ข้ามไปเนื้อหา

พระราชพิธีราชาภิเษกสมรส พุทธศักราช 2493

จากวิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี
พระราชพิธีราชาภิเษกสมรสระหว่าง
สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดช
และหม่อมราชวงศ์สิริกิติ์ กิติยากร
พระราชพิธีราชาภิเษกสมรส เมื่อวันที่ 28 เมษายน พ.ศ. 2493
วันที่28 เมษายน พ.ศ. 2493 (75 ปี)
สถานที่วังสระปทุม
ที่ตั้งจังหวัดพระนคร ประเทศไทย
ผู้เข้าร่วมพระบาทสมเด็จพระมหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร
สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง

พระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร ทรงประกอบพระราชพิธีราชาภิเษกสมรสกับสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง (หม่อมราชวงศ์สิริกิติ์ กิติยากร พระยศในขณะนั้น) ณ วังสระปทุม เมื่อวันที่ 28 เมษายน พ.ศ. 2493 นับเป็นพระมหากษัตริย์พระองค์แรกแห่งราชวงศ์จักรีที่ทรงจดทะเบียนสมรสตามกฎหมาย

เบื้องหลัง

[แก้]

ปี พุทธศักราช 2491 ขณะที่พระวรวงศ์เธอ กรมหมื่นจันทบุรีสุรนาถรับราชการในฐานะเอกอัครราชทูตนั่นเอง พระบาทสมเด็จพระมหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร (สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดช พระราชอิสริยยศในขณะนั้น) ได้เสด็จจากเมืองโลซาน ประเทศสวิตเซอร์แลนด์ มายังชานเมืองปารีส ประเทศฝรั่งเศส ครอบครัวของพระวรวงศ์เธอ กรมหมื่นจันทบุรีสุรนาถจึงได้มาเฝ้ารับเสด็จ ในการนี้ หม่อมหลวงบัว กิติยากร ได้สั่งให้ลูกสาวทั้งสองคนแต่งหน้าทำผมใส่ชุดที่ดูสวย​ที่สุด พร้อมสั่งให้ซ้อมถอนสายบัว คำสั่งนี้สร้างความขุ่นข้องหมองใจแก่สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง (หม่อมราชวงศ์สิริกิติ์ กิติยากร พระยศในขณะนั้น) และหม่อมราชวงศ์บุษบา สธนพงศ์สาเหตุที่หม่อมราชวงศ์สิริกิติ์ กิติยากร (พระยศในขณะนั้น) ทรงดำรัสว่าเป็น "เกลียดแรกพบ" เนื่องจากไม่เคยเห็นผู้ชายคนไหนที่ทำให้ หม่อมหลวงบัว กิติยากร ออกคำสั่งกับตนเองมากขนาดนี้ รวมถึงการเสด็จมาสายจากสี่โมงเย็นเป็นหนึ่งทุ่ม[1]โดยหม่อมราชวงศ์สิริกิติ์ กิติยากร (พระยศในขณะนั้น) แต่งตัว เรียบร้อย สวมสูทสีเนื้อ ไว้หางเปียยาวถึงหลัง

ในครั้งนั้น สมเด็จพระศรีนครินทราบรมราชชนนีมีรับสั่งให้พระราชโอรสทอดพระเนตร บุตรสาวของ หม่อมหลวงบัว กิติยากร ทั้งสองพระองค์ เมื่อซักถามพระบาทสมเด็จพระมหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร (สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดช พระราชอิสริยยศในขณะนั้น) แล้ว ท่านชอบบุตรสาวคนโตซึ่งได้แก่ สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง (หม่อมราชวงศ์สิริกิติ์ กิติยากร พระอิสริยยศในขณะนั้น) ท่านผู้หญิงเกนหลง สนิทวงศ์ ณ อยุธยา เขียนเล่าใน “บันทึก เป็น อยู่ คือ สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง (หม่อมราชวงศ์สิริกิติ์ กิติยากร พระอิสริยยศในขณะนั้น)” ว่า พระวรวงศ์เธอ กรมหมื่นจันทบุรีสุรนาถก็ไม่ใช่ใครอื่น เป็นหลานแท้ ๆ ของสมเด็จพระศรีนครินทราบรมราชชนนีและเป็นคนดี หม่อมหลวงบัว กิติยากรก็เป็นลูกสาวเจ้าพระยาวงษานุประพัทธ์ (หม่อมราชวงศ์สท้าน สนิทวงศ์) ซึ่งเป็นคนดี ซื่อตรง และยังทรงกำชับว่า ถึงปารีสแล้วโทรฯ บอกแม่ด้วย ท่านผู้หญิงเกนหลงทรงเล่าในบันทึกต่อมาว่า เมื่อพระบาทสมเด็จพระมหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร (สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดช พระราชอิสริยยศในขณะนั้น) เสด็จฯ ถึงปารีสแล้ว จึงโทรศัพท์ตอบคำถามสมเด็จพระศรีนครินทราบรมราชชนนีว่า “เห็นแล้วน่ารักมาก” หม่อมหลวงบัว กิติยากร จึงได้สอบถาม สมเด็จพระศรีนครินทราบรมราชชนนี ว่าคนไหน ปรากฏว่าพระบาทสมเด็จพระมหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร (สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดช พระราชอิสริยยศในขณะนั้น) หมายถึงบุตรสาวคนโต ซึ่งได้แก่สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง (หม่อมราชวงศ์สิริกิติ์ กิติยากร พระยศในขณะนั้น)

