สนใจอารามภคีนี ซึ่งพระสังฆราชกูรเวอรซี่สร้างขึ้นและมีภคินีอยู่แล้ว 15 รูป คุณพ่อใคร่จะขยายอารามและเพิ่มจำนวนภคินีขึ้น จึงเริ่มรับสมัครหญิงสาว ซึ่งทำหน้าที่ช่วยสอน คำสอนอยู่แล้ว ให้เข้ารับการอบรมเพิ่มขึ้น แล้วจัดให้ได้เข้าพิธีสวมเสื้อภคินีกระทำ คือให้สวมเสื้อคำยาว กางเกงดำ มีรูปไม้กางเขนแขวนห้อยที่หน้าอก ภายนอกมองดูคล้ายภคินี แต่ความจริง ยังมิได้เป็นภคินีแท้ ถือระเบียบวินัยน้อยกว่า นับเป็นหญิงสาวถวายตัวเพื่อทำงานวัดทำหน้าที่เป็นครูสอน คำสอนและสอนวิชาอื่น ๆ ให้เด็กหญิง พวกเขาอยากถวายตัวเป็นภคีนี แต่อารามยังไม่พร้อมกระนั้นก็ดี

อารามแห่งพระหฤทัยของพระมหาเยซูคริสโตหรืออารามเก่าที่สามเสน (ปัจจุบันเป็นที่ตั้งของโรงเรียนเซนต์ฟรังซีสซาเวียร์คอนแวนต์)

ในปีค.ศ. 1871 คุณพ่ออาลอยส์ อันฟองส์ ดอนต์ (ฝรั่งเศส: R.P. Aloïse Alphonse D'Hont) หรือที่รู้จักกันในนามของ คุณพ่อปีโอ พระสงฆ์คณะมิสซังต่างประเทศแห่งกรุงปารีส เชื้อชาติเบลเยี่ยม ได้รับแต่งตั้งให้เป็นเจ้าอาวาสวัดแซงต์ฟร็องซัวส์ซาเวียร์ สามเสน และยังได้รับหน้าที่พระอุปสังฆราชควบคู่ไปด้วย คุณพ่อได้เห็นปัญหาต่าง ๆ ของมิสซังที่มีจำนวนมิชชันรีหรือพระสงฆ์น้อย บางวัดไม่มีพระสงฆ์ประจำอยู่และบรรดามิชชันรีต่างก็ล้มป่วยด้วยโรคที่เกี่ยวกับสภาพอากาศ คุณพ่อจึงเกิดความคิดที่จะนำเหล่าภคินีมาเป็นผู้ช่วยพระสงฆ์ในงานแพร่ธรรม สอนศาสนา สอนหนังสือ ดูแลเด็กกำพร้า ช่วยด้านพิธีกรรมของวัดและดูแลอาหารสำหรับมิชชันนารีที่ออกไปแพร่ธรรม โดยยึดถือจิตตารมณ์แรกเริ่มที่สืบทอดมาจากพระสังฆราชลัมแบร์ต เดอ ลาม๊อต ผู้สถาปนาคณะรักกางเขน ต่อมาในปีค.ศ. 1897 คุณพ่อได้ทำการปรับปรุงอารามแซงต์ฟร็องซัวส์ซาเวียร์ขึ้นใหม่ แทนหลังเก่าซึ่งทรุดโทรมมาก ในปีถัดมา ได้รับผู้สมัครเข้าอบรมเป็นภคินีแท้ได้ 12 คน คือได้จากอารามเดิม 6 คน อีก 6 คนเป็นผู้สมัครใหม่ คุณพ่อดอนต์เอาใจใส่ให้การอบรมเองอย่างดีที่สุด โดยคุณพ่อได้เริ่มเปิดนวกสถานและอบรมเหล่าบรรดาภคินีด้วยตนเอง คุณพ่อได้ปราถนาที่จะถวายกิจการนี้เพื่อเป็นเกียรติแด่พระหฤทัยของพระเยซู ซึ่งคุณพ่อรักและศรัทธาเป็นพิเศษ และบรรดาภคินีเหล่านี้ได้ถูกเรียกอย่างลำลองว่า ภคินีสามเสน[2]

