ข้ามไปเนื้อหา

การอับปางของเรืออาร์เอ็มเอส ลูซิเทเนีย

จากวิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี
การอับปางของเรืออาร์เอ็มเอส ลูซิเทเนีย
ภาพวาดเหตุการณ์เรืออับปาง จากสมาพันธ์หอจดหมายเหตุแห่งเยอรมนี
แผนที่
วันที่7 พฤษภาคม 1915; 110 ปีก่อน
เวลา14:10 – 14:28 น. (เวลาเดินเรือ)
ที่ตั้งทะเลเคลติก ใกล้กับแหลมโอลด์เฮดออฟคินเซล ประเทศไอร์แลนด์ 
พิกัด51°25′N 8°33′W / 51.417°N 8.550°W / 51.417; -8.550
สาเหตุถูกตอร์ปิโดโดยเรือดำน้ำอู-20 ของเยอรมัน
ผล
  • มีผู้เสียชีวิต 1,197 คนจากทั้งหมด 1,960 คนบนเรือ (รวมถึงผู้เสียชีวิตหลังเหตุการณ์ 4 คน)[1]
  • ทำให้ความเห็นของนานาชาติหันไปต่อต้านเยอรมนี
  • ทำให้สงครามเรือดำน้ำแบบไม่จำกัดต้องยุติลงชั่วคราว
จุดที่อับปางตั้งอยู่ในไอร์แลนด์
จุดที่อับปาง
จุดที่อับปาง
ตำแหน่งที่เรืออาร์เอ็มเอส ลูซิเทเนียอับปาง บนแผนที่ประเทศไอร์แลนด์

อาร์เอ็มเอส ลูซิเทเนีย (อังกฤษ: RMS Lusitania) เรือเดินสมุทรสัญชาติบริติช ถูกจมโดยตอร์ปิโดจากเรือดำน้ำของกองทัพเรือจักรวรรดิเยอรมันในช่วงสงครามโลกครั้งที่หนึ่งเมื่อวันที่ 7 พฤษภาคม ค.ศ. 1915 ห่างจากแหลมโอลด์เฮดออฟคินเซล ประเทศไอร์แลนด์ ไปประมาณ 11 ไมล์ทะเล (20 กิโลเมตร) การโจมตีเกิดขึ้นในเขตสงครามทางทะเลที่ประกาศไว้รอบสหราชอาณาจักร สามเดือนหลังเยอรมนีประกาศทำสงครามเรือดำน้ำแบบไม่จำกัดต่อเรือของสหราชอาณาจักร ตามมาด้วยการที่ฝ่ายสัมพันธมิตรทำการการปิดล้อมทางทะเลต่อเยอรมนีและประเทศฝ่ายมหาอำนาจกลางอื่น ๆ

ก่อนออกเดินทางจากนิวยอร์ก ผู้โดยสารได้รับการแจ้งเตือนเกี่ยวกับอันตรายที่อาจเกิดขึ้นจากการล่องเรืออังกฤษเข้าไปในพื้นที่ดังกล่าว แต่การโจมตีกลับเกิดขึ้นโดยไม่มีการเตือนล่วงหน้า จากตำแหน่งจมอยู่ใต้น้ำห่างออกไปทางขวา 700 เมตร อู-20 (SM U-20) ภายใต้การบัญชาการของเรือเอก วัลเทอร์ ชวีเกอร์ ยิงตอร์ปิโดเพียงหนึ่งลูกใส่เรือโดยสารของสายการเดินเรือคูนาร์ด หลังถูกตอร์ปิโด เรือเกิดระเบิดขึ้นอีกครั้งภายในลำเรือ ทำให้เรือจมลงภายในเวลาเพียง 18 นาที[2][3]:429 ภารกิจของอู-20 คือการยิงตอร์ปิโดใส่เรือรบและเรือโดยสารในบริเวณที่ลูซิเทเนียเดินเรืออยู่ ท้ายที่สุดมีผู้รอดชีวิตเพียง 763 คนจากจำนวนผู้โดยสาร ลูกเรือ และผู้โดยสารที่แอบขึ้นเรือทั้งหมด 1,960 คน[1] และในจำนวนนั้นประมาณ 128 คนเป็นพลเมืองสหรัฐ[4] การอับปางของเรือลำนี้ทำให้หลายประเทศมีความเห็นต่อต้านเยอรมนีและยังมีส่วนทำให้สหรัฐเข้าร่วมสงครามในอีกสองปีต่อมา ภาพเรือที่ถูกโจมตีถูกนำมาใช้เป็นเครื่องมือโฆษณาชวนเชื่อและการรับสมัครทหารของสหรัฐอย่างแพร่หลาย[3]:497–503

การสืบสวนในปัจจุบันทั้งในสหราชอาณาจักรและสหรัฐเกี่ยวกับสาเหตุแท้จริงของการสูญหายของเรือลำนี้ถูกขัดขวางด้วยความจำเป็นของการรักษาความลับทางทหารและการรณรงค์โฆษณาชวนเชื่อเพื่อให้ความผิดทั้งหมดตกอยู่กับเยอรมนี[2] ขณะเรือลำนี้กำลังจมลง เรือซึ่งส่วนใหญ่ใช้ขนส่งผู้โดยสารมีเสบียงทางทหารบรรทุกอยู่ในท้องเรือประมาณ 173 ตัน ประกอบด้วยกระสุนปืนไรเฟิล 4.2 ล้านนัด ปลอกกระสุนปืนใหญ่บรรจุเศษกระสุนเกือบ 5,000 ปลอก และชนวนจุดระเบิดทองเหลืองอีก 3,240 ชิ้น[5][6] การโต้เถียงเกี่ยวกับความชอบธรรมของวิธีการจมเรือลำดังกล่าวได้เกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องทั้งตลอดช่วงสงครามและหลังสงครามสิ้นสุดลง[7]

ภูมิหลัง

[แก้]

เมื่อสร้างเรือลูซิเทเนีย รัฐบาลอังกฤษให้การสนับสนุนค่าใช้จ่ายการสร้างและการเดินเรือด้วยเงื่อนไขว่าเรือจะต้องสามารถดัดแปลงเป็นเรือพาณิชย์ติดอาวุธได้หากจำเป็น เมื่อสงครามโลกครั้งที่หนึ่งปะทุขึ้น กระทรวงทหารเรืออังกฤษพิจารณาขอใช้เรือลำนี้เพื่อดัดแปลงเป็นเรือพาณิชย์ติดอาวุธและบรรจุชื่อของเรือลำนี้ไว้ในบัญชีรายชื่อเรือพาณิชย์ติดอาวุธอย่างเป็นทางการ[8]

กระทรวงทหารเรือยกเลิกคำสั่งเดิมและตัดสินใจไม่ใช้เรือลำนี้เป็นเรือพาณิชย์ติดอาวุธในท้ายที่สุด เนื่องจากเรือโดยสารขนาดใหญ่ เช่น ลูซิเทเนีย ใช้ถ่านหินมหาศาล (910 ตัน/วัน หรือ 37.6 ตัน/ชั่วโมง) และเป็นภาระหนักต่อปริมาณเชื้อเพลิงของกระทรวงทหารเรือ ดังนั้นเรือโดยสารขนาดใหญ่จึงถูกมองว่าไม่เหมาะสำหรับบทบาทนี้ในเมื่อเรือลาดตระเวนขนาดเล็กก็สามารถทำหน้าที่ได้ ลูซิเทเนียยังคงอยู่ในรายชื่อเรือพาณิชย์ติดอาวุธอย่างเป็นทางการ และถูกระบุว่าเป็นเรือช่วยรบในหนังสือ Jane's All the World's Fighting Ships ฉบับปี ค.ศ. 1914 ร่วมกับมอริเทเนีย[9]

