ข้ามไปเนื้อหา

พระยาพิพิธเสนามาตย์ (นิโวะ อับดุลละบุตร)

จากวิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี
พระยาพิพิธเสนามาตย์
(นิโวะ อับดุลละบุตร)
พระยาเมืองยะหริ่ง
ก่อนหน้าพระยาพิบูลเสนานุกิจ (นิเมาะ)
ถึงแก่อนิจกรรม5 ธันวาคม พ.ศ. 2484
อำเภอยะหริ่ง จังหวัดปัตตานี ประเทศไทย
ภรรยา6 คน[1]
บุตร-ธิดา7 คน[1]
พระบิดาพระยาพิบูลเสนานุกิจ (นิเมาะ)
พระมารดานิมายอ
ศาสนาอิสลาม

อำมาตย์เอก พระยาพิพิธเสนามาตยาธิบดีศรีสงคราม นามเดิม นิโวะ อับดุลละบุตร (ถึงแก่อนิจกรรม 5 ธันวาคม พ.ศ. 2484) เป็นพระยาเมืองยะหริ่งคนสุดท้ายก่อนการปฏิรูปมณฑลเทศาภิบาล[2][3] และเคยดำรงตำแหน่งเป็นผู้ว่าราชการจังหวัดสายบุรี[4] ท่านได้รับพระราชทานนามสกุล "อับดุลละบุตร" (ปัจจุบันนิยมสะกดว่า อับดุลบุตร) จากพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว[5]

ปัจจุบันลูกหลานของพระยาพิพิธเสนามาตย์คือตระกูลอับดุลบุตรและพิพิธภักดียังคงมีบทบาทด้านการเมืองการปกครองของจังหวัดปัตตานีสืบมาจนถึงปัจจุบัน[6]

ประวัติ

[แก้]

พื้นฐานครอบครัว

[แก้]

พระยาพิพิธเสนามาตย์ มีชื่อตัวว่า นิโวะ บางแห่งว่า หนิโหวะ,[7] นิโอ๊ะ[5] หรือ นิโซะ[8] เป็นบุตรคนที่สองจากทั้งหมดสิบสี่คน[9] ของพระยาพิบูลเสนานุกิจ (นิเมาะ) กับมารดาชื่อนิมายอ[1][4]

บุรพชนของท่านคือ นิยูโซฟ หรือตนกูยูโซะ มีพื้นเพเป็นชาวกรือเซะ[10] เคยดำรงตำแหน่งเป็นเจ้าเมืองตานี ไม่มีหลักฐานว่าทำไมผู้นำท่านนี้จึงได้รับความไว้วางใจจากสยาม และต่อมาได้ย้ายไปดำรงตำแหน่งเป็นเจ้าเมืองยะหริ่งแทนนายพ่ายที่ถึงแก่กรรม นิยูโซฟมีบุตรคนหนึ่ง คือ ตีมุง (มีชื่อไทยว่า แต่ง[8] หรือ แตง)[11] ได้ติดตามทหารสยามเข้าไปกรุงเทพมหานคร ทหารสยามจึงรับไปเลี้ยงดู สมาทานเป็นไทยด้วยการบรรพชาเป็นสามเณร และอุปสมบทเป็นพระภิกษุที่พระใบฎีกา ภายหลังท่านสึกออกมารับราชการอยู่ในกรมพระราชวังบวรสถานมงคล ต่อมาพระบาทสมเด็จพระปิ่นเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงสืบทราบว่าตีมุงมีเชื้อสายพระยาเมืองตานี ทางส่วนกลางจึงแต่งตั้งให้ตีมุง (หรือ แต่ง) รับสัญญาบัตรเป็นพระยายะหริ่งแทนสุลต่านเดวา[12] ซึ่งท่านได้เปลี่ยนกลับไปนับถือศาสนาอิสลามตามเดิม[13] ตั้งแต่นั้นเป็นต้นมาพระยายะหริ่ง (แต่ง) ได้จัดระเบียบการปกครองเมืองยะหริ่งให้เป็นแบบไทย เช่น คดีถ้อยความที่ต้องตัดสินหรือปรับไหมไม่อิงตามพระคัมภีร์อัลกุรอาน แต่ให้ใช้พระราชกำหนดกฎหมายไทยแทน[3] หลังพระยายะหริ่ง (แต่ง) พิราลัยไป พระยาพิบูลเสนานุกิจ (นิเมาะ) น้องชาย ได้ดำรงตำแหน่งพระยาเมืองยะหริ่งสืบต่อมา[3][14]

