ข้ามไปเนื้อหา

พระเจ้าคริสตอฟเฟอร์ที่ 2 แห่งเดนมาร์ก

จากวิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี
พระเจ้าคริสตอฟเฟอร์ที่ 2 แห่งเดนมาร์ก
พระรูปแกะสลักบนหีบพระบรมศพที่โบสถ์ซอรือ
พระมหากษัตริย์แห่งเดนมาร์กและชาวเวนด์
ครองราชย์1320 – 1326
ราชาภิเษก15 สิงหาคม ค.ศ. 1324[1]
วอร์ดิงบอร์ก
ก่อนหน้าอีริคที่ 6
ถัดไปวัลเดมาร์ที่ 3
พระองค์รองอีริค คริสตอฟเฟอร์เซน
ครองราชย์1329 – 1332
ก่อนหน้าวัลเดมาร์ที่ 3
ถัดไปว่าง
วัลเดมาร์ที่ 4
พระองค์รองอีริค คริสตอฟเฟอร์เซน
พระราชสมภพ29 กันยายน ค.ศ. 1276
สวรรคต2 สิงหาคม ค.ศ. 1332(1332-08-02) (55 ปี)
ปราสาทนูเคอปิง, เดนมาร์ก
ฝังพระศพโบสถ์ซอรือ
คู่อภิเษกยูเฟเมียแห่งพอเมอเรเนีย
พระราชบุตร
พระนามเต็ม
คริสตอฟเฟอร์ อีริคเซน แอสตริดเซน
ราชวงศ์แอสตริดเซน
พระราชบิดาพระเจ้าอีริคที่ 5 แห่งเดนมาร์ก
พระราชมารดาอักเนสแห่งบรันเดินบวร์ค
ศาสนาโรมันคาทอลิก

พระเจ้าคริสตอฟเฟอร์ที่ 2 แห่งเดนมาร์ก (เดนมาร์ก: Christoffer 2.; 29 กันยายน ค.ศ. 1276 – 2 สิงหาคม ค.ศ. 1332) พระองค์ทรงเป็นพระมหากษัตริย์แห่งเดนมาร์ก ระหว่างปี ค.ศ. 1320 ถึง ค.ศ. 1326 และทรงราชย์ครั้งที่สองตั้งแต่ปี ค.ศ. 1329 จนกระทั่งสวรรคต พระองค์เป็นพระราชโอรสองค์รองในพระเจ้าอีริคที่ 5 แห่งเดนมาร์ก รัชสมัยของพระองค์ถือเป็นจุดตกต่ำของชาติ การปกครองของพระองค์แทบจะทำให้รัฐเดนมาร์กที่สถาปนามาต้องสลายตัวออกจากอาณาจักรเกือบทั้งหมด[2][3]

พระราชประวัติ

[แก้]

พระองค์ทรงเป็นพระราชอนุชาในพระเจ้าอีริคที่ 6 แห่งเดนมาร์ก ซึ่งครองราชย์ระหว่างปี ค.ศ. 1286 ถึง ค.ศ. 1319 เจ้าชายคริสตอฟเฟอร์ขณะนั้นทรงเป็นเสมือนรัชทายาทในราชบัลลังก์ เมื่อครั้งทรงรับตำแหน่งดยุกแห่งเอสโตเนีย พระองค์เป็นผู้สนับสนุนพระเชษฐาในทางการเมือง เหนือสิ่งอื่นใดพระองค์ทรงสั่งจับกุมอาร์กบิชอปเจนส์ กรันด์ในปี ค.ศ. 1294 แต่หลังจากนั้นพระองค์กลับไปต่อต้านพระเชษฐาและต้องเสด็จลี้ภัยไปจนกระทั่งพระเชษฐาสวรรคตในปี ค.ศ. 1319[4][5]