เมื่อการสู้รบเกิดขึ้น ความหวาดกลัวต่อความปลอดภัยของลูซิเทเนียและเรือขนาดใหญ่ลำอื่นก็เพิ่มขึ้น ระหว่างการเดินทางข้ามมหาสมุทรแอตแลนติกครั้งแรกของเรือหลังสงครามเริ่มต้นขึ้น เรือถูกทาสีเทาหม่นเพื่อเป็นการพรางตัวและทำให้ศัตรูตรวจพบได้ยากขึ้น เมื่อปรากฏว่ากองทัพเรือจักรวรรดิเยอรมันถูกควบคุมโดยราชนาวีและภัยคุกคามการค้าของเยอรมันแทบจะหายไปหมดสิ้น จึงดูเหมือนว่ามหาสมุทรแอตแลนติกจะปลอดภัยสำหรับเรืออย่างลูซิเทเนียในไม่ช้า หากจำนวนผู้จองตั๋วคุ้มค่ากับต้นทุนการให้บริการ

เรือขนาดใหญ่หลายลำถูกหยุดให้บริการและเก็บไว้ในช่วงฤดูใบไม้ร่วงและฤดูหนาว ค.ศ. 1914–1915 เนื่องจากความต้องการเดินทางข้ามมหาสมุทรแอตแลนติกของผู้โดยสารลดลง และเพื่อป้องกันไม่ให้เรือเหล่านี้ได้รับความเสียหายจากทุ่นระเบิดหรืออันตรายอื่น ๆ ในบรรดาเรือที่เป็นที่รู้จักมากที่สุดเหล่านี้ บ้างถูกนำไปใช้เป็นเรือขนส่งทหาร ส่วนบางลำถูกนำไปใช้เป็นเรือพยาบาล ลูซิเทเนียยังคงให้บริการเชิงพาณิชย์ต่อไปแม้จำนวนผู้จองตั๋วในฤดูใบไม้ร่วงและฤดูหนาวจะไม่มากนัก แต่ก็ยังมีอุปสงค์เพียงพอจะทำให้เรือยังคงให้บริการพลเรือนต่อไป อย่างไรก็ตาม มีการดำเนินมาตรการประหยัดค่าใช้จ่าย หนึ่งในนั้นคือการปิดห้องหม้อไอน้ำหมายเลข 4 เพื่อประหยัดถ่านหินและค่าแรง เป็นผลให้ความเร็วสูงสุดของเรือลดลงจากมากกว่า 25 นอต (46 กิโลเมตรต่อชั่วโมง) เหลือเพียง 21 นอต (39 กิโลเมตรต่อชั่วโมง) ถึงกระนั้นก็ยังคงเป็นเรือที่เร็วที่สุดที่ยังให้บริการเชิงพาณิชย์[10]

เมื่อภยันตรายที่ปรากฏชัดเริ่มคลี่คลายลง การทาสีพรางของเรือก็ถูกยกเลิกไปและได้ทำการเปลี่ยนกลับมาใช้สีเรือพลเรือน ชื่อเรือถูกเขียนด้วยสีทอง ปล่องไฟถูกทาสีใหม่ด้วยสีประจำสายการเดินเรือคูนาร์ด และโครงสร้างบนของเรือถูกทาสีขาวอีกครั้ง การเปลี่ยนแปลงอีกอย่างหนึ่งคือการเพิ่มแถบสีบรอนซ์ทองรอบฐานของโครงสร้างบนเรือเหนือสีดำเล็กน้อย[11]

ค.ศ. 1915

[แก้]

อังกฤษดำเนินการปิดล้อมทางทะเลต่อเยอรมนีเมื่อสงครามปะทุขึ้นในเดือนสิงหาคม ค.ศ. 1914 โดยออกรายการสินค้าต้องห้ามที่ครอบคลุมแม้กระทั่งอาหาร และในช่วงต้นเดือนพฤศจิกายน อังกฤษประกาศให้ทะเลเหนือเป็น "เขตทหาร" หมายความว่าเรือลำใดก็ตามที่เข้าสู่ทะเลเหนือจะต้องรับความเสี่ยงเอาเอง[12][13]

กองเรือดำน้ำเยอรมันก่อนสงครามประจำการอยู่ในท่าเรือคีล อู-20 จอดอยู่ลำที่สองจากซ้าย

ภายในต้น ค.ศ. 1915 ภัยคุกคามใหม่ต่อการเดินเรือของอังกฤษก็ปรากฏขึ้น นั่นคือ เรืออู (เรือดำน้ำ) เบื้องต้น เยอรมนีนำอาวุธเหล่านี้มาใช้โจมตีเรือรบเป็นหลักและประสบความสำเร็จบ้างประปราย แม้ในบางครั้งจะสร้างความเสียหายอย่างน่าทึ่งก็ตาม ต่อมาเรืออูเริ่มโจมตีเรือพาณิชย์เป็นครั้งคราว แม้โดยทั่วไปจะปฏิบัติตามกฎเรือลาดตระเวนแบบเดิม แต่ด้วยความมุ่งมั่นที่จะกุมความได้เปรียบในแอตแลนติกและกำหนดบทบาทให้แก่กองทัพเรือ พร้อมทั้งการประเมินสูงเกินจริงถึงประสิทธิภาพของอาวุธชนิดใหม่ คณะกรรมการทหารเรือภายใต้การนำของฮูโก ฟ็อน โพห์ล จึงตัดสินใจขยายปฏิบัติการเรือดำน้ำ วันที่ 4 กุมภาพันธ์ ค.ศ. 1915 เขาประกาศให้ทะเลรอบหมู่เกาะอังกฤษเป็นเขตสงคราม และตั้งแต่วันที่ 18 กุมภาพันธ์เป็นต้นไป เรือของชาติสัมพันธมิตรในบริเวณดังกล่าวอาจถูกจมโดยไม่แจ้งเตือนล่วงหน้า การสงครามเรือดำน้ำในครั้งนี้ไม่ได้เป็นการสงครามเรือดำน้ำแบบไม่จำกัดอย่างสมบูรณ์ เนื่องจากมีการดำเนินมาตรการเพื่อหลีกเลี่ยงการจมเรือที่เป็นกลาง[14] อย่างไรก็ตาม กองบัญชาการทหารเรือจักรวรรดิเยอรมันสั่งการผู้บังคับการเรือดำน้ำให้โจมตีเรือโดยสารอย่างลับ ๆ เนื่องจากเชื่อว่าการกระทำนี้จะสามารถข่มขู่เรือลำอื่นให้หยุดการเดินเรือได้[15] เนื่องจากเยอรมนีเริ่มต้นปฏิบัติการด้วยเรือดำน้ำเพียง 21 ลำที่ส่วนใหญ่ไม่พร้อมใช้งาน ทำให้หลายฝ่ายยังไม่ตระหนักถึงภัยคุกคามนี้อย่างจริงจัง รัฐบาลสหรัฐเตือนรัฐบาลเยอรมันว่าจะต้องรับผิดชอบอย่างเคร่งครัดต่อการเสียชีวิตของพลเมืองอเมริกันอันเป็นผลมาจากปฏิบัติการดังกล่าว[16]