ด้วยเหตุนี้เมืองยะหริ่งมีความภักดีต่อฝ่ายสยามและมีความเป็นไทยมากกว่าหัวเมืองแขกอื่น ๆ[15] บางแห่งก็ระบุว่าเพราะมีเจ้าเมืองเป็นคนไทย[16] ซึ่งหัวเมืองอื่นมักชี้ชวนให้พระยายะหริ่งร่วมก่อกบฏ แต่ถูกพระยายะหริ่งปฏิเสธทุกครั้งไป เป็นเหตุทำให้พระยาหัวเมืองแขกอื่น ๆ พากันโกรธ และไม่ส่งลูกหลานพระยาเมืองไปมาหาสู่ซึ่งกันและกันกับเมืองยะหริ่ง[15]

พระยาโยธานุประดิษฐ

[แก้]

หลังพระยายะหริ่ง (แต่ง) ถึงแก่กรรมลง พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว โปรดเกล้าฯ ให้นิเมาะ น้องชายพระยายะหริ่ง เป็น พระยาพิพิธเสนามาตยาธิบดี ศรีสุรสงคราม ว่าราชการเมืองยะหริ่ง และตั้งนิโวะบุตรชายให้ดำรงตำแหน่งเป็น พระโยธานุประดิษฐ เป็นผู้ช่วยเจ้าเมืองยะหริ่ง[7] เมื่อช่วง พ.ศ. 2411[8]

พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว เสด็จประพาสหัวเมืองปักษ์ใต้สองครั้งใน พ.ศ. 2431 และ พ.ศ. 2432 ทรงบันทึกเรื่องราวของหัวเมืองแขกในสมัยนั้นไว้ พร้อมปรากฏพระยายะหริ่งและพระยาโยธานุประดิษฐออกมารับเสด็จที่เมืองปัตตานี ความว่า "...วันจันทร์เดือน ๑๐ ขึ้น ๕ ค่ำ เวลาเช้า ๔ โมง ทอดสมอหน้าเมืองปัตตานี พระยาตานีถึงแก่อนิจกรรมเสียแล้ว ยังไม่มีตัวพระศรีบุรีรัฐพินิจผู้ว่าราชการแทน ๑ พระพิพิธภักดี เมืองยิริง ๑ พระยายิริง ๑ พระโยธานุประดิษฐ์ ๑ ได้ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ พระราชทานตราภัทราผู้ช่วยทั้ง ๔ คน คนละดวง..."[17]