เหล่าขุนนางต้องการจำกัดอำนาจของราชวงศ์ และเจ้าชายคริสตอฟเฟอร์ได้รับการเลือกให้เป็นพระมหากษัตริย์ในเดือนมกราคม ค.ศ. 1320[1] ในทางกลับกันพระองค์ทรงลงพระปรมาภิไธยในสนธิสัญญาฮานด์เฟรสเนง ซึ่งเป็นเอกสารแรกที่พระองค์ทรงใช้ในกฎบัตรราชาภิเษก พระองค์ตกอยู่ในภาวะ "ล้มละลาย" เนื่องจากทั้งภูมิภาคของอาณาจักรถูกจำนองกับขุนนางเยอรมันและเดนมาร์ก เงื่อนไขในกฎบัตรนั้นดำเนินการได้ยากมาก เพราะเหล่าขุนนางจำกัดความสามารถในการประเมินภาษีของพระมหากษัตริย์ และจำกัดการชำระหนี้ที่เกิดจากการจำนอง กษัตริย์คริสตอฟเฟอร์ไม่สามารถตัดสินใจทางการเมืองในอาณาจักรได้โดยปราศจากความยินยอมของขุนนางและบาทหลวง สิทธิพิเศษของขุนนางและคริสตจักรรวมอยู่ในกฎบัตรด้วย รวมถึงมีข้อกฎหมายใหม่ ๆ ด้วย ไม่มีบาทหลวงคนหนึ่งคนใดถูกจับขังคุก เนรเทศหรือถูกปรับ ไม่มีศาลฆราวาสใด ๆ ที่ทำการเรียกเก็บภาษีที่ดินหรือทรัพย์สินของโบสถ์ ขุนนางสามารถขึ้นค่าธรรมเนียมหรือค่าเช่านาได้ ไม่มีขุนนางคนใดถูกบังคับให้สู้รบในต่างประเทศ กษัตริย์ต้องเรียกค่าไถ่ให้ปล่อยตัวของขุนนางที่ถูกจับขัง หรือทรงถูกบังคับให้จ่ายค่าเครื่องแบบบทหารแก่ทหารที่ไปสู้รบในต่างประเทศ การจัดเก็บภาษีมาตั้งแต่รัชสมัยพระเจ้าวัลเดมาร์ที่ 2 แห่งเดนมาร์กที่มีการจัดเก็บรายได้จากโบสถ์และขุนนางต้องได้รับการยกเว้น แต่ราชอาณาจักรก็ยังมีหนี้ที่ต้องจ่าย การเปลี่ยนอำนาจนี้จะยังส่งผลถึงกษัตริย์จนกระทั่ง ค.ศ. 1660[6][7][8]

แม้จะทรงลงพระปรมาภิไธยลงในกฎบัตรนี้แต่กษัตริย์คริสตอฟเฟอร์ที่ 2 ก็ทรงปกครองราวกับว่าไม่มีกฎบัตรนี้จริง เนื่องจากพระองค์ไม่สามารถจัดเก็บภาษีจากคริสตจักรหรือขุนนางเดนมาร์กได้ พระองค์จึงเรียกเก็บภาษีอย่างโหดร้ายจากดินแดนเยอรมันและจากชาวนา ในช่วงเวลาหลายปีต่อมา กษัตริย์คริสตอฟเฟอร์ทรงพยายามให้สถานะของพระองค์มั่นคงขึ้นด้วยการรื้อฟื้นนโยบายของกษัตริย์อีริคที่ 6 ในการทำสงครามกับดัชชี แคว้นและเมืองทางแถบเยอรมนีตอนเหนือ การทำเช่นนี้ทำให้เกิดการจำนองและภาษีใหม่ และในไม่ช้าพระองค์ก็ทรงขัดแย้งกับศาสนจักรและขุนนาง

ในช่วงการลุกฮือปี ค.ศ. 1326 พระองค์ทรงถูกโค่นจากราชบัลลังก์โดยพันธมิตรระหว่างขุนนางเดนมาร์กและเกอร์ฮาร์ดที่ 3 เคานท์แห่งฮ็อลชไตน์-เรนส์บวร์คและโยฮันน์ที่ 3 เคานท์แห่งฮ็อลชไตน์-ปลอน ซึ่งเป็นพระอนุชาต่างพระชนกของกษัตริย์คริสตอฟเฟอร์ กษัตริย์คริสตอฟเฟอร์ทรงถูกบังคับให้สละราชบัลลังก์และถูกเนรเทศ ดยุกวัลเดมาร์แห่งชเลสวิกจากจัตแลนด์ใต้ได้รับการเลือกให้เป็นพระมหากษัตริย์แห่งเดนมาร์ก ด้วยพระชนมายุเพียง 11 พรรษา โดยมีเคานท์เกอร์ฮาร์ดเป็นผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ เหล่าขุนนางบังคับให้กษัตริย์วัลเดมาร์ลงนามในกฎบัตรราชาภิเษกที่กำหนดให้แยกดินแดนจัตแลนด์ใต้ออกจากเดนมาร์ก เพื่อให้ให้พระมหากษัตริย์เดนมาร์กปกครองเหนือดินแดนนั้นต่อไป คนุต ปอร์เซ ขุนนางเดนมาร์กได้รับแคว้นฮัลลันด์ สำหรับการทำงานรับใช้เคานท์เกอร์ฮาร์ดและเคานท์โยฮันน์ แต่การทะเลาะกันเพื่อแย่งชิงชิ้นส่วนต่างๆ ของราชอาณาจักรเดนมาร์กได้ทำให้พันธมิตรที่ขับไล่กษัตริย์คริสตอฟเฟอร์ออกจากประเทศต้องแตกแยกกัน[6][9]

