ข้ามไปเนื้อหา

การก่อการกำเริบของชาวนาชาวไร่ในประเทศไทย ทศวรรษ 1970

จากวิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี
ชาวนาไทยในจังหวัดเชียงใหม่ พ.ศ. 2519 (ค.ศ. 1976)

การก่อการกำเริบของชาวนาชาวไร่ในประเทศไทยช่วงทศวรรษ 1970 หรือ ช่วงระหว่างพ.ศ. 2513 - 2522 (ค.ศ. 1970-79) เป็นเหตุการณ์ที่ราชอาณาจักรไทยเผชิญกับการลุกฮือและการก่อการกำเริบของชาวนาชาวไร่ในหลายจังหวัดกลางคริสต์ทศวรรษที่ 1970 อันเป็นช่วงที่ประเทศไทยกำลังเปลี่ยนผ่านสู่การปกครองแบบประชาธิปไตย หลังจากอยู่ภายใต้การปกครองโดยรัฐบาลเผด็จการทหารมาเกือบ 40 ปี และราชอาณาจักรต้องเผชิญกับการปฏิวัติที่เกี่ยวข้องกับประชาชนหลายกลุ่ม ชาวนาชาวไร่เป็นหนึ่งในกลุ่มการเมืองจากอีกหลายกลุ่มที่ประท้วงบนท้องถนน พวกเขาวิงวอนนายกรัฐมนตรีไทย จอมพลถนอม กิตติขจร ให้ดำเนินมาตรการลดหนี้และประกันราคาข้าวที่เป็นธรรม

คำร้องขอเหล่านี้ของเกษตรกรถูกเพิกเฉย โดยนายกรัฐมนตรีปฏิเสธที่จะพบปะกับเกษตรกร ด้วยความสิ้นหวังนั้น เกษตรกรจึงพยายามทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงด้วยตนเอง พวกเขาไม่กลัวเจ้าหนี้และนายทุนคนอื่นๆ แต่หวังว่าการเปลี่ยนแปลงจะช่วยให้พวกเขาหลุดพ้นจากการเป็นหนี้ได้ พวกเขาประกาศเจตนาที่จะหยุดจ่ายภาษีและปฏิเสธที่จะยอมรับอำนาจของผู้นำรัฐไทย ด้วยการจัดตั้งเขตปกครองตนเองแบบปลดปล่อย เกษตรกรจึงแสวงหาเสรีภาพที่มากขึ้น และความสามารถในการควบคุมราคาข้าวได้ดีขึ้น เพื่อให้สามารถเลี้ยงตัวเองได้ดีขึ้น

จุดมุ่งหมายของการก่อการกำเริบของชาวนาชาวไร่คือ เพื่อให้ได้รับการยอมรับว่าพวกเขาเป็นบุคคลที่มีคุณูปการต่อรัฐ และต่อมาก็ต้องการให้ได้รับการปฏิบัติด้วยความเคารพเท่าเทียมกับเจ้าของที่ดินของพวกเขา จากการก่อการกำเริบนี้ สหพันธ์ชาวนาชาวไร่แห่งประเทศไทย (สชท.) ซึ่งเป็นองค์กรอิสระของเกษตรกรไทยในระดับชาติได้เกิดขึ้น สหพันธ์ชาวนาชาวไร่แห่งประเทศไทยยังนำการต่อสู้ในภาคเหนือของไทย เพื่อให้ผ่านพระราชบัญญัติกฎหมายที่กำหนดมาตรฐานและลดระดับค่าเช่าที่ดินในการทำนา ซึ่งเรียกว่า พระราชบัญญัติควบคุมการเช่านา พ.ศ. 2517 ในเดือนธันวาคม ค.ศ. 1974[1]

เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นหลังความเคลื่อนไหวในเหตุการณ์ 14 ตุลา พ.ศ. 2516 (ค.ศ. 1973) คือการประท้วงครั้งใหญ่ของเกษตรกรและพันธมิตร เช่น นักศึกษาและชนชั้นวิชาชีพ ซึ่งท้าทายชนชั้นปกครองให้ปรับปรุงคุณภาพชีวิตของเกษตรกร[1] การจลาจลครั้งนี้สร้างความไม่พอใจให้กับเจ้าของที่ดินและเจ้าหน้าที่รัฐ ต่อมาทำให้นักเคลื่อนไหวถูกคุกคามและถูกฆาตกรรมตามมา ในช่วงเดือนมีนาคม พ.ศ. 2517 (ค.ศ. 1974) ถึง กันยายน พ.ศ. 2523 (ค.ศ. 1979) แกนนำสหพันธ์ชาวนาชาวไร่แห่งประเทศไทยจำนวน 21 คน ถูกสังหาร โดยพื้นที่สังหารส่วนใหญ่เกิดขึ้นในเขตจังหวัดเชียงใหม่[2] การลอบสังหารแกนนำสชท. ก่อให้เกิดบรรยากาศแห่งความหวาดกลัวที่แพร่หลายในชนบทและยุติความพยายามปฏิวัติของสชท.

สถานการณ์ทางสังคมและเศรษฐกิจ

[แก้]
ชาวนากำลังทำนาในกรุงเทพฯ เมื่อพ.ศ. 2508 (ค.ศ. 1965)
เปิบข้าวทุกคราวคำ จงสูจำเป็นอาจิณ
เหงื่อกูที่สูกิน จึงก่อเกิดมาเป็นคน
ข้าวนี้นะมีรส ให้ชนชิมทุกชั้นชน
เบื้องหลังสิทุกข์ทน และขมขื่นจนเขียวคาว
จากแรงมาเป็นรวง ระยะทางนั้นเหยียดยาว
จากรวงเป็นเม็ดพราว ล้วนทุกข์ยากลำบากเข็ญ
เหงื่อหยดสักกี่หยาด ทุกหยดหยาดล้วนยากเย็น
ปูดโปนกี่เส้นเอ็น จึงแปรรวงมาเป็นกิน
น้ำเหงื่อที่เรื่อแดง และน้ำแรงอันหลั่งริน
สายเลือดกูทั้งสิ้น ที่สูซดกำซาบฟัน
จิตร ภูมิศักดิ์[3]

ปัญหาสำคัญในสังคมไทยคือความยากจนในชนบทและการพัฒนาที่ล่าช้าในภูมิภาค ในขณะที่เมืองต่างๆ เจริญเติบโตอย่างรวดเร็วพร้อมกับการเจริญเติบโตของชนชั้นกลางในเมืองด้วย[4] เกษตรกรรายย่อย เป็นกลุ่มอาชีพที่มีจำนวนมากที่สุดในประเทศไทย คิดเป็นร้อยละ 78 ของกำลังแรงงานทั้งหมดในประเทศไทย[5] ผลผลิตทางการเกษตร โดยเฉพาะข้าว คิดเป็นเกือบร้อยละ 30 ของผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ (GDP) ของไทย[6]

อย่างไรก็ตามผู้ผลิตสินค้าโภคภัณฑ์กลับไม่ได้รับประโยชน์ ชาวนาต้องพึ่งการขายข้าวเพื่อความอยู่รอด พวกเขาจึงจัดตั้งกลุ่มเกษตรกรและจัดตั้งแนวร่วมเกษตรกรระดับชาติเพื่อต่อต้านสภาวะตลาดที่ถูกเอารัดเอาเปรียบ เพื่อสร้างภูมิคุ้มกันให้ตนเองได้ดีขึ้น แต่ความพยายามของชาวนาในการปกป้องแหล่งทำกินและรายได้ของตนก็ไร้ผล ซึ่งความพยายามของพวกเขาถูกขัดขวางโดยเจ้าหน้าที่รัฐที่สมรู้ร่วมคิดกับเจ้าของที่ดินและผู้ที่มีผลประโยชน์ทับซ้อนในการทำให้แน่ใจว่าราคาข้าวจะยังคงต่ำ[4] ในคริสต์ทศวรรษที่ 1970 เกษตรกรไทยมีรายได้เฉลี่ยต่อหัวเพียง 49 ดอลลาร์สหรัฐ ในทางตรงกันข้าม รายได้เฉลี่ยต่อหัวของประเทศอยู่ที่ 125 ดอลลาร์สหรัฐ และรายได้เฉลี่ยต่อหัวของคนเมืองอยู่ที่ 428 ดอลลาร์สหรัฐ[7]

ช่องว่างทางรายได้ที่เพิ่มมากขึ้น

[แก้]
ปี รายได้ต่อหัวของเกษตรกร (บาท) (A) รายได้ต่อหัวของคนเมือง (บาท) (B) A/B (%)
1960 (พ.ศ. 2503) 1,044 6,434 16.2
1970 (พ.ศ. 2513) 1,310 8,618 15.2
1975 (พ.ศ. 2518) 1,433 10,061 14.2
1980 (พ.ศ. 2523) 1,525 12,964 11.8
1985 (พ.ศ. 2528) 1,724 15,110 11.4

แหล่งที่มา: รายงานข่าวใน Prachtnippatai , 23 กรกฎาคม พ.ศ. 2517 (ค.ศ. 1974) อ้างอิงจาก อากิระ ทาคาฮาชิ, "Thailand: Growing Land Problems", in Z. M. Ahmadi, ed., Land Reform in Asia, Geneva, 1976, p. 118.[4]

ก่อนหน้านี้ประเทศไทยไม่เคยประสบปัญหาอัตราการเติบโตของประชากรอย่างรวดเร็วเหมือนในประเทศกำลังพัฒนาส่วนใหญ่ ด้วยผลผลิตในดินที่เกิดขึ้ย สภาพแวดล้อมภายนอก ประกอบกับวัฒนธรรมทางการเมืองที่ไม่ค่อยเหมือนใคร ซึ่งยึดหลักความเคารพและความรักต่อสถาบันพระมหากษัตริย์ที่สืบราชสันตติวงศ์มา ส่งผลให้ประชากรในชนบทของไทยมีความเฉยเมยทางการเมือง[5] แต่การเปลี่ยนแปลงนโยบายหลายประการที่รัฐบาลประกาศใช้ส่งผลกระทบในทางลบต่อพื้นที่ชนบทของประเทศไทย โดยเฉพาะในช่วงที่เปิดเสรีทางการเมืองระหว่างปี พ.ศ. 2516-2519 (ค.ศ.1973-76) การเพิ่มขึ้นอย่างกะทันหันของจำนวนประชากรไทยประกอบกับปัญหาที่ดินทำกินที่ขาดแคลนมากขึ้น ส่งผลให้เกิดความขัดแย้งทางการเมืองและสังคมเพิ่มมากขึ้นตามไปด้วย[5]

โดยทั่วไปแล้ว ค่าเช่าและหนี้สินของเกษตรกรจะเพิ่มขึ้น โดยเฉพาะในพื้นที่ราบทางภาคเหนือและภาคกลาง แม้ว่าจะมีการโต้ตอบกันมากขึ้นระหว่างชาวนาชาวไร่และเจ้าหน้าที่รัฐเนื่องจากมีโครงสร้างพื้นฐานที่ดีขึ้นมากและการเกิดขึ้นของหน่วยงานท้องถิ่นท้องที่ในชนบทที่มีบทบาทมากขึ้น แต่ลักษณะของการโต้ตอบเหล่านี้มักเป็นไปในทางลบมากกว่า ชาวนาชาวไร่เริ่มไม่ไว้วางใจหน่วยงานรัฐ และเมื่อเวลาผ่านไปก็เริ่มถึงจุดแตกหัก พวกเขาหันมาใช้มาตรการทางการเมืองเพื่อแสดงความไม่พอใจต่อรัฐบาล ในยุคที่การเมืองเปิดกว้างมากขึ้น มีกรณีการร้องเรียนคัดค้านการเช่าที่ดินและการชุมนุมประท้วงจนนำไปสู่การจัดตั้งสหพันธ์ชาวนาชาวไร่แห่งประเทศไทย (สชท.) สหพันธ์นี้มักปะทะกับชนชั้นปกครองในการพยายามปรับปรุงคุณภาพชีวิตของชาวนาไทยให้ดีขึ้น[5]

นโยบายการผลิตข้าว

[แก้]
นายกรัฐมนตรีจอมพล ป. พิบูลสงคราม กับชาวนาไทย พ.ศ. 2483 (ค.ศ. 1942) ที่บางเขน

ข้าวเป็นศูนย์กลางทางเศรษฐกิจและวัฒนธรรมของประเทศไทย การเพาะปลูกครอบคลุมพื้นที่เพาะปลูกประมาณร้อยละ 55 ของพื้นที่เพาะปลูกทั้งหมดในประเทศไทย และเป็นอาหารหลักของประชาชนทุกระดับรายได้[8] ในช่วงคริสต์ทศวรรษที่ 1970 ประเทศไทยได้ลงทุนอย่างหนักในการปรับปรุงโครงสร้างพื้นฐาน การวิจัยด้านการเกษตร และเครือข่ายถนน เพื่อเพิ่มผลผลิตข้าวมากขึ้น[8] การใช้เทคโนโลยีควบคู่ไปกับความรู้ขั้นสูงเกี่ยวกับสายพันธุ์ข้าวและปุ๋ย รวมถึงนโยบายภาครัฐที่เป็นประโยชน์ ทำให้ผลผลิตข้าวเพิ่มขึ้น ตั้งแต่ปีพ.ศ. 2493 ถึง พ.ศ. 2522 ผลผลิตข้าวต่อหน่วยพื้นที่เพิ่มขึ้นเกือบร้อยละ 50[9]

ก่อนสงครามโลกครั้งที่สอง ชาวนาส่วนใหญ่มีที่ดินทำกินเป็นของตนเองและการแลกเปลี่ยนแรงงานระหว่างชาวนาถือเป็นเรื่องปกติ การผลิตข้าวโดยปกติแล้วจะไม่มากไปกว่าเท่าที่ชาวนานั้นต้องการบริโภคเพื่อมีชีวิตอยู่เท่านั้น แต่ในหลังสงครามโลกครั้งที่สอง ด้วยแรงกดดันและความต้องการในการค้าข้าวกับยุโรป รัฐบาลไทยจึงเริ่มที่จะปกป้องชาวนาน้อยลงและทำงานร่วมกับพ่อค้ามากขึ้น รัฐบาลเริ่มต้นกังวลเกี่ยวกับการผลิตที่เพิ่มขึ้นและแสวงผลประโยชน์จากส่วนเกินที่เพิ่มมากขึ้นจากอุตสาหกรรมข้าว ประเทศไทยหันไปยังพ่อค้าที่จะสร้างแรงกดดันนี้และให้ผลดีเยี่ยม[9]

