ข้ามไปเนื้อหา

เจ้าพระยารัตนาพิพิธ (สน สนธิรัตน์)

จากวิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี
เจ้าพระยารัตนาพิพิธ
(สน สนธิรัตน์)
สมุหนายก
ดำรงตำแหน่ง
พ.ศ. 2325  2348
กษัตริย์พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช
ก่อนหน้าสมเด็จเจ้าพระยามหากษัตริย์ศึก (ทองด้วง)
ถัดไปเจ้าพระยารัตนาธิเบศร์ (กุน รัตนกุล)
ข้อมูลส่วนบุคคล
เกิด
สน

พ.ศ. 2278
อาณาจักรอยุธยา
เสียชีวิตพ.ศ. 2348 (70 ปี)
อาณาจักรรัตนโกสินทร์
คู่สมรสเจ้าสุมณฑา
บุตร10 คน; รวมถึง เจ้าจอมอำพัน, เจ้าพระยาธรรมาธิกรณ์ (เสือ สนธิรัตน์) และเจ้าจอมมารดาปุก
บุพการี
  • ขุนกำแหง (สุ่น) (บิดา)

เจ้าพระยารัตนาพิพิธ (พ.ศ. 2278 – 2348) นามเดิม สน เป็นสมุหนายกคนแรกของกรุงรัตนโกสินทร์ในรัชกาลพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลก เป็นแม่ทัพผู้มีบทบาทในสงครามเก้าทัพและสงครามตีเมืองทวาย เป็นต้นสกุล"สนธิรัตน์"

เจ้าพระยารัตนาพิพิธเกิดเมื่อปีเถาะ พ.ศ. 2278[1] ในรัชกาลพระเจ้าอยู่หัวบรมโกศ เดิมชื่อว่า สน หนังสือของก.ศ.ร. กุหลาบ ระบุว่าเจ้าพระยารัตนาพิพิธเป็นบุตรชายของขุนกำแหง (สุ่น)[2] กรมการด่านเมืองสวรรคโลกเมื่อครั้งกรุงศรีอยุธยา เจ้าพระยารัตนาพิพิธมีน้องชายซึ่งต่อมามีบรรดาศักดิ์เป็นหลวงธรเณนทร์[3] เจ้าพระยารัตนาพิพิธปรากฏครั้งแรกรับราชการเป็นพระอักษรสุนทร[1] เสมียนตรากรมมหาดไทยในสมัยกรุงธนบุรี ซึ่งอยู่ภายใต้การบัญชาของเจ้าพระยาจักรี (ทองด้วง) เมื่อสมเด็จเจ้าพระยามหากษัตริย์ศึกเสด็จยกทัพไปตีอาณาจักรล้านช้างเวียงจันทน์ พระอักษรสุนทร (สน) ได้ติดตามเสด็จไปด้วยและได้รับเจ้าเชื้อพระวงศ์ลาวชื่อว่าเจ้าสุมณฑา[3]มาเป็นภรรยา เมื่อพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกเสด็จขึ้นครองราชสมบัติในพ.ศ. 2325 ทรงแต่งตั้งพระอักษรสุนทร (สน) ขึ้นเป็นเจ้าพระยารัตนาพิพิธที่สมุหนายก เป็นสมุหนายกคนแรกของกรุงรัตนโกสินทร์ ดังในคำปรึกษาตั้งข้าราชการว่า

นายสนเป็นข้าใต้ละอองธุลีพระบาท มีความอุตสาหะจงรักภักดี ทำราชการช้านานมา จนเสด็จพระราชดำเนินงานพระราชสงครามแห่งใด ก็ได้โดยเสด็จพระราชดำเนิน ทำราชการฉลองพระเดชพระคุณต่างพระเนตรพระกรรณทุกครั้งมิได้เว้นว่าง...มีความชอบมาก จะให้ไปพานเมืองครองเมืองอันใหญ่ แต่ข้าพระพุทธเจ้าเห็นว่าจะไกลใต้ละอองธุลีพระบาทนัก ข้าพเจ้าทั้งปวงขอพระราชทานให้เป็น เจ้าพระยารัตนาพิพิธว่าที่สมุหนายก...