ในช่วงปี ค.ศ. 1329 ซึ่งอดีตกษัตริย์คริสตอฟเฟอร์กำลังลี้ภัย แต่ความวุ่นวายในหมู่ "ขุนนาง" ของเดนมาร์ก ทำให้พระองค์มีโอกาสอีกครั้ง ความตึงเครียดเกิดขึ้นระหว่างเกอร์ฮาร์ดที่ 3 แห่งฮ็อลชไตน์-เรนส์บวร์คและโยฮันน์ที่ 3 แห่งฮ็อลชไตน์-ปลอนและฮ็อลชไตน์-คีล ซึ่งเป็นญาติ โยฮันน์ที่ 3 นั้นเป็นอนุชาต่างบิดากับอดีตกษัตริย์คริสตอฟเฟอร์ที่ 2 เนื่องจากอักเนสแห่งบรันเดินบวร์ค สมเด็จพระพันปีหลวงแห่งเดนมาร์กและเป็นพระชนนีของอดีตกษัตริย์คริสตอฟเฟอร์นั้นทรงเสกสมรสใหม่กับเกอร์ฮาร์ดที่ 2 เคานท์แห่งฮ็อลชไตน์-ปลอน และมีโอรสคือ โยฮันน์ที่ 3[10]

ทันใดนั้นอดีตกษัตริย์คริสตอฟเฟอร์ทรงได้รับการช่วยเหลือจากไฮน์ริชที่ 1 แห่งเวร์เลอ พระองค์จึงเป็นผู้นำอัศวินเยอรมัน 2,000 นายที่วอร์ดิงบอร์ก แต่โชคร้ายที่อดีตกษัตริย์ทรงพ่ายแพ้และถูกปิดล้อม ทำให้พระองค์ถูกบีบบังคับให้ยอมจำนน แต่หลังจากเกิดการจลาจลของชาวนาในจัตแลนด์ ซึ่งชาวนาถูกปราบปรามอย่างโหดร้ายโดยกองทัพของเคานท์เกอร์ฮาร์ด ชาวนาในสคาเนียจึงถวายฎีกาไปยังพระเจ้ามักนุสที่ 4 แห่งสวีเดน ให้พระองค์ปกครองพวกเขาแทนพวกคณะขุนนางในเดนมาร์ก กษัตริย์มักนุสที่ 4 ทรงพร้อมรับในทันทีและเดนมาร์กก็ยอมยุติการเป็นนายเหนือหัวให้[11][12]