ในเดือนเมษายน ค.ศ. 1898 ฯพณฯ พระสังฆราชชอง หลุยส์ เวย์ (ฝรั่งเศส: Mgr. Louis VEY) ผู้แทนพระสันตะปาปาประจำราชอาณาจักรสยามในเวลานั้นได้ทำหนังสือตกลงร่วมกันกับแมร์กังดีด (ฝรั่งเศส: Mère Candide) เจ้าคณะภาคตะวันออกไกล คณะภคินีเซนต์ปอล เดอ ชาร์ตร ซึ่งประจำอยู่ที่ไซ่ง่อนในการส่งภคินี 7 คนจากไซง่อนมาดำเนินการในโรงพยาบาลเซนต์หลุยส์[3] ทั้งนี้ คุณพ่อปีโอได้ประทับใจในการทำงานของบรรดาภคินีเหล่านี้มาก คุณพ่อจึงส่งหนังสือไปถึงแมร์กังดีดที่ไซ่ง่อนให้ส่งภคินีมาเป็นผู้ให้การอบรมเหล่าแก่เหล่าภคินีสามเสน โดยความเห็นชอบของพระสังฆราชชอง หลุยส์ เวย์

เซอร์เซราฟิน เดอ มารีและคณะเซอร์เซนต์ปอลฯ พร้อมกับซิสเตอร์พระหฤทัยในยุคแรก ๆ

ในปี ค.ศ. 1900 คณะภคินีเซนต์ปอล เดอ ชาร์ตร ได้ส่งภคินี 2 คนจากไซ่ง่อนคือ เซอร์ฮังเรียต และ เซอร์ยุสติน มาประจำอยู่ที่อารามสามเสนเพื่อให้การอบรมทางด้านชีวิตนักบวชแก่บรรดาภคินีพื้นเมือง ต่อมา คณะเซนต์ปอล เดอ ชาร์ตร ได้ย้าย เซอร์ เซราฟิน เดอ มารี ลูเตนบาคเคอร์, SPC (ฝรั่งเศส: Sr. Séraphine de Marie LUTTENBACHER, SPC) ซึ่งประจำอยู่ที่โรงพยาบาลเซนต์หลุยส์ตั้งแต่เริ่มก่อตั้ง มาแทนเซอร์ยูสติน และแต่งตั้งเซอร์เซราฟิน เดอ มารี เป็นอธิการิณีของอารามสามเสนแทนเซอร์ฮังเรียตในปีค.ศ. 1903 โดยเซอร์เซราฟิน เดอ มารี เป็นผู้วางรากฐานด้านชีวิตนักบวชและชีวิตจิต[4][5]

ต่อมาในปีค.ศ. 1924 ฯพณฯ พระสังฆราชเรอเน แปร์รอสได้ยกฐานะของคณะภินีแห่งอารามสามเสนจากการที่จำกัดตนเองอยู่กับวัดแซงต์ฟร็องซัวส์ซาเวียร์ สามเสนให้เป็นคณะนักบวชที่ขึ้นตรงกับมิสซังเพื่อประโยชน์ของพระศาสนจักรและได้แต่งตั้งเซอร์ เซราฟิน เดอ มารี ลูเตนบาคเคอร์เป็นมหาธิการิณีคนแรก และให้คุณพ่อแปรูดง ซึ่งเป็นคุณพ่อปลัดในขณะนั้น เป็นพระสงฆ์วิญญาณารักษณ์องค์แรกของคณะ

ในปีค.ศ. 1930 พระคุณเจ้าโคลัมบัน มารีย์ เดรเยร์ (ฝรั่งเศส: Mgr. Colomban Marie Dreyer O.F.M.) ผู้แทนพระสันตะปาปาประจำอินโดจีนของฝรั่งเศสได้มาเยี่ยมและตรวจการมิสซังสยามและได้มาตรวจการ ณ อารามสามเสน ท่านได้ทำเอกสารเกี่ยวกับการดำเนินงานของอารามพระหฤทัยที่สามเสนนี้ ยื่นต่อพระคุณเจ้าแปร์รอส ฉบับที่หนึ่งลงวันที่ 6 มีนาคม 1930 ซึ่งทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงการปกครองที่ชัดเจนขึ้น กล่าวคือ ให้พระสังฆราชจัดการอย่างเร่งด่วนเพื่อให้คณะรักกางเขนที่สามเสนได้ขึ้นต่อมิสซังโดยตรงและย้ายออกจากบริเวณวัดสามเสน คณะจะได้ขยายออกไปและเป็นประโยชน์มากขึ้นต่อพระศาสนจักรโดยส่วนรวม[6]

