มาร์เกอริตแห่งวาลัว
| มาร์เกอริตแห่งวาลัว | |
|---|---|
| สมเด็จพระราชินีแห่งนาวาร์ สมเด็จพระราชินีแห่งฝรั่งเศส | |
มาร์เกอริตแห่งวาลัว | |
| สมเด็จพระราชินีแห่งฝรั่งเศส | |
| ดำรงพระยศ | 2 สิงหาคม ค.ศ. 1589 – 17 ธันวาคม ค.ศ. 1599 |
| สมเด็จพระราชินีแห่งนาวาร์ | |
| ดำรงพระยศ | 18 สิงหาคม ค.ศ. 1572 – 17 ธันวาคม ค.ศ. 1599 |
| ประสูติ | 14 พฤษภาคม ค.ศ.1553 พระราชวังแซ็ง-แฌร์แม็ง-อ็อง-แล ฝรั่งเศส |
| สิ้นพระชนม์ | 27 พฤษภาคม ค.ศ.1615 (61 พรรษา) ปารีส ฝรั่งเศส |
| ฝังพระศพ | มหาวิหารแซ็ง-เดอนี ฝรั่งเศส (ในชาเปลวาลัวส์) |
| พระสวามี | พระเจ้าอ็องรีที่ 4 แห่งฝรั่งเศส (อภิเษกสมรส 18 สิงหาคม ค.ศ.1572; เป็นโมฆะ ค.ศ.1599) |
| ราชวงศ์ | ราชวงศ์วาลัวส์ (โดยกำเนิด) ราชวงศ์บูร์บง (โดยการสมรส) |
| พระราชบิดา | พระเจ้าอ็องรีที่ 2 แห่งฝรั่งเศส |
| พระราชมารดา | กาเตรีนา เด เมดีชี สมเด็จพระราชินีแห่งฝรั่งเศส |
| ศาสนา | โรมันคาทอลิก |
| ลายพระอภิไธย | |
มาร์เกอริตแห่งวาลัว (ฝรั่งเศส: Marguerite de Valois; ประสูติ 14 พฤษภาคม ค.ศ.1553 – สิ้นพระชนม์ 27 มีนาคม ค.ศ.1615) ทรงเป็นเจ้าหญิงแห่งฝรั่งเศสจากราชวงศ์วาลัวส์ ผู้ทรงเป็นสมเด็จพระราชินีแห่งนาวาร์ (Queen of Navarre) ตั้งแต่ปี ค.ศ.1572 และต่อมาเป็นสมเด็จพระราชินีแห่งฝรั่งเศส(Queen of France) ตั้งแต่ปี ค.ศ.1589 จนถึงการประกาศให้การอภิเษกสมรสของพระองค์เป็นโมฆะ ในปี ค.ศ.1599 ในฐานะพระมเหสีของพระเจ้าอ็องรีที่ 4 แห่งฝรั่งเศส (Henry IV of France) (ซึ่งขณะนั้นคือพระเจ้าอ็องรีที่ 3 แห่งนาวาร์)
พระองค์ทรงมีชีวิตที่น่าทึ่งและซับซ้อน ทรงเติบโตมาในยุคแห่งสงครามศาสนาอันโหดร้ายของฝรั่งเศส (Wars of Religion) และทรงเป็นที่รู้จักจากความงาม สติปัญญา การสนับสนุนศิลปะ และความสัมพันธ์อันวุ่นวายกับราชวงศ์ของพระองค์
ชีวิตช่วงต้นและการศึกษา: เจ้าหญิงแห่งราชวงศ์วาลัวส์
