ข้ามไปเนื้อหา

ยุทธการที่เอาส์เทอร์ลิทซ์

จากวิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี
ยุทธการที่เอาส์เทอร์ลิทซ์
ส่วนหนึ่งของ สงครามสหสัมพันธมิตรครั้งที่สาม
Colored painting showing Napoleon on a white horse and General Rapp galloping towards Napoleon to present the captured Austrian standards.
ภาพ นโปเลียนในยุทธการที่เอาส์เทอร์ลิทซ์
วันที่2 ธันวาคม ค.ศ. 1805
สถานที่
เอาส์เทอร์ลิทซ์ จักรวรรดิโรมันอันศักดิ์สิทธิ์
(ปัจจุบันอยู่ในเช็กเกีย)
49°8′N 16°46′E / 49.133°N 16.767°E / 49.133; 16.767
ผล ชัยชนะของฝรั่งเศส
คู่สงคราม
ประเทศฝรั่งเศส จักรวรรดิฝรั่งเศส จักรวรรดิรัสเซีย จักรวรรดิรัสเซีย
 จักรวรรดิโรมันอันศักดิ์สิทธิ์
ผู้บังคับบัญชาและผู้นำ
กำลัง

ประเทศฝรั่งเศส จักรวรรดิฝรั่งเศส

67,000 นาย[1]

จักรวรรดิรัสเซีย จักวรรดิรัสเซีย  จักรวรรดิโรมันอันศักดิ์สิทธิ์

85,400 นาย[2]
ความสูญเสีย

ประเทศฝรั่งเศส จักรวรรดิฝรั่งเศส

1,305 ตาย
6,940 บาดเจ็บ
573 ตกเป็นเชลย

จักรวรรดิรัสเซีย จักวรรดิรัสเซีย  จักรวรรดิโรมันอันศักดิ์สิทธิ์

16,000 ตายและบาดเจ็บ
20,000 ตกเป็นเชลย[3]

ยุทธการที่เอาส์เทอร์ลิทซ์ (อังกฤษ: Battle of Austerlitz) หรือเป็นที่รู้จักกันว่า ยุทธการสามจักรพรรดิ (อังกฤษ: Three Emperor Battle) เป็นหนึ่งในชัยชนะครั้งยิ่งใหญ่ที่สุดของนโปเลียน โดยสามารถทำลายกลุ่มประเทศที่ต่อต้านฝรั่งเศสลงได้

2 ธันวาคม 1805 กองทัพฝรั่งเศสนำโดยจักรพรรดินโปเลียนที่ 1 สามารถเอาชนะอย่างเด็ดขาดต่อกองทัพผสมระหว่างรัสเซียกับออสเตรียที่นำโดยซาร์อเล็กซานเดอร์ ที่ 1 หลังจากสู้รบประจัญบานกันอย่างหนักเกือบ 9 ชั่วโมง สมรภูมิรบเกิดขึ้นที่บริเวณใกล้เคียงเอาส์เทอร์ลิทซ์ ประมาณ 10 กิโลเมตรห่างไปทางตะวันออกเฉียงใต้ของเมืองเบอร์โนในมอเรเวีย (ปัจจุบันคือประเทศเช็กเกีย) นับเป็นจุดเปลี่ยนของสงครามโดยออสเตรียหันมาจับมือกับฝรั่งเศสทำให้ปรัสเชียประกาศสงครามกับประเทศฝรั่งเศสเนื่องจากเกิดความกังวลว่าฝรั่งเศสจะมีอำนาจเหนือบรรดาราชรัฐในเยอรมัน

หลังจากที่ออสเตรียยอมแพ้จักรพรรดินโปเลียนพยายามรวบรวมบรรดาราชรัฐเยอรมันภาคใต้มาไว้ในอาณัติฝรั่งเศส จักรวรรดิโรมันอันศักดิ์สิทธิ์จึงต้องล่มสลายไป นับเป็นการยุติความเป็นมหาอำนาจของราชวงศ์ฮาพส์บวร์คแห่งออสเตรีย

การรบ

[แก้]