อารามพระหฤทัยฯ คลองเตย (ศูนย์กลางของคณะในปัจจุบัน)

ในปีค.ศ. 1931 คณะได้ย้ายสำนักศูนย์กลางมาที่คลองเตย โดยขายอารามเก่าที่สามเสนให้กับคณะภคินีเซนต์ปอล เดอ ชาร์ตร ซึ่งในปัจจุบันเป็นที่ตั้งของโรงเรียนเซนต์ฟรังซีสซาเวียร์คอนแวนต์[7]

ในวันที่ 25 สิงหาคม ค.ศ. 1957 พระสังฆราชหลุยส์ โชแรง ได้ประกาศรับรองคณะเป็นทางการในนามของพระศาสนจักรโดยมอบนามแก่คณะว่า “คณะภคินีพระหฤทัยแห่งกรุงเทพฯ” และมอบพระวินัยแก่ภคินี เพื่อเป็นหลักปฏิบัติในการดำเนินชีวิตนักบวชของคณะนี้ตลอดไป นับเป็นการเปิดศักราชใหม่แห่งการเป็นคณะนักบวชที่สมบูรณ์ของพระศาสนจักรคณะได้รับการรับรองอย่างเป็นทางการจากพระศาสนจักร และได้ชื่อว่า “คณะภคินีพระหฤทัยแห่งกรุงเทพฯ”

(ภายหลังปี ค.ศ.1990 เปลี่ยนให้สมบูรณ์เป็น "คณะภคินีพระหฤทัยของพระเยซูเจ้าแห่งกรุงเทพฯ") ปัจจุบันคณะพระหฤทัยฯได้ก่อตั้งมาเป็นเวลากว่าหนึ่งศตวรรษ เพื่อรักและรับใช้พระเจ้าในพระศาสนจักรท้องถิ่นในประเทศไทย ปัจจุบันคณะรับใช้พระศาสนจักรท้องถิ่นในประเทศไทยใน 5 สังฆมณฑล คือ อัครสังฆมณฑลกรุงเทพฯ สังฆมณฑลราชบุรี สังฆมณฑลนครสวรรค์ สังฆมณฑลเชียงใหม่ และสังฆมณฑลเชียงราย นอกจากนั้น ยังคงทำงานในสังฆมณฑลพนมเปญ ประเทศกัมพูชา อีก 1 แห่งด้วยการร่วมมือกับพระสงฆ์ในงานแพร่ธรรมและการอภิบาลของวัดด้วยจิตตารมณ์พระหฤทัยฯ[8]

ภารกิจของคณะ

[แก้]

ภารกิจของคณะ คือ การรับใช้ประชากรของพระเจ้า โดยภคินีเป็นผู้ช่วยพระสงฆ์ในงานแพร่ธรรมด้านต่าง ๆ ของวัดเป็นต้น ด้านการสอนคำสอน ด้านการศึกษา ด้านสังคมพัฒนา ด้านแม่บ้าน ด้านอภิบาลและประกาศข่าวดี นอกนั้น คณะยังทำงานด้านการสงเคราะห์ผู้ยากจนและงานอื่นๆ ที่เห็นว่าเป็นประโยชน์ต่อพระศาสนจักร (ธ.ว. 6)

เมื่อผู้ใหญ่ของคณะส่งภคินีไปทำงานในที่ใดให้ถือว่าเป็นพระศาสนจักร ส่งตนไปร่วมในภารกิจเพื่อช่วยมนุษย์ให้รอด ภคินีควรไปในทุกสถานที่ที่ผู้ใหญ่เห็นเหมาะสมและพร้อมที่จะทำงานทุกอย่างด้วยความขยันขันแข็งและรับผิดชอบเพื่อเผยแผ่พระอาณาจักรของพระเจ้า” (ธ.ว. 96)[9]