อดีตกษัตริย์คริสตอฟเฟอร์ทรงได้รับการฟื้นฟูราชบัลลังก์หลังจากเคานท์โยฮันน์ที่ 3 ได้เข้าช่วยเหลือ แต่ในคราวนี้พระองค์ทรงกลายเป็นกษัตริย์หุ่นเชิดให้อนุชาต่างบิดา แผ่นดินในประเทศของพระองค์ถูกจำนองไปส่วนใหญ่ และพระองค์ไม่มีโอกาสในการกุมพระราชอำนาจของราชวงศ์ที่แท้จริงได้ ยกตัวอย่างเช่นคาบสมุทรจัตแลนด์ถูกจำนองเป็นเหรียญเงิน 100,000 มาร์ก ซึ่งจะต้อง "เสนอแผ่นดินทั้งหมดในครั้งเดียว" หรือการจำนองไม่สามารถไถ่ถอนคืนได้ เนื่องจากเป็นการจำนองจำนวนเงินมหาศาล และแทบเป็นไปไม่ได้ที่สามารถหาเงินมาไถ่ถอนได้ เคานท์เกอร์ฮาร์ดยึดจัตแลนด์ทั้งหมดไว้เป็นสมบัติส่วนตัว เคานท์โยฮันน์ก็ทำตามเช่นกันโดยการยึดฟึนและเกาะเชลลันด์ ในปี ค.ศ. 1331 กษัตริย์คริสตอฟเฟอร์ที่ 2 ทรงพยายามอาศัยประโยชน์จากความขัดแย้งระหว่างเคานท์เกอร์ฮาร์ดกับเคานท์โยฮันน์ โดยพระองค์สนับสนุนเคานท์โยฮันน์ซึ่งเป็นอนุชา แต่สุดท้ายจบลงด้วยความพ่ายแพ้ในสงครามที่ดันเนอวีร์เกอ ภายใต้เงื่อนไขข้อตกลงระหว่างเคานท์ กษัตริย์คริสตอฟเฟอร์ได้เป็นพระมหากษัตริย์ต่อไปได้ แต่ในความเป็นจริงพระองค์ไม่มีพระราชอำนาจใด ๆ เลย พระองค์ได้ประทับอยู่ที่บ้านธรรมดาในเมืองซัคสโคปิง เกาะลอลันด์ แต่สุดท้ายบ้านที่ประทับถูกเผาโดยทหารรับจ้างชาวเยอรมัน กษัตริย์คริสตอฟเฟอร์ทรงถูกคุมขังที่ปราสาทอัลด์โฮล์มในลอลันด์ ก่อนจะย้ายไปปราสาทนูเคอปิง พระองค์สวรรคตดั่งชายที่ล้มเหลวและพระทัยสลายในปีถัดมา พระบรมศพถูกฝังที่โบสถ์ซอรือ[11]

หลังการสวรรคของพระองค์ เดนมาร์กถูกยกเลิกการเป็นราชอาณาจักรอย่างเป็นทางการ และตลอดเวลาแปดปีถัดมาประเทศถูกปกครองด้วยผู้รับจำนองที่ดินหลายรายซึ่งอยู่ภายใต้การปกครองของทหารชาวเยอรมัน

พระราชมรดก

[แก้]
ธรรมเนียมพระยศของ
สมเด็จพระเจ้าคริสตอฟเฟอร์ที่ 2
ตราประจำพระอิสริยยศ
การทูลHans Majestæt
(ใต้ฝ่าละอองธุลีพระบาท)
การแทนตนข้าพระพุทธเจ้า
การขานรับDeres Majestæt
(พระพุทธเจ้าข้า/เพคะ)

นักประวัติศาสตร์ตัดสินกษัตริย์คริสตอฟเฟอร์ที่ 2 ในทางประวัติศาสตร์อย่างไม่ไว้หน้า พระองค์มักถูกมองว่าเป็นกษัตริย์ทรราชที่อ่อนแอ ไม่น่าเชื่อถือและไร้ความสามารถ ด้วยคำที่ว่า "กษัตริย์ผู้จำนองเดนมาร์กให้แก่ชาวเยอรมัน" ทั้ง ๆ ที่พระองค์ทรงปฏิบัติตามนโยบายของกษัตริย์พระองค์ก่อนหน้าในหลาย ๆ ทาง นโยบายการจำนองแผ่นดินบางส่วนของเดนมาร์กเป็นเรื่องธรรมดาสำหรับชนชั้นขุนนางและกษัตริย์ในการแสวงหาเงินและทรัพย์ มันเป็นการไม่ถูกต้องนัก ถ้าจะกล่าวหาว่าพระองค์เป็นกษัตริย์ที่ไม่แยแสอะไร ทั้ง ๆ ที่ต้องทรงรับมือกับอำนาจของขุนนางเดนมาร์กและเยอรมันที่มีมาก ซึ่งพวกเขาร่วมมือกับศาสนจักรในการบ่อนทำลายเสรีภาพในการครองราชย์ของพระองค์[7]

พระโอรสธิดา

[แก้]

กษัตริย์คริสตอฟเฟอร์ที่ 2 อภิเษกสมรสกับยูเฟเมียแห่งพอเมอเรเนีย ในปี ค.ศ. 1300 ทั้งสองมีพระโอรสธิดา 6 พระองค์ ดังนี้