พร้อมกันนี้ รัฐบาลยังพยายามเร่งการเติบโตในเขตเมืองด้วย นโยบายหนึ่งคือการเก็บภาษีในอุตสาหกรรมผลิตข้าวและนำกำไรไปสนับสนุนโครงการที่จำเป็นอย่างยิ่งในเมืองใหญ่ ทางการไทยจัดเก็บภาษีจากการส่งออกข้าวที่เรียกว่า “พรีเมี่ยมข้าว” ซึ่งทำให้รายได้ภาษีเพิ่มขึ้น แต่ในขณะเดียวกันราคาข้าวภายในประเทศก็ลดลงด้วย เมื่อรัฐบาลประกาศใช้นโยบายนี้ รัฐบาลก็เปลี่ยนแนวทางจากการปกป้องเกษตรกรมาเป็นปล่อยให้ภาคอุตสาหกรรมผลิตข้าวขึ้นอยู่กับกลไกของตลาด ซึ่งมักนำไปสู่การเอากำไรอย่างไร้ขอบเขต[5]

แม้ว่าเทคโนโลยีจะช่วยปรับปรุงการผลิตข้าวได้อย่างมาก แต่ก็ไม่ได้แปลว่าจะทำให้ชาวนาประสบผลสำเร็จ ราคาที่พุ่งสูงขึ้นทำให้เกษตรกรจำนวนมากไม่สามารถถือครองที่ดินของตนได้ หลายคนต้องกลายเป็นผู้เช่านาเพื่อเลี้ยงชีพ แม้ว่าเศรษฐกิจไทยจะไม่แน่นอน แต่ดูเหมือนว่ารัฐบาลไม่กังวลอะไร ภาษีถูกจัดเก็บไม่ว่าปีไหนก็เก็บผลผลิตได้ดีหรือแย่ จึงทำให้กำไรภาคเกษตรลดลงไปอีก[9]

การนำเทคโนโลยีใหม่มาใช้ทำให้มีอุปสรรคในการปลูกข้าวเพิ่มมากขึ้น ส่งผลให้ชาวนาส่วนใหญ่ไม่สามารถเป็นเจ้าของที่ดินของตนเองได้อย่างสมบูรณ์ เพราะต้องเป็นกิจการเกษตรกรรมขนาดใหญ่จึงจะสามารถรองรับต้นทุนที่เพิ่มขึ้นของเทคโนโลยีใหม่เหล่านี้ได้ และสามารถซื้อปุ๋ย พันธุ์ข้าวที่ได้รับการปรับปรุง ตลอดจนเครื่องจักรได้โดยไม่มีปัญหามากนัก อย่างไรก็ตาม เกษตรกรโดยทั่วไปต้องเลี้ยงชีพในฐานะกรรมกรในไร่นาซึ่งมีรายได้พอเลี้ยงตัวเองและครอบครัวได้เพียงเล็กน้อย[9]

ปัญหาการเช่านาและหนี้สินในชนบท

[แก้]
เด็กชาวนาไทยบนหลังควายและทุ่งนา ภาพถ่ายเดือนพฤศจิกายน พ.ศ. 2507 (ค.ศ. 1964)

การเช่าที่ดินซึ่งเป็นการที่ชาวนาเพาะปลูก ดูแล และเก็บเกี่ยวผลผลิตบนที่ดินที่คนอื่นเป็นเจ้าของ โดยจะจ่ายเงินหรือสิ่งตอบแทนอื่นเป็นการแลกเปลี่ยนนั้น เกิดขึ้นอย่างเป็นทางการในประเทศไทยในช่วงรัชกาลพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ก่อนการสิ้นสุดของการปกครองระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์ใน พ.ศ. 2475 ภายใต้การปกครองของรัชกาลที่ 5 ได้มีการออกกฎหมายการถือครองที่ดินที่กำหนดให้เจ้าของที่ดินต้องใช้ประโยชน์จากที่ดิน มิฉะนั้นจะสูญเสียสิทธิการเป็นเจ้าของ ทำให้จำเป็นต้องมีการปล่อยเช่าที่ดินและกลายเป็นธุรกิจที่ทำกำไรให้แก่เจ้าของที่ดิน[10] หลังการสิ้นสุดระบอบศักดินา มีการเปลี่ยนผ่านสู่ระบอบราชาธิปไตยภายใต้รัฐธรรมนูญ แต่การต่อสู้เรื่องการเช่าที่ดินเผยให้เห็นถึงร่องรอยของระบบศักดินา และได้กลายเป็นสื่อกลางที่ชาวนาชายขอบใช้ท้าทายการที่พวกเขาถูกขับออกจากเมือง[11]

การก่อสร้างโครงสร้างพื้นฐานใหม่ในชนบทริเริ่มและบริหารจัดการโดยชนชั้นสูงข้าราชการ (กลุ่มอำมาตยาธิปัตย์) ในกรุงเทพฯ มากกว่าจะเป็นชาวบ่านในชนบท ซึ่งมีการทุจริตอย่างแพร่หลายในหมู่ข้าราชการระดับสูง ข้าราชการระดับสูงมีการรับเงินใต้โต๊ะ ในขณะที่รัฐบาลพยายามดำเนินมาตรการเพื่อปรับปรุงการเพิ่มของผลผลิตทางการเกษตร แต่โดยทั่วไปแล้ว โครงการเหล่านี้กลับทำได้สำเร็จน้อยมากในเรื่องการปรับปรุงชีวิตของเกษตรกร ในทางกลับกัน ภาคการเกษตรกลับประสบปัญหาหนี้สินและการขาดแคลนที่ดินทำกินเพิ่มมากขึ้น หนี้ภาคเกษตรของประเทศมีมูลค่าประมาณ 143 ล้านบาท โดยหนี้ส่วนใหญ่ (ร้อยละ 78) อยู่ในจังหวัดเชียงใหม่และภาคกลาง

แม้ว่าหนี้สินในพื้นที่ชนบทจะมีมาตั้งแต่ช่วงพ.ศ.2473 - 2482 (คริสต์ทศวรรษ 1930) แล้ว[12] แต่เกษตรกรในช่วงนั้นยังคงเป็นเจ้าของที่ดินของตนเองโดยสมบูรณ์ ผู้เช่านาและเจ้าของที่ดินที่ไปอยู่ที่อื่นยังไม่เกิดขึ้นตอนนั้น จากการสำรวจของสำนักงานสถิติแห่งชาติ พบว่าเกษตรกรร้อยละ 40 ให้เช่าที่ดินทำกินในพื้นที่ราบภาคกลางทั้งหมดหรือบางส่วน ในจังหวัดเชียงใหม่และจังหวัดภาคเหนืออื่นๆ มีเกษตรกรสูงถึงร้อยละ 18 เป็นผู้เช่าที่ดิน ในขณะที่พื้นที่อื่นๆ ของประเทศไทย ตัวเลขดังกล่าวค่อนข้างต่ำกว่า[5]

แปดปีต่อมา มีการศึกษาวิจัยอีกครั้งซึ่งพบว่าเกษตรกรร้อยละ 56 ในพื้นที่ราบภาคกลางเช่าที่ดินบางส่วนทำการเพาะปลูก ในขณะที่ร้อยละ 27 ไม่ได้เป็นเจ้าของที่ดินใดๆ เลย ในหนึ่งทศวรรษ อัตราการเช่าพื้นที่ในพื้นที่ภาคกลางเพิ่มขึ้นมากกว่าสองเท่า โดยมีเกษตรกรเพียงประมาณร้อยละ 17 เท่านั้นที่เป็นอิสระจากเจ้าของที่ดิน รายงานยังพบว่าครัวเรือนเกษตรกรทุก 4 ใน 5 ครัวเรือนมีหนี้สินรวม 16,000 ล้านบาท หนี้สินครัวเรือนเกษตรกรรมโดยเฉลี่ยอยู่ที่ 200 ดอลลาร์สหรัฐ เทียบกับรายได้เฉลี่ยของครอบครัวที่มีน้อยกว่า 300 ดอลลาร์สหรัฐต่อปี บางครอบครัวมีรายได้เพียง 25 ดอลลาร์สหรัฐหรือน้อยกว่านั้นต่อปี[5]

ในช่วงพ.ศ. 2490 - 2499 ค่าเช่านาไม่ได้เท่ากันตลอดทั่วทั้งภาคกลางและภาคเหนือยิ่งกว่านั้น ค่าเช่ายังเพิ่มขึ้นทุกปีในขณะที่ที่ดินทำนาหายากมากขึ้นเรื่อยๆ บทบรรณาธิการบางกอกโพสต์ใน พ.ศ. 2494 (ค.ศ. 1951) แสดงความเห็นว่า ค่าเช่านา "สูงฉิบหายวายป่วง"[13] ชาวนาไทยในหลายพื้นที่ต้องจ่ายค่าเช่านาเป็นข้าวร้อยละ 50 ของข้าวที่ตนผลิตได้หรือมากกว่านั้น[14]

ปัจจัยสำคัญหลายประการส่งผลให้อัตราการเช่า, หนี้สินในชนบท และค่าเช่าที่ดินในพื้นที่ภาคเหนือและภาคกลางสูงขึ้น พบว่าการถือครองที่ดินในภาคเหนือนั้นมีขนาดเล็กกว่าภาคอื่นๆ ของประเทศ ส่งผลให้ประสิทธิภาพลดลง การทำนาจึงทำในระดับที่เล็กกว่าภาคอื่นมาก ซึ่งเมื่อคำนวณรวมกับผลผลิตที่ลดลงแล้ว จะทำให้ชาวนาชางไร่มีรายได้ที่ต่ำลง

ในการแก้ไขปัญหาช่วงต้น วันที่ 12 ตุลาคม พ.ศ. 2493 (ค.ศ. 1950) นายกรัฐมนตรี จอมพล ป. พิบูลสงคราม ลงนามในพระราชบัญญัติควบคุมการเช่านา พ.ศ. 2493 ที่ลดและกำหนดมาตรฐานค่าเช่านาไว้ที่ระหว่างร้อยละ 5 ถึง 25 ของผลผลิตข้าวในแต่ละปี กฎหมายนี้มีผลการบังคับใช้กับนาหว่านเนื้อที่น้อยกว่า 100 ไร่ และนาดำเนื้อที่น้อยกว่า 50 ไร่ ตามกฎหมายนี้ค่าเช่านาคิดตามปริมาณผลผลิตข้าวที่ได้ในแต่ละปี ที่นาที่ให้ผลผลิตสูงก็จะมีค่าเช่านาที่สูงตามไปด้วย ซึ่งเป็นการเสนอระบบกำหนดค่าเช่าที่มีความแน่นอนให้ และยังมีการเสนอปรับลดค่าเช่าในกรณีผลผลิตตกต่ำและเกิดปัญหาที่ไม่ใช่ความผิดของผู้เช่าขึ้นมา และยังมีการปรับความสัมพันธ์ระหว่างเจ้าของนากับผู้เช่า เจ้าของนาจะบังคับให้ผู้เช่านาจ่ายค่าเช่าที่สูงกว่ากฎหมายกำหนดไม่ได้[15] แต่สุดท้ายกฎหมายของรัฐบาลจอมพล ป. ก็ทำให้เกิดความเป็นจริงในการปฏิบัติที่ยาก เพราะเมื่อมีการศึกษาว่าจังหวัดใดควรจะได้รับการออกพระราชกฤษฎีกาตามพระราชบัญญัติดังกล่าว ก็เกิดความขัดแย้งและการขัดขวางจากเจ้าของที่ดินผู้ทรงอิทธิพลในการเมืองและระบบราชการ[16]

การเติบโตของประชากรในประเทศไทย

[แก้]
ภาพนาข้าวบริเวณเขาอกทะลุ จังหวัดพัทลุง ในพ.ศ. 2486 (ค.ศ. 1943)

เมื่อเศรษฐกิจไทยพัฒนาไปพร้อมกับมาตรฐานการครองชีพที่สูงขึ้น รายได้ของเกษตรกรก็ลดลง เกษตรกรรายย่อยต้องกู้ยืมเงินจากผู้ให้กู้ ซึ่งส่วนใหญ่มักเป็นพ่อค้าคนกลางที่ค้าข้าวหรือเจ้าของโรงสีข้าวนั่นเอง เงินกู้นั้นมีอัตราดอกเบี้ยสูง[17] ปัญหาการแบ่งส่วนที่ดินและแบ่งย่อยที่ดินยังก่อให้เกิดปัญหาในภาคเหนืออีกด้วย รายงานที่ส่งโดยองค์การอาหารและเกษตรแห่งสหประชาชาติ (FAO) พบว่าการแบ่งย่อยการถือครองที่ดินกำลังเติบโตอย่างรวดเร็วในประเทศไทย การแบ่งย่อยเขตที่ดินเกิดขึ้นส่วนใหญ่หลังจากการเสียชีวิตของเจ้าของที่ดินซึ่งอาจจะแบ่งให้ลูกหลาน หรือ ทายาท

2393 2454 2486 2501 2510 2516 2521
ประชากรหน่วยล้านคน 4 8 16 24 32 40 47

แหล่งที่มา: เรียบเรียงจากสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (NESDB), กทม.[4]

พระราชบัญญัติควบคุมการเช่านา พ.ศ. 2493 ความสัมพันธ์ระหว่างชาวนาและเจ้าของที่ดิน

[แก้]

พระราชบัญญัติควบคุมการเช่านา พ.ศ. 2493 ของรัฐบาลจอมพล ป. พิบูลสงคราม ไม่สามารถบังคับใช้ได้ผลในทางปฏิบัติได้ เนื่องจากสาเหตุประการหนึ่งจากความสัมพันธ์ระหว่างเจ้าของที่ดินและผู้เช่านา หรือ ชาวนา ซึ่งสาระของกฎหมายฉบับนี้กำหนดขอบเขตความสัมพันธ์ระหว่างเจ้าของนากับผู้เช่า โดยให้ผู้เช่าไม่ต้องจ่ายค่าน้ำร้อนน้ำชา (เงินสินบนที่ผู้เช่าจ่ายเงินหรือจ่ายแรงงานเพิ่มจากค่าเช่าปกติให้แก่เจ้าของนาบางรายเพื่อให้สามารถเช่าที่นาได้) หรือเสนอการรับใช้อื่นใดกับเจ้าของนา เจ้าของนาจะบังคับให้ผู้เช่านาจ่ายค่าเช่าที่สูงกว่ากฎหมายกำหนดไม่ได้ การยกเลิกการเช่านาจะทำได้ก็ต่อเมื่อมีเหตุผลที่ระบุตามกฎหมายเช่น ผู้เช่าไม่สามารถจ่ายค่าเช่าของปีก่อนได้ หรือ ผู้เช่าให้ผู้อื่นเช่าช่วงต่อโดยไม่ได้รับความยินยอมจากเจ้าของนา เจ้าของนาที่จะยกเลิกสัญญา ต้องแจ้งผู้เช่าก่อนตามสมควรและไม่สามารถยกเลิกได้ในระหว่างฤดูเพาะปลูก หากมีข้อพิพาทกันจะมีคณะกรรมการอำเภอเป็นผู้พิจารณา[18] กฎหมายดังกล่าวเป็นการปรับความสัมพันธ์และให้สิทธิ์แก่ผู้เช่านามากขึ้น