ในช่วงเวลาที่พระยาพิบูลเสนานุกิจ บิดาของท่าน ปกครองเมืองยะหริ่ง ได้ตกเป็นที่วิพากษ์วิจารณ์ว่าปกครองเมืองยะหริ่งตามอำเภอใจ กระทั่ง พ.ศ. 2445 มีเครือญาติและราษฎรเดือดร้อนพากันยื่นคำร้องไปยังกรมการเมืองสงขลา กรณีแรกคือกรณีของหนิควร หลานพระยายะหริ่ง และบ่าวไพร่ได้ร้องเรียนกล่าวโทษพระยาพิบูลเสนานุกิจและพระยาโยธานุประดิษฐ์ (คือพระยาพิพิธเสนามาตย์) ว่าตั้งแต่ พ.ศ. 2436 ว่า "...[พระยาพิบูลเสนานุกิจ] เข้าปล้นบ้านหนิควร และฆ่าบุตรภรรยาและบ่าวไพร่และเก็บทรัพย์สินไป..."[18] ซึ่งพวกเขายื่นฟ้องต่อศาลแพ่งจำนวนมากว่า 100 คดี ซึ่งเป็นการฟ้องย้อนหลัง และเมื่อคราวที่พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว เสด็จประพาสเมืองยะหริ่งใน พ.ศ. 2432 ก็มีราษฎรยะหริ่ง พร้อมด้วยผู้ช่วยราชการเมืองและบุตรเขยพระยายะหริ่ง ยื่นฎีกากล่าวโทษพระยายะหริ่งว่าถูกพระยายะหริ่งข่มเหงและริบทรัพย์ตามใจชอบอยู่เสมอ หลังจากนั้นกรมการเมืองสงขลาจึงส่งเรื่องนี้ไปยังสมุหพระกลาโหม ระหว่างการสอบสวน พระยาพิบูลเสนานุกิจกลับเพิกเฉย และบิดพลิ้ว ไม่ยอมให้การแก่ศาลอยู่บ่อยครั้ง ทำให้การไต่สวนเกิดความล่าช้า[19] พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว โปรดเกล้าฯ ให้พระวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าสายสนิทวงศ์ ข้าหลวงประจำแหลมมลายูพิจารณาคดีความนี้ โดยทรงกำชับว่า "...ถ้ามีความผิดจริงก็ลงโทษได้ อย่าให้เป็นที่ติเตียนว่าหนักหน่วงไว้ด้วยการกลั่นแกล้งให้เป็นที่หวาดของหัวเมืองแขกทั้งปวง..."[11][19] ด้วยเหตุนี้พระองค์เจ้าสายสนิทวงศ์จึงมอบหมายให้พระอนันตสมบัติ ผู้ช่วยราชการเมืองสงขลา เป็นผู้สอบสวนพระยาพิบูลเสนานุกิจ โดยพระอนันตสมบัติได้รายงานลักษณะและความประพฤติของทั้งพระยาพิบูลเสนานุกิจ และพระยาพิพิธเสนามาตย์ไว้ ความว่า[20]

"...พระยายิริง พระยาโยธานุประดิษฐนี้...เป็นคนไม่รู้ภาษาเสียทีเดียว แลความซึ่งถูกกล่าวหาของราษฎรเป็นอยู่นั้นจริงทุกราย แต่โรคของพระยายิริงที่เกิดติดสันดานอยู่นั้น เห็นด้วยเกล้าว่าคงไม่หาย ถ้าการครั้งนี้เสร็จเรียบร้อยไปได้แล้ว ถึงจะกะโทษไว้อย่างใด พระยายิริงพระยาโยธานุประดิษฐคงไม่ฟัง นานไปคงประพฤติไปอย่างเดิมอีก...และเมื่อข้าพระพุทธเจ้ายกไปถึงเมืองยิริง ผู้ว่าราชการเมืองแขกทั้งปวงแต่งให้คนคอยฟังความอยู่นั้น เพราะพวกหัวเมืองแขกทั้งปวง เข้าใจชัดแน่ว่าพระยายิริง เป็นคนชั่วที่สุดดุร้ายกดขี่ไพร่ยิ่งกว่าเมืองอื่น ๆ ..."

ด้วยเหตุนี้ พระอนันตสมบัติเสนอให้ถอดถอนพระยาพิบูลเสนานุกิจออกจากตำแหน่งเจ้าเมืองยะหริ่ง พระองค์เจ้าสายสนิทวงศ์ทรงรับทราบปัญหาที่เกิดขึ้น และนำความกราบบังคมทูลให้พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงพระกรุณาผ่อนผันให้พระยายะหริ่งอยู่ในตำแหน่งต่อไปเพื่อมิให้เกิดปัญหาตามมา ซึ่งพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวก็ทรงเห็นสมควรว่าให้ผ่อนผันต่อไป[20]

พระยาพิพิธเสนามาตย์ปรากฏอยู่ในพระราชหัตถเลขาของพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวเมื่อ พ.ศ. 2448 ว่าพระยายะหริ่งพร้อมด้วยบุตรชายเข้ารับเสด็จพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวถึงภายในเรือพระที่นั่ง ความว่า "...ด้วยแต่ก่อนได้บอกมาจากตำบลบันนาเระ (คำที่เรียกว่าบันนาแระนั้นผิดไป) แขวงเมืองยหริ่ง ไม่ได้ขึ้นบกเพราะฝนตก พระยายหริ่งและบุตรลงมาหาในเรือ..."[21]