ปฏิกิริยาตอบรับต่อการประกาศของลูซิเทเนียนั้นเต็มไปด้วยความสับสน ขณะเรือกำลังแล่นอยู่ในมหาสมุทรเพื่อมุ่งหน้าไปลิเวอร์พูล ในช่วงเวลาที่ประกาศคำเตือน กัปตันแดเนียล ดาว สั่งให้ชักธงชาติสหรัฐเพื่อป้องกันการโจมตีตามคำเรียกร้องของผู้โดยสารชาวอเมริกันบนเรือ เหตุการณ์นี้ก่อให้เกิดกระแสวิพากษ์วิจารณ์อย่างหนักทั้งจากทางการสหรัฐและเยอรมนี[17]

ในการเดินทางครั้งต่อไป ลูซิเทเนียมีกำหนดมาถึงท่าเรือลิเวอร์พูลในวันที่ 6 มีนาคม ค.ศ. 1915 กระทรวงทหารเรือออกคำสั่งเฉพาะแก่ลูซิเทเนียเกี่ยวกับวิธีการเลี่ยงเรือดำน้ำ แม้จะเผชิญกับภาวะขาดแคลนเรือพิฆาตอย่างรุนแรง แต่พลเรือเอก เฮนรี โอลิเวอร์ ก็สั่งการให้เรือหลวงหลุยส์ (HMS Louis) และลาเวอร็อก (HMS Laverock) ไปคุ้มกันลูซิเทเนียและดำเนินมาตรการเพิ่มเติมโดยการส่งเรือลาดตระเวนพิเศษไลออนส์ (Lyons) ไปลาดตระเวนอ่าวลิเวอร์พูล[18] ผู้บัญชาการหนึ่งในเรือพิฆาตพยายามสืบหาตำแหน่งของลูซิเทเนียโดยการติดต่อสายการเดินเรือคูนาร์ดทางโทรศัพท์ แต่บริษัทปฏิเสธจะให้ข้อมูลใด ๆ และแนะนำให้ติดต่อกระทรวงทหารเรือแทน ขณะอยู่บนทะเลหลวง เรือลำอื่นติดต่อกับลูซิเทเนียผ่านวิทยุโทรเลข แต่เนื่องจากขาดรหัสที่ใช้สื่อสารกับเรือพาณิชย์ จึงจำต้องสื่อสารกันแบบเปิดเผย แต่ด้วยการกระทำดังกล่าวจะนำมาซึ่งความเสี่ยงอันใหญ่หลวงต่อเรือของตน กัปตันดาวจึงปฏิเสธจะเปิดเผยตำแหน่งของเรือเว้นแต่จะอยู่ในรูปแบบรหัส เขาจงใจรายงานตำแหน่งที่อยู่ห่างจากตำแหน่งจริงของเรืออย่างมาก ทำให้เรือรบไม่สามารถระบุตำแหน่งของเรือได้ และเดินทางต่อไปยังลิเวอร์พูลโดยไม่มีเรือคุ้มกัน[3]:91–2[19][20]:76–7[17]

มีการปรับเปลี่ยนระเบียบการเดินเรือเพื่อรับมือกับภัยคุกคาม เรือได้รับคำสั่งไม่ให้ชักธงใด ๆ ในเขตสงคราม มีการส่งคำเตือนและคำแนะนำหลายครั้งไปยังกัปตันเรือเพื่อช่วยให้เขาตัดสินใจว่าจะปกป้องเรือของตนจากภัยคุกคามใหม่ได้ดีที่สุดอย่างไร และยังมีความเป็นไปได้สูงว่าปล่องไฟของเรืออาจถูกทาสีเทาเข้มเพื่อช่วยให้เรือมองเห็นได้ยากขึ้นจากเรือดำน้ำข้าศึก กระนั้น ก็ไม่อาจมีการปกปิดอัตลักษณ์ของเรือลำนี้ได้เพราะลักษณะของเรือเป็นที่รู้จักกันดี และไม่มีการพยายามลบชื่อเรือออกจากหัวเรือ[21][22]

สงครามเรือดำน้ำกำลังจะทวีความรุนแรงขึ้นโดยที่ไม่มีใครทราบล่วงหน้า วันที่ 28 มีนาคม ระหว่างเหตุการณ์ที่เรียกว่าอุบัติการณ์แทรเชอร์ (Thrasher incident) เรือดำน้ำเยอรมันทำการหยุดเรือโดยสารสัญชาติอังกฤษชื่อฟาลาบา (Falaba) ขณะอยู่บนผิวน้ำ พยานอ้างว่าเรือดำน้ำให้เวลาเรือโดยสารเพียงประมาณ 10 นาทีในการอพยพผู้โดยสารก่อนที่จะยิงตอร์ปิโดใส่เรือลำดังกล่าว เป็นผลให้มีพลเมืองอเมริกันเสียชีวิตเป็นรายแรกของสงคราม วันที่ 1 เมษายน พลเรือเอก กุสตาฟ บาคมันน์ ประธานคณะเสนาธิการกองทัพเรือเยอรมัน ได้ส่งบันทึกถึงจักรพรรดิเยอรมัน บันทึกดังกล่าวระบุจำนวนเรือที่ถูกจมไปจนถึงปัจจุบันซึ่งมีจำนวนน้อย บาคมันน์อ้างว่าข้อมูลนี้แสดงให้เห็นว่าสงครามเรือดำน้ำจะสามารถมีประสิทธิภาพได้อย่างแท้จริงก็ต่อเมื่อเรืออูได้รับอิสระในการโจมตีโดยไม่ถูกจำกัดหรือควบคุม และสามารถโจมตีได้โดยไม่ต้องระบุตัวตนและสัญชาติของเรือ ด้วยการสนับสนุนจากเทียร์พิทซ์ จักรพรรดิทรงส่งคำสั่งลับในวันที่ 2 เมษายน เพื่อคัดค้านยุทธวิธีการโจมตีเรือโดยการลอยขึ้นสู่ผิวน้ำซึ่งเป็นวิธีการที่นิยมปฏิบัติกัน และเน้นย้ำถึงอันตรายที่อาจเกิดขึ้นจากการกระทำดังกล่าว เหตุการณ์นี้สร้างสภาวะที่อาร์เทอร์ ลิงก์ นักประวัติศาสตร์ อธิบายว่าเป็น "เขตปฏิบัติการที่มืดมน" สภาวะที่เอื้อต่อการเกิดความผิดพลาดได้ง่ายขึ้น หลังมีคำสั่งดังกล่าว จำนวนเรือที่ถูกจมไม่ได้ลดลงแต่อย่างใด แต่ในจำนวนเรือทั้ง 17 ลำที่ถูกจมในเดือนเมษายนนั้นมีเรือที่เป็นกลางถึง 6 ลำ ชาวเยอรมันโน้มน้าวตนเองว่าชาวอเมริกันนั้นอ่อนแอและไร้พลัง "นโยบายของรัฐบาลสหรัฐมุ่งเน้นไปที่การรักษาความเป็นกลางอย่างเคร่งครัด โดยหลีกเลี่ยงการเข้าไปเกี่ยวข้องในสถานการณ์ที่อาจก่อให้เกิดความซับซ้อนใด ๆ หลักการสำคัญของนโยบายดังกล่าวคือการไม่เข้าไปมีส่วนร่วมในกิจการใด ๆ ของต่างประเทศ"[23] ในช่วงปลายเดือนเมษายนถึงต้นเดือนพฤษภาคม มีการโจมตีเรืออเมริกันเพิ่มอีกสองลำโดยเยอรมันได้แก่เรือคัชชิง (Cushing) และกัลฟ์ไลต์ (Gulflight) โดยคัชชิง (29 เมษายน) ถูกโจมตีทางอากาศ แต่ไม่มีผู้เสียชีวิต และกัลฟ์ไลต์ (1 พฤษภาคม) เป็นเรือบรรทุกน้ำมัน ถูกเรือดำน้ำโจมตีทำให้มีผู้เสียชีวิต 3 ราย ประธานาธิบดีวิลสันไม่ได้มีคำตอบอย่างเป็นทางการตอบสนองต่อเหตุการณ์ใด ๆ เหล่านี้ก่อนที่จะเกิดเหตุการณ์ที่คาดไม่ถึงขึ้น[24]