คณะได้แบ่งภารกิจของภคินีออกเป็น 4 ด้าน ได้แก่

ภารกิจด้านแม่บ้าน

[แก้]

ภคินีที่ทำงานด้านแม่บ้านทำหน้าที่ด้วยความรักและรับผิดชอบ โดยถือว่าการทำงานนั้นเป็นส่วนหนึ่งของการแพร่ธรรม ดังนั้น ภคินีควรถือตามแบบอย่างของแม่พระและนักบุญโยเซฟที่นาซาเรธ โดยยินดีทำงานต่างๆ แม้เล็กน้อยด้วยความเอาใจใส่ เพราะความรักต่อพระคริสตเจ้าเหนือสิ่งอื่นใด (ธ.ว. 105)

ภารกิจด้านการศึกษา

[แก้]
ทางเข้าโรงเรียนพระหฤทัยคอนแวนต์และอารามพระหฤทัยฯ ในยุคแรก

คณะเริ่มต้นภารกิจด้านการศึกษาจากการเป็นครูสอนหนังสือที่โรงเรียนนักบุญเทเรซา สามเสน (ปัจจุบันคือโรงเรียนโยนออฟอาร์ค) และหลังจากที่คณะได้ย้ายบ้านศูนย์กลางไปอยู่ที่คลองเตย คุณแม่เซราฟิน เดอ มารีได้ก่อตั้งโรงเรียนพระหฤทัยคอนแวนต์[5] โดยใช้อารามเป็นห้องเรียน ถือว่าเป็นสถานศึกษาของคณะแห่งแรก

ปัจจุบัน คณะได้ทำงานด้านการศึกษาในโรงเรียนของคณะ 5 แห่ง ได้แก่ โรงเรียนพระหฤทัยคอนแวนต์ โรงเรียนพระหฤทัยดอนเมือง โรงเรียนพระหฤทัยนนทบุรี โรงเรียนพระหฤทัยพัฒเวศม์ และโรงเรียนพระหฤทัยสวรรคโลก ตามเป้าหมายของการศึกษาคาทอลิก นอกจากนั้น คณะยังได้ร่วมบริหารโรงเรียนของสังฆมณฑลต่าง ๆ กว่า 26 โรงเรียน

ภารกิจด้านการสังคมพัฒนา

[แก้]

คณะมีส่วนงานในการช่วยเหลือสังคม ทั้งในส่วนของความร่วมมือกับพระศาสนจักรท้องถิ่น และกิจกรรมที่อยู่ในความรับผิดชอบของคณะ ในด้านการพัฒนาคุณภาพชีวิต ศักดิ์ศรี และสิทธิมนุษยชนไม่ว่าจะเป็นคนยากจน คนชรา เด็กกำพร้า หรือผู้ด้อยโอกาสต่าง ๆ[10] รวมทั้งบรรดาเยาวชน กลุ่มชาติพันธุ์ หรือเด็กพิเศษ เน้นการเสริมโอกาสและพัฒนาศักยภาพ ทั้งนี้ เพื่อให้บุคคลเหล่านั้น “ได้มีชีวิต และมีชีวิตอย่างสมบูรณ์” (ยน.10:10)

อนึ่ง ในการดำเนินกิจการดังกล่าว ให้พยายามใช้หรือพัฒนาทรัพยากร และโอกาสที่มีอยู่แล้ว เช่น ที่บ้านสวนพระหฤทัยลำปาง บ้านพระหฤทัยสวรรคโลก มูลนิธิประสานใจ มูลนิธิพระหฤทัยอุปถัมภ์ ให้ตอบสนองความต้องการเหล่านี้อย่างเต็มศักยภาพ