แต่ตัวอย่างปัญหาที่เกิดขึ้นเมื่อหลังจากมีการลงพระปรมาภิไธยโดยพระมหากษัตริย์แล้ว กระทรวงมหาดไทยมีหน้าที่พิจารณาว่าควรมีการประกาศบังคับใช้พระราชกฤษฎีกาในจังหวัดใดบ้าง และในปีนั้นมีการออกกฎหมายครอบคลุม 18 จังหวัดภาคกลาง ส่วนชาวนาในภาคเหนือ จังหวัดเชียงใหม่ต้องการให้มีการประกาศพระราชกฤษฎีกาในจังหวัดของตนบ้าง ชาวนาอำเภอสารภี จังหวัดเชียงใหม่เขียนจดหมายสนับสนุนให้มีการประกาศพระราชกฤษฎีกาและยื่นจดหมายต่อ ทองดี อิสราชีวิน สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรจังหวัดเชียงใหม่ ชาวนากลุ่มนี้อ้างว่าการเรียกเก็บค่าเช่านาที่สูงและตามอำเภอใจในเชียงใหม่ "เป็นประเพณีโบราณกาลก่อนนั้นจริงสมัยสมบูรณาญาสิทธิราชย์ แต่มันไม่เหมาะสมในสมับปัจจุบันประชาธิปไตยนี้" และเจ้าของนาก็ไม่เห็นด้วยกับชาวนาเหล่านั้น[19] เดือนสิงหาคม พ.ศ. 2494 จังหวัดเชียงใหม่จึงเชิญเจ้าของที่นารายใหญ่ในจังหวัดมาให้ความเห็นต่อข้อเสนอให้มีการประกาศใช้พระราชกฤษฎีกาตามพระราชบัญญัติควบคุมการเช่านา พ.ศ. 2493 เจ้าของที่นา 6 รายในบรรดา 22 รายที่ได้รับเชิญยังคงมีสถานะเป็น "เจ้า" อยู่[20] เมื่อมีการถามความเห็นเกี่ยวกับปัญหาของผู้เช่านา บรรดาเจ้าของที่นาต่างปฏิเสธว่าชาวนาเหล่านั้นไม่ได้อดอยากยากจนอย่างที่กล่าวอ้าง มีการยืนยันโต้แย้งในเอกสารบันทึกการประชุม จังหวัดเชียงใหม่ได้ทำข้อเสนอไปยังกระทรวงมหาดไทยโดยอิงกับความเห็นของเจ้าของที่ดินเป็นหลัก จึงทำให้พระราชบัญญัติควบคุมการเช่านา พ.ศ. 2493 ไม่เคยได้รับการประกาศใช้นอกเหนือพื้นที่ 18 จังหวัดภาคกลาง[21] จึงแสดงให้เห็นว่า เจ้าที่ดินในเชียงใหม่สามารถใช้อิทธิพลของตนเพื่อปัดความเห็นและข้อเรียกร้องของเหล่าชาวนา[22]

ตัวอย่างการประชุมดังกล่าวในจังหวัดเชียงใหม่ แม้ว่าจะมีการพูดคุยที่สำคัญขึ้นระหว่างเจ้าของนาและข้าราชการประจำจังหวัด แต่ชาวนาผู้เช่านากับเจ้าของนาไม่เคยร่วมโต๊ะพูดคุยเดียวกันเพื่อตัดสินใจเกี่ยวกับการจัดการเรื่องเช่านาในเชียงใหม่ ซึ่งผลการประชุมส่งผลลบต่อชีวิตชาวนา แต่ก็ไม่ได้มีการระบุในเอกสารว่าเจ้าของนากับข้าราชการรวมหัวกันต่อต้านชาวนาเพื่อประโยชน์ตนเอง เจ้าของนาก็ดูเหมือนจะคำนึงถึงผลประโยชน์ของชาวนาและมองความสัมพันธ์ของตนกับชาวนาว่าเป็น "สมาชิกในครอบครัว" เจ้าของนามองตัวเองเป็นพ่อ ลุง น้า อา และพี่ของชาวนา และข้อเรียกร้องของชาวนาในพระราชบัญญัติควบคุมการเช่านา พ.ศ. 2493 ในเชียงใหม่คุกคามความมั่งมีทางวัตถุของพวกเขา และมองว่าเป็นการวิพากษ์รูปแบบการปฏิบัติแบบต้องพึ่งพิงกันและกันของเจ้าของนาอีกด้วย ซึ่งเจ้าของที่ดินมองว่า การที่ชาวนาเรียกร้องเช่นนี้เหมือนจะบ่งบอกว่าเจ้าของนาล้มเหลวในการอุปถัมภ์แบบเครือญาติกับชาวนา ส่วนในมุมของชาวนา มองว่า ระบบที่เจ้าของนาอ้างว่าเป็นความพึ่งพิงกันนั้น ที่จริงแล้วเป็นระบบการขูดรีดและกดขี่[23]

จอมพล ป. พิบูลสงครามและท่านผู้หญิงละเอียด พิบูลสงคราม ชื่นชมผลผลิตจากการส่งเสริมที่ดินทำกินการปลูกพืชผักสวนครัวเพื่อเป็นการช่วยเหลือค่าครองชีพของราษฎร ราวพ.ศ. 2495 (ค.ศ. 1952)

ชาวนาสารภีก่อให้เกิดปฏิกิริยาลูกโซ่ที่ท้ายที่สุดกลับจบลงด้วยการปฏิเสธที่จะประกาศใช้กฎหมายดังกล่าวในเชียงใหม่อย่างดื้อๆ ในวันที่ 30 กรกฎาคม พ.ศ. 2494 ทองดี อิสราชีวิน เขียนจดหมายระบุข้อกังวลและข้อเรียกร้องของชาวนาเหล่านี้ถึงนายกรัฐมนตรี จอมพล ป. พิบูลสงคราม ทองดีอธิบายเหตุผลที่เขาเข้ามาข้องเกี่ยวว่าเป็นผลจากการกดขี่ข่มเหงของเจ้าของนาที่กระทำต่อชาวนาเชียงใหม่ เขาผูกโยงเรื่องนี้โดยตรงเข้ากับการที่รัฐไม่ดูแลช่วยเหลือชาวนาเชียงใหม่ “ที่ได้ถูกพวกเศรษฐีหน้าเลือดบีบบังคับกดขี่ข่มเหงมากว่า 100 ปี ให้ได้รับความเป็นธรรมเทียบเท่าพี่น้องชาวนาในจังหวัดภาคกลางบ้าง"[24] อุดม บุณยประสพ ผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงใหม่ บันทึกว่าเขาต้องตรวจสอบความเที่ยงตรงของคำกล่าวอ้างเรื่องข้อเท็จจริง หรือเรื่องความเดือดร้อนอย่างรอบคอบ แต่เขากลับอาศัยคำกล่าวอ้างของเจ้าของที่ดินเป็นหลัก และเสนอว่าการประกาศใช้กฎหมายไม่มีความจำเป็นเนื่องจากชาวนาไม่ได้ยากจนจริงๆ และไม่ได้เดือดร้อนจริง[25] ทองดี อิสราชีวิน ส่งจดหมายด่วนอีกฉบับไปยังนายกรัฐมนตรี จอมพล ป. พิบูลสงคราม และกระทรวงมหาดไทย ในจดหมายฉบับนั้น ทองดีวิจารณ์พฤติกรรมของอุดม บุณยประสพ ซึ่งเป็นข้าราชการประจำจังหวัดเชียงใหม่ที่รับผิดชอบการทบทวนความเป็นไปได้ของการประกาศใช้พระราชกฤษฎีกาควบคุมการเช่านา ทองดีกล่าวหาว่าอุดมฝ่าฝืนคำสั่งรัฐบาลเรื่องการทบทวนดังกล่าวด้วยการเข้าข้างฝ่ายเจ้าที่ดินอย่างไม่ละอาย ทองดีเรียกร้องให้จอมพล ป. ตั้งคณะกรรมการสอบความประพฤติและการผิดวินัยข้าราชการของอุดม และกล่าวหาว่า อุดมให้เจ้าที่ดินร่วมการประชุมและข่มขู่ชาวนาผู้เช่านา สร้างความกลัวในอนาคตแก่ผู้เช่านา เพราะขู่ชาวนาว่า หากกฎหมายถูกประกาศใช้ก็จะเปิดโอกาสให้เจ้าของนาไม่ต้องทำหน้าที่เกื้อหนุนจุนเจือชาวนา เจ้าของนาส่วนใหญ่ก็จะเลือกทำประโยชน์จากที่นาด้วยตนเอง ซึ่งจะทำให้ชาวนาเป็นฝ่ายเดือดร้อน และอุดมปล่อยให้พวกเจ้าของที่ดินโจมตีว่ากฎหมายนี้ไม่ดี เป็นกฎหมายของพวกคอมมิวนิสต์[26]

สถานการณ์ยิ่งเลวร้ายลงไปอีก เมื่อเกษตรกรซึ่งมักไม่รู้หนังสือถูกหลอกลวงบ่อยครั้ง เมื่อการเก็บเกี่ยวไม่ดี เกษตรกรไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากจำนองที่ดินของตนเพื่อเป็นหลักประกันในการขอกู้เงิน หากชาวนาไม่สามารถชำระเงินกู้ได้ เขาจะสูญเสียที่ดินของเขา ชาวนาที่เก็บเกี่ยวผลผลิตได้ไม่ดี ประกอบกับมีอัตราดอกเบี้ยที่สูงด้วยแล้ว ย่อมจะสูญเสียความเป็นเจ้าของที่ดินของตนให้แก่เจ้าหนี้[5]

พรรคคอมมิวนิสต์แห่งประเทศไทย (พคท.) มีบทบาทสำคัญในการชักจูงให้ชาวนาหรือผู้คนที่มองว่าถูกเอารัดเอาเปรียบทางสังคม เข้าร่วมขบวนการคอมมิวนิสต์เพื่อต่อสู้กับอำนาจรัฐ จึงไม่น่าแปลกใจที่ความไม่พอใจของเกษตรกร เป็นหนึ่งปัจจัยที่ทำให้พรรคคอมมิวนิสต์เริ่มเติบโตขึ้นในอีกทศวรรษต่อมา ตัวอย่างในภาคใต้ เช่น จังหวัดตรังและจังหวัดพัทลุง มีการระดมชาวไทยเชื้อสายจีนเข้าร่วมนับตั้งแต่การต่อต้านญี่ปุ่นช่วงสงครามโลกครั้งที่สอง แต่เมื่อสงครามสิ้นสุด บุคคลจำนวนหนึ่งยังคงอยู่กับกองกำลังของพรรค ในตรังมีการตั้งองค์กรทางการเมืองในอำเภอเมืองตรัง อำเภอกันตัง และอำเภอปะเหลียน มีความพยายามก่อตั้งสหภาพแรงงาน (ซึ่งต่อมาได้ยุบเลิกลง) และชาวนาในจังหวัดตรังหลายคนพยายามรวมตัวจัดตั้งสมาคมชาวนา มีการส่งสมาชิกซึ่งอิงกับฝ่ายคอมมิวนิสต์เข้าสมัครเลือกตั้งในการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรไทยเป็นการทั่วไป กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2500 (ค.ศ. 1957) แม้ว่าจะไม่ได้รับการเลือกตั้งก็ตาม[27]

รัฐบาลเผด็จการของจอมพลถนอม กิตติขจรเคยตอบสนองต่อข้อเรียกร้องมีการจะศึกษาเรื่องความเป็นไปได้ในการปฏิรูปที่ดินใน พ.ศ. 2514 (ค.ศ. 1971) แต่ก็ไม่ได้ดำเนินมาตรการใดๆ เป็นรูปธรรม[28]:338

เกษตรกรในพื้นที่ราบภาคกลางและภาคเหนือต้องประสบกับหนี้สินจำนวนมากนับตั้งแต่คริสต์ทศวรรษ 1930 (พ.ศ. 2473-2482) เมื่อถึงช่วงคริสต์ทศวรรษ 1970 เกษตรกรส่วนใหญ่สูญเสียที่ดินให้กับเจ้าหนี้ รัฐบาลเพิกเฉยต่อปัญหานี้เนื่องจากเกษตรกรไทยขาดอิทธิพลทางการเมือง เกษตรกรถูกมองว่าเป็นคนไร้ระเบียบ อยู่แบบกระจัดกระจาย และไม่สนใจการเมือง โดยยอมรับความโชคร้ายและความยากจนเป็นส่วนหนึ่งของชีวิต ทั้งหมดนี้เปลี่ยนไปในพ.ศ. 2516 เมื่อเกษตรกรตัดสินใจที่จะจัดการเรื่องด้วยตนเองและพยายามที่จะเปลี่ยนแปลงชีวิตของพวกเขา[5]

การระดมพลทางการเมืองของเกษตรกร

[แก้]

การเคลื่อนไหวและปัญหาราคาข้าวเปลือก

[แก้]

อันเนื่องมาจากเหตุการณ์ 14 ตุลา พ.ศ. 2516 ซึ่งเป็นการประท้วงนั้นเกิดขึ้นเนื่องจากสาเหตุหลายประการ คือ ประเทศไทยได้อยู่ภายใต้ระบอบเผด็จการทหารมานานเกือบ 15 ปีตั้งแต่สมัยจอมพล สฤษดิ์ ธนะรัชต์ ประกอบกับข่าวการฉ้อราษฎร์บังหลวงหลายอย่างในรัฐบาล จึงมีการปราบปรามผู้ประท้วงบริเวณพระบรมมหาราชวังและถนนราชดำเนินอย่างรุนแรงโดยรัฐบาลนายกรัฐมนตรีจอมพลถนอม กิตติขจร จนมีผู้เสียชีวิตหลายสิบคน บาดเจ็บกว่า 800 คน และมีผู้สูญหายอีกเป็นจำนวนมาก เหตุการณ์คลี่คลายเมื่อนายกรัฐมนตรีลาออก และเดินทางออกนอกประเทศ[29]