[1]

ใน พ.ศ. 2328 สงครามเก้าทัพ พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าฯมีพระราชโองการให้เจ้าพระยารัตนาพิพิธ (สน) ยกทัพฝ่ายพระราชวังหลวง[4]ไปกับทัพของกรมพระราชวังบวรมหาสุรสิงหนาทในการเสด็จไปรบกับทัพพม่าในการรบที่ลาดหญ้า และยกทัพตามเสด็จกรมพระราชวังบวรฯอีกครั้งในสงครามท่าดินแดงใน พ.ศ. 2329 ร่วมกับพระยากลาโหมราชเสนาและพระยาจ่าแสนยากร เป็นทัพหน้าตั้งค่ายที่สามสบและสามารถตีทัพพม่าแตกพ่ายไปได้

ต่อมาในสงครามตีเมืองทวายใน พ.ศ. 2330 พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าฯมีพระราชโองการให้จัดทัพเข้ายกไปโจมตีเมืองทวาย[4]ผ่านทางด่านวังปอ (ทางตำบลปิล็อก อำเภอทองผาภูมิ จังหวัดกาญจนบุรี) เจ้าพระยารัตนาพิพิธ (สน) และเจ้าพระยามหาเสนา (ปลี) สมุหกลาโหมเป็นทัพหน้า เจ้าพระยาทั้งสองยกทัพเข้าโจมตีทัพพม่าที่ด่านวังปอ โดยเจ้าพระยารัตนาพิพิธส่งพระยามหาอำมาตย์นำทัพไปก่อน เมื่อพระยามหาอำมาตย์ไม่สามารถยึดด่านวังปอได้ เจ้าพระยารัตนาพิพิธและเจ้าพระยามหาเสนาจึงยกทัพเข้าตีด่านวังปอได้สำเร็จ จากนั้นยึดเมืองกลิอ่องต่อและยกทัพเข้าประชิดเมืองทวาย ฝ่ายไทยไม่สามารถเข้ายึดเมืองทวายได้หลังจากประชิดเมืองอยู่ครึ่งเดือน พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกฯมีพระราชโองการให้เลิกทัพถอยกลับ

หลังจากได้เมืองทวายแล้ว ใน พ.ศ. 2336 พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าฯมีพระราชดำริ[4]ที่จะยกทัพล่วงต่อจากเมืองทวายไปยังเขตแดนเมืองพม่าตอนล่าง จึงมีพระราชโองการให้เจ้าพระยารัตนาพิพิธ (สน) และเจ้าพระยามหาเสนา (ปลี) ยกทัพหน้าไปสมทบกับทัพของพระยายมราช (บุนนาค) ที่ทวาย ในขณะนั้นเองพระเจ้าปดุงได้ส่งทัพมายึดเมืองทวายคืน เจ้าพระยารัตนาพิพิธ เจ้าพระยามหาเสนา และพระยายมราช ตั้งค่ายอยู่ทางทิศตะวันออกของเมืองทวาย ฝ่ายพม่าตั้งอยู่ทางทิศตะวันตก ชาวเมืองทวายเป็นกบฏลุกฮือขึ้นต่อต้านการปกครองของไทยและร่วมกับทัพพม่าเข้าโจมตีทัพของไทยทางตะวันออก เสนาบดีทั้งสามไม่สามารถต้านทานทัพพม่าได้ ถอยทัพไปยังค่ายของพระอภัยรณฤทธิ์ ซึ่งเป็นทัพหน้าของทัพหลวง เสนาบดีทั้งสามขอเข้าไปในค่ายของพระอภัยรณฤทธิ์ แต่พระอภัยรณฤทธิ์ปฏิเสธไม่ให้เข้าเกรงว่าหากทัพพม่ายกติดตามเสนาบดีทั้งสามเข้ามาในค่ายและทัพหน้าของพระอภัยรณฤทธิ์แตกพ่ายไป ทัพหลวงจะได้รับอันตราย[4] เสนาบดีทั้งสามจึงสู้กับพม่าอยู่หน้าค่ายของพระอภัยรณฤทธิ์ เจ้าพระยารัตนาพิพิธและพระยายมราชสามารถรอดมาได้ แต่เจ้าพระยามหาเสนา (ปลี) ถึงแก่อสัญกรรมในที่รบ[5]