พระยายะหริ่ง

[แก้]
เมืองยะหริ่งเมื่อ พ.ศ. 2432

ภายหลังจากการปฏิรูปการปกครองเป็นมณฑลเทศาภิบาลเมื่อ พ.ศ. 2444 ตรงกับรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว[8] เมืองยะหริ่งมีฐานะเป็นอำเภอยะหริ่งขึ้นกับจังหวัดปัตตานี ตำแหน่งพระยายะหริ่งที่สืบทอดลงมาตามสายตระกูลเป็นอันสิ้นสุดลง[22] ทางส่วนกลางได้ส่งข้าหลวงเทศาภิบาลมาบริหารราชการแทนเจ้าเมือง แต่ในวังยะหริ่งยังคงสืบทอดอำนาจทางการเมืองดังเดิม[23] หลังพระยาพิบูลเสนานุกิจถึงแก่พิราลัยเมื่อวันที่ 29 มิถุนายน พ.ศ. 2451 พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว โปรดเกล้าฯ แต่งตั้งให้นิโวะบุตรชายพระยาพิบูลเสนานุกิจ เป็นพระยายะหริ่ง[4] ผู้คนในท้องถิ่นจะเรียกท่านว่าเป็น "รายอยะหริ่ง" ถือว่าเป็นศูนย์กลางแห่งอำนาจของเมืองยะหริ่ง[24] และยังคงบทบาทเป็นองค์ประธานในการจัดกิจกรรมต่าง ๆ ในเขตเมืองยะหริ่ง[25] เช่น พิธีปูยอปาตา หรือพิธีกรรมบูชาชายหาด ที่รายอยะหริ่งจะต้องแต่งองค์ทรงเครื่องเต็มยศ ลุกขึ้นมาร่ายรำนำขบวนเรือเข้าเทียบท่า ณ หาดทรายที่ตั้งพิธีกรรม[26] นอกจากนี้ท่านยังสนับสนุนการแสดงรองเง็งในราชสำนักยะหริ่ง ก่อนแพร่หลายเป็นที่นิยมไปทั่วภาคใต้[6]

บทบาทของพระยาพิพิธเสนามาตย์มีบทบาทเชิงพิธีกรรมหรือกิจกรรมในท้องถิ่น คือเป็นสัญลักษณ์ของรัฐอันแสดงถึงอำนาจและความเป็นชนชั้นปกครองแบบยุคเก่า เปรียบดั่งนาฏรัฐที่ยึดโยงราษฎรมลายู สยาม และจีน ในท้องถิ่นไว้ด้วยกันผ่านพิธีกรรม[27] ซึ่งในมุมมองของชาวยะหริ่ง มองว่าพระยาพิพิธเสนามาตย์คือ "รายอ" ผู้ปกครองเมืองยะหริ่ง เป็นการยอมรับว่ามีสถานะพิเศษทางสังคมในท้องถิ่น แต่มิใช่สมมติเทพ และไม่ใช่เจ้าแผ่นดินที่ตนเองปกครอง[28] ขณะที่ฝ่ายรัฐบาลสยามมองว่าเมืองยะหริ่งเป็นเพียงหนึ่งในหัวเมืองแขกเจ็ดหัวเมือง ซึ่งเป็นเมืองที่อยู่ชั้นนอกเท่านั้น[29] ลำดับบรรดาศักดิ์แบบมลายูไม่เป็นที่ยอมรับในกฎหมายไทย และไม่เป็นที่รับรู้ของสังคมภายนอก[28] คำสั่งราชการจากเมืองหลวงจะถูกส่งผ่านมายังเจ้าเมืองสงขลา จากนั้นเจ้าเมืองสงขลาจะมีใบบอกไปยังหัวเมืองต่าง ๆ และหากมีเหตุการณ์ระหว่างประเทศ เจ้าเมืองเหล่านี้จะมีใบบอกรายงานไปยังสมุหพระกลาโหมผ่านเจ้าเมืองสงขลา และเจ้าเมืองสงขลายังมีบทบาทควบคุมและตรวจตราเครื่องราชบรรณาการจากเจ้าเมืองทั้ง 7 นำมาถวาย แล้วจดลงในใบบอก จากนั้นให้กรมการเมืองสงขลาควบคุมมายังกรุงเทพมหานคร[30]

ในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว โปรดเกล้าฯ ให้ข้าราชการในกระทรวงมหาดไทยรับพระราชทานเกียรติยศ โดยพระยาพิพิธเสนามาตย์ ได้รับพระราชทานยศเป็น อำมาตย์เอก เมื่อวันที่ 20 สิงหาคม ร.ศ. 130 (ตรงกับ พ.ศ. 2454)[31]

ผู้ว่าราชการจังหวัดและบั้นปลาย

[แก้]

หลังกลุ่มราชนิกุลสายบุรีบางส่วนอพยพเข้าสู่รัฐกลันตันเพื่อหนีราชภัยหลังการปฏิรูปการปกครอง ตั้งแต่ พ.ศ. 2445 เป็นต้นมา[32] จึงได้มีการแต่งตั้งพระยาพิพิธเสนามาตย์ให้ดำรงตำแหน่งเป็นผู้ว่าราชการจังหวัดสายบุรี[4] ภายหลังพระยาพิพิธเสนามาตย์ได้มีความทุพพลภาพ พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้พระยาพิพิธเสนามาตย์ ดำรงตำแหน่งเป็นจางวางกิตติมศักดิ์เมืองสายบุรี รับพระราชทานเงินเดือนตามตัวเป็นพิเศษ แล้วแต่งตั้งให้พระยาสุรพลพิพิธ (เป๋า สุมนดิษย์) ผู้ว่าราชการจังหวัดตรัง มาดำรงตำแหน่งผู้ว่าราชการจังหวัดสายบุรีแทน เมื่อวันที่ 13 พฤษภาคม พ.ศ. 2470[33]

หลังสิ้นงานราชการแล้ว พระยาพิพิธเสนามาตย์ย้ายกลับมาพำนักที่วังยะหริ่ง จนถึงแก่อนิจกรรมเมื่อวันที่ 5 ธันวาคม พ.ศ. 2484[4] ซึ่งชาวยะหริ่งมีเรื่องราวมุขปาฐะเกี่ยวกับการถึงแก่อนิจกรรมของพระยาพิพิธเสนามาตย์ไว้ว่า "วันนั้นเป็นวันที่ท้องฟ้าเหนือทะเลเป็นสีคล้ำดำ ฝูงนกกาบินวนเหนือวังยะหริ่งอย่างแปลกประหลาดและน่าครั่นคร้ามในคราวเดียวกัน รายอนิโวะกำลังจะตาย"[27] เมืองยะหริ่งที่ขาดรายอเป็นประธานประกอบพิธีกรรม ไม่มีการต่อสู้เพื่อต่อต้านอำนาจสยามแต่อย่างใด หากแต่ได้รับอิทธิพลจากศาสนาอิสลามที่เข้มข้นขึ้นกว่ายุคก่อนเก่า[34]

ครอบครัว

[แก้]

หนังสือ ปาตานี...สุลต่านมลายู เชื้อสายฟากิฮฺ อาลี มัลบารี ประวัติศาสตร์ที่ถูกลืม ของอารีฟิน บินจิ (2558) ระบุว่า พระยาพิพิธเสนามาตย์มีบุตร 7 คน เกิดจากภรรยาทั้งหมด 6 คน ดังรายนาม ดังนี้[1]

  1. นางต่วนกูลาหยง มีบุตรชายคนเดียว คือ
    • บุตรไม่ปรากฏนาม (เสียชีวิตตั้งแต่เยาว์วัย)
  2. นางเจ๊ะแมะ มีบุตรชายคนเดียว คือ
  3. นางเจ๊ะบูงอ มีบุตรสาวคนเดียว คือ
    • ตนกูไซนับ หรือ ตนกูนะ อัลยุฟรี
  4. นางเจ๊ะตีเมาะ มีบุตรสาวสองคน คือ
    • ตนกูบือเซาะ อัลยุฟรี
    • ขนิษฐา อัลอิดรุส หรือ ตนกูอาซียะห์ (บางแห่งว่า เยาะ)[22]
  5. นางเจ๊ะเปาะ มีบุตรชายคนเดียว คือ
  6. นางต่วนเยาะ มีบุตรชายคนเดียว คือ
    • พยงค์ อับดุลบุตร หรือ ตนกูอาหามัด (บางแห่งว่า มะหะหมัด)[22]