กัปตันดาวซึ่งประสบภาวะเครียดจากการบัญชาการเรือในเขตสงครามได้ลาออกไป สายการเดินเรือคูนาร์ดชี้แจงในภายหลังว่ากัปตันดาวรู้สึกเหนื่อยล้าและเจ็บป่วยอย่างหนัก[25] เขาถูกแทนที่ด้วยกัปตันคนใหม่คือ วิลเลียม ทอมัส เทอร์เนอร์ ผู้เคยเป็นกัปตันเรือลูซิเทเนีย มอริเทเนีย และอาควิเทเนียในช่วงก่อนสงคราม[26] วันที่ 17 เมษายน ค.ศ. 1915 ลูซิเทเนียออกเดินทางจากลิเวอร์พูลเพื่อทำการเดินทางข้ามมหาสมุทรแอตแลนติกเป็นครั้งที่ 201 และเดินทางถึงนครนิวยอร์กในวันที่ 24 เมษายน

ประกาศเตือนอย่างเป็นทางการจากสถานเอกอัครราชทูตจักรวรรดิเยอรมันเกี่ยวกับการเดินทางไปยังสหราชอาณาจักร ซึ่งเผยแพร่ในวันที่ 30 เมษายน

กลางเดือนเมษายน โยฮันน์ ไฮน์ริช ฟ็อน แบร์นสตอร์ฟ เอกอัครราชทูตจักรวรรดิเยอรมันซึ่งมีความกังวลเกี่ยวกับความชอบด้วยกฎหมายของการทัพเรือดำน้ำในเดือนกุมภาพันธ์มานานและเชื่อว่าชาวอเมริกันกำลังประเมินอันตรายต่ำเกินไป ได้ปรึกษากับกลุ่มตัวแทนของหน่วยงานราชการเยอรมันอื่น ๆ และตัดสินใจออกประกาศเตือนทั่วไปไปยังสื่อมวลชนอเมริกัน[27] ประกาศฉบับนี้มีกำหนดเผยแพร่ในหนังสือพิมพ์ของสหรัฐ 50 ฉบับ รวมถึงหนังสือพิมพ์ในนครนิวยอร์ก ความว่า:[28]

ประกาศ!
ผู้มีความประสงค์จะโดยสารเรือเดินสมุทรแถบแอตแลนติก โปรดทราบว่าขณะนี้มีภาวะสงครามระหว่างเยอรมันพร้อมพันธมิตรฝ่ายหนึ่ง แลบริเตนใหญ่พร้อมพันธมิตรอีกฝ่ายหนึ่ง ซึ่งเขตสงครามนั้นครอบคลุมไปถึงน่านน้ำอันคาบเกี่ยวกับหมู่เกาะอังกฤษ ฉะนั้น รัฐบาลจักรวรรดิเยอรมันจึงขอประกาศเตือนอย่างเป็นทางการว่า บรรดาเรือที่ติดธงบริเตนหรือพันธมิตรของบริเตน อาจถูกทำให้อัปปางลงในน่านน้ำดังกล่าว ดังนั้นผู้ที่จะโดยสารเรือของบริเตนแลพันธมิตรของบริเตนในเขตสงครามนั้นต้องรับความเสี่ยงเอาเอง
สถานเอกอัครราชทูตจักรวรรดิเยอรมัน
กรุงวอชิงตัน ดี.ซี. 22 เมษายน ค.ศ. 1915

ประกาศนี้มีกำหนดเผยแพร่ในวันเสาร์ที่ 24 เมษายน 1 พฤษภาคม และ 8 พฤษภาคม แต่ด้วยปัญหาทางเทคนิค จึงเผยแพร่ไม่ได้จนกระทั่งวันที่ 30 เมษายน วันก่อนที่ลูซิเทเนียจะออกเดินทาง ทำให้ปรากฏอยู่ข้างโฆษณาสำหรับการเดินทางกลับในบางกรณี แม้การจัดวางประกาศไว้เคียงกับโฆษณานั้นจะเป็นเรื่องบังเอิญ[27][29] แต่คำเตือนดังกล่าวก็สร้างความวุ่นวายในหมู่สื่อมวลชน ความไม่พอใจจากรัฐบาลสหรัฐ และความกังวลในหมู่ผู้โดยสารและลูกเรือ[30]

การเดินทางเที่ยวสุดท้าย

[แก้]

ออกเดินทาง

[แก้]
บันทึกการเดินทางเที่ยวสุดท้ายของลูซิเทเนียจากนิวยอร์ก

ขณะที่เรือโดยสารของอังกฤษหลายลำถูกเรียกเข้ามารับใช้ในสงคราม ลูซิเทเนียยังคงให้บริการระหว่างเส้นทางลิเวอร์พูลและนิวยอร์กตามปกติ กัปตันเทอร์เนอร์ผู้ซึ่งเป็นที่รู้จักกันในนาม "โบว์เลอร์บิลล์" (Bowler Bill) จากหมวกทรงโปรดที่เขาสวมเมื่อขึ้นฝั่งพยายามสงบอารมณ์ของผู้โดยสารด้วยการชี้แจงว่าความเร็วของเรือจะทำให้ปลอดภัยจากการโจมตีของเรือดำน้ำ[31] แม้จะลดความเร็วลงแล้ว ลูซิเทเนียก็ยังคงมีความเร็วสูงกว่าเรือดำน้ำอย่างมาก (16 นอตเมื่ออยู่บนผิวน้ำ และ 9 นอตเมื่อดำน้ำ) หมายความว่าเรือดำน้ำต้องรอให้เรือแล่นเข้าใกล้มากพอจึงจะสามารถโจมตีได้

ลูซิเทเนียออกเดินจากนิวยอร์กในวันที่ 1 พฤษภาคม ภาพนี้เป็นภาพถ่ายสุดท้ายที่บันทึกไว้ก่อนเรืออับปาง