[แก้]มาร์เกอริต ประสูติ เมื่อวันที่ 14 พฤษภาคม ค.ศ.1553 ณ พระราชวังแซงต์-แฌร์แมง-อ็อง-แลย์ (Château de Saint-Germain-en-Laye) ทางตะวันตกของปารีส พระองค์เป็นพระธิดาของพระเจ้าอ็องรีที่ 2 แห่งฝรั่งเศส (Henry II of France) และ สมเด็จพระราชินีกาเตรีนา เด เมดีชี (Catherine de' Medici) ผู้ทรงอิทธิพล พระเชษฐา 3 พระองค์ของพระองค์ต่างขึ้นครองราชย์เป็นกษัตริย์ฝรั่งเศส ได้แก่ พระเจ้าฟร็องซัวที่ 2 (Francis II), พระเจ้าชาร์ลที่ 9 (Charles IX), และ พระเจ้าอ็องรีที่ 3 (Henry III) ทำให้พระองค์อยู่ใจกลางของอำนาจและอิทธิพลทางการเมืองแห่งราชวงศ์วาลัวส์
มาร์เกอริต ทรงได้รับการเลี้ยงดูในราชสำนักฝรั่งเศส ที่เต็มไปด้วยความหรูหรา วัฒนธรรม และอุบายทางการเมือง พระองค์ทรงมีความสนใจในการเรียนรู้มาตั้งแต่เด็ก ทรงศึกษาไวยากรณ์ วรรณคดีคลาสสิก ประวัติศาสตร์ และพระคัมภีร์ ทรงมีความสามารถในการพูดได้หลายภาษา ทั้งอิตาลี (Italian) สเปน (Spanish) ละติน (Latin) และกรีก (Greek) นอกเหนือจากภาษาฝรั่งเศส (French) ซึ่งเป็นภาษาแม่ของพระองค์ นอกจากนี้ยังทรงเชี่ยวชาญด้านร้อยแก้ว กวีนิพนธ์ การขี่ม้า และการเต้นรำ พระเชษฐาของพระองค์ พระเจ้าชาร์ลที่ 9 (Charles IX) ทรงเรียกพระองค์ด้วยพระนามเล่นว่า "มาร์โกต์" (Margot) ซึ่งเป็นที่มาของฉายา "ลา แรน มาร์โกต์" (La Reine Margot) ที่โด่งดัง
การอภิเษกสมรสกับอ็องรีแห่งนาวาร์: พิธีนองเลือด
[แก้]ในช่วงที่ฝรั่งเศสเผชิญกับสงครามศาสนา ระหว่างชาวคาทอลิก (Catholics) และชาวโปรเตสแตนต์ (Protestants) หรืออูเกอโนต์ (Huguenots) เพื่อพยายามสร้างความปรองดองระหว่างสองนิกาย พระองค์ ในวัย 19 พรรษา ได้ถูกจัดให้อภิเษกสมรสกับ อ็องรีแห่งบูร์บง พระมหากษัตริย์แห่งนาวาร์ (Henri de Bourbon, King of Navarre) ต่อมาคือพระเจ้าอ็องรีที่ 4 แห่งฝรั่งเศส (Henry IV of France) ซึ่งเป็นผู้นำของฝ่ายโปรเตสแตนต์ การอภิเษกสมรสจัดขึ้น ในวันที่ 18 สิงหาคม ค.ศ.1572 ณ มหาวิหารนอเทรอดาม (Notre Dame Cathedral) กรุงปารีส โดยมีพิธีทางศาสนาที่แบ่งแยกกันเนื่องจากความแตกต่างทางนิกาย
เพียงหกวันหลังจากพิธีอภิเษกสมรส (24 สิงหาคม ค.ศ.1572) เหตุการณ์สังหารหมู่ชาวฮิวเกอโนต์ครั้งใหญ่ได้ปะทุขึ้นในกรุงปารีส ซึ่งรู้จักกันในนาม "การสังหารหมู่ในวันเซนต์บาร์โธโลมิว" (St. Bartholomew's Day Massacre) ผู้เข้าร่วมงานแต่งงานจำนวนมากที่มาจากฝ่ายโปรเตสแตนต์ถูกสังหารอย่างโหดเหี้ยม พระองค์ทรงได้รับการยกย่องว่าช่วยชีวิตชาวโปรเตสแตนต์ผู้มีชื่อเสียงหลายคน (รวมถึงพระสวามีของพระองค์เอง) โดยการให้ที่หลบภัยในห้องส่วนพระองค์และปฏิเสธที่จะเปิดประตูให้ผู้สังหารเข้ามา เหตุการณ์นี้สร้างบาดแผลลึกให้แก่พระองค์และตอกย้ำความรุนแรงของความขัดแย้งทางศาสนาในฝรั่งเศส