เช้าวันที่ 2 ธันวาคม 1805 หมอกหนาทึบซึ่งปกคลุมเนินเขาและหมู่บ้านรอบใกล้เคียงเอาส์เทอร์ลิทซ์ หมอกนั้นช่วยพรางสายตาและทำให้จังหวะการเคลื่อนที่ของทั้งสองฝ่ายคลาดเคลื่อนจากที่คาดไว้เล็กน้อย กองทัพพันธมิตรรัสเซีย–ออสเตรียเริ่มขยับกำลังลงทางใต้ตามแผนมุ่งโจมตีปีกขวาของฝรั่งเศสบริเวณเทลนิทซ์และโซโกลนิทซ์ ตรงจุดที่ดูเหมือนแนวฝรั่งเศสเบาบางที่สุด กองระวังหลังและหน่วยรบเบาของฝรั่งเศสถูกผลักดันให้ถอยร่นเป็นระยะ แต่ก็ยังตั้งตัวตีสกัดตามแนวลำธารและสะพานเพื่อซื้อเวลารอกำลังเสริม ในช่วงนั้นเอง จอมพลดาวูเร่งเดินทัพทางไกลจากเวียนนา และมาทันเสริมกำลังปีกขวา ทำให้การรุกของกองทัพพันธมิตรต้องติดพันการรบระดับหมู่บ้าน แย่งกันเข้ายึดถอยจากบ้านและสวนในโซโกลนิทซ์หลายรอบโดยไม่มีฝ่ายใดเด็ดขาดในทันที

การวางกำลังของกองทัพพันธมิตร (สีแดง) และฝรั่งเศส (สีน้ำเงิน) ในหนึ่งวันก่อนเริ่มยุทธการ

ขณะเดียวกัน บนสันเขาแพรตเซินซึ่งเป็นพื้นที่ครองภูมิศาสตร์ของสนามรบกลับเกิดช่องว่างขึ้นเมื่อกำลังหลักของกองทัพพันธมิตรจำนวนมากไหลลงใต้ หมอกที่ค่อย ๆ จางเผยให้เห็นแนวกลางของข้าศึกที่บางลง นโปเลียนรอจังหวะนี้อยู่แล้ว เขาสั่งจอมพลซูลต์ให้รุดเข้ายึดแนวที่สูงทันที กองพลของเซนต์-อิเลอาร์และว็องดามม์จึงไต่ขึ้นสู่ยอดแพรตเซินแบบประชิดรวดเร็ว การปะทะบนสันเขารุนแรงสั้น ๆ ก่อนที่แนวพันธมิตรซึ่งเหลือกำลังไม่มากจะถูกผลักแตกถอยลงไปด้านตะวันออกและตะวันตก การยึดแพรตเซินได้เท่ากับคว้า “หัวใจของสนามรบ” และผ่ากองทัพพันธมิตรออกเป็นสองส่วน ทำให้กลุ่มที่มุ่งลงใต้โจมตีปีกขวาฝรั่งเศสถูกตัดขาดจากศูนย์บัญชาการและกำลังหนุน

ทางปีกซ้ายของฝรั่งเศส จอมพลลานร่วมกับจอมพลมูว์ราควบคุมพื้นที่กว้างด้านเหนือ เผชิญหน้ากับพลโทปิออตร์ บากราตีออน กองทหารม้าจำนวนมากเข้าปะทะไล่ต้อนกันบนทุ่งโล่ง การรบม้าดวลดาบแทงหอกเกิดขึ้นต่อเนื่องสลับกับการยิงปืนใหญ่ใส่กระบวนทัพที่กำลังก่อตัวใหม่ แม้ไม่มีการทะลวงได้ลึก แต่การยื้อรุนแรงนี้บีบให้ฝ่ายพันธมิตรต้องตรึงกำลังไว้จำนวนมาก ไม่อาจดึงกลับไปช่วยศูนย์กลางได้ทันเวลา บทบาทของปีกซ้ายจึงเป็นตะขอที่เกี่ยวข้าศึกไว้ให้การโจมตีบนแพรตเซินดำเนินไปโดยไม่ต้องกังวลทางเหนือ