เรือออกเดินทางจากนิวยอร์กมุ่งหน้าสู่ลิเวอร์พูลในเวลา 12:00 น. ของวันที่ 1 พฤษภาคม โดยล่าช้าไป 2 ชั่วโมงจากการถ่ายโอนผู้โดยสารและลูกเรือจำนวน 41 คนจากเอสเอส แคเมอโรเนีย (SS Cameronia) ซึ่งเพิ่งถูกเรียกใช้บริการอย่างเร่งด่วนในนาทีสุดท้าย[3]:132–133 ไม่นานหลังเรือออกเดินทาง พบชายสามคนที่พูดภาษาเยอรมันซ่อนตัวอยู่ในห้องเก็บของใช้บริกรบนเรือ วิลเลียม เพียร์พอยต์ สารวัตรฝ่ายสืบสวนจากกรมตำรวจลิเวอร์พูลซึ่งแฝงตัวเป็นผู้โดยสารชั้นหนึ่งทำการสอบสวนบุคคลเหล่านั้นก่อนจะควบคุมตัวไปยังห้องขังเพื่อสอบสวนเพิ่มเติมเมื่อถึงลิเวอร์พูล[3]:156,445–446 นอกจากนี้ในบรรดาลูกเรือยังมีชาวอังกฤษคนหนึ่งชื่อนีล ลีช ซึ่งก่อนสงครามทำงานเป็นครูสอนพิเศษอยู่ในประเทศเยอรมนี ลีชเคยถูกควบคุมตัวแต่ภายหลังได้รับการปล่อยตัวจากทางการเยอรมนี สถานเอกอัครราชทูตเยอรมันประจำวอชิงตันได้รับแจ้งเกี่ยวกับการมาถึงของลีชในสหรัฐ ซึ่งที่นั่นเขาได้พบปะกับสายลับชาวเยอรมันที่รู้จักกันดี ลีชและชาวเยอรมันที่แอบขึ้นเรืออีกสามคนจมลงไปพร้อมกับเรือ พวกเขาถูกพบพร้อมอุปกรณ์ถ่ายภาพ และด้วยเหตุนี้จึงสันนิษฐานได้ว่าได้รับมอบหมายให้ทำการสอดแนมบนเรือและมีความเป็นไปได้สูงที่เพียร์พอยต์ซึ่งรอดชีวิตจากเหตุการณ์เรืออับปาง[32] จะได้รับแจ้งเกี่ยวกับลีชไปแล้ว[3]:131–132,445

ดังนั้นเมื่อลูซิเทเนียออกเดินจากท่าน้ำ 54 จึงมีผู้โดยสารทั้งหมด 1,960 คน ประกอบด้วยลูกเรือ 693 คน ผู้ลักลอบขึ้นเรือ 3 คน ผู้โดยสาร 1,264 คนที่ส่วนใหญ่เป็นชาวอังกฤษและแคนาดา ในจำนวนนี้ยังมีชาวอเมริกัน 159 คน รวมถึงเด็กอีก 124 คน ที่พักชั้นหนึ่งของเรือซึ่งเป็นที่ยอมรับอย่างกว้างขวางในการเดินทางข้ามแอตแลนติกเหนือมีอัตราการจองลดลงกว่าครึ่งหนึ่งที่ 290 คน ชั้นสองมีผู้โดยสารเกินกว่าที่กำหนดไว้ที่ 601 คน ซึ่งมากกว่าจำนวนผู้โดยสารสูงสุดที่สามารถรองรับได้ที่ 460 คน แม้จำนวนเด็กเล็กและทารกจำนวนมากจะช่วยบรรเทาความแออัดในห้องโดยสารขนาดสองและสี่เตียงที่มีจำนวนจำกัด แต่สถานการณ์ดังกล่าวก็ได้รับการแก้ไขโดยอนุญาตให้ผู้โดยสารชั้นสองบางส่วนเข้าพักในห้องโดยสารชั้นหนึ่งที่ว่างอยู่ได้ ในชั้นสาม สถานการณ์ดังกล่าวถือเป็นเรื่องปกติสำหรับการเดินทางข้ามแอตแลนติกมุ่งหน้าไปทางตะวันออก โดยมีผู้โดยสารเพียง 370 คน ในขณะที่ที่พักมีการออกแบบให้สามารถรองรับผู้โดยสารได้ถึง 1,186 คน[33][1]

เรือดำน้ำ

[แก้]
วัลเทอร์ ชวีเกอร์ ผู้บังคับการเรือดำน้ำอู-20

ขณะลูซิเทเนียกำลังแล่นข้ามมหาสมุทร กระทรวงทหารเรืออังกฤษติดตามความเคลื่อนไหวของเรือดำน้ำเอ็สเอ็ม อู-20 ที่เรือเอก วัลเทอร์ ชวีเกอร์ เป็นผู้บังคับการผ่านการดักฟังสัญญาณวิทยุและการหาทิศทางแหล่งกำเนิดสัญญาณวิทยุ เรือดำน้ำออกเดินทางจากบอร์คุมในวันที่ 30 เมษายน มุ่งหน้าไปทางตะวันตกเฉียงเหนือข้ามทะเลเหนือ วันที่ 2 พฤษภาคม ลูซิเทเนียเดินทางมาถึงปีเตอร์เฮดและแล่นต่อไปทางเหนือของสกอตแลนด์และไอร์แลนด์ จากนั้นจึงแล่นตามแนวชายฝั่งตะวันตกและใต้ของไอร์แลนด์เพื่อเข้าสู่ทะเลไอริชทางใต้ แม้ห้อง 40 ของกระทรวงทหารเรือจะทราบกำหนดการออกเดินทาง ปลายทาง และเวลาที่คาดว่าจะถึงของเรือดำน้ำ แต่กิจกรรมของฝ่ายถอดรหัสถือเป็นความลับสุดยอด แม้แต่ฝ่ายข่าวกรองปกติที่ติดตามเรือศัตรูหรือฝ่ายพาณิชย์ที่รับผิดชอบการเตือนภัยแก่เรือพาณิชย์ก็ยังไม่ทราบ มีเพียงข้าราชการระดับสูงสุดในกระทรวงทหารเรือเท่านั้นที่เห็นข้อมูลและส่งคำเตือนต่อไปเมื่อรู้สึกว่าจำเป็น[34]

วันที่ 27 มีนาคม ห้อง 40 จับสัญญาณที่แสดงให้เห็นอย่างชัดเจนว่าฝ่ายเยอรมันสามารถถอดรหัสที่ใช้ในการส่งข้อความถึงเรือพาณิชย์ของอังกฤษได้แล้ว เรือลาดตระเวนที่ได้รับมอบหมายให้ปฏิบัติภารกิจคุ้มกันเรือพาณิชย์จึงได้รับคำเตือนไม่ให้ใช้รหัสส่งสัญญาณนำทางแก่เรือพาณิชย์ เนื่องจากรหัสดังกล่าวอาจดึงดูดเรือดำน้ำของข้าศึกได้ง่ายพอ ๆ กับการนำเรือเลี่ยงจากเรือเหล่านั้น อย่างไรก็ตาม ควีนส์ทาวน์ (ปัจจุบันคือโคฟ) ไม่ได้รับแจ้งเกี่ยวกับข้อความรหัสที่ถูกเจาะนี้และยังคงส่งสัญญาณนำทางโดยใช้รหัสเดิมซึ่งไม่ได้มีการเปลี่ยนแปลงจนกระทั่งหลังลูซิเทเนียอับปาง ในช่วงเวลาดังกล่าว ราชนาวีมีส่วนร่วมอย่างมากในปฏิบัติการที่นำไปสู่การยกพลขึ้นบกที่กัลลิโพลี และหน่วยข่าวกรองได้แพร่ข่าวปลอมเพื่อโน้มน้าวให้เยอรมนีคาดการณ์ว่าจะถูกโจมตีทางชายฝั่งตอนเหนือ ในส่วนหนึ่งของปฏิบัติการนี้ การเดินทางข้ามช่องแคบอังกฤษไปยังเนเธอร์แลนด์ในรูปแบบปกติถูกระงับตั้งแต่วันที่ 19 เมษายน และมีการปล่อยรายงานเท็จเกี่ยวกับการเคลื่อนกำลังพลโดยเรือจากท่าเรือทางภาคตะวันตกและภาคใต้ของอังกฤษ เหตุการณ์นี้ก่อให้เกิดข้อเรียกร้องจากกองทัพเยอรมันให้ดำเนินการโจมตีทางยุทธวิธีเพื่อรับมือกับการเคลื่อนกำลังพลที่คาดการณ์ไว้ และเป็นผลให้กิจกรรมของเรือดำน้ำเยอรมันในน่านน้ำฝั่งตะวันตกของอังกฤษเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว กองเรือได้รับแจ้งเตือนให้เฝ้าระวังการเพิ่มขึ้นของเรือดำน้ำ แต่คำเตือนดังกล่าวไม่ได้ถูกส่งต่อไปยังหน่วยงานในราชนาวีที่รับผิดชอบดูแลเรือพาณิชย์ การเดินทางกลับของเรือประจัญบานโอไรออน (Orion) ฐานทัพเรือหลวงเดวอนพอร์ต (HMNB Devonport) มายังสกอตแลนด์ถูกเลื่อนออกไปจนถึงวันที่ 4 พฤษภาคม และได้รับคำสั่งให้คงระยะห่างจากชายฝั่งไอร์แลนด์ 100 ไมล์ทะเล (190 กิโลเมตร)[35]