บทบาททางการเมืองและความขัดแย้งกับราชวงศ์
[แก้]มาร์เกอริตแห่งวาลัว ทรงมีบทบาททางการเมืองที่ซับซ้อนและเต็มไปด้วยความขัดแย้งกับราชวงศ์ของพระองค์ หลังจากการสังหารหมู่ในวันเซนต์บาร์โธโลมิว (St. Bartholomew's Day Massacre) พระองค์ยังคงเป็นพระราชินีแห่งนาวาร์ และพยายามรักษาสมดุลความสัมพันธ์ระหว่างพระสวามี พระเจ้าอ็องรีที่ 4 แห่งฝรั่งเศส กับราชวงศ์ฝรั่งเศส ชีวิตในราชสำนักฝรั่งเศส ที่เต็มไปด้วยวัฒนธรรมและความหรูหรานั้น ทำให้พระองค์ทรงเป็นผู้อุปถัมภ์ศิลปะและวรรณกรรมที่ทรงอิทธิพล แต่ความสัมพันธ์ส่วนตัวกับพระเชษฐา โดยเฉพาะ พระเจ้าอ็องรีที่ 3 (Henry III) และความภักดีต่อพระอนุชา ฟร็องซัว ดยุกแห่งอองชู (Francis, Duke of Anjou) รวมถึงความสัมพันธ์อันซับซ้อนกับชายหลายคน ทำให้พระองค์มักตกเป็นเป้าหมายของข่าวลือและการกล่าวหา ซึ่งส่งผลให้ความสัมพันธ์กับพระเชษฐาตึงเครียดอย่างมาก และบ่อยครั้งที่พระองค์ทรงมีส่วนร่วมในการวางแผนทางการเมือง โดยเฉพาะการสนับสนุนพระอนุชาในการต่อต้านนโยบายของพระเจ้าอ็องรีที่ 3 ซึ่งยิ่งทำให้พระเจ้าอ็องรีที่ 3 ทรงไม่พอใจพระองค์อย่างมาก

การถูกคุมขังและการกลับมามีบทบาท
[แก้]ในปี ค.ศ.1586 พระองค์ถูกพระเจ้าอ็องรีที่ 3 พระเชษฐาของพระองค์ สั่งให้คุมขังไว้ที่ปราสาทอุสซง (Château d'Usson) ในแคว้นโอแวร์ญ (Auvergne) ซึ่งเป็นพื้นที่ห่างไกลในฝรั่งเศส การถูกจองจำครั้งนี้กินเวลานานถึง 18 ปี ในช่วงแรก พระองค์เป็นนักโทษของพระเชษฐา และหลังจากนั้นก็เป็นนักโทษในสภาพถูกเนรเทศของพระสวามี
แม้จะตกอยู่ในสภาพถูกคุมขัง แต่ปราสาทอุสซง กลับกลายเป็นศูนย์กลางทางวัฒนธรรมและปัญญาแห่งหนึ่งในยุคนั้น พระองค์ทรงใช้เวลาอันยาวนานนี้ในการศึกษาหาความรู้ อ่านหนังสือ เขียนบันทึกความทรงจำ (Memoirs) ส่วนพระองค์ ซึ่งให้ข้อมูลเชิงลึกอันมีค่าเกี่ยวกับราชสำนักวาลัวส์ และเหตุการณ์สำคัญในยุคสงครามศาสนา นอกจากนี้ ด้วยความเฉลียวฉลาดของพระองค์ พระองค์ยังทรงอุปถัมภ์ศิลปินและนักวิชาการจากระยะไกลด้วย