เมื่อสันเขาแพรตเซินอยู่ในมือฝรั่งเศสแล้ว ช่องทางลงจากที่สูงเปิดกว้างสู่นาและถนนด้านหลังของพันธมิตร กองพลฝรั่งเศสจากแพรตเซินเทลงมาเป็นคลื่น ตัดเส้นทางติดต่อระหว่างกองกำลังทางใต้กับส่วนเหนือและขู่ล้อมวงหน่วยที่กำลังรบในหมู่บ้านลุ่มน้ำ เทลนิทซ์และโซโกลนิทซ์กลายเป็นกระเป๋าแคบ ๆ ที่ฝ่ายพันธมิตรต้องดิ้นรนถอยออกให้ได้ การยิงปืนใหญ่จากที่สูงของฝรั่งเศสกวาดแนวถอย กระสุนตกใส่ถนนและคันนา สร้างความโกลาหลต่อขบวนรถลำเลียงและปืนใหญ่ของฝ่ายถอย

ในช่วงสำคัญของการยึดศูนย์กลาง กองทัพพันธมิตรพยายามโต้กลับด้วยหน่วยทหารรักษาพระองค์รัสเซีย นำโดยแกรนด์ดยุกคอนสแตนติน ปาฟโลวิช หน่วยของเขาพุ่งขึ้นสู่เนินเพื่อทวงคืนแพรตเซิน เกิดการรบประชิดอัดแน่นระหว่างทหารรัสเซียกับทหารแนวหน้าและปืนใหญ่สนามของฝรั่งเศส แนวฝรั่งเศสบางช่วงอ่อนลง แต่การสวนกลับด้วยทหารม้าระดับยอดฝีมือของฝรั่งเศส รวมถึงทหารม้ารักษาพระองค์ บวกการผลักดันของกองพลว็องดามม์ทำให้การโต้ของรัสเซียสะดุดและถอยทิ้งพื้นที่ไว้ การพยายามตั้งแนวใหม่บนสันเขาจึงไม่อาจเกิดขึ้นได้อีก

ในเวลาบ่ายแก่ การถอยของกองทัพพันธมิตรทางใต้เปลี่ยนจากเป็นระเบียบไปสู่ความยุ่งเหยิง หลายหน่วยมุ่งไปยังบึงและสระน้ำแถบซัทชานซึ่งมีผิวน้ำบางส่วนจับตัวน้ำแข็งเพื่อข้ามทางลัด ฝรั่งเศสฉวยโอกาสนี้ด้วยการตั้งหมู่ปืนใหญ่ยิงใส่แนวข้าม น้ำแข็งแตกและทำให้กำลังพลบางส่วนตกลงในบึง แม้จำนวนที่แท้จริงจะเป็นที่ถกเถียง แต่ผลเชิงยุทธวิธีเป็นที่ชัดเจน กล่าวคือ การถอนกำลังของพันธมิตรแตกกระจายเป็นกลุ่มเล็ก กลายเป็นเชลยและทิ้งปืนใหญ่จำนวนมากไว้ตามทาง ขณะเดียวกัน ทางเหนือของพลโทบากราตีออนซึ่งต่อสู้กับจอมพลลานและจอมพลมูว์ราตตลอดวันก็ค่อย ๆ ถอยอย่างเป็นระเบียบเพื่อเลี่ยงการถูกอ้อมลึกจากการที่ฝ่ายตนที่ศูนย์กลางที่แตกพ่ายแล้ว การรบค่อย ๆ ซาลงเหลือเพียงการยิงกวนและปะทะหลังระยะสั้น ๆ ขณะที่ท้องทุ่งและเนินเขาถูกทิ้งไว้ให้ฝรั่งเศสครอง การควบคุมที่สูงแพรตเซินทำให้ฝรั่งเศสมองเห็นการเคลื่อนที่ของข้าศึกเกือบทั้งสนาม จึงปรับแนวรับรุกได้ตามสบายและคุมเส้นทางไล่ตัดตามสมควรโดยไม่เสี่ยงเกินไป