วันที่ 3 ตุลาคม พ.ศ. 2491 ในระหว่างเสด็จประทับยังต่างประเทศ ขณะที่พระองค์ทรงขับรถยนต์พระที่นั่งเฟียส ทอปอลิโน จากเจนีวาไปยังโลซาน ทรงประสบอุบัติเหตุทางรถยนต์ กล่าวคือ รถยนต์พระที่นั่งชนกับรถบรรทุกอย่างแรง ทำให้เศษกระจกกระเด็นเข้าพระเนตรขวา พระอาการสาหัส หลังการถวายการรักษา พระองค์มีพระอาการแทรกซ้อนบริเวณพระเนตรขวา แพทย์จึงถวายการรักษาอย่างต่อเนื่องหลายครั้ง หากแต่พระอาการยังคงไม่ดีขึ้น กระทั่งวินิจฉัยแล้วว่าพระองค์ไม่สามารถทอดพระเนตรผ่านทางพระเนตรขวาของพระองค์เองได้ต่อไปแล้ว จึงได้ถวายการแนะนำให้พระองค์ทรงพระเนตรปลอมในที่สุด ทั้งนี้ ม.ร.ว. สิริกิติ์ ได้มีโอกาสเข้าเฝ้าเยี่ยมพระอาการเป็นประจำจนกระทั่งหายจากอาการประชวร

ตอนที่พระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร ทรงประสบอุบัติเหตุ ก็มีรับสั่งให้ครอบครัวเราเข้าเฝ้า เพราะทรงได้รับบาดเจ็บที่พระเนตรและพระเศียร คุณแม่ก็เข้าไปก่อน ตอนเข้าเฝ้าฯ ก็ให้จับพระหัตถ์ท่านแล้วบอกชื่อ พอถึงสมเด็จฯ ท่านก็ทูลว่า หม่อมราชวงศ์สิริกิติ์เพคะ พระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตรท่านทรงจับมืออยู่นานพอสมควรเลย” ท่านผู้หญิงบุษบา สธนพงษ์ เล่าถึงเหตุการณ์ครั้งนั้นในหนังสือ “ด้วยพลังแห่งรัก”

อันเป็นเหตุที่ทำให้ทั้งสองพระองค์มีความสัมพันธ์กันอย่างใกล้ชิดนับตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา เป็นต้นเหตุให้เมื่อวันที่ 19 กรกฎาคม พุทธศักราช 2492 สมเด็จพระศรีนครินทราบรมราชชนนีได้รับสั่งขอหม่อมราชวงศ์สิริกิติ์ต่อพระวรวงศ์เธอ กรมหมื่นจันทบุรีสุรนาถ โดยพิธีหมั้นได้จัดขึ้นอย่างเงียบ ๆ เรียบง่าย ณ โรงแรมวินด์เซอร์ เมืองโลซาน ประเทศสวิตเซอร์แลนด์ พระบาทสมเด็จพระมหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร (สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดช พระราชอิสริยยศในขณะนั้น) ทรงสวมพระธำมรงค์เป็นของหมั้นต่อหม่อมราชวงศ์สิริกิติ์ ซึ่งเป็นพระธำมรงค์องค์เดียวกับที่สมเด็จพระมหิตลาธิเบศร อดุลยเดชวิกรม พระบรมราชชนกทรงมอบต่อสมเด็จพระศรีนครินทราบรมราชชนนี

จนวันที่ 12 สิงหาคม ปีเดียวกัน พระบาทสมเด็จพระมหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร (สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดช พระราชอิสริยยศในขณะนั้น) ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้ประกาศข่าวทรงหมั้นให้คนไทยทราบในงานเลี้ยงอันเรียบง่าย ที่สถานเอกอัครราชทูตไทยในกรุงลอนดอน ประเทศอังกฤษ