ทำให้ พ.ศ. 2516 (ค.ศ. 1973) ถือเป็นปีแห่งการเปลี่ยนแปลงครั้งสำคัญสำหรับการเมืองไทย รัฐบาลเปลี่ยนผ่านจากระบอบเผด็จการทหารมาเป็นรัฐบาลพลเรือนสายกลาง นี่เป็นการเปิดทางให้เกิดการระดมพลทางการเมืองและการมีส่วนร่วมของภาคส่วนต่างๆ ของสังคมในกิจการทางการเมืองของประเทศ ความไม่พอใจทางสังคมและความต้องการเร่งด่วนของชนชั้นที่ถูกกดขี่ซึ่งเคยถูกครอบงำโดยการปกครองแบบเผด็จการ ได้ถูกผลักดันขึ้นมาเป็นประเด็นสำคัญ และปัญหาเหล่านี้ก็ถูกหยิบยกขึ้นมาอย่างเปิดเผย ข้อพิพาทแรงงานถูกหยิบยกขึ้นมาหารืออย่างเข้มข้นทันที[4]

นักศึกษาและกลุ่มอาชีพต่างๆ เช่น ครูและทนายความ ต่างหวาดกลัวต่อการอยู่รอดทางการเมืองในระยะยาว จึงเข้าร่วมกับเกษตรกรเพื่อระบายความคับข้องใจของพวกเขา นักเคลื่อนไหวที่เป็นนักศึกษาได้โน้มน้าวให้เกษตรกรรวมตัวกันเป็นองค์กรทางการเมืองเพื่อกดดันให้รัฐบาลดำเนินการในนามของพวกเขา ในช่วง พ.ศ. 2516 (ค.ศ. 1973) และ พ.ศ. 2517 (ค.ศ. 1974) เกษตรกรออกมาเดินขบวนบนท้องถนนเพื่อประท้วงเจ้าหน้าที่ท้องถิ่นและเจ้าหน้าที่อื่นๆ

ความตกต่ำของราคาสินค้าเกษตรเป็นอีกตัวแปรหนึ่งที่ทำให้เกิดความเคลื่อนไหว เนื่องจากในช่วงเวลาดังกล่าว สังคมชาวนาโดยเฉพาะที่ภาคกลาง น่าจะปรับเปลี่ยนเป็นสังคมเกษตรพาณิชย์ ผลิตเพื่อขายเป็นหลัก โดยบางส่วนต้องเป็นแรงงานไร้ที่ดิน เนื่องจากประชากรล้นเกินที่ดิน และไม่อาจสู้กับอำนาจตลาดและต้นทุนการผลิตที่เพิ่มขึ้น แต่ราคาสินค้าเกษตรกลับถดถอย[30]:317 ราคาสินค้าการเกษตรตกต่ำทั่วโลกจึงทำให้เกษตรกรจมไปกับหนี้ที่พอกพูนมากขึ้น[30]:319 และในส่วนของชาวนาที่เช่าที่ดิน ค่าเช่าที่ดินที่สูงลิบลิ่วก็เป็นสาเหตุสำคัญของความเคลื่อนไหว ในเมื่อรัฐบาลไม่สามารถแก้ไขปัญหาราคาสินค้าเกษตรได้

ผู้เช่านาในภาคเหนือและบริเวณที่ราบภาคกลางเป็นกลุ่มตัวอย่างที่แสดงออกอย่างชัดเจน นักเคลื่อนไหวช่วยพวกเขาจัดการเรื่องร้องเรียนหลายกรณีต่อเจ้าของที่ดินในข้อหาการจำนองที่ดินและค่าเช่าที่ดินที่ไม่เป็นธรรม และยังรวมถึงเจ้าหน้าที่ท้องถิ่นในข้อหาทุจริตอีกด้วย[5] เกษตรกรหลายพันคนเดินขบวนไปยังทำเนียบนายกรัฐมนตรีในกรุงเทพฯ เพื่อเรียกร้องคืนที่ดินของตนจากเจ้าของที่ดิน พ่อค้าคนกลาง และเจ้าหนี้ การชุมนุมดังกล่าวแสดงให้เห็นถึงความมุ่งมั่นและความตั้งใจของเกษตรกรในการดำเนินนโยบายที่จะเปลี่ยนแปลงภูมิทัศน์ของภาคการเกษตร หลังจากถูกละเมิดและละเลยจากทางการไทยมานานหลายปี[4]

การชุมนุมของชาวนาครั้งแรกในกรุงเทพฯ เกิดขึ้นเมื่อวันที่ 1 มีนาคม พ.ศ. 2517 (ค.ศ. 1974) ซึ่งมีชาวนาจำนวนหลายพันคนจากภาคกลางตอนล่างเรียกร้องให้รัฐบาลสนับสนุนราคาข้าวเปลือก ต่อมาใน เดือนเดียวกัน ชาวนาอีกกลุ่มหนึ่งจากภาคกลางตอนบนซึ่งถูกนายทุนเงินกู้ยึดที่ดินไปได้มารวมตัว กันที่กรุงเทพฯ และเรียกร้องให้รัฐบาลเข้าแทรกแซง” ต่อมาชาวนาจัดการชุมนุมในกรุงเทพฯ แทบทุกเดือนความต้องการหลักของเกษตรกรที่สำคัญ ได้แก่ การคืนกรรมสิทธิ์ที่ดิน การควบคุมค่าเช่าที่ดิน การปฏิรูปที่ดิน การยกเลิกโครงการที่ทำลายวิถีชีวิตของประชาชน และการสนับสนุนด้านราคาสำหรับผลิตภัณฑ์ทางการเกษตร[31]:8 เกษตรกรได้รับการสนับสนุนจากศูนย์กลางนิสิตนักศึกษาแห่งประเทศไทย ได้จัดการประท้วงครั้งใหญ่เป็นครั้งแรก และได้รับความสนใจจากทั่วประเทศในการเรียกร้องให้เพิ่มราคาข้าว ตั้งแต่เดือนสิงหาคมถึงพฤศจิกายน พ.ศ. 2517 ข้อพิพาทเรื่องที่ดินแพร่หลายและเกิดความไม่พอใจมากขึ้น[4] รายงานข่าวระบุว่า เกษตรกรประมาณ 7,000 ราย จาก 8 จังหวัด ขู่จะทำลายบัตรประจำตัวประชาชนและตั้ง "พื้นที่ปลดปล่อย" หากรัฐบาลไม่ปฏิบัติตามข้อเรียกร้องของพวกเขา นายสัญญา ธรรมศักดิ์ นายกรัฐมนตรี ได้รับข้อเสนอของชาวนาและให้สัญญาว่าจะนำข้อเรียกร้องเข้าทีประชุมคณะรัฐมนตรี และกล่าวว่ารัฐบาลจะหาทางช่วยเหลืออย่างเต็มที่[32]:44 จรูญ ศรีบุญเรือง รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงพาณิชย์ แสดงความคิดเห็นต่อข้อเรียกร้องของชาวนาว่า เป็นไปไม่ได้ที่จะให้ข้าวเปลือกราคาสูงถึง 3,000 ถึง 4,000 บาท เพราะจะทำให้ราคาข้าวสารสูงขึ้นตามไปด้วย ส่วนข้อเรียกร้องที่จะให้รัฐทำการค้าข้าวสารเสียเองนั้นยังทำไม่ได้ และอาจขายข้าวไม่ออก จึงเสนอว่า ชาวนาผู้ผลิตควรรวมกลุ่มกันเป็นสหกรณ์ เพื่อสร้างอำนาจการต่อรองให้สูงขึ้น[32]:46 จึงเป็นเสมือนการให้ชาวนากลับไปแก้ไขตัวเองเพื่อต่อรองกับพ่อค้าคนกลาง แต่สุดท้ายสำนักนายกรัฐมนตรีก็สัญญาว่าจะพยุงราคาข้าวเปลือกไม่ให้ตกต่ำลงเป็นที่เดือดร้อนของชาวนา[32]:44

ในเดือนมีนาคม ตลาดข้าวเกิดภาวะปั่นป่วน ข้าวในกรุงเทพฯ ราคาแพงขึ้น และเกิดขาดแคลนอย่างหนัก สาเหตุที่เกิดคือ บรรดาพ่อค้าส่งออกได้กว้านซื้อข้าวสารไปเก็บไว้ในคลัง เพื่อเตรียมส่งออกไปขายต่างประเทศเพราะได้ราคาดีกว่า ประกอบกับชาวนามาเรียกร้องให้รัฐบาลประกันราคาข้าวเปลือก ก็เลยทำให้ร้านค้าและประชาชนเกิดแตกตื่นหาซื้อข้าวไปกักตุนไว้ จึงทำให้ฝูงชนจำนวนนับพันพากันไปเข้าคิวแย่งซื้อข้าวสารที่ท้องสนามหลวงซึ่งกรมการค้าภายในรับผิดชอบนำออกขาย ชาญชัย ลี้ถาวร รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ได้แถลงการณ์แก้ไขภาวะข้าวด้วยการประกาศลดโควตาข้าวส่งออก เพราะความต้องการข้าวไทยในตลาดโลกสูงมาก พ่อค้าส่งออกจึงพยายามส่งออกให้มาก แต่ถ้าลดโควตาไม่ได้ผล ก็จะแก้ด้วยการเพิ่มค่าพรีเมี่ยมข้าวให้สูงขึ้นอีก จึงจะทำให้แจกจ่ายประชาชนได้เพียงพอ[32]:47–49

เรื่องอื้อฉาวการทุจริตโควตาข้าว

[แก้]

ในวันที่ 14 เมษายน พ.ศ. 2517 เกิดกรณีอื้อฉาวในการบริหารจัดการข้าวสารโดยข้าราชการ เมื่อมีการกล่าวหาว่า เชื้อ เพ็ชรช่อ ผู้ว่าราชการจังหวัดศรีสะเกษ ร่วมมือกับสมพงษ์ เตชะเจษฎารักษ์ นำข้าวสารจากกรมการค้าภายในไปขายให้พ่อค้าในกรุงเทพฯ ในช่วงที่ประชาชนกำลังเดือดร้อนในการขาดแคลนข้าวนี้ ประเด็นกล่าวหาในวงราชการเกิดการซัดทอดกันไปมา เชื้อกล่าวว่า เมื่อเดือนมกราคมได้ติดต่อขอข้าวสารจากกรมการค้าภายในมาขายให้ประชาชนเดือนละ 6,000 กระสอบ แต่ไม่ได้รับคำตอบ จึงได้ให้เจ้าหน้าที่ไปติดตามผล ปรากฏว่าทางกรมอนุมัติให้เพียงเดือนละ 2,000 กระสอบและยังมีหลักฐานว่ามีผู้รับไปแล้ว ซึ่งหลักฐานระบุว่าสมพงษ์เป็นคนรับไป ทางจังหวัดจึงตั้งคณะกรรมการขึ้นสอบสวน และเชื้อยังกล่าวซัดทอดถึงผู้ว่าราชการจังหวัดคนก่อน ประมวล รังสิคุต ว่าไม่รู้เรื่องเป็นมาอย่างไร ซึ่งประมวลได้ย้ายไปเป็นผู้ว่าราชการจังหวัดร้อยเอ็ด กล่าวว่า การซื้อข้าวสารของกรมการค้าภายในในสมัยที่ตนเป็นผู้ว่าฯ จัดการโดยสโมสรจังหวัด และมอบสมพงษ์เป็นผู้จัดการอีกต่อหนึ่ง[32]:72 เรื่องอื้อฉาวดังกล่าวสะท้อนสั่นทอนเสถียรภาพในการแก้ไขปัญหาประชาชนของรัฐบาล ประชาชนและชาวนาต่างมองว่ารัฐบาลไม่มีความสามารถในการบริหารจัดการและทำให้เกิดการทุจริตขนานใหญ่ในหมู่ข้าราชการ

วันที่ 11 กรกฎาคม คณะรัฐมนตรีมีมติสั่งพักราชการผู้ว่าราชการจังหวัด 2 คน ได้แก่ เชื้อ เพ็ชรช่อ ผู้ว่าฯ ศรีสะเกษ และประมวล รังสิคุต ผูัว่าฯ ร้อยเอ็ด กรณีความผิดโอนโควตาข้าวสารราคาถูกที่ทางจังหวัดศรีสะเกษได้รับมาจากกรมการค้าภายในเพื่อไปจำหน่ายแก่ประชาชน แต่กลับนำโควตาดังกล่าวไปให้แก่พ่อค้าใหญ่คนเดียวในจังหวัดทำการค้าเก็งกำไร กระทรวงมหาดไทยได้สอบสวนต่อและมีการสั่งพักราชการผู้ว่าราชการจังหวัดรายดังกล่าว[32]:132[33]

การประท้วงลาออกจากการเป็นพลเมืองไทย

[แก้]

วันที่ 3 กรกฎาคม พ.ศ. 2517 รัฐบาลสัญญา ธรรมศักดิ์ ประกาศขอบเขตการช่วยเหลือชาวนาออกให้กว้างอีก นอกจากเรื่องหนี้สินแล้วจะรวมไปถึงที่ดินทำกินด้วย ซึ่งรัฐบาลเตรียมนำป่าสงวนมาจัดสรรให้แก่ชาวนา[32]:126 แต่การจัดตั้งคณะกรรมการช่วยเหลือชาวนากลับไม่สามารถตอบสนองต่อความต้องการของชาวนาได้ ในวันที่ 10 กรกฎาคม ชาวนาชาวไร่จำนวน 3,000 กว่าคนจากหลายจังหวัด เช่น นครสวรรค์ ปราจีนบุรี สุพรรณบุรี เชียงราย และสระบุรี ต่างพากันร้องเรียนคณะกรรมการช่วยเหลือชาวนาที่รัฐบาลตั้งขึ้นอย่างมากมาย นอกจากนี้ยังมีชาวนาพากันเช่ารถไปรับจ้างดำนาที่จังหวัดอื่นๆ อีกเป็นจำนวนมาก[32]:131–132 ชาวนาอำเภอท่าตะโก จังหวัดนครสวรรค์ ที่ได้รับความลำบากจากการถูกนายทุนโกงที่ดินมานาน ได้ประกาศขู่นายทุนที่โกงที่ดินเมื่อเดือนมิถุนายนว่า หากรัฐบาลไม่รีบเข้ามาแก้ไขโดยด่วน กลุ่มนายทุนทั้งหมดอาจจะถูกปลิดชีวิต หรือ ชาวนาอาจเข้าฆ่า กลายเป็นผู้ก่อการร้ายก็ได้[32]:110 แต่มาตรการของรัฐบาลสัญญากลับไม่เกิดผลสำเร็จ วันที่ 15 กรกฎาคม ชาวนาท่าตะโก ประกาศลุกฮือจะเผาอำเภอและสถานีตำรวจเพราะการช่วยเหลือไม่ได้ผล เพราะนายทุนไม่ยอมรับ เป็นเหตุให้นายอำเภอท่าตะโกต้องขอกำลังทหารไปคุ้มกันด่วน[32]:134 วันที่ 31 กรกฎาคม จึงมีตัวแทนชาวนาจาก 5 จังหวัด ได้แก่ สุพรรณบุรี พิจิตร พิษณุโลก สิงห์บุรี และนครสวรรค์ 30 คน เดินทางเข้ากรุงเทพฯ มารวมตัวที่มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ เพื่อเข้าพบนายกรัฐมนตรี และทวงถามความช่วยเหลือที่รัฐบาลรับปากไว้พร้อมกับเตรียมระดมชาวนาทั่วประเทศประท้วงถึงขั้นจะเผาบัตรประจำตัวประชาชนประกาศเลิกเป็นราษฎรภายใต้การปกครองของรัฐบาล[32]:142