สุดท้ายเมื่อแสงวันจางหาย ฝ่ายพันธมิตรก็หมดความสามารถจะรวมกำลังเพื่อโต้กลับอีกต่อไป หน่วยที่ยังคงระเบียบถอยไปทางตะวันออก ทิ้งชิ้นส่วนกองทัพมากมายไว้เบื้องหลัง ฝรั่งเศสยืนอยู่บนสนามรบพร้อมปืนใหญ่และธงรบที่ยึดได้ บนสันเขาแพรตเซินที่ตอนเช้ายังเป็นของอีกฝ่าย “ดวงอาทิตย์แห่งเอาส์เทอร์ลิทซ์” ซึ่งถูกกล่าวขานในเวลาต่อมา จึงไม่ใช่เพียงภาพท้องฟ้าที่เปิดจากหมอก แต่หมายถึงจังหวะที่ฝรั่งเศสยึดศูนย์กลางของสนามรบได้และผ่ากองทัพศัตรูออกเป็นสองส่วน ตั้งแต่บัดนั้นผลลัพธ์ของวันก็ถูกชี้ขาดแล้ว—ปีกขวาที่ถูกล่อให้บุกลึกไม่อาจได้รับการคุ้มครองจากศูนย์ ปีกซ้ายถูกตรึงด้วยการรบม้าต่อเนื่อง และกองกำลังโต้กลับที่แข็งแกร่งที่สุดถูกทำลายโมเมนตัมบนเนินสูง เมื่อทุกชิ้นส่วนประกอบเข้าที่ ชัยชนะในสนามรบจึงตกเป็นของฝรั่งเศสอย่างเด็ดขาดในเย็นวันนั้นเอง

ผลที่ตามมา

[แก้]
จักรพรรดินโปเลียนและจักรพรรดิฟรันทซ์พบปะกันหลังยุทธการ

ชัยชนะของฝรั่งเศสในยุทธการที่เอาส์เทอร์ลิทซ์ ส่งผลสะเทือนอย่างรุนแรงต่อดุลอำนาจในยุโรป การพ่ายแพ้ของรัสเซียและออสเตรียทำให้ “สหสัมพันธมิตรครั้งที่สาม” แตกสลาย กองทัพออสเตรียสูญเสียกำลังหลัก ขณะที่รัสเซียจำต้องถอนทัพกลับประเทศเพื่อรักษากำลังที่เหลือ ฝรั่งเศสจึงครองความเหนือชั้นบนภาคพื้นทวีปโดยไร้คู่แข่งทันที

ออสเตรียยอมลงนามในสนธิสัญญาเพรสบวร์คเมื่อวันที่ 26 ธันวาคม 1805 ยกดินแดนหลายแห่งให้ฝรั่งเศสและบริวาร พร้อมจ่ายค่าปฏิกรรมสงคราม การสูญเสียดินแดนและอำนาจทางการเมืองครั้งนี้ทำให้ออสเตรียอ่อนแอลงอย่างมาก จักรพรรดินโปเลียนใช้โอกาสนี้จัดตั้งสมาพันธรัฐลุ่มน้ำไรน์ในปีถัดมา ดึงราชรัฐเยอรมันจำนวนมากเข้าสู่อิทธิพลฝรั่งเศส และเร่งให้จักรวรรดิโรมันอันศักดิ์สิทธิ์ซึ่งดำรงอยู่มากว่าพันปีล่มสลายลงในปี 1806

อ้างอิง

[แก้]
  1. French numbers at the battle vary depending on the account; 65,000, 67,000, 73,000, or 75,000 are other figures often present in the literature. The discrepancy arises because about 7,000 men of Davout's III Corps were not at the battle right when it started. Including or not including these troops is a matter of preference (in this article, they will be included as separate from the 67,000 French soldiers originally on the field). David G. Chandler, The Campaigns of Napoleon. p. 416 gives 67,000 (without Davout's III Corps)
  2. Allied numbers at the battle vary depending on the account; 73,000, 84,000, or 85,000 are other figures often present in the literature. Andrew Uffindell, Great Generals of the Napoleonic Wars. p. 25 gives 73,000. David G. Chandler, The Campaigns of Napoleon. p. 417 gives 85,000. In Napoleon and Austerlitz (1997), Scott Bowden writes that the traditional number given for the Allies, 85,000, reflects their theoretical strength, and not the true numbers present on the battlefield.
  3. Andrew Roberts, Napoleon, A Life. p. 390