วันที่ 5 พฤษภาคม อู-20 หยุดเรือใบสินค้าชื่อเอิร์ลออฟเลทอม (Earl of Lathom) บริเวณนอกแหลมโอลด์เฮดออฟคินเซล ทำการตรวจสอบเอกสารของเรือ และสั่งให้ลูกเรือทั้งหมดออกจากเรือก่อนจะทำการจมเรือดังกล่าว วันที่ 6 พฤษภาคม อู-20 ยิงตอร์ปิโดใส่เรือกลไฟสัญชาติอังกฤษชื่อเคโยโรมาโน (Cayo Romano) ซึ่งมีต้นทางมาจากคิวบาและถือธงชาติที่เป็นกลางใกล้กับฟาสเน็ตร็อก โดยตอร์ปิโดพลาดเป้าไปเพียงไม่กี่ฟุต[36] เวลา 22:30 น. ของวันที่ 5 พฤษภาคม ราชนาวีส่งคำเตือนที่ไม่ได้เข้ารหัสไปยังเรือทุกลำว่า "มีเรือดำน้ำปฏิบัติการอยู่บริเวณชายฝั่งทางใต้ของไอร์แลนด์" และในเวลาเที่ยงคืนก็มีการเพิ่มเติมข้อความเตือนประจำคืนว่า "มีเรือดำน้ำอยู่บริเวณฟาสต์เน็ต"[37] วันที่ 6 พฤษภาคม อู-20 จมเรือกลไฟขนาด 6,000 ตันชื่อแคนดิเดต (Candidate) ต่อมาเรือดำน้ำไม่สามารถโจมตีเรือโดยสารเอสเอส แอระบิก (SS Arabic) ขนาด 16,000 ตันได้เนื่องจากแม้เรือดำน้ำจะรักษาเส้นทางตรง แต่เรือลำดังกล่าวมีความเร็วสูงเกินไป อย่างไรก็ตามเรือดำน้ำสามารถจมเรือบรรทุกสินค้าสัญชาติอังกฤษขนาด 6,000 ตันชื่อเซนจูเรียน (Centurion) ซึ่งไม่มีธงประจำชาติในบริเวณใกล้เรือประภาคารโคนิงเบก (Coningbeg) ห่างจากจุดที่เกิดเหตุการณ์โจมตีในภายหลังไปทางทิศตะวันออกประมาณ 70 ไมล์ (110 กิโลเมตร) จากบันทึกของห้อง 40 ระบุว่าการอับปางของเซนจูเรียนในช่วงบ่ายของวันที่ 6 นั้นถือเป็นตำแหน่งสุดท้ายที่สามารถยืนยันได้ของเรือดำน้ำก่อนเกิดเหตุการณ์โจมตีลูซิเทเนีย[38]

การกระจายเสียงข่าวภาคค่ำในวันที่ 6–7 พฤษภาคม มีการตัดการกล่าวถึงเรือดำน้ำออก เนื่องจากขณะนั้นกองทัพเรือที่ควีนส์ทาวน์ยังไม่ได้รับข่าวการอับปางของเรือลำใหม่ และมีการสันนิษฐานที่ถูกต้องว่าไม่มีเรือดำน้ำอยู่ในฟาสต์เน็ตแล้ว[39] เช้าวันที่ 6 พฤษภาคม ลูซิเทเนียยังคงอยู่ห่างจากชายฝั่งทางใต้ของไอร์แลนด์ไปทางตะวันตก 750 ไมล์ทะเล (1,390 กิโลเมตร) อย่างไรก็ตาม กัปตันเทอร์เนอร์ได้รับข้อความเตือนสองฉบับในเย็นวันนั้น ฉบับแรกในเวลา 19:52 น. ทำการย้ำข้อมูลว่ามีเรือดำน้ำปฏิบัติการอยู่บริเวณชายฝั่งทางใต้ของไอร์แลนด์ (โดยเข้าใจผิดว่ามีเรือดำน้ำหลายลำอยู่ในบริเวณนั้น) ฉบับที่สองซึ่งส่งออกไปในเวลาเที่ยงวัน แต่เพิ่งได้รับในเวลา 20:05 น. ให้คำแนะว่า "... เลี่ยงแหลม; ผ่านอ่าวด้วยความเร็วเต็มที่; บังคับเรือให้อยู่กลางช่องแคบ มีเรือดำน้ำนอกฟาสต์เน็ต" ขณะนั้นลูซิเทเนียอยู่ห่างจากฟาสต์เน็ตไปทางตะวันตก 370 ไมล์ (600 กิโลเมตร) ต่อมากัปตันเทอร์เนอร์จะถูกกล่าวหาว่าละเลยคำแนะนำเหล่านี้[40] เย็นวันนั้นมีการจัดคอนเสิร์ตเพื่อระดมทุนให้แก่สมาคมการกุศลสำหรับลูกเรือทั่วทั้งเรือ และกัปตันต้องเข้าร่วมงานดังกล่าว ณ ห้องรับรองชั้นหนึ่ง[3]:197

แผนที่แสดงการเคลื่อนที่ของลูซิเทเนียและอู-20 ก่อนเกิดเหตุการณ์ลูซิเทเนียอับปาง โดยมีการระบุตำแหน่งเรือที่ถูกอู-20 โจมตีและจมในวันที่ 6 และ 7 พฤษภาคม และจุดอ้างอิงทางภูมิศาสตร์ที่สำคัญ[41][38]

เวลา 05:00 น. ของวันที่ 7 พฤษภาคม ลูซิเทเนียเดินทางมาถึงจุดหนึ่งซึ่งอยู่ห่างจากฟาสต์เน็ตร็อก (ทางใต้สุดของไอร์แลนด์) ไปทางตะวันตกเฉียงใต้ 120 ไมล์ทะเล (220 กิโลเมตร) และพบกับเรือตรวจการณ์พาร์ทริดจ์ (Partridge) ที่กำลังปฏิบัติหน้าที่อยู่ ณ จุดดังกล่าว[42] เวลา 06.00 น. หมอกหนาปกคลุมบริเวณดังกล่าวและมีการเพิ่มจำนวนยามเฝ้าระวังเป็นพิเศษ เมื่อเข้าสู่เขตสงคราม กัปตันเทอร์เนอร์สั่งให้เตรียมเรือชูชีพ 22 ลำไว้ในสภาพพร้อมใช้งานเพื่อความสะดวกในการปล่อยลงน้ำในกรณีฉุกเฉิน[43] เมื่อเข้าใกล้ชายฝั่งไอร์แลนด์มากขึ้น กัปตันเทอร์เนอร์สั่งให้ทำการวัดความลึกของน้ำ และในเวลา 08:00 น. ให้ลดความเร็วเรือลงเหลือ 18 นอต จากนั้นลดลงอีกเป็น 15 นอต และให้ส่งสัญญาณแตรหมอก ผู้โดยสารบางส่วนรู้สึกไม่สบายใจที่เรือดูเหมือนจะส่งสัญญาณประกาศการปรากฏตัวของตนเอง เวลา 10:00 น. หมอกเริ่มจางลง และเมื่อถึงเที่ยงวัน ท้องฟ้าก็สดใส มีแสงแดดส่องลงบนผิวน้ำที่ราบเรียบสงบ ทำให้สามารถเพิ่มความเร็วเรือได้เป็น 18 นอต[3]:200–202