หลังจากการตอบสนองของรัฐบาลสัญญาไม่เป็นผลและไม่คืบหน้า วันที่ 9 สิงหาคม ตัวแทนชาวนา 7 จังหวัด ได้แก่ สุพรรณบุรี พิจิตร พิษณุโลก สิงห์บุรี อ่างทอง เพชรบูรณ์ และนครสวรรค์ เปิดอภิปรายชี้แจงประชาชนทราบเกี่ยวกับปัญหาชาวนาเดือนร้อนที่สนามหลวงว่า การมาครั้งนี้เป็นการเข้ามาขอความช่วยเหลือจากรัฐบาลเป็นครั้งสุดท้าย ถ้ายังไม่ได้รับความเป็นธรรมจะคืนบัตรประจำตัวประชาชนลาออกจากการเป็นคนไทย[32]:149 และในวันที่ 2 กันยายน ตัวแทนชาวนาหลายจังหวัดนำบัตรประชาชนที่รวบรวมมาได้จากเพื่อนชาวนาในจังหวัด ที่เรียกร้องให้รัฐบาลช่วยเหลือในที่ทำกิน มามอบให้รัฐบาลที่ทำเนียบนายกรัฐมนตรี เพื่อฟังคำตอบเป็นครั้งสุดท้ายว่าจะช่วยชาวนาได้หรือไม่ ก่อนหน้านั้นชาวนาได้ประกาศว่า เมื่อรัฐบาลไม่สามารถช่วยได้ ก็จะประกาศเขตปลดปล่อยตัวเอง ห้ามราชการเกี่ยวข้อง แต่ถูกรัฐบาลตอบโต้ว่า ถ้าทำเช่นนั้นก็จะเข้าจับกุมฐานเป็นกบฏ ชาวนาต้องการจะพบนายกรัฐมนตรีสัญญาเพียงคนเดียวเท่านั้น และไม่ต้องการพบ ประกอบ หุตะสิงห์ รองนายกรัฐมนตรี ซึ่งรับหน้าที่แก้ไขปัญหาชาวนา เพราะพบมาหลายครั้งแล้วช่วยอะไรไม่ได้เลย[32]:160

พลตำรวจเอก ประจวบ สุนทรางกูร อธิบดีกรมตำรวจ ได้สอบสวนเบื้องหลังการประท้วงของชาวนา 8 จังหวัด และมีชาวนารวบรวมบัตรประชาชนคืนรัฐบาล จากสุพรรณบุรี 500 ใบ สิงห์บุรีและชัยนาท 400 ใบ อ่างทอง 300 ใบ และจังหวัดอื่นๆ อีก 1,000 ใบ[32]:162 แม้ว่าสัญญาและประกอบไม่เชื่อว่าคำขู่นั้นจะเป็นจริง พลตำรวจเอกประจวบ เห็นว่านี่เป็นภัยคุกคามจริงๆ เขาเตือนว่า "เขตปลดปล่อย เป็นศัพท์ที่คอมมิวนิสต์ใช้จึงสงสัยว่าชาวนาจะถูกคอมมิวนิสต์ยุยง"[34] จึงมีการสั่งการให้ตำรวจไปสืบสวนหาสาเหตุที่ชาวนาใช้คำดังกล่าว หากชาวนาละเมิดกฎหมาย จะสั่งจับกุมทันที ซึ่งชาวนาก็ถอนคำขู่นั้นเพื่อจะได้ประท้วงต่อไป[35] ฮาเบอร์คอร์นวิเคราะห์ว่า ความกังวลของตำรวจต่อการแข็งข้อของชาวนา สะท้อนความตื่นตระหนกของบรรดาผู้เชี่ยวชาญการต่อต้านการก่อความไม่สงบทั้งชาวไทยและสหรัฐฯ ในบริบทที่คอมมิวนิสต์กำลังขึ้นมามีอำนาจเหนือประเทศเพื่อนบ้าน[36]

วันที่ 16 ตุลาคม ตัวแทนชาวนา 10 จังหวัดได้เข้าพบกัลย์ อิศรเสนา ณ อยุธยา เลขาธิการสำนักพระราชวัง เพื่อขอคำปรึกษาเกี่ยวกับการช่วยเหลือชาวนา ชาวไร่ จำนวนหมื่นกว่ารายที่กำลังเดือดร้อนอยู่ในขณะนี้ แต่กลับถูกนำเรื่องไปให้คณะกรรมการ ก.ส.ส. สอบสวนประนอมหนี้สินเป็นรายๆ ไป สร้างความผิดหวังให้กับตัวแทนชาวนามาก ตัวแทนบางคนกล่าวว่า ถ้ารัฐบาลช่วยชาวนาไม่ได้จริงๆ ต่อไปชาวนา 10 จังหวัดจะเดินทางมากรุงเทพฯ เอง[32]:192 ซึ่งจะเห็นได้ว่าตัวแทนชาวนาพยายามให้สถาบันพระมหากษัตริย์เข้ามาช่วยเหลือ แต่กลับไม่เป็นผล

พระราชบัญญัติควบคุมการเช่านา พ.ศ. 2517

[แก้]

วันที่ 19 พฤศจิกายน พ.ศ. 2517 (ค.ศ. 1974) ผู้แทนเกษตรกรที่กรุงเทพมหานครได้ประกาศจัดตั้งสหพันธ์ชาวนาชาวไร่แห่งประเทศไทย จากนั้นสหพันธ์ก็ส่งข้อเรียกร้องต่อรัฐบาล รัฐบาลสัญญา ธรรมศักดิ์ตอบสนองต่อข้อเรียกร้องของกรรมกรซึ่งขัดต่อผลประโยชน์ของชนชั้นกลางท่ามกลางเศรษฐกิจที่ชะงักงัน[37]:18 รัฐบาลสัญญายอมรับข้อเรียกร้องของสหพันธ์บางส่วนแม้ว่าจะดำเนินการช้าก็ตาม มีพระราชบัญญัติการปฏิรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรมหลายฉบับได้รับการผ่านสภาอย่างไม่เต็มใจนัก รวมถึงพระราชบัญญัติพันธุ์พืช พระราชบัญญัติควบคุมการเช่านา และกฎหมายปฏิรูปที่ดินสายกลาง สหพันธ์ชาวนาชาวไร่เรียกร้องให้มีการผ่านกฎหมาย พระราชบัญญัติควบคุมการเช่านา พ.ศ. 2517 และบังคับใช้กฎหมายทั่วทั้งประเทศ พระราชบัญญัตินี้ได้รับการประกาศใช้อย่างเป็นทางการในเดือนธันวาคม พ.ศ. 2517

พระราชบัญญัติ พ.ศ. 2517 ครอบคลุมมากกว่าและแตกต่างจากกฎหมายก่อนหน้า พ.ศ. 2493 (ค.ศ. 1950) ในแง่ของการบังคับใช้ เงื่อนไขการเช่า และเงื่อนไขการบังคับใช้ พระราชบัญญัติ พ.ศ. 2517 กำหนดให้จัดตั้งคณะกรรมการระดับจังหวัดและอำเภอเพื่อกำกับดูแลการดำเนินการและการบริหาร ตลอดจนทำหน้าที่ไกล่เกลี่ยข้อขัดแย้งระหว่างผู้ให้เช่าและเกษตรกร เจ้าหน้าที่ในคณะกรรมการเหล่านี้จะต้องเลือกจากตำบลที่มีการเช่าที่ดิน การให้เกษตรกรมีส่วนร่วมโดยตรงในการบริหารกฎหมาย จะทำให้เกษตรกรมีสิทธิได้รับการพิจารณาอย่างเป็นธรรมจากเกษตรกรด้วยกันเอง มากกว่าจากข้าราชการ[1]

พระราชบัญญัติ พ.ศ. 2517 ยังได้กำหนดความจำเป็นในการประเมินคุณภาพที่ดินและความสำเร็จในการเก็บเกี่ยวเมื่อกำหนดจำนวนค่าเช่า ซึ่งแตกต่างจากพระราชบัญญัติ พ.ศ. 2493 ที่กำหนดให้จำนวนค่าเช่าอยู่ที่ร้อยละ 5 ถึง 25 ของการเก็บเกี่ยวโดยไม่คำนึงถึงปัจจัยอื่นๆ พระราชบัญญัติดังกล่าวจึงช่วยบรรเทาปัญหาค่าเช่าที่สูงเกินจริงได้[1] ไทเรล ฮาเบอร์คอร์น นักวิชาการชาวอเมริกัน กล่าวว่า ตลอดช่วงหลายเดือนที่นำไปสู่การประกาศใช้พระราชบัญญัติควบคุมการเช่านา พ.ศ. 2517 ชาวนาผู้เช่านาและชาวนาไร้ที่ทำกินกลายมามีตัวตนอย่างชัดเจนในการชุมนุมเคลื่อนไหว พวกเขาปักหลักที่สนามหลวงและภาคเหนือที่ศาลากลางจังหวัดเชียงใหม่ การปรากฏตัวตนของพวกเขาได้รับการต้อนรับด้วยความกังวลของเจ้าหน้าที่รัฐหลายฝ่ายและพวกผู้เชี่ยวชาญต่างๆ ชาวนาถูกเตือนว่าการออกมาประท้วงบนท้องถนนนั้นไม่ใช่วิธีที่มีประสิทธิภาพในการบรรลุเป้าหมายที่ต้องการ แต่เมื่ออ้างเรื่องประสิทธิภาพไม่ได้ผล ก็มีการใช้วิธีการข่มขู่และประณามชาวนาอย่างเปิดเผย และการออกมาชุมนุมของชาวนาและความตึงเครียดที่ตามมาเป็นตัวชี้วัดถึงการปรับเปลี่ยนโครงสร้างอำนาจสำคัญที่กำลังเกิดขึ้นในชนบท และที่กำลังแสดงออกทั่วชนบทและในเมือง การเปลี่ยนแปลงที่สำคัญคือมีการใช้คำว่า "นายทุน" ซึ่งเป็นถ้อยคำที่ปกติแล้วมักจะมีความระมัดระวังในการเลือกใช้[38] เพราะเป็นคำที่ถูกใช้โจมตีชนชั้นกลางปกครองโดยฝ่ายพรรคคอมมิวนิสต์แห่งประเทศไทย

ฮาเบอร์คอร์นยังวิเคราะห์อีกว่า ในพ.ศ. 2494 (ค.ศ. 1951) ชาวนาอำเภอสารภีและอำเภอดอยสะเก็ด จังหวัดเชียงใหม่ ใช้คำว่า "เจ้าของที่ดิน" เพื่อหมายถึงคนที่เป็นเจ้าของที่ดินที่พวกเขาใช้ปลูกข้าว ทำให้ยังมองว่าความสัมพันธ์เป็นไปในลักษณะพึ่งพิงกันต่อไป แต่พอถึงเดือนมิถุนายน พ.ศ. 2517 ชาวนาและผู้สนับสนุนใช้คำว่า "นายทุน" แทนคำว่า "เจ้าของที่ดิน" ในข้อเรียกร้องที่ยื่นต่อสัญญา ธรรมศักดิ์ นายกรัฐมนตรี คำว่า "นายทุน" ถูกหมายถึง คนที่ฉ้อโกงที่ดินจากชาวนา เรียกเก็บดอกเบี้ยอย่างหน้าเลือด และเป็นอุปสรรคขวางความยุติธรรม ดังนั้นการเปลี่ยนแปลงคำเรียกในช่วงเวลานี้แสดงให้เห็นถึงการเปลี่ยนแปลงทางสังคมและการเมือง ซึ่งนายทุนก็ถูกเหมารวมว่าเป็นกลุ่มเดียวกันกับผู้ปล่อยเงินกู้ จึงทำให้เจ้าของที่ดินบางคนต้องเผชิญภาพลักษณ์ใหม่ บางคนมีท่าทีรู้สึกเจ็บปวด บางคนมีท่าทีกลัวและโกรธ ซึ่งทั้งนี้ถูกทำให้กลายเป็นเรื่องการเมือง[39]

ชาวนาและนักศึกษาร่วมมือกันในพ.ศ. 2517 และ 2518 เพื่อให้มีการผ่านและใช้พระราชบัญญัติควบคุมการเช่านา พ.ศ. 2517 ในภาคเหนือ จึงเป็นตัวเร่งการเปลี่ยนแปลงทางสังคมและการเมือง ชาวนานำข้อเรียกร้องของตนมายังท้องถนนในเมืองและแสดงบทบาทปกป้องสิทธิของตนอย่างแข็งขัน นักศึกษาเรียนรู้เกี่ยวกับชีวิตชนบท การต่อสู้ของชาวนาเพื่อชิวิตความเป็นอยู่และเป็นธรรม และตำแหน่งแห่งที่ของตนเคียงข้างชาวนาในการต่อสู้เหล่านั้น ชาวนาและนักศึกษาร่วมเผยแพร่ข้อมูลข่าวสารเกี่ยวกับค่าเช่านาที่ลดลงและเป็นมาตรฐานตามที่กำหนดโดยกฎหมายใหม่ ซึ่งเป็นที่แน่นอนว่าคุกคามผลประโยชน์ของเจ้าของนา ชาวนาและนักศึกษารวมพลังเพื่อเปลี่ยนแปลงรูประเบียบสังคมและการเมืองที่ค้ำจุนสถานะของชนชั้นนำที่มีอำนาจของเจ้าที่ดินได้ การกระทำดังกล่าวจึงกลายเป็นการกระทำที่มีลักษณะปฏิวัติ ซึ่งจะนำไปสู่การใช้ความรุนแรง การเผชิญการข่มขู่ การหาเรื่อง การจับกุมตามอำเภอใจ ไปจนถึงการสังหารโดยเจ้าหน้าที่รัฐหรือกลุ่มกำลังจัดตั้งของรัฐ[40]

