เจ้าจอมประคอง ในรัชกาลที่ 5
เจ้าจอมประคอง ในรัชกาลที่ 5 | |
|---|---|
เจ้าจอมประคอง ในพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว | |
| เกิด | คุณประคอง อมาตยกุล พ.ศ. 2408 สยาม |
| เสียชีวิต | ช่วงสงครามเกาหลี พ.ศ. 2494 |
| คู่สมรส | พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว |
| บุพการี | พระยาธรรมสารนิติพิพิธภักดี (ตาด อมาตยกุล) คุณหญิงอิ่ม ธรรมสารนิติ |
เจ้าจอมประคอง ในรัชกาลที่ 5 ต.จ. กำเนิดในสกุลอมาตยกุล เมื่อปี พ.ศ. 2408 เป็นธิดาคนที่ 5 ของพระยาธรรมสารนิติพิพิธภักดี (ตาด อมาตยกุล) อธิบดีศาลต่างประเทศ กับคุณหญิงอิ่ม ธรรมสารนิติ มีพี่น้องร่วมมารดา 6 คน มีชื่อคล้องจองในวัยเยาว์อันไพเราะว่า "แสนถนอม-จอมถวิล-ปิ่นอนงค์-พงษ์ประวัติ-ถัดประคอง-รองจรูญ"
ท่านเหล่านี้ภายหลังมีชื่อและบรรดาศักดิ์ในภายหลังว่า
- คุณหญิงถนอม เพชรพิไชย
- พระยาอภัยรณฤทธิ์ (จอมถวิล อมาตยกุล)
- คุณหญิงอนงค์ อภิรักษ์ราชอุทยาน
- หลวงพิเทศพิไสย (ประวัติ อมาตยกุล)
- เจ้าจอมประคอง ต.จ.
- คุณจรูญ อมาตยกุล
ประวัติ
[แก้]ตามประเพณีไทยในวงศ์สกุลใหญ่สมัยนั้น ถือกันว่ามีบุตรก็ให้ถวายตัวรับราชการฝ่ายหน้า มีธิดาให้ถวายตัวรับราชการฝ่ายใน ด้วยเหตุนี้ ธิดาของพระยาธรรมสารนิติ ที่มีชื่อว่า "ถัดประคอง" จึงถูกเตรียมนำเข้าถวายตัว ตั้งแต่อายุ 11 ปี เมื่อ พ.ศ. 2419 โดยพำนักอยู่กับท้าวทรงกันดาล (วรรณ อมาตยกุล) ผู้ว่าราชการพระคลังฝ่ายใน เพื่อฝึกระเบียบชาววัง จนอายุ 14 ปี ใน พ.ศ. 2422 จึงถวายตัวรับราชการฝ่ายใน เป็นเจ้าจอมรุ่นแรก ๆ ในพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว
โดยที่พระยาธรรมสารนิติ ผู้บิดา จัดเจนในซอสามสาย และได้แนะนำตัวท่านเจ้าจอมประคอง ให้ฝึกเล่นมาก่อนจะถวายตัว รับกลเด็ดเม็ดพรายในการสีซอจากเจ้าคุณบิดาไว้มาก ดังนั้นเมื่อเข้าไปเป็นเจ้าจอม ท่านจึงเล่นซอสามสายได้เป็นเอก และได้เข้าร่วมอยู่ในวงมโหรีหลวง ร่วมกับเจ้าจอมมารดาชั้นผู้ใหญ่ คือ เจ้าจอมมารดาวาด ในรัชกาลที่ 5 และ เจ้าจอมมารดาเหม ในรัชกาลที่ 5 มีผู้เล่าว่าท่านเป็นผู้มีบุคลิกเป็นสง่างาม ตัวใหญ่ เวลานั่งสีซอจะตัวตรงอกผาย หน้าที่ของท่านนอกจากจะสีซอแล้ว ยังได้รับไว้วางพระราชหฤทัย ให้เป็นผู้อบร่ำผ้าเช็ดพระพักตร์ ของพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวด้วย
เจ้าจอมประคอง ได้รับพระราชทานเครื่องราชอิสริยาภรณ์ตติยจุลจอมเกล้า ณ ท้องพระโรงกลาง พระที่นั่งจักรีมหาปราสาท เมื่อวันที่ 16 พฤศจิกายน พ.ศ. 2439 กับหีบหมากทองคำเป็นเกียรติยศ และได้รับพระราชทานเบี้ยหวัดปีละ 7 ชั่ง