ในขณะที่พระองค์ถูกจองจำ ชีวิตสมรสของพระองค์กับพระสวามีก็ถึงจุดสิ้นสุด ทั้งคู่ไม่มีพระโอรสธิดาด้วยกันและใช้ชีวิตแยกกันมานาน การเจรจาเพื่อให้การอภิเษกสมรสเป็นโมฆะ จึงดำเนินไปอย่างยาวนาน และในที่สุดก็สำเร็จ ในปี ค.ศ.1599 โดยมีข้อตกลงที่ระบุว่า พระองค์ สามารถใช้ตำแหน่ง "สมเด็จพระราชินี" ได้ต่อไป ซึ่งพระเจ้าอ็องรีที่ 4 ทรงต้องการสมรสใหม่เพื่อต้องการทายาทสืบราชบัลลังก์ฝรั่งเศส

บั้นปลายชีวิตและมรดก: พระราชินีผู้ทรงภูมิปัญญา
[แก้]ในปี ค.ศ.1605 หลังจากใช้ชีวิตในปราสาทอุสซง มาเกือบ 20 ปี พระองค์ได้รับอนุญาตให้กลับมายังปารีส และทรงสร้างตำหนักส่วนพระองค์ที่หรูหราบนฝั่งซ้ายของแม่น้ำแซน (Seine River) พระองค์ทรงปรับตัวเข้ากับราชสำนักใหม่ภายใต้การนำของพระเจ้าอ็องรีที่ 4 และพระราชินีองค์ใหม่มารีอา เด เมดีชี (Marie de' Medici) พระองค์ทรงปรองดองกับอดีตพระสวามีและทรงมีความสัมพันธ์ที่ดีกับพระราชินีมารี รวมทั้งทรงเลี้ยงดูพระโอรสธิดาของพระเจ้าอ็องรีที่ 4
ในช่วงบั้นปลายชีวิต พระองค์ทรงอุทิศพระองค์ให้กับการเป็นผู้อุปถัมภ์ศิลปะ วรรณกรรม และการศึกษา ทรงสร้างชื่อเสียงในฐานะสตรีผู้ทรงภูมิปัญญาและเป็นผู้ใจบุญ ทรงเป็นทั้งที่ปรึกษา เป็นแรงบันดาลใจแก่นักเขียน ศิลปินจำนวนมาก ราชสำนักของพระองค์กลายเป็นศูนย์รวมของปัญญาชนและศิลปิน
พระองค์สิ้นพระชนม์ ในวันที่ 27 มีนาคม ค.ศ.1615 ณ ตำหนักส่วนพระองค์ในปารีส ด้วยพระชนมายุ 61 พรรษา พระศพของพระองค์ถูกฝังไว้ในมหาวิหารแซงต์-เดอนี (Basilica of Saint-Denis) ซึ่งเป็นสถานที่ฝังพระศพของราชวงศ์ฝรั่งเศส พระองค์ทรงได้รับการจดจำในฐานะบุคคลที่มีบทบาทสำคัญ ในยุคที่ฝรั่งเศสเต็มไปด้วยความวุ่นวายอย่างมาก ทรงเป็นสัญลักษณ์ของความอยู่รอด สติปัญญา และความสามารถในการปรับตัว เรื่องราวชีวิตของพระองค์ยังคงเป็นแรงบันดาลใจให้กับงานวรรณกรรม ภาพยนตร์ และละครจำนวนมาก โดยเฉพาะอย่างยิ่ง จากบันทึกความทรงจำที่พระองค์ทรงเขียนขึ้นเอง ฉายา "ลา แรน มาร์โกต์" (La Reine Margot) ซึ่งหมายถึง "ราชินีมาร์โกต์" (Queen Margot) ได้กลายเป็นสัญลักษณ์ของพระองค์ตลอดมา
อ้างอิง
[แก้]ดูเพิ่ม
[แก้]แหล่งข้อมูลอื่น
[แก้]
วิกิมีเดียคอมมอนส์มีสื่อเกี่ยวกับ มาร์เกอรีตแห่งวาลัวร์