การระดมพลสามประสาน

[แก้]
หม่อมราชวงศ์คึกฤทธิ์ ปราโมช

ความสำเร็จของสหพันธ์ทำให้มีแนวร่วมมากขึ้น สหพันธ์ชาวนาชาวไร่แห่งประเทศไทยขยายตัวอย่างรวดเร็ว มีสาขากระจายไป 41 จังหวัด และมีสมาชิกประมาณ 1.5 ล้านคน ผู้นำของสหพันธ์ฯ เดินทางไปยังหมู่บ้านต่างๆ เพื่อให้ความรู้เกี่ยวกับสิทธิพลเมืองของชาวบ้าน[30]:285 แม้จะมีพระราชบัญญัติควบคุมการเช่านาแล้ว อย่างไรก็ตามปัญหาประการอื่นของชาวนายังไม่ได้รับการแก้ไข เช่น ชาวนาที่ไม่ได้เช่านาหลายคนยังไม่มีสิทธิในที่ดินทำกิน ตลอดจนหนี้สินของชาวนา วันที่ 26 พฤศจิกายน 2517 คณะรัฐมนตรีมีมติไม่ตกลงตามข้อเรียกร้องทั้ง 8 ข้อ ของตัวแทนชาวนาที่เสนอต่อนายกรัฐมนตรี ด้วยเหตุผลว่าได้ดำเนินการช่วยเหลือไปเป็นส่วนใหญ่แล้ว อีกทั้งไม่สามารถจะทำอะไรได้เพราะมีอุปสรรคด้านกฎหมาย ขณะนี้รัฐบาลก็ได้ดำเนินการช่วยเหลืออยู่แล้ว เมื่อชาวนาได้ฟังแถลงการณ์ก็ไม่พอใจอย่างยิ่ง ประกาศจะยืนหยัดสู้ต่อไป[32]:216

สหพันธ์ชาวนาชาวไร่ฯ จัดการชุมนุมครั้งใหญ่ที่กรุงเทพฯ ต้นเดือนพฤษภาคม 2518 ชาวนากว่า 2,000 คน มาชุมนุมที่มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์และสนามหลวงโดยความร่วมมือกันระหว่างชาวนา นักศึกษาและกรรมกร ที่เรียกว่า "สามประสาน" นอกจากนี้ยังมีการชุมนุมตามหัวเมืองในภูมิภาคไปพร้อมกัน[41] พวกเขายื่นข้อเรียกร้องแปดข้อต่อรัฐบาลหม่อมราชวงศ์คึกฤทธิ์ ปราโมชในวันที่ 6 พฤษภาคม ข้อเรียกร้องหลักคือให้รัฐบาลจัดหาที่ทำกินให้ชาวนาก่อนฤดูกาลเพาะปลูกจะเริ่มต้น โดยต้องมีการจัดตั้งคณะกรรมการที่ประกอบด้วยตัวแทนรัฐ ชาวนา และนักศึกษาในจำนวนที่ เท่ากันเพื่อดำเนินการตรวจสอบเจ้าที่ดินและบังคับให้เจ้าที่ดินที่ไม่ปฏิบัติตามกฎหมายควบคุมการเช่านาหรือสร้างปัญหาแก่ชาวนาต้องมาชี้แจงต่อคณะกรรมการ”[42] รัฐบาลคึกฤทธิ์ปฏิเสธข้อเรียกร้องทั้งหมด โดยบอกว่าชาวนาไม่มีอำนาจที่จะไปบังคับให้เจ้าที่ดินหรือนายทุนมาชี้แจงต่อคณะกรรมการ”[43] เมื่อได้ยินเช่นนี้ วิชัย พิกุลขาว รองประธานภาคคนหนึ่งของสหพันธ์ชาวนาชาวไร่ฯ ก็ประกาศว่าชาวนาจะไปจากกรุงเทพฯ และจะไม่กลับมาอีก “เราจะไม่กลับมาแต่เราจะสู้อยู่ในจังหวัดต่าง ๆ เราจะใช้วิธีการของเราเอง”[44] เมื่อชาวนาออกจากหมู่บ้านครั้งแรกเพื่อมาประท้วงในเมืองเพียงหนึ่งปี ก่อนหน้าเป็นเพราะว่าพวกเขาสูญเสียความเชื่อมั่นที่จะก่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงหากยังอยู่ในหมู่บ้าน การตัดสินใจกลับไปต่อสู้ในระดับหมู่บ้านเกิดจากความสิ้นหวังแบบเดียวกัน และความรุนแรงขึ้นสู่จุดสูงสุดด้วยการลอบสังหารผู้นำสหพันธ์ชาวนาชาวไร่ฯ [45]

ความปั่นป่วนทางการเมืองเกิดขึ้นเมื่อเกิดการเปลี่ยนแปลงในประเทศเพื่อนบ้านของไทยในพ.ศ. 2518 เขมรแดงยึดกรุงพนมเปญ เมืองหลวงของกัมพูชา ในวันที่ 17 เมษายน 2518 และในวันที่ 30 เมษายน ไซ่ง่อนตกอยู่ภายใต้การควบคุมของฝ่ายคอมมิวนิสต์เวียดนาม ในส่วนของราชอาณาจักรลาว ขบวนการปะเทดลาวได้ก่อตั้งสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาวในวันที่ 2 ธันวาคม โค่นล้มสถาบันพระมหากษัตริย์ลาวที่ปกครองมาอย่างยาวนานในประวัติศาสตร์ การปฏิวัติคอมมิวนิสต์ในประเทศเพื่อนบ้าน ทำให้เกิดความหวาดผวาว่าประเทศไทยจะกลายเป็นคอมมิวนิสต์[46] ในบริบทเช่นนี้ ความตึงเครียดระหว่างนักเคลื่อนไหวหัวก้าวหน้าซึ่งรวมถึงนักศึกษาและชาวนา กับพลังอนุรักษ์นิยมต่างๆ เช่น เจ้าที่ดินและข้าราชการบางส่วนก็ปรากฏเด่นชัด ในจังหวัดเชียงใหม่ นักศึกษาและชาวนาถูกกล่าวหาว่าเป็น นักปลุกระดมที่ยุยงประชาชน มีการกล่าวหาจากผู้บังคับการตำรวจในจังหวัดว่า นักศึกษากำลังแจกจ่ายอาวุธและเครื่องยิงระเบิดให้กับชาวบ้านในภาคเหนือและภาคตะวันออกเฉียงเหนือ พร้อมทั้งมีการฝึกอบรมให้ต่อสู้กับรัฐบาล[47]

การลอบสังหารแกนนำชาวนา

[แก้]

ช่วงเวลา 3 ปีระหว่างวันที่ 14 ตุลาคม พ.ศ. 2516 (ค.ศ. 1973) ถึงวันที่ 6 ตุลาคม พ.ศ. 2519 (ค.ศ. 1976) ถือเป็นช่วงเวลาแห่งความวุ่นวายที่เต็มไปด้วยโอกาสทางการเมืองและการเปลี่ยนแปลงในประเทศไทย กลุ่มต่างๆ ที่ถูกจำกัดการดำเนินการทางการเมืองภายใต้การปกครองของทหารได้รวมตัวและประท้วงในจำนวนที่ไม่เคยมีมาก่อน คนไทยจากทุกระดับชั้นต่างก้าวข้ามข้อจำกัดชนชั้นและสถานะทางสังคมเพื่อท้าทายความอยุติธรรม แต่ตลอดปีพ.ศ. 2518 และ 2519 นักศึกษา นักข่าว นักสังคมนิยม ลูกจ้าง และชาวนาชาวไร่ ต่างตกเป็นเหยื่อของการคุกคาม ข่มขู่ คุกคาม และที่รุนแรงที่สุดก็คือการลอบสังหาร ตั้งแต่เดือนมีนาคม พ.ศ. 2517 (ค.ศ. 1974) ถึงเดือนสิงหาคม พ.ศ. 2518 (ค.ศ. 1975) มีผู้นำสหพันธ์ชาวนาชาวไร่แห่งประเทศไทยประมาณ 21 คนถูกสังหาร[1]

เจ้าหน้าที่ของรัฐและองค์กรฝ่ายขวา เช่น ขบวนการนวพล ขบวนการกระทิงแดง และลูกเสือชาวบ้าน มักคุกคามการเคลื่อนไหวของเกษตรกร ทำให้การเคลื่อนไหวของชาวนาค่อยอ่อนกำลังลง[28] และผู้นำก็ไม่เหลือทางเลือกอื่นใด นอกจากต้องลงไปเข้าร่วมพรรคคอมมิวนิสต์แห่งประเทศไทยเพื่อต่อสู้ต่อไป การเคลื่อนไหวของชาวนาก็ยุติไปหลังจากการกลับมาของ รัฐบาลทหารเมื่อวันที่ 6 ตุลาคม พ.ศ. 2519[31]:10

เชื่อกันว่าการฆาตกรรมเหล่านี้เกิดขึ้นเพื่อข่มขู่ ผู้ที่ถูกสังหารทั้งหมดเป็นสมาชิกสหพันธ์ที่เคลื่อนไหวอยู่เป็นประจำ การสังหารเกิดขึ้นเพียงช่วงเวลาสั้นๆ ในหลายกรณี การฆาตกรรมมักเป็นฝีมือของนักฆ่ามืออาชีพ ไม่ใช่การฆาตกรรมแบบสุ่มโดยชาวบ้านที่โกรธแค้นที่ฆ่าเพื่อแก้แค้น