ขณะที่เอกสาร วัง 7 หัวเมือง (ปัตตานี) ของจุรีรัตน์ บัวแก้ว (2540) กลับระบุว่า พระพิพิธภักดี (ตนกูมุกดา อับดุลบุตร) เป็นบุตรที่เกิดกับตนกูวันปาตีเมาะ หลานสาวของพระยาสุริยสุนทรบวรภักดี (หนิแปะ) พระยาเมืองสายบุรี[35]

พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว พระราชทานนามสกุลแก่พระยาพิพิธเสนามาตย์ว่า "อับดุลละบุตร" (สะกดอย่างโรมันว่า Abdullaputra) โดยทรงผูกชื่อสกุลตามนามทวดพระยาพิพิธเสนามาตย์ คือ อับดุลเลาะ[5]

ต่อมาพระยาพิพิธเสนามาตย์มีปัญหาพิพาทกับเมืองสายบุรี[36] ทว่าพระพิพิธภักดี (ตนกูมุกดา) บุตรชายคนโต รักใคร่ชอบพอกับตนกูซง หลานสาวพระยาสุริยสุนทรบวรภักดี[36] ซึ่งพระยาพิพิธเสนามาตย์ไม่เห็นดีด้วย แต่สุดท้ายพระพิพิธภักดีก็สมรสกับตนกูซง และไปสร้างวังพิพิธภักดีที่อำเภอสายบุรี ตรงข้ามกับวังสายบุรีอันเป็นครอบครัวฝั่งภรรยาแทน แต่หลังตนกูซงเสียชีวิต พระพิพิธภักดีก็ย้ายกลับวังยะหริ่งตามเดิม[36] อย่างไรก็ตาม ชาวสายบุรีให้ความเคารพนับถือพระพิพิธภักดีอย่างสูงในฐานะหลานเขยของพระยาสุริยสุนทร และยังเป็นผู้ที่เคยให้การช่วยเหลือชาวสายบุรีที่เดือดร้อน โดยทำหน้าที่เป็นสื่อกลางระหว่างประชาชนกับเจ้าเมืองสายบุรี[37]

ปัจจุบันลูกหลานของพระยาพิพิธเสนามาตย์คือตระกูลอับดุลบุตรและพิพิธภักดียังคงมีบทบาทด้านการเมืองการปกครองของจังหวัดปัตตานีสืบมาจนถึงปัจจุบัน[6]

เครื่องราชอิสริยาภรณ์

[แก้]

ลำดับสาแหรก

[แก้]