ในด้านการครองชีพในพระบรมมหาราชวัง เจ้าจอมประคองคงไม่รับเพียงเบี้ยหวัดเงินปีเท่านั้น แต่ยังได้ทำอุตสาหกรรมในเรือน เป็นต้นว่า รับจ้างย้อมผ้าสไบสีต่าง ๆ ตลอดจนย้อมด้วยลูกคำ ซึ่งสมัยนั้นหาคนทำได้ดียาก โดยเฉพาะสีเกสรชมพู่นั้นท่านทำได้อย่างดี ในกระบวนคุณจอมทั้งหลายต้องมาให้ท่านทำทั้งสิ้น พร้อมกับจีบ อบร่ำ ปรุงน้ำอบ ปรุงน้ำมันอย่างดี ทำขายดีมาก
นอกจากนี้ยังทำขนมต่าง ๆ ให้คนใช้ไปเร่ขายตามตำหนักต่าง ๆ เช่น ขนมตาล สมัยนั้นเป็นที่เลื่องลือ, ขนมอินเวนต์ ที่ท่านคิดทำขึ้นเอง, ขนมผิงที่รับประทานแล้วละลายทันที, ขนมเรือ ฯลฯ สรุปแล้วกำไรตกราวเดือนละ 400-500 บาท นับเป็นเจ้าจอมที่มีฐานะท่านหนึ่ง
เมื่อสิ้นรัชกาลพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว แล้วเจ้าจอมประคองได้กราบถวายบังคมลาออกมาพำนักนอกวัง มาอาศัยกับคุณหญิงทรามสงวน อภัยรณฤทธิ์ ผู้เป็นพี่สะใภ้ ที่บ้านชื่อ "สงวนสุข" ถนนพระราม 5 ซึ่งในเวลาต่อมาได้ใช้เป็นที่ทำการ พรรคสหภูมิ และ พรรคชาติสังคม โดยก่อนหน้านั้นท่านได้รับหลานสาว 2 คน เป็นธิดาของน้องชาย หลวงพิเทศพิไสย อันเกิดกับพระนมร่ำ (บุนนาค) คือ คุณสุนีย์สาย อมาตยกุล (คุณหญิงสุนีย์สาย สีหราชเดโชไชย) และ สำนึง อมาตยกุล (ภรรยา ร้อยโทจงกล ไกรฤกษ์) มาเป็นบุตรบุญธรรม ภายหลังท่านก็ได้ปลูกบ้านเป็นของตนเองใกล้ ๆ กับบ้านสงวนสุขนั้น
เจ้าจอมประคองในรัชกาลที่ 5 ถึงแก่อนิจกรรม ระหว่างสงครามเกาหลีหรือหลังสงครามโลกครั้งที่ 2 สิริอายุได้ 86 ปี แต่บรรดาหลาน ๆ ยังคงเก็บศพไว้ จนได้นำมาประกอบพิธีพระราชทานเพลิงศพ ณ เมรุวัดมกุฏกษัตริยารามราชวรวิหาร เมื่อวันที่ 15 มิถุนายน พ.ศ. 2509
เครื่องราชอิสริยาภรณ์
[แก้]- พ.ศ. ไม่ปรากฎ –
เหรียญรัตนาภรณ์ รัชกาลที่ 5 ชั้นที่ 3 (จ.ป.ร.3)[1] - พ.ศ. 2439 –
เครื่องราชอิสริยาภรณ์จุลจอมเกล้า ชั้นที่ 3 ตติยจุลจอมเกล้า (ต.จ.) (ฝ่ายใน)
ลำดับสาแหรก
[แก้]| ลำดับสาแหรกของเจ้าจอมประคอง ในรัชกาลที่ 5 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
| |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
อ้างอิง
[แก้]- ↑ "พระราชทานเหรียญรัตนาภรณ์รัชกาลปัตยุบันฝ่ายใน" (PDF). ราชกิจจานุเบกษา. 25 (39): 1154. 23 ธันวาคม พ.ศ. 2451. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิม (PDF)เมื่อ 2011-11-20. สืบค้นเมื่อ 2014-10-22.
{{cite journal}}: ตรวจสอบค่าวันที่ใน:|date=(help)