ประมาณเวลา 11:52 น. ของวันที่ 7 พฤษภาคม เรือได้รับคำเตือนอีกครั้งจากกระทรวงทหารเรือ คาดว่าเป็นผลมาจากคำร้องขอของอัลเฟรด บูท ผู้มีความกังวลเกี่ยวกับความปลอดภัยของลูซิเทเนีย ความว่า "มีเรือดำน้ำปฏิบัติการอยู่ทางตอนใต้ของช่องแคบไอริช พบเห็นครั้งล่าสุดห่างจากเรือประภาคารโคนิงเบกไปทางใต้ 20 ไมล์" บูทและประชาชนชาวลิเวอร์พูลทุกคนได้รับข่าวการอับปางของเรือแล้ว ซึ่งทางกระทรวงทหารเรือทราบข่าวนี้มาตั้งแต่เวลา 03:00 น. ของเช้าวันนั้น[44] เทอร์เนอร์ปรับทิศทางเรือไปทางตะวันออกเฉียงเหนือโดยไม่ทราบว่ารายงานนี้เกี่ยวข้องกับเหตุที่เกิดขึ้นในวันก่อนหน้า และอาจคิดว่าเรือดำน้ำจะชอบอยู่ในทะเลเปิด[20]:184 หรือการอับปางจะปลอดภัยกว่าในน้ำตื้น[45] เวลา 13:00 น. ได้รับรายงานเพิ่มเติมว่า "เรือดำน้ำอยู่ห่างจากแหลมเคลียร์ไปทางใต้ 5 ไมล์ กำลังมุ่งหน้าไปทางตะวันตก พบเห็นครั้งแรกเวลา 10:00 น." รายงานฉบับนี้มีความคลาดเคลื่อนเนื่องจากไม่มีเรือดำน้ำปรากฏอยู่ในพื้นที่ดังกล่าว แต่กลับสื่อให้เข้าใจว่ามีเรือดำน้ำอย่างน้อยหนึ่งลำผ่านไปอย่างปลอดภัย[46]

อู-20 มีเชื้อเพลิงเหลือน้อยและเหลือตอร์ปิโดเพียงสามลูกเท่านั้น เช้าวันนั้นสภาพอากาศมีทัศนวิสัยไม่ดี ชวีเกอร์จึงตัดสินใจกลับฐาน เขาทำการดำน้ำในเวลา 11:00 น. หลังพบเห็นเรือประมงลำหนึ่งที่เขาเชื่อว่าอาจเป็นเรือลาดตระเวนของอังกฤษ และไม่นานหลังจากนั้นก็มีเรือลำหนึ่งแล่นผ่านไปด้วยความเร็วสูงขณะยังอยู่ใต้น้ำ เรือลำนั้นคือเรือลาดตระเวนจูโน (ค.ศ. 1895) ซึ่งกำลังเดินทางกลับควีนส์ทาวน์ โดยเคลื่อนที่เป็นรูปซิกแซกด้วยความเร็วสูงสุดที่สามารถทำได้คือ 16 นอต หลังได้รับแจ้งเตือนเกี่ยวกับกิจกรรมของเรือดำน้ำนอกชายฝั่งควีนส์ทาวน์ในเวลา 07:45 น. กระทรวงทหารเรือประเมินว่าเรือลาดตระเวนรุ่นเก่าเหล่านี้มีความเสี่ยงสูงที่จะถูกเรือดำน้ำโจมตี และแท้จริงแล้วชวีเกอร์ได้พยายามโจมตีเรือลำนี้[3]:216[47]

อับปาง

[แก้]
ภาพประกอบการจมของเรือโดยนอร์แมน วิลคินสัน
เรือประมงแวนเดอเรอร์อยู่ใกล้ลูซิเทเนียขณะกำลังจม

อู-20 ขึ้นสู่ผิวน้ำอีกครั้งในเวลา 12.45 น. เนื่องจากสภาพอากาศเอื้อต่อการมองเห็นแล้ว เวลา 13:20 น. มีการพบเห็นวัตถุบางอย่างและชวีเกอร์ถูกเรียกไปที่หอบังคับการ เมื่อแรกเห็นดูเหมือนจะเป็นเรือหลายลำเนื่องจากมีปล่องไฟและเสากระโดงจำนวนมาก แต่ต่อมาจึงเห็นชัดเจนว่าเป็นเรือกลไฟขนาดใหญ่ลำหนึ่งที่ปรากฏขึ้นเหนือขอบฟ้า เวลา 13:25 น. เรือดำน้ำดำลงสู่ระดับความลึกที่สามารถใช้กล้องปริทรรศน์สังเกตการณ์ได้ที่ 11 เมตร และกำหนดทิศทางเพื่อสกัดเรือลำดังกล่าวด้วยความเร็วสูงสุดขณะดำน้ำ 9 นอต เมื่อทั้งสองลำเข้าใกล้กันในระยะ 2 ไมล์ทะเล (3.7 กิโลเมตร) ลูซิเทเนียทำการเปลี่ยนทิศทางหลบหนี ทำให้ชวีเกอร์เกรงว่าจะพลาดเป้าหมายไป แต่แล้วเรือก็หันกลับมาอีกครั้ง คราวนี้เป็นทิศทางที่เหมาะสมยิ่งสำหรับการโจมตี เวลา 14:10 น. เมื่อเป้าหมายอยู่ห่างออกไป 700 เมตร เขาสั่งยิงตอร์ปิโดไจโรสโกปิก 1 ลูก โดยตั้งค่าความลึกในการวิ่งที่ 3 เมตร[3]:216–217[48] ชวีเกอร์ให้การว่าตนยังไม่ทราบชื่อเรือลำดังกล่าวก่อนโจมตี ทราบแต่เพียงว่าเป็นเรือโดยสารขนาดใหญ่ลำหนึ่ง[49] ตลอดเวลาปฏิบัติหน้าที่ เขาทำการโจมตีโดยไม่ได้ระบุเป้าหมายที่ชัดเจนหลายครั้ง รวมถึงการโจมตีอาร์เอ็มเอส เฮสเปเรียน (RMS Hesperian) ในเวลาต่อมา ซึ่งเป็นการฝ่าฝืนคำสั่งห้ามโจมตีเรือโดยสาร[50] ชวีเกอร์ยังประเมินความเร็วของเรือผิดพลาด โดยคาดการณ์ว่าเรือแล่นด้วยความเร็ว 20 นอต แต่โชคร้ายสำหรับลูซิเทเนีย ความผิดพลาดในการประเมินมุมปะทะที่เขาทำไปก่อนหน้านั้นกลับกลายเป็นผลดีต่อการยิงตอร์ปิโดครั้งนี้ และตอร์ปิโดก็อยู่ในเส้นทางที่จะพุ่งชนเรือภายในเวลาประมาณหนึ่งนาที[51]