อ้างอิง

[แก้]
  1. 1 2 3 4 อารีฟิน บินจิ อัล-ฟาฏอนี (2558). ปาตานี...สุลต่านมลายู เชื้อสายฟากิฮฺ อาลี มัลบารี ประวัติศาสตร์ที่ถูกลืม. สงขลา: มูลนิธิวัฒนธรรมอิสลามภาคใต้. p. 70-71.
  2. ชัยวัฒน์ สถาอานันท์ (10 ตุลาคม 2565). "กรณีเจ้าแขกเจ็ดหัวเมือง การเริ่มต้นความจริงเกี่ยวกับปัตตานี ด้วยประวัติศาสตร์แห่งการลวง". ศิลปวัฒนธรรม. สืบค้นเมื่อ 16 กันยายน 2568. {{cite web}}: ตรวจสอบค่าวันที่ใน: |accessdate= (help)
  3. 1 2 3 จุรีรัตน์ บัวแก้ว (2540). วัง 7 หัวเมือง (ปัตตานี) (PDF). ปัตตานี: มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ วิทยาเขตปัตตานี. p. 60.
  4. 1 2 3 4 5 6 7 "อำเภอยะหริ่ง จังหวัดปัตตานี". ฐานข้อมูลท้องถิ่นภาคใต้ มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์. สืบค้นเมื่อ 16 กันยายน 2568. {{cite web}}: ตรวจสอบค่าวันที่ใน: |accessdate= (help)
  5. 1 2 3 4 "นามสกุลพระราชทาน". พระราชวังพญาไท. สืบค้นเมื่อ 16 กันยายน 2568. {{cite web}}: ตรวจสอบค่าวันที่ใน: |accessdate= (help)
  6. 1 2 3 "พระพิพิธภักดี". มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์. สืบค้นเมื่อ 16 กันยายน 2568. {{cite web}}: ตรวจสอบค่าวันที่ใน: |accessdate= (help)
  7. 1 2 ประชุมพงศาวดาร ภาค 3 (PDF). พระนคร: หนังสือพิมพ์ไทย. 2473. p. 26.
  8. 1 2 3 4 ศิริวุฒิ วรรณทอง (2546). ผู้นำชุมชนมุสลิมในจังหวัดปัตตานี หลังสงครามโลกครั้งที่สอง (PDF). บัณฑิตวิทยาลัย มหาวิทยาลัยศิลปากร. p. 16.
  9. สมาคมธุรกิจอาหารจังหวัดปัตตานี (2561). เมนูปัตตานี. สงขลา: ไอคิว มีเดีย. p. 25.
  10. จุรีรัตน์ บัวแก้ว (2540). วัง 7 หัวเมือง (ปัตตานี) (PDF). ปัตตานี: มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ วิทยาเขตปัตตานี. p. 12.
  11. 1 2 พรรณราย ชาญหิรัญ (2563). พระราชนิพนธ์ร้อยแก้วบันทึกการเสด็จประพาสของพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว (พ.ศ. 2419-2452) : วรรณคดีกับโลกสันนิวาส (PDF). บัณฑิตวิทยาลัย มหาวิทยาลัยศิลปากร. p. 67-68.
  12. จุรีรัตน์ บัวแก้ว (2540). วัง 7 หัวเมือง (ปัตตานี) (PDF). ปัตตานี: มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ วิทยาเขตปัตตานี. p. 15.
  13. ศิริวุฒิ วรรณทอง (2546). ผู้นำชุมชนมุสลิมในจังหวัดปัตตานี หลังสงครามโลกครั้งที่สอง (PDF). บัณฑิตวิทยาลัย มหาวิทยาลัยศิลปากร. p. 18.
  14. จุรีรัตน์ บัวแก้ว (2540). วัง 7 หัวเมือง (ปัตตานี) (PDF). ปัตตานี: มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ วิทยาเขตปัตตานี. p. 17.
  15. 1 2 ศิริวุฒิ วรรณทอง (2546). ผู้นำชุมชนมุสลิมในจังหวัดปัตตานี หลังสงครามโลกครั้งที่สอง (PDF). บัณฑิตวิทยาลัย มหาวิทยาลัยศิลปากร. p. 19.
  16. สมโชติ อ๋องสกุล (2521). การปฏิรูปการปกครองมณฑลปัตตานี (พ.ศ. 2449-2474) (PDF). การศึกษามหาบัณฑิต มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ. p. 43.
  17. อุดม ปัตนวงศ์. วังจะบังตีกอ (PDF). สำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมวิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (สกสว.). p. 89.
  18. สมโชติ อ๋องสกุล (2521). การปฏิรูปการปกครองมณฑลปัตตานี (พ.ศ. 2449-2474) (PDF). การศึกษามหาบัณฑิต มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ. p. 87.
  19. 1 2 สมโชติ อ๋องสกุล (2521). การปฏิรูปการปกครองมณฑลปัตตานี (พ.ศ. 2449-2474) (PDF). การศึกษามหาบัณฑิต มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ. p. 88.