ภารกิจด้านงานอภิบาลและประกาศข่าวดี

[แก้]
  1. โครงการจัดอบรมคุณธรรม – จริยธรรมสำหรับเด็กนักเรียนโรงเรียนในเครือคณะ
  2. โครงการสอนคำสอนเด็กวันอาทิตย์
  3. โครงการคำสอนนอกโรงเรียน (สำหรับผู้ที่สนใจทั่วไป)
  4. โครงการค่ายคุณธรรม – คำสอน
  5. โครงการพัฒนาบุคลากรด้านอภิบาลและประกาศข่าวดี
  6. โครงการสำรวจ – เยี่ยมเยียนสัตบุรุษในเขตวัดอาราม
  7. โครงการสำรวจ – เยี่ยมเยียนสัตบุรุษในเขตวัดอาราม
  8. โครงการส่งเสริมจิตตารมณ์ยุวธรรมทูตในโรงเรียน

จิตตารมณ์ของคณะ

[แก้]

จิตตารมณ์ของคณะคือจิตตารมณ์ของพระหฤทัยของพระเยซูเจ้า ภคินียึดเอาดวงพระหฤทัยของพระองค์เป็นแหล่งพลังและแบบอย่างในการดำเนินชีวิต โดยเฉพาะอย่างยิ่งในด้านความรัก ความสุภาพ และใจน้อมน้อม พร้อมที่จะยอมรับทุกสิ่งเป็นพลีบูชาเพื่อความรอดของมนุษย์ (ธว.5)

พระพรพิเศษของคณะ เป็นพระพรแห่งการรับใช้ประชากรของพระเจ้าโดยภคินีเป็นผู้ช่วยพระสงฆ์ในการแพร่ธรรมต่าง ๆ ของวัดและงานอื่น ๆ ของสังฆมณฑลด้วยจิตตารมณ์ของพระหฤทัยของพระเยซูเจ้า ตามพระพรที่ได้รับสืบทอดมาจากคุณพ่ออาลอยส์ อันฟองส์ ดอนต์ ผู้ก่อตั้งคณะ[11]

มหาธิการิณี

[แก้]

คณะภคินีพระหฤทัยของพระเยซูเจ้าแห่งกรุงเทพฯ มี มหาธิการิณี[12] เป็นผู้ปกครองคณะสูงสุด โดยจะมีการการเลือกตั้งมหาธิการิณีในทุก ๆ วาระ มีรายนามดังนี้

ลำดับ รายนาม ปีที่ดำรงตำแหน่ง (ค.ศ.) หมายเหตุ
1.คุณแม่เซราฟิน เดอ มารี ลูเตนบาคเคอร์, SPC
(Mère Séraphine de Marie LUTTENBACHER, SPC;
ชื่อเดิม: Eugénie LUTTENBACHER)
สมัยที่ 1 : ปี 1924 - 1942
สมัยที่ 2: ปี 1948 - 1951
ชาวฝรั่งเศสจากแคว้นอาลซัส
ภคินีของคณะเซนต์ปอล เดอ ชาร์ตร
ได้รับการแต่งตั้งเป็นมหาธิการิณีโดยพระสังฆราชเรอเน แปร์รอส[13][14][15]
2.คุณแม่เอลีซาแบ็ธ ธานี บุญคั้นผลสมัยที่ 1 : ปี 1942 - 1945
สมัยที่ 2: ปี 1951 - 1953
มหาธิการิณีคนไทยคนแรกของคณะ
สัตบุรุษวัดพระผู้ไถ่ อ.องครักษ์ จ.นครนายก
3.คุณแม่แบร์นาแด็ต ดารี บุญคั้นผลสมัยที่ 1 : ปี 1954 - 1957
สมัยที่ 2: ปี 1957 - 1963
สมัยที่ 3: ปี 1963 - 1969
สัตบุรุษวัดพระผู้ไถ่ อ.องครักษ์ จ.นครนายก
4.คุณแม่ซีดอนี วราภรณ์ บรรจงปี 1968 - 1973สัตบุรุษวัดพระหฤทัย วัดเพลง อ.ปากท่อ จ.ราชบุรี
5.คุณแม่กัลลิสต์ ธีรา มากสกุลสมัยที่ 1 : ปี 1973 - 1979
สมัยที่ 2: ปี 1979 - 1985
สมัยที่ 3: ปี 1990 - 1995
สัตบุรุษวัดพระคริสตหฤทัย วัดเพลง จ.ราชบุรี
6.คุณแม่มารีอา สมพิศ กตัญญูปี 1985 - 1990สัตบุรุษวัดเซนต์นิโกลาส จ.พิษณุโลก
7.คุณแม่มารีอา เชลียง เวชยันต์สมัยที่ 1 : ปี 1995 - 2000
สมัยที่ 2: ปี 2006 - 2010
สมัยที่ 3: ปี 2011 - 2015
สัตบุรุษวัดนักบุญเทเรซา หน้าโคก จ.พระนครศรีอยุธยา
8.คุณแม่อังเยลา เมริชี พรรณี ภู่เรือนหงษ์ปี 2001 - 2005
7.คุณแม่อันนา อรัญญา กิจบุญชูสมัยที่ 1 : ปี 2016 - 2020
สมัยที่ 2: ปี 2021 - ปัจจุบัน
สัตบุรุษวัดนักบุญเปโตร อ.สามพราน จ.นครปฐม