ข่าวอันเป็นสิริมงคลนี้ ทำให้คนไทยเกิดความปิติยินดีเป็นอย่างยิ่ง ประหนึ่งดังแสงสว่างที่ส่องสู่หัวใจทุกดวง ท่ามกลางข่าวอันน่าเศร้าสลดที่จะทรงมีพระราชพิธีถวายพระเพลิงพระบรมศพพระบาทสมเด็จพระปรเมนทรมหาอานันทมหิดล พระอัฐมรามาธิบดินทร ในเดือนมีนาคม พุทธศักราช 2493

หลังจากนั้น รัฐบาลได้แจ้งให้ประชาชนชาวไทยทราบว่า พระบาทสมเด็จพระมหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร จะเสด็จนิวัติประเทศไทย พร้อมด้วยพระคู่หมั้นในวันที่ 24 มีนาคม พุทธศักราช 2493

พระราชพิธี

[แก้]

พระบาทสมเด็จพระมหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตรทรงพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อม กำหนดให้วันที่ 28 เมษายน พุทธศักราช 2493 เป็นวันประกอบพระราชพิธีราชาภิเษกสมรส ณ วังสระปทุม อันเป็นที่ประทับของสมเด็จพระศรีสวรินทิราบรมราชเทวี พระพันวัสสาอัยยิกาเจ้า เมื่อใกล้ถึงเวลาพระฤกษ์ เวลา 09.30 น. พระวรวงศ์เธอ กรมหมื่นจันทบุรีสุรนาถ ทรงนำสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง ไปยังวังสระปทุม พระบาทสมเด็จพระมหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตรทรงลงพระปรมาภิไธย และสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวงลงนามในสมุดทะเบียนสมรส ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้ราชสักขี 2 คน คือ จอมพลแปลก พิบูลสงคราม นายกรัฐมนตรี ในขณะนั้น, พลเอกมังกร พรหมโยธี รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย ในขณะนั้น ร่วมลงนามด้วย เช่นเดียวกับสมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระยาชัยนาทนเรนทร พระราชปิตุลา[ต้องการอ้างอิง]

เมื่อสมเด็จพระศรีสวรินทิราบรมราชเทวี พระพันวัสสาอัยยิกาเจ้า เสด็จออก ณ ชั้น 2 ของพระตำหนักแล้ว พระบาทสมเด็จพระมหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตรและสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง ทูลเกล้าฯ ถวายดอกไม้ธูปเทียนเครื่องราชสักการะ สมเด็จพระศรีสวรินทิราบรมราชเทวี พระพันวัสสาอัยยิกาเจ้า ประทานน้ำพระพุทธมนต์ เทพมนต์ แด่พระบาทสมเด็จพระมหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร และพระราชทานน้ำพระพุทธมนต์ เทพมนต์แก่สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง ตามโบราณราชประเพณี พระบรมวงศานุวงศ์ ข้าราชการ และบุคคลที่ได้รับเชิญมาร่วมในพระราชพิธี ทูลเกล้าฯ ถวายของขวัญ ในโอกาสนี้ ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ พระราชทานของที่ระลึกเป็นหีบบุหรี่เงินขนาดเล็ก ประดับอักษรพระนามาภิไธยย่อ ภ.อ. และ ส.ก.

ต่อมา ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อม ให้อาลักษณ์อ่านประกาศสถาปนาหม่อมราชวงศ์สิริกิติ์ พระอัครมเหสี เป็นสมเด็จพระราชินีสิริกิติ์ และพระราชทานเครื่องขัตติยราชอิสริยาภรณ์อันมีเกียรติคุณรุ่งเรืองยิ่งมหาจักรีบรมราชวงศ์แก่สมเด็จพระราชินีในโอกาสนี้ด้วย เมื่อเวลา 16.00 น. ของวันเดียวกันนี้ ทั้งสองพระองค์ได้เสด็จออกมหาสมาคม ณ พระที่นั่งไพศาลทักษิณ ในพระบรมมหาราชวัง พระราชทานพระราชวโรกาสให้พระบรมวงศานุวงศ์ เข้าเฝ้าฯ ถวายพระพรชัยมงคล แล้วเสด็จออก ณ พระที่นั่งอมรินทรวินิจฉัยให้คณะองคมนตรี คณะรัฐมนตรี สมาชิกรัฐสภา ข้าราชการและคณะทูตานุทูต เฝ้าฯ ถวายพระพรชัยมงคล

ในวันรุ่งขึ้น คือวันที่ 29 เมษายน พุทธศักราช 2493 ทั้งสองพระองค์เสด็จแปรพระราชฐานโดยรถไฟพระที่นั่งไปประทับ ณ วังไกลกังวล อำเภอหัวหิน จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ เป็นเวลา 5 วัน

แหล่งข้อมูลอื่น

[แก้]

อ้างอิง

[แก้]

  1. 'รักแรกพบ'ระหว่างพ่อและแม่ของแผ่นดิน