  20. 1 2 สมโชติ อ๋องสกุล (2521). การปฏิรูปการปกครองมณฑลปัตตานี (พ.ศ. 2449-2474) (PDF). การศึกษามหาบัณฑิต มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ. p. 89-90.
  21. จุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว, พระบาทสมเด็จ (7 กรกฎาคม 2448). "ชุมนุมพระราชนิพนธ์ในรัชกาลที่ ๕ ภาคปกิณณกะ ภาค ๑ (พระราชหัตถเลขาฉะบับที่ ๕)". วชิรญาณ. สืบค้นเมื่อ 16 กันยายน 2568. {{cite web}}: ตรวจสอบค่าวันที่ใน: |accessdate= (help)
  22. 1 2 3 4 จุรีรัตน์ บัวแก้ว (2540). วัง 7 หัวเมือง (ปัตตานี) (PDF). ปัตตานี: มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ วิทยาเขตปัตตานี. p. 61.
  23. "วังยะหริ่ง". การเดินทาง. สืบค้นเมื่อ 16 กันยายน 2568. {{cite web}}: ตรวจสอบค่าวันที่ใน: |accessdate= (help)
  24. สมโชติ อ๋องสกุล (2521). การปฏิรูปการปกครองมณฑลปัตตานี (พ.ศ. 2449-2474) (PDF). การศึกษามหาบัณฑิต มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ. p. 86.
  25. ศรายุทธ เอี่ยมเอื้อยุทธ (2559). มันยากที่จะเป็นมลายู. กรุงเทพฯ: มติชน. p. 132.
  26. ศรายุทธ เอี่ยมเอื้อยุทธ (2559). มันยากที่จะเป็นมลายู. กรุงเทพฯ: มติชน. p. 98-99.
  27. 1 2 ศรายุทธ เอี่ยมเอื้อยุทธ (2559). มันยากที่จะเป็นมลายู. กรุงเทพฯ: มติชน. p. 100.
  28. 1 2 เกสรบัว อุบลสวรรค์ (27 พฤศจิกายน 2558). "สรุปเสวนาสาธารณะ อันเนื่องมาจากเรือนราชา "วังระแงะกับสังคมมลายูที่เปลี่ยนแปลง"". มูลนิธิเล็ก-ประไพ วิริยะพันธุ์. สืบค้นเมื่อ 18 กันยายน 2568. {{cite web}}: ตรวจสอบค่าวันที่ใน: |accessdate= (help)
  29. ศรายุทธ เอี่ยมเอื้อยุทธ (2559). มันยากที่จะเป็นมลายู. กรุงเทพฯ: มติชน. p. 101.
  30. สมโชติ อ๋องสกุล (2521). การปฏิรูปการปกครองมณฑลปัตตานี (พ.ศ. 2449-2474) (PDF). การศึกษามหาบัณฑิต มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ. p. 81.
  31. "พระบรมราชโองการ ประกาศพระราชทานยศแก่ข้าราชการกระทรวงมหาดไทย" (PDF). ราชกิจจานุเบกษา. 28 (0ง): 975. 20 สิงหาคม ร.ศ. 130. {{cite journal}}: ตรวจสอบค่าวันที่ใน: |date= (help)
  32. รัศมินทร์ นิติธรรม (1 ธันวาคม 2555). "เหตุการณ์กลุ่มราชนิกุลเมืองสายบุรี หนีราชภัยไปเมืองกลันตัน". มูลนิธิเล็ก-ประไพ วิริยะพันธุ์. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2022-02-20. สืบค้นเมื่อ 20 กุมภาพันธ์ 2565. {{cite web}}: ตรวจสอบค่าวันที่ใน: |accessdate= (help)
  33. "เรื่อง ปลดและย้ายตั้งผู้ว่าราชการจังหวัด" (PDF). ราชกิจจานุเบกษา (44ง): 582. 22 พฤษภาคม 2470.
  34. ศรายุทธ เอี่ยมเอื้อยุทธ (2559). มันยากที่จะเป็นมลายู. กรุงเทพฯ: มติชน. p. 102.
  35. จุรีรัตน์ บัวแก้ว (2540). วัง 7 หัวเมือง (ปัตตานี) (PDF). ปัตตานี: มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ วิทยาเขตปัตตานี. p. 100.
  36. 1 2 3 "วังพิพิธภักดี". ฐานข้อมูลท้องถิ่นภาคใต้ มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์. สืบค้นเมื่อ 16 กันยายน 2568. {{cite web}}: ตรวจสอบค่าวันที่ใน: |accessdate= (help)
  37. จุรีรัตน์ บัวแก้ว (2540). วัง 7 หัวเมือง (ปัตตานี) (PDF). ปัตตานี: มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ วิทยาเขตปัตตานี. p. 98.
  38. "แจ้งความสำนักนายกรัฐมนตรี เรื่อง พระราชทานเครื่องราชอิสสริยาภรณ์" (PDF). ราชกิจจานุเบกษา. 1805 (55ง): 2914. 21 พฤศจิกายน 2481.