นักเคลื่อนไหวของสหพันธ์ชาวนาชาวไร่แห่งประเทศไทยที่ถูกฆาตกรรมและทำร้ายร่างกาย

[แก้]
ชื่อ-สกุล ตำแหน่งในสหพันธ์ฯ จังหวัด วันที่ถูกฆาตกรรม
นายสนิท ศรีเดช ผู้แทนชาวนา พิษณุโลก ถูกยิงเสียชีวิต 31 มีนาคม 2517 (1974)
นายเมตตา (ล้วน) เหล่าอุดม ผู้แทนชาวนา อำเภอบางละมุง ชลบุรี ถูกยิงเสียชีวิต 11 สิงหาคม 2517 (1974)
นายบุญทิ้ง ศรีรัตน์ ผู้แทนชาวนา พิษณุโลก ถูกยิงเสียชีวิต ตุลาคม 2517 (1974)
นายบุญมา สมประสิทธิ์ สมาชิกคณะกรรมการสหพันธ์ฯ อ่างทอง ถูกยิงเสียชีวิต กุมภาพันธ์ 2518 (1975)
นายเฮียง ลิ้นมาก ผู้แทนชาวนา สุรินทร์ ถูกยิงเสียชีวิต 5 เมษายน 2518 (1975)
นายอาจ ธงโท สมาชิกคณะกรรมการสหพันธ์ฯ ตำบลต้นธง ลำพูน ถูกยิงเสียชีวิต 10 เมษายน 2518 (1975)
นายประเสริฐ โฉมอมฤต ประธานสหพันธ์ฯ ระดับหมู่บ้าน อำเภอหางดง เชียงใหม่ ถูกยิงเสียชีวิต 19 เมษายน 2518 (1975)
นายโหง่น ลาววงษ์ สมาชิกคณะกรรมการสหพันธ์ฯ ระดับหมู่บ้านหนองบัวบาน อำเภอหนองวัวซอ อุดรธานี ถูกรัดคอและทุบตีจนเสียชีวิต 21 เมษายน 2518 (1975)
นายเจริญ ดังนอก สมาชิกคณะกรรมการสหพันธ์ฯ อำเภอชุมพวง นครราชสีมา ถูกยิงและได้รับบาดเจ็บ 21 เมษายน 2518 (1975)
นายถวิล (ไม่ทราบนามสกุล) ผู้นำชาวนา อำเภอตะพานหิน พิจิตร ถูกยิงเสียชีวิต เมษายน 2518 (1975)
นายมงคล สุขหนุน ผู้นำชาวนา นครสวรรค์ ถูกยิงเสียชีวิต พฤษภาคม 2518 (1975)
นายบุญสม จันแดง สมาชิกคณะกรรมการสหพันธ์ฯ ส่วนกลาง อำเภอสันป่าตอง เชียงใหม่ ถูกยิงและได้รับบาดเจ็บ 8 พฤษภาคม 2518 (1975)
นายผัด เมืองมาหล้า ประธานสหพันธ์ฯ ระดับอำเภอ อำเภอห้างฉัตร ลำปาง ถูกยิงและได้รับบาดเจ็บ 11 พฤษภาคม 2518 (1975)
นายถวิล มุ่งธัญญา ผู้แทนชาวนา นครราชสีมา ถูกยิงเสียชีวิต 26 พฤษภาคม 2518 (1975)
นายพุฒ ปงลังกา ผู้นำชาวนา เชียงราย ถูกยิงเสียชีวิต 22 มิถุนายน 2518 (1975)
นายแก้ว ปงซาคำ ผู้นำชาวนา เชียงราย ถูกยิงเสียชีวิต 22 มิถุนายน 2518 (1975)
นายจา จักรวาล รองประธานสหพันธ์ฯ ระดับหมู่บ้าน อำเภอแม่ริม เชียงใหม่ ถูกยิงเสียชีวิต 3 กรกฎาคม 2518 (1975)
นายบุญช่วย ดิเรกชัย ประธานสหพันธ์ฯ ระดับอำเภอ อำเภอฝาง เชียงใหม่ ถูกยิงและได้รับบาดเจ็บ 8 กรกฎาคม 2518 (1975)
นายประสาท สิริม่วง ผู้แทนชาวนา สุรินทร์ ถูกยิงเสียชีวิต 8 กรกฎาคม 2518 (1975)
นายบุญทา โยทา สมาชิกคณะกรรมการสหพันธ์ฯ อำเภอเมือง ลำพูน ถูกยิงเสียชีวิต 18 กรกฎาคม 2518 (1975)
นายเกลี้ยง ใหม่เอี่ยม รองประธานสหพันธ์ฯ ระดับอำเภอ อำเภอห้างฉัตร ลำปาง ถูกยิงเสียชีวิต 22 กรกฎาคม 2518 (1975)
นายอินถา ศรีบุญเรือง รองประธานสหพันธ์ฯ ระดับชาติ และประธานสหพันธ์ฯ ภาคเหนือ อำเภอสารภี เชียงใหม่ ถูกยิงเสียชีวิต 30 กรกฎาคม 2518 (1975)
นายสวัสดิ์ ตาถาวรรณ รองประธานสหพันธ์ฯ ระดับหมู่บ้าน บ้านแม่ฮ้อยเงิน อำเภอดอยสะเก็ด เชียงใหม่ ถูกยิงเสียชีวิต 3 สิงหาคม 2518 (1975)
นายมี สวนพลู สมาชิกคณะกรรมการสหพันธ์ฯ อำเภอฝาง เชียงใหม่ ถูกอุ้มหายไปเมื่อ 8 สิงหาคม 2518 (1975)
นายตา แก้วประเสริฐ สมาชิกคณะกรรมการสหพันธ์ฯ อำเภอฝาง เชียงใหม่ ถูกอุ้มหายไปเมื่อ 8 สิงหาคม 2518 (1975)
นายตา อินต๊ะคำ สมาชิกคณะกรรมการสหพันธ์ฯ อำเภอฝาง เชียงใหม่ ถูกอุ้มหายไปเมื่อ 8 สิงหาคม 2518 (1975)
นายนวล สิทธิศรี สมาชิกสหพันธ์ฯ อำเภอแม่ริม เชียงใหม่ ถูกยิงและได้รับบาดเจ็บ 11 สิงหาคม 2518 (1975)
นายพุฒ ทรายคำ ผู้นำชาวนา อำเภอฝาง เชียงใหม่ ถูกยิงเสียชีวิต 11 สิงหาคม 2518 (1975)
นายซ้วน เนียมวีระ สมาชิกคณะกรรมการสหพันธ์ฯ อำเภออู่ทอง สุพรรณบุรี ถูกยิงเสียชีวิต 12 สิงหาคม 2518 (1975)
นายแสวง จันทาพูน รองประธานสหพันธ์ฯ ระดับหมู่บ้าน อำเภอฝาง เชียงใหม่ ถูกยิงและได้รับบาดเจ็บ 27 สิงหาคม 2518 (1975)
นายนวล กาวิโล ผู้นำชาวนา อำเภอเสริมงาม ลำปาง ถูกยิงเสียชีวิต 12 ตุลาคม 2518 (1975)
นายมี กาวิโล ผู้นำชาวนา อำเภอเสริมงาม ลำปาง ถูกระเบิดและได้รับบาดเจ็บ 12 ตุลาคม 2518 (1975)
นายบุญรัตน์ ใจเย็น ผู้นำชาวนา อำเภอเสริมงาม ลำปาง ถูกยิงเสียชีวิต 21 ตุลาคม 2518 (1975)
นายจันเติม แก้วดวงดี ประธานสหพันธ์ฯ ระดับหมู่บ้าน อำเภอสันป่าตอง เชียงใหม่ ถูกยิงและได้รับบาดเจ็บ 5 ธันวาคม 2518 (1975)
นายลา สุภาจันทร์ สมาชิกคณะกรรมการสหพันธ์ฯ อำเภอเสริมงาม ลำปาง ถูกยิงเสียชีวิต 12 ธันวาคม 2518 (1975)
นายปั๋น สูญใส รองประธานสหพันธ์ฯ ระดับหมู่บ้าน อำเภอเชียงดาว เชียงใหม่ ถูกยิงและได้รับบาดเจ็บ 20 มีนาคม 2519 (1976)
นายคำ ต๊ะมูล ผู้นำชาวนา อำเภอเสริมงาม ลำปาง ถูกยิงเสียชีวิต 31 มีนาคม 2519 (1976)
นายวงศ์ มูลอ้าย ผู้แทนชาวนา อำเภอเสริมงาม ลำปาง ถูกอุ้มหายไปเมื่อ 13 เมษายน 2519 (1976) และมีรายงานจากศูนย์นักศึกษาภาคเหนือว่าเสียชีวิตเมื่อวันที่ 19 พฤษภาคม 2519 (1976)
นายพุฒ บัววงศ์ ผู้แทนชาวนา อำเภอเสริมงาม ลำปาง ถูกอุ้มหายไปเมื่อ 13 เมษายน 2519 (1976) และมีรายงานจากศูนย์นักศึกษาภาคเหนือว่าเสียชีวิตเมื่อวันที่ 19 พฤษภาคม 2519 (1976)
นายทรง กาวิโล ผู้แทนชาวนา อำเภอเสริมงาม ลำปาง ถูกอุ้มหายไปเมื่อ 13 เมษายน 2519 (1976) และมีรายงานจากศูนย์นักศึกษาภาคเหนือว่าเสียชีวิตเมื่อวันที่ 19 พฤษภาคม 2519 (1976)
นายดวงคำ พรหมแดง ผู้แทนชาวนา อำเภอเวียงป่าเป้า เชียงราย ถูกยิงเสียชีวิต 28 เมษายน 2519 (1976)
นายนวล ดาวตาด ประธานสหพันธ์ฯ ระดับหมู่บ้าน บ้านสันทรายมูล ตำบลแม่ฮ้อยเงิน อำเภอดอยสะเก็ด เชียงใหม่ ถูกยิงเสียชีวิต 9 พฤษภาคม 2519 (1976)
นายศรีธน ยอดกันทา ประธานสหพันธ์ฯ ภาคเหนือ อำเภอดอยสะเก็ด เชียงใหม่ ถูกระเบิดและได้รับบาดเจ็บ 17 กรกฎาคม 2519 (1976)
นายชิต คงเพชร ผู้นำชาวนา อำเภอแม่ลาน้อย แม่ฮ่องสอน ถูกยิงเสียชีวิต 18 สิงหาคม 2519 (1976)
นายทรอด ธานี ประธานสหพันธ์ฯ ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ และรองประธานสหพันธ์ฯ ระดับชาติ อำเภอหนองบัวแดง ชัยภูมิ ถูกยิงเสียชีวิต 5 กรกฎาคม 2521 (1978)
นายจำรัส ม่วงยาม ประธานสหพันธ์ฯ ภาคตะวันออก และประธานสหพันธ์ฯ ระดับชาติ อำเภอบ้านด่าน ระยอง ถูกยิงเสียชีวิต 21 กรกฎาคม 2522 (1979)

แหล่งที่มา: David Morell: Political Conflict in Thailand: Reform, Reaction, Revolution.[5] "ไทเรล ฮาเบอร์คอร์น, การปฏิวัติที่ถูกตัดตอน : ชาวนา นักศึกษา กฎหมาย และความรุนแรงในภาคเหนือของไทย. -- นนทบุรี : ฟ้าเดียวกัน, 2560 (ภาคผนวก หน้า 263-267) [อ้างจาก นิติรัตน์ ทรัพย์สมบูรณ์, บ.ก., เส้นทางชาวนาไทย (กรุงเทพฯ : มูลนิธิเด็ก, 2542 หน้า 155-160) และ กนกศักดิ์ แก้วเทพ, บทวิเคราะห์สหพันธ์ชาวนาชาวไร่แห่งประเทศไทย : เศรษฐศาสตร์การเมืองว่าด้วยชาวนายุคใหม่ (กรุงเทพฯ : สถาบันวิจัยสังคม จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย, 2530 หน้า 161-166)"[48]

การลอบสังหารชาวนา

[แก้]

สมาชิกทั่วไปของสหพันธ์ชาวนาชาวไร่แห่งประเทศไทยถูกลอบสังหารในช่วงต้น เมื่อมีการสังหารเรื่อยๆ ผู้นำระดับสูงอย่างอินถา ศรีบุญเรือง ก็ตกเป็นเป้าหมาย การสังหารครั้งนี้เป็นคำเตือนไปยังผู้นำสหพันธ์ชาวนาชาวไร่ ให้ยุติกิจกรรมหากต้องการมีชีวิตอยู่ต่อไป ท้ายที่สุดการสังหารเรื่อยๆ ได้ขัดขวางความพยายามของสหพันธ์ชาวนาชาวไร่ องค์กรหยุดเติบโตและลดบทบาทในฐานะพรรคการเมืองลง ในพ.ศ. 2519 (ค.ศ. 1976) แทบจะไม่มีการปรากฏของพรรคการเมืองดังกล่าวอีกเลย สหพันธ์มีกลุ่มบุคคลเพียงไม่กี่คนที่มีประสบการณ์และคุ้นเคยกับความซับซ้อนของพระราชบัญญัติควบคุมการเช่านา เมื่อมีคนถูกฆาตกรรมและคนอื่นๆ ว่าจะถูกฆ่าไปด้วย สหพันธ์ชาวนาชาวไร่แห่งประเทศไทยจึงล่มสลาย[1]

ในขณะที่ชาวนาถูกสังหารมากขึ้นเรื่อยๆ ในพ.ศ. 2518 สหพันธ์ชาวนาชาวไร่ฯ และแนวร่วมเรียกร้องให้รัฐไทยดำเนินการสอบสวนการฆาตกรรมเหล่านั้น ให้ความคุ้มครองแก่ชาวนา ศนท.มีการเผยแพร่แถลงการณ์เกี่ยวกับการลอบสังหารในหนังสือพิมพ์ อธิปัตย์ ซึ่งเป็นขององค์กร สัมีการระบุว่าถึงตอนนั้นชาวนาภาคเหนือที่ถูกฆ่าและได้รับบาดเจ็บส่วนใหญ่เป็นผู้นำชาวบ้าน ท้องถิ่นและสมาชิกสหพันธ์ชาวนาชาวไร่ฯ หลายคนมีตำแหน่งผู้นำในสหพันธ์ชาวนาชาวไร่ฯ พวกเขาเป็นผู้ที่ได้ทำการต่อสู้อย่างเข้มแข็งเพื่อความเป็นธรรมและเป็นที่รักใคร่ของชาวบ้าน การสังหารแต่ละครั้งเป็นการกระทำของคนต่างถิ่นและเป็นไปโดยสะดวก ราบรื่นจนดูเหมือนว่ามีการวางแผนล่วงหน้ามาเป็นอย่างดี ในเกือบทุกกรณี ตำรวจอ้างว่าไม่มีหลักฐานเพียงพอที่จะทำการจับกุม ปลายเดือนกรกฎาคม สหพันธ์ชาวนาชาวไร่ฯ ยื่นหนังสือถึงกระทรวงมหาดไทย “ขอให้ดำเนินมาตรการคุ้มครองความปลอดภัย ให้กับชาวนาที่ต่อสู้เพื่อความเป็นธรรม” และให้รัฐบาล “ทบทวนการพิจารณาคดีการ ลอบสังหาร และเผยแพร่ข้อมูลการฆาตกรรมต่างๆ เพื่อรัฐบาลจะได้ให้ความคุ้มครอง อย่างเต็มที่แก่ชาวนาที่ต่อสู้เพื่อความเป็นธรรม"[49] แต่แทนที่จะมีการสอบสวนกรณี ฆาตกรรม ข้าราชการส่วนใหญ่อ้างว่าไม่สามารถดำเนินการได้ ปฏิเสธที่จะดำเนินการ หรือถึงกับปฏิเสธความสำคัญของเรื่องนี้เอาเลยก็มี นอกจากหาตัวฆาตกรไม่ได้แล้ว การปฏิเสธของรัฐไทยที่จะรับรู้ถึงการเสียชีวิตของอินถา ศรีบุญเรืองและคนอื่น ๆ มีนัยสำคัญทางการเมือง การปฏิเสธที่จะรับรู้เผยถึงการเพิกเฉย ไร้ความสามารถ และความพยายาม อย่างยิ่งยวดที่จะลดทอนกลบเกลื่อนความสำคัญของงานของสหพันธ์ชาวนาชาวไร่ฯ[50]

เมื่อนักศึกษาเรียกร้องให้นายกรัฐมนตรีหม่อมราชวงศ์คึกฤทธิ์เข้ามาแทรกแซงเพื่อหยุดการลอบสังหาร คึกฤทธิ์อ้างว่าไม่รู้เรื่องและบอกว่าควรปล่อยให้เป็นเรื่องของตำรวจ คึกฤทธิ์อ้างว่าเขาเองก็ไม่ต่างจากคนอื่นที่รู้เรื่องการลอบสังหารแต่ละครั้งจากการอ่านหนังสือพิมพ์[51] แต่อาษา เมฆสวรรค์ ผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงใหม่กลับอ้างถึงความยากลำบากของสถานการณ์มาเป็นเหตุผลของการไม่ทำอะไร “ตำรวจมีความยากลำบากในการสืบสวน คดีเหล่านี้เนื่องจากไม่ได้รับความร่วมมือจากพยาน ตำรวจต้องงมหาอย่างมืดแปดด้าน เหมือนงมเข็มในมหาสมุทร”[52] แต่ถึงกระนั้นฮาเบอร์คอร์นมองว่า คำกล่าวของคึกฤทธิ์และผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงใหม่กลับกลายเป็นการวิจารณ์ถึงการไร้ความสามารถของตำรวจไทย[45] แม้คึกฤทธิ์จะบอกว่าการจัดการเรื่องการลอบสังหารเป็นหน้าที่ของตำรวจ ตำรวจในภาคส่วนต่าง ๆ ก็ไม่กระตือรือร้นที่จะทำอะไร รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงมหาดไทย พลตำรวจเอก ชุมพล โลหะชาละ เรียกร้อง “ขอความร่วมมือกับประชาชนเรื่องนี้ด้วย เพราะตำรวจไม่ใช่เทวดา จะรู้หรือจัดการได้ทั้งหมด”[53] เขายังอ้างอีกว่าตำรวจไม่สามารถ คุ้มครองชาวนาได้เนื่องจากตำรวจมีจำนวนน้อยกว่าชาวนาในประเทศ”[54]

แคทเทอรีน โบวี่และไบรอัน ฟีแลน อธิบายว่าการที่เจ้าหน้าที่บางส่วนปฏิเสธว่าการลอบสังหารเหล่านี้ไม่เกี่ยวข้องกับการเมือง กลับเป็นการตอกย้ำว่าอันที่จริงแล้วพวกเขาเห็นว่างานเคลื่อนไหวของชาวนาเหล่านั้นมีความสำคัญทางการเมือง พวกเขาปฏิเสธความแตกต่างระหว่างการลอบสังหารชาวนากับการฆาตกรรมอื่น ๆ ที่เกิดขึ้นใน ช่วงเวลาเดียวกันอย่างหน้าตาเฉย[55]:6 ตัวอย่างหนึ่งคือ บุญเท่ง ทองสวัสดิ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย อภิปรายในสภาผู้แทนราษฎรว่าการสังหารเหล่านั้น “เป็นเพียงส่วนหนึ่งของ คดีฆ่าคนตายในท้องที่นั้น ๆ โดยรัฐบาลไม่ได้คิดว่าบุคคลที่ตายนั้นเป็นใครมีความสำคัญ แค่ไหนเป็นผู้นำชาวนาหรือไม่ แต่ยอมรับที่จะต้องรับหน้าที่คุ้มครองชีวิตคนเหล่านั้นเสมอกัน”[56] ในคำอธิบายของบุญเท่ง ทุกชีวิตควรได้รับการคุ้มครองเสมอกัน กระนั้น การที่รัฐไม่ยอมทำอะไรเลยทั้งที่เห็นอยู่ทนโท่ในกรณีการลอบสังหารผู้นำชาวนาก็บ่งบอกว่าบางชีวิตอาจจะถูกถือว่าสำคัญควรได้รับการคุ้มครองมากกว่าชีวิตอื่น[57]