อ้างอิง

[แก้]
  1. "องค์กรคาทอลิก". THAI CATHOLIC HUB.
  2. "วัดนักบุญฟรังซิสเซเวียร์ (วัดสามเสน)". หอจดหมายเหตุ อัครสังฆมณฑลกรุงเทพฯ.
  3. "ก้าวแรก พันธกิจด้านการพยาบาล ณ ดินแดนสยาม". คณะภคินีเซนต์ปอล เดอ ชาร์ตร.
  4. "ก้าวที่สอง...หน้าที่ของพี่เลี้ยง". คณะภคินีเซนต์ปอล เดอ ชาร์ตร.
  5. 1 2 ZIPPER, Jean-Marie (August 31, 2016). "90 religieuses de Bangkok pour sœur Séraphine". Les Dernières Nouvelles d'Alsace.
  6. "ประวัติคณะภคินีพระหฤทัยของพระเยซูเจ้าแห่งกรุงเทพฯ". คณะภคินีพระหฤทัยของพระเยซูเจ้าแห่งกรุงเทพฯ.
  7. "ประวัติโรงเรียนเซนต์ฟรังซีสซาเวียร์คอนแวนต์". โรงเรียนเซนต์ฟรังซีสซาเวียร์คอนแวนต์.
  8. "Congragation of the Sisters of the Sacred Heart of Jesus of Bangkok". คณะภคินีพระหฤทัยของพระเยซูเจ้าแห่งกรุงเทพฯ.
  9. "ภารกิจของคณะภคินีพระหฤทัยของพระเยซูเจ้าแห่งกรุงเทพฯ". คณะภคินีพระหฤทัยของพระเยซูเจ้าแห่งกรุงเทพฯ.
  10. "Des sœurs thaïlandaises lancent un projet alimentaire dans le plus grand bidonville de Bangkok". Les Missions étrangères de Paris. September 23, 2022.
  11. "จิตตารมณ์และพระพรพิเศษ คณะภคินีพระหฤทัยของพระเยซูเจ้าแห่งกรุงเทพฯ". คณะภคินีพระหฤทัยของพระเยซูเจ้าแห่งกรุงเทพฯ.
  12. "มหาธิการิณี". คณะภคินีพระหฤทัยของพระเยซูเจ้าแห่งกรุงเทพฯ.
  13. JOB, Emmanuel (August 26, 2020). "Sœur Séraphine de Marie : le destin exceptionnel d'une enfant de la vallée de la Thur". Les Dernières Nouvelles d'Alsace.
  14. EDEL, Philippe. "Ces Alsaciens qui firent le monde: Eugénie Luttenbacher (1873-1952), supérieure du Sacré-Cœur de Bangkok (Thaïlande)" (PDF). L’Alsace dans le Monde, n°51 – Eté 2016, 10. สืบค้นเมื่อ June 30, 2016.
  15. ซีมอนา สมศรี บุญอรุณรักษา. "ย้อนอดีตรำลึกคุณ ธรรมทูตหญิงห้าแผ่นดินสยามจากแคว้นอัลซาส". คณะภคินีพระหฤทัยของพระเยซูเจ้าแห่งกรุงเทพฯ.