  พระนาม ประสูติ สิ้นพระชนม์ คู่สมรส และพระโอรส-ธิดา
- เจ้าหญิงมาร์เกรเธอ มาร์เกรฟวีนแห่งบรันเดินบวร์คค.ศ. 1305ค.ศ. 1340อภิเษกสมรสในปีค.ศ. 1324 กับ
ลุดวิกที่ 5 ดยุกแห่งบาวาเรีย
ไม่มีโอรส-ธิดา
- อีริค คริสตอฟเฟอร์เซน กษัตริย์พระองค์รองแห่งเดนมาร์กค.ศ. 1307ค.ศ. 1331อภิเษกสมรส ค.ศ. 1330 กับ
เอลิซาเบธแห่งฮ็อลชไตน์-เรนส์บวร์ค
ไม่มีพระโอรสธิดา
- เจ้าชายอ็อทโท ดยุกแห่งลอลันด์และเอสโตเนียค.ศ. 1310หลัง ค.ศ. 1347ไม่อภิเษกสมรส
- อักเนสแห่งเดนมาร์กไม่ปรากฏค.ศ. 1312สิ้นพระชนม์เมื่อทรงพระเยาว์
- เฮลวิกแห่งเดนมาร์กค.ศ. 1315ไม่ปรากฏสิ้นพระชนม์เมื่อทรงพระเยาว์
พระเจ้าวัลเดมาร์ที่ 4 แห่งเดนมาร์กค.ศ. 132024 ตุลาคม ค.ศ. 1375อภิเษกสมรส ค.ศ. 1340 กับ
เฮลวิกแห่งชเลสวิช
มีพระโอรสธิดา 6 พระองค์ ได้แก่
เจ้าชายคริสตอฟเฟอร์ ดยุกแห่งลอลันด์
เจ้าหญิงมาร์เกรเธอแห่งเดนมาร์ก
เจ้าหญิงอิงเงอร์บอร์ก ดัชเชสแห่งเมคเลนบูร์ก
เจ้าหญิงคาทารีนาแห่งเดนมาร์ก
เจ้าชายวัลเดมาร์แห่งเดนมาร์ก
สมเด็จพระราชินีนาถมาร์เกรเธอที่ 1 แห่งเดนมาร์ก

อ้างอิง

[แก้]
  1. 1 2 http://runeberg.org/dbl/4/0556.html
  2. "Christoffer 2. 1276-1332". Danmarks Historien (Aarhus University). คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2018-07-25. สืบค้นเมื่อ August 1, 2018.
  3. Knut Are Tvedt. "Erik 5 Glipping". Store norske leksikon. สืบค้นเมื่อ August 1, 2018.
  4. Knut Are Tvedt. "Erik 6 Menved". Store norske leksikon. สืบค้นเมื่อ August 1, 2018.
  5. "Jens Grand". roskildehistorie.dk. สืบค้นเมื่อ August 1, 2018.
  6. 1 2 Danmarks Historie II www.perbenny.dk
  7. 1 2 Knut Are Tvedt. "Christoffer 2". Store norske leksikon. สืบค้นเมื่อ August 1, 2018.
  8. Erik Opsahl. "håndfestning". Store norske leksikon. สืบค้นเมื่อ August 1, 2018.
  9. "Valdemar 3. Eriksen, 1315-1364". Danmarks Historien (Aarhus University). สืบค้นเมื่อ August 1, 2018.
  10. "Agnes, 1258-1304, Dronning". Dansk biografisk Lexikon. สืบค้นเมื่อ August 1, 2018.
  11. 1 2 Huitfeldt, Arild. Danmarks Riges Krønike
  12. "Johan den Milde". Den Store Danske, Gyldendal. สืบค้นเมื่อ August 1, 2018.
ก่อนหน้า พระเจ้าคริสตอฟเฟอร์ที่ 2 แห่งเดนมาร์ก ถัดไป
พระเจ้าอีริคที่ 6
พระมหากษัตริย์แห่งเดนมาร์ก
ดยุกแห่งเอสโตเนีย
ร่วมกับ
อีริค คริสตอฟเฟอร์เซน กษัตริย์พระองค์รอง
(1321-1326)

(ค.ศ. 1320 - ค.ศ. 1326)
พระเจ้าวัลเดมาร์ที่ 3
พระเจ้าวัลเดมาร์ที่ 3
พระมหากษัตริย์แห่งเดนมาร์ก
ดยุกแห่งเอสโตเนีย
ร่วมกับ
อีริค คริสตอฟเฟอร์เซน กษัตริย์พระองค์รอง
(1329-1332)

(ค.ศ. 1329 - ค.ศ. 1332)
ว่าง
ลำดับถัดไป
พระเจ้าวัลเดมาร์ที่ 4