ก่อนรัฐประหาร พ.ศ. 2519 การฆาตกรรมผู้นำของสหพันธ์ชาวนาชาวไร่แห่งประเทศไทยโดยกองกำลังฝ่ายขวา ส่งผลให้สหพันธ์ฯ ล่มสลาย[30]:289

สามสิบปีต่อมา ปัญหาต่างๆ ที่เกิดขึ้นในช่วงเวลาแห่งความเป็นไปได้ทางการเมือง การจินตนาการถึงอนาคตที่แตกต่างและความยุติธรรมสำหรับคนธรรมดาในไทย และการสิ้นสุดความฝันความหวังของคนเหล่านั้น ยังคงไม่ได้รับการแก้ไขและไม่ได้รับการศึกษาอย่างเพียงพอ ธงชัย วินิจจะกูล นักวิชาการเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ โต้แย้งว่าเหตุการณ์สังหารหมู่ที่เกิดขึ้นที่มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ และการลอบสังหารเกษตรกร สหพันธ์ชาวนาชาวไร่ ยังคงเต็มไปด้วยความเงียบและความหวาดกลัว[58]

ผลสืบเนื่อง

[แก้]

รัฐประหาร พ.ศ. 2519 อันเนื่องจากเหตุการณ์การสังหารหมู่ที่มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์และสนามหลวง โดยคณะทหารชื่อ "คณะปฏิรูปการปกครองแผ่นดิน" ยึดอำนาจจากรัฐบาลพลเรือนหม่อมราชวงศ์เสนีย์ ปราโมช คณะทหารอ้างว่าไม่อาจควบคุมสถานการณ์ให้อยู่ในความสงบเรียบร้อยได้ คณะนายทหาร 3 เหล่าทัพและกรมตำรวจ นำโดย พลเรือเอกสงัด ชลออยู่ อดีตผู้บัญชาการทหารสูงสุดและผู้บัญชาการทหารเรือ จึงจำเป็นต้องยึดอำนาจการปกครองไว้ โดยใช้ชื่อว่า คณะปฏิรูปการปกครองแผ่นดิน และการชุมนุมของชาวนาชาวไร่ก๋ถูกปราบปรามเช่นเดียวกับนักศึกษา

คณะปฏิรูปการปกครองแผ่นดินแต่งตั้งธานินทร์ กรัยวิเชียร ที่พระบาทสมเด็จพระมหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตรทรงโปรด เป็นนายกรัฐมนตรี ธานินทร์เลือกคณะรัฐมนตรีด้วยตัวเองโดยไม่สนใจรายชื่อของคณะรัฐประหาร[59]:259 รัฐบาลสั่งปิดสื่อห้ามเผยแพร่เกี่ยวกับเหตุการณ์ 6 ตุลาทั้งหมด 3 วัน รัฐบาลชุดนี้เป็นชุดที่นิยมเจ้าและต่อต้านฝ่ายซ้ายดุดันที่สุดในประวัติศาสตร์ไทย ประชาชนซึ่งส่วนใหญ่เป็นนักศึกษาหนีไปเข้ากับพรรคคอมมิวนิสต์แห่งประเทศไทย (พคท.) กว่า 3,000 คน[60]:258 มีการโจมตีกองโจรเป็นระลอกตามมา ซึ่งเพิ่มถึงขีดสุดในต้นปี 2520[61] มีการจับกุมผู้ต้องสงสัยเป็นภัยสังคมเชื่อว่าจำนวนอย่างน้อย 8,000 คนระหว่างเดือนตุลาคม 2519 ถึงมิถุนายน 2520[62]:50

ผลของรัฐประหารในประเทศไทย พ.ศ. 2519 (ค.ศ. 1976) ทำลายขบวนการเคลื่อนไหว 3 ประสาน หรือแนวร่วมระหว่างนักศึกษา กรรมกรและชาวนา ทำให้องค์การแรงงานต้องพึ่งตนเอง[63]:82 ค่าจ้างขั้นต่ำเพิ่มขึ้นช้ามากเมื่อเทียบกับช่วงประชาธิปไตย คือ จาก 12 บาทต่อวันในปี 2516 เป็น 25 บาทต่อวันในปี 2518 ก่อนเพิ่มเป็น 28 บาทต่อวันในปี 2520 เป็นอัตราค่าจ้างขั้นต่ำที่บังคับใช้นานที่สุดนับแต่มีกำหนดขึ้น[63]:82 การดำเนินการของสหภาพแรงงานถูกควบคุมอย่างสูง มีการจัดตั้งองค์การน้อยลง จำนวนข้อพิพาทแรงงานลดลง[63]:82 ลูกจ้างที่หยุดงานในช่วงรัฐบาลธานินทร์ถูกจับในข้อหาภัยสังคม[63]:85 รัฐบาลออกกฎหมายห้ามนัดหยุดงานอยู่ช่วงหนึ่งก่อนยกเลิกไป[63]:86–7 มีการออกกฎกระทรวงจำกัดสิทธิการนัดหยุดงานของกิจการบางประเภทที่ใช้มาถึงปัจจุบัน เช่น รัฐวิสาหกิจ กิจการขนส่งหรือกิจการจำหน่ายน้ำมันเชื้อเพลิง[63]:88

ดูเพิ่ม

[แก้]

อ้างอิง

[แก้]
  1. 1 2 3 4 5 6 Haberkorn, Tyrell (2011). Revolution Interrupted: Farmers, Students, Law, and Violence in Northern Thailand. Chiang Mai: Silkworm Books. p. 3.
  2. Zimmerman, Robert F. (1978). "Reflections on the collapse of Democracy in Thailand". Singapore Institute of Southeast Asian Studies. 58.
  3. Phumisak, Jit (1974). Collected Works (Ruam Botkawi lae nganwichan silpawannakhadi) (in Thai). Thailand: Chiang Mai University Student Front. p. 8.
  4. 1 2 3 4 5 6 7 Luther, Hans U. (December 1978). "Peasants and State in Contemporary Thailand". International Journal of Politics. 8 (4): 1–120. JSTOR 27868875.
  5. 1 2 3 4 5 6 7 8 9 10 11 Morell, David (1981). Political Conflict in Thailand: Reform, Reaction, Revolution. Germany: Oelgeschlager, Gunn & Hain, Publishers Inc. pp. 205–233.
  6. "Yearbook". Far Eastern Economic Review: 306. 1976.
  7. Suntravanich, Chalong (1975). "Thailand's Peasant Situation". Journal of Thai Students in Australia (3).
  8. 1 2 International Rice Research Institute (IRRI). "Rice in Thailand". สืบค้นเมื่อ 20 Oct 2012.
  9. 1 2 3 4 Phongpaichit, Pasuk; Baker, Christopher John (1995). Thailand, Economy and Politics. Kuala Lumpur: Oxford University Press. ISBN 9789835600661. สืบค้นเมื่อ 2018-11-20.
  10. พิพัฒน์เสรีธรรม, เกริกเกียรติ (2522). "ปัญหาที่ดินและความช่วยเหลือแก่ชาวนาไทย" ใน วารสารวิทยาลัยการค้า 1, 1. กรุงเทพฯ: สมาคมนักวิจัยแห่งประเทศไทย. p. 44-45.
  11. ฮาเบอร์คอร์น 2560, p. 10.
  12. Zimmerman, Carl; Andrews, James (1931). "Siam: Rural Economic Survey". Bangkok Times Press (1930–1931).
  13. Bangkok Post, 14 July 1951, p.4
  14. ฮาเบอร์คอร์น 2560, p. 54.
  15. ฮาเบอร์คอร์น 2560, p. 54-55.
  16. ฮาเบอร์คอร์น 2560, p. 56-57.
  17. Thisyamondol, Pantum; Virach Arromdi; Millard F. Long (1965). Agricultural Credit in Thailand. Bangkok: Kasetsart University. p. 31.
  18. ฮาเบอร์คอร์น 2560, p. 55.
  19. ฮาเบอร์คอร์น 2560, p. 56.
  20. ช.ม.1.2.2/3 เอกสารจังหวัดเชียงใหม่, สำนักงานปกครองจังหวัด, "การประกาศใช้พระราชบัญญัติควบคุมการเช่านา พ.ศ. 2493", p.48
  21. แก้วเทพ, กนกศักดิ์ (2530). บทวิเคราะห์สหพันธ์ชาวนาชาวไร่แห่งประเทศไทย: เศรษฐศาสตร์การเมืองว่าด้วยชาวนายุคใหม่. กรุงเทพฯ: สถาบันวิจัยสังคม จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย. p. 43.
  22. ฮาเบอร์คอร์น 2560, p. 57.
  23. ฮาเบอร์คอร์น 2560, p. 129.
  24. ช.ม.1.2.2/3, "การประกาศใช้พระราชบัญญัติควบคุมการเช่านา พ.ศ.2493", น.66
  25. ฮาเบอร์คอร์น 2560, p. 81-82.
  26. ฮาเบอร์คอร์น 2560, p. 82-83.
  27. Marks, Tom (1994). Making Revolutuion The Insurgency of the Communist Party of Thailand in Structural Perspective. Bangkok: White Lotus Co.,Ltd. p. 92.
  28. 1 2 Suehiro, Akira (1981). "Land Reform in Thailand: The Concept and Background of the Agricultural Land Reform Act of 1975," Developing Economies 19, no. 4. p. 339.
  29. Ross Prizzia and Narong Sinsawasdi, "Evolution of the Thai student Movement (1940–1974)", Asia Quarterly, vol 1, 1975.
  30. 1 2 3 4 เบเคอร์, คริส; พงษ์ไพจิตร, ผาสุก (2557). ประวัติศาสตร์ไทยร่วมสมัย. มติชน.
  31. 1 2 ชินอิชิ ชิเกโตมิ (เขียน), อรรถจักร์ สัตยานุรักษ์ (แปล). ทําไมเขาจึงลุกขึ้นสู้? ความเป็นจริงในท้องถิ่นของขบวนการเกษตรกรในทศวรรษ 1970 ของประเทศไทยใน วารสารนิติสังคมศาสตร์ ปีที่ 16 ฉบับที่ 2 กรกฎาคม - ธันวาคม 2566, กรุงเทพฯ: คณะรัฐศาสตร์ จุฬาลงกรณมหาวิทยาลัย, 2566
  32. 1 2 3 4 5 6 7 8 9 10 11 12 13 14 15 16 วีรประวัติ วงศ์พัวพันธุ์ บก. สรุปเหตุการณ์ 2517, กรุงเทพฯ: ประชาชาติ, 2518
  33. มติคณะรัฐมนตรี วันที่ 9 กรกฎาคม 2517,
  34. ไทยนิวส์ & 2 กันยายน 2517, p. 3.
  35. ไทยนิวส์ & 3 กันยายน 2517, p. 3.
  36. ฮาเบอร์คอร์น 2560, p. 4.
  37. Anderson, Ben (1977). "Withdrawal symptoms: Social and cultural aspectsof the October 6 coup". Bulletin of Concerned Asian Scholars,. 9 (3). doi:10.1080/14672715.1977.10406423. สืบค้นเมื่อ 2020-07-22.{{cite journal}}: CS1 maint: extra punctuation (ลิงก์)
  38. ฮาเบอร์คอร์น 2560, p. 130.
  39. ฮาเบอร์คอร์น 2560, p. 130-131.
  40. ฮาเบอร์คอร์น 2560, p. 171-173.
  41. อธิปัตย์, 2-5 พฤษภาคม 2518 & น.1, 12.
  42. Bangkok Post & 3 May 1975, p. 3.
  43. Bangkok Post & 7 May 1975, p. 3.
  44. Bangkok Post & 8 May 1975, p. 1.
  45. 1 2 ฮาเบอร์คอร์น 2560, p. 184-185.
  46. ฮาเบอร์คอร์น 2560, p. 182.
  47. ฮาเบอร์คอร์น 2560, p. 183.
  48. ฮาเบอร์คอร์น, ไทเรล (2560). การปฏิวัติที่ถูกตัดตอน: ชาวนา นักศึกษา กฎหมาย และความรุนแรงในภาคเหนือของไทย. กรุงเทพฯ: ฟ้าเดียวกัน. p. 263-267.
  49. Bangkok Post, 27 July 1975, 3
  50. ฮาเบอร์คอร์น 2560, p. 187.
  51. สยามรัฐ, 1 สิงหาคม 2518, น.16
  52. อ้างใน Voice of the Nation, 5 August 1975, 8
  53. ถิ่นไทย, 7 สิงหาคม 2518, น.12
  54. ถิ่นไทย, 7 สิงหาคม 2518, น.12
  55. Bowie, Katherine; Phelan, Brian (1975). "Who's killing the Farmers?". Post Sunday Magazine, 17 August 1975.
  56. ประชาชาติรายสัปดาห์ 2, 92 (21 สิงหาคม 2518), น.10
  57. ฮาเบอร์คอร์น 2560, p. 189.
  58. Winichakul, Thongchai (2002). Tanabe, Shigeharu; Keyes, Charles F. (บ.ก.). "Remembering/Silencing the Traumatic Past: The Ambivalent Memories of the October 1976 Massacre in Bangkok". Cultural Crisis and Social Memory: Modernity and Identity in Thailand and Laos. Honolulu: University of Hawaií Press: 243–286.
  59. Handley, Paul M. The King Never Smiles: A Biography of Thailand's Bhumibol Adulyadej. Yale University Press. ISBN 0-300-10682-3.
  60. Thongchai Winichakul (2002). "Remembering/ Silencing the Traumatic Past". In Shigeharu Tanabe and Charles F. Keyes eds., Cultural Crisis and Social Memory: Modernity and Identity in Thailand and Laos. Honolulu: University of Hawaii Press.
  61. Franklin B. Weinstein, "The Meaning of National Security in Southeast Asia,". Bulletin of Atomic Scientists, November 1978, pp. 20-28.
  62. Human Rights in Thailand : Hearings Before the Subcommittee on International Organizations of the Committee on International Relations, House of Representatives, Ninety-Fifth Congress, First Session, June 23 and 30, 1977, U.S. Government Printing Office, 1977.
  63. 1 2 3 4 5 6 ธนชัยเศรษฐวุฒิ, บัณฑิตย์ (มกราคม–มิถุนายน 2545). "อาชญากรรมคดี 6 ตุลา กับผลกระทบต่อขบวนการแรงงาน". สังคมศาสตร์. 33 (1). สืบค้นเมื่อ 2020-07-22.