เจ้าพระยารัตนาพิพิธถึงแก่อสัญกรรมในพ.ศ. 2348 อายุ 70 ปี ในรัชกาลที่ 1 ซึ่งใน พ.ศ. 2348 นั้น มีเจ้าพระยากรุงรัตนโกสินทร์ถึงแก่อสัญกรรมถึงสามคน[1] ได้แก่ เจ้าพระยารัตนาพิพิธ (สน) เจ้าพระยาพระคลัง (หน) และเจ้าพระยาอรรคมหาเสนา (บุนนาค)

เจ้าพระยารัตนาพิพิธ มีบุตรธิดาดังต่อไปนี้;[6]

พระบาทสมเด็จพระมงกุฏเกล้าเจ้าอยู่หัวพระราชทานนามสกุล "สนธิรัตน์" ให้แก่พระยาวรวิไชยวุฒิกร (เลื่อม สนธิรัตน์)[7] มาจากคำว่า "สน" ซึ่งเป็นชื่อเดิมของเจ้าพระยารัตนาพิพิธ และคำว่า "รัตน์" มาจากราชทินนาม "รัตนาพิพิธ" พระยาวรวิไชยวุฒิกร (เลื่อม) เป็นบุตรของพระยาบุริมทิศพิไชย (สุด สนธิรัตน์)[6] ซึ่งพระยาบุริมทิศพิไชย (สุด) นั้น เป็นบุตรของเจ้าพระยาธรรมาธิกรณ์ (ละมั่ง) และเป็นหลานของเจ้าพระยารัตนาพิพิธ

อ้างอิง

[แก้]
  1. 1 2 3 4 สมมตอมรพันธุ์, พระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระ. เรื่องตั้งเจ้าพระยาในกรุงรัตนโกสินทร์. กรุงเทพ : กรมศิลปากร, 2545.
  2. เอียวศรีวงศ์, นิธิ. การเมืองไทยสมัยพระเจ้ากรุงธนบุรี. กรุงเทพฯ; มติชน, พ.ศ. 2550.
  3. 1 2 พิทยลาภพฤฒิยากร, พระวรวงศ์เธอ กรมหมื่น. ศกุนตลา บทลครร้องสำหรับเล่นบทเวที: ประวัติท่านผู้หญิงกลีบ มหิธร. พิมพ์ในการพระราชทานเพลิงศพท่านผู้หญิงกลีบ มหิธร, กรกฎาคม พ.ศ. 2504.
  4. 1 2 3 4 ทิพากรวงศ์ (ขำ บุนนาค), เจ้าพระยา. พระราชพงศาวดารกรุงรัตนโกสินทร์ รัชกาลที่ ๑. พิมพ์ครั้งที่ ๖.
  5. ดำรงราชานุภาพ, สมเด็จกรมพระยา. พงษาวดารเรื่องเรารบพม่า ครั้งกรุงธน ฯ แลกรุงเทพ ฯ.
  6. 1 2 รัตนกุลอดุลยภักดี, พระยา. ลำดับสกุลเก่าบางสกุล ภาคที่ ๑. กรุงเทพฯ : โรงพิมพ์โสภณพิพรรฒธนากร, 2463.
  7. พระราชทานนามสกุล "สนธิรัตน์" ให้แก่พระยาวรวิไชยวุฒิกร (เลื่อม สนธิรัตน์)