บนเรือลูซิเทเนีย เลสลี มอร์ตัน วัย 18 ปี ผู้ทำหน้าที่ยามเฝ้าระวังที่หัวเรือ สังเกตเห็นฟองน้ำทะเลจำนวนมากกำลังวิ่งเข้าหาเรือด้วยความเร็ว เขาตะโกนผ่านโทรโข่งว่า "ตอร์ปิโดกำลังมุ่งหน้ามาทางขวา!" ขณะเข้าใจผิดคิดว่าฟองอากาศที่เห็นนั้นเกิดจากวัตถุโจมตีสองลูก ไม่ใช่ลูกเดียว บันทึกประจำวันของชวีเกอร์ยืนยันว่าเขายิงตอร์ปิโดเพียงลูกเดียว มีบางส่วนแสดงความสงสัยต่อความถูกต้องของข้ออ้างนี้โดยแย้งว่ารัฐบาลเยอรมันแก้สำเนาบันทึกของชวีเกอร์ที่ตีพิมพ์เผยแพร่ในภายหลัง[3]:416–419 แต่คำให้การจากลูกเรืออู-20 คนอื่น ๆ ก็ยังคงสนับสนุนข้ออ้างดังกล่าว บันทึกดังกล่าวสอดคล้องกับรายงานทางวิทยุที่ถูกดักฟังซึ่งส่งไปยังประเทศเยอรมนีโดยอู-20 หลังกลับมายังทะเลเหนือแล้ว ก่อนจะมีการปกปิดข้อเท็จจริงใด ๆ ในทางการ[52]

ต่อไปนี้เป็นคำบอกเล่าของชวีเกอร์ดังที่ปรากฏในบันทึกประจำวันของอู-20:

ตอร์ปิโดพุ่งชนกราบขวาของเรือ เรือเกิดระเบิดอย่างรุนแรงและมีกลุ่มควันแรงมาก สันนิษฐานว่าหลังการระเบิดของตอร์ปิโดแล้วน่าจะมีการระเบิดเกิดขึ้นอีกครั้งหนึ่ง อาจมีสาเหตุมาจาก [หม้อไอน้ำ, ถ่านหิน หรือดินปืน]... เรือหยุดนิ่งทันทีและเอียงไปทางกราบขวาอย่างรวดเร็ว พร้อมกันนั้นส่วนหัวเรือก็จมลงทันที... ชื่อ 'ลูซิเทเนีย' ปรากฏชัดขึ้นมาเป็นสีทอง[53]

แม้ชวีเกอร์จะระบุว่าตอร์ปิโดพุ่งชนที่ด้านหลังสะพานเดินเรือ และด้วยเหตุนี้จึงอยู่ในบริเวณใกล้กับปล่องไฟแรก แต่คำให้การของผู้รอดชีวิตรวมถึงกัปตันเทอร์เนอร์ระบุตำแหน่งต่างกันหลายจุด บางคนระบุว่าอยู่ระหว่างปล่องไฟแรกและที่สอง ขณะที่บางคนระบุว่าอยู่ระหว่างปล่องไฟที่สามและสี่ พยานส่วนใหญ่ให้ข้อมูลสอดคล้องกันโดยประมาณ โดยรายงานว่าเกิดกระแสน้ำพุ่งขึ้นสูงจนเรือชูชีพหมายเลข 5 หลุดจากเดวิต และมีน้ำพุของแผ่นเหล็ก ถ่านหิน เถ้า และเศษต่าง ๆ พุ่งขึ้นเหนือดาดฟ้า และลูกเรือที่กำลังทำงานอยู่ในห้องหม้อไอน้ำอ้างว่าพวกเขาถูกน้ำท่วมทันที สอดคล้องกับคำบอกเล่าของชวีเกอร์[54] ผู้โดยสารคนหนึ่งเล่าว่า "เสียงนั้นดังเหมือนกับค้อนหนักล้านตันทุบลงบนหม้อไอน้ำที่สูงร้อยฟุต" ทันทีหลังจากนั้นก็เกิดการระเบิดครั้งที่สองขึ้น ส่งเสียงก้องกังวานไปทั่วทั้งลำเรือ ขณะเดียวกันควันสีเทาหนาทึบก็เริ่มพวยพุ่งออกมาจากปล่องไฟและช่องระบายอากาศที่เชื่อมกับห้องหม้อไอน้ำที่ท้องเรือ เรือเอก เรมุนด์ ไวส์บัค เจ้าหน้าที่ตอร์ปิโดประจำอู-20 สังเกตการณ์การทำลายล้างผ่านกล้องปริทรรศน์และเห็นว่าแรงระเบิดของตอร์ปิโดนั้นรุนแรงผิดปกติ

ผลจากการยิงตอร์ปิโดของอู-20 รวมถึงกระแสน้ำจากการระเบิด

เวลา 14:12 น. กัปตันเทอร์เนอร์สั่งให้ฮิว โรเบิร์ต จอห์นสตัน พลาธิการประจำที่พังงาเพื่อบังคับเรือให้เลี้ยวหางเสือไปทางขวาสุดมุ่งหน้าไปยังชายฝั่งไอร์แลนด์ ซึ่งจอห์นสตันได้ยืนยันคำสั่ง แต่เรือไม่สามารถทรงตัวและหยุดตอบสนองต่อพังงาอย่างรวดเร็ว เทอร์เนอร์สั่งให้ถอยเครื่องยนต์เพื่อหยุดเรือ แม้ห้องเครื่องจะได้รับสัญญาณแล้ว แต่ก็ไม่สามารถดำเนินการใด ๆ ได้ แรงดันไอน้ำลดลงอย่างรวดเร็วจาก 195 ปอนด์ต่อตารางนิ้ว ก่อนเกิดการระเบิด เหลือเพียง 50 ปอนด์ต่อตารางนิ้ว และยังคงลดลงเรื่อย ๆ หลังจากนั้น หมายความว่าจะไม่สามารถควบคุมทิศทางหรือหยุดเรือเพื่อแก้ปัญหาการเอียงของเรือหรือนำเรือไปเกยตื้น[3]:227 พนักงานวิทยุโทรเลขของลูซิเทเนียส่งสัญญาณขอความช่วยเหลือฉุกเฉิน (SOS) ออกไปทันที ซึ่งสถานีวิทยุชายฝั่งได้รับสัญญาณดังกล่าว ไม่นานหลังจากนั้นเขาก็ส่งสัญญาณระบุตำแหน่งของเรือซึ่งอยู่ห่างจากแหลมโอลด์เฮดออฟคินเซลไปทางทิศใต้ 10 ไมล์ทะเล (19 กิโลเมตร)[3]:228 เวลา 14:14 น. ไฟฟ้าดับ ทำให้ภายในเรือที่มีขนาดกว้างใหญ่ตกอยู่ในความมืด สัญญาณวิทยุยังคงดำเนินต่อไปได้โดยใช้แบตเตอรีฉุกเฉิน แต่ลิฟต์ไฟฟ้าเกิดขัดข้อง ทำให้ลูกเรือในห้องเก็บสัมภาระด้านหน้าที่กำลังเตรียมสัมภาระเพื่อขึ้นฝั่งที่ลิเวอร์พูลในช่วงเย็นของวันนั้นต้องติดอยู่ภายใน ลูกเรือเหล่านี้เป็นผู้ที่ต้องรายงานตัวที่จุดรวมพลเพื่อปล่อยเรือชูชีพในกรณีเรืออับปาง ประตูกันน้ำที่ปิดไว้เป็นการป้องกันก่อนการโจมตีไม่สามารถเปิดออกเพื่อปล่อยลูกเรือที่ติดอยู่[3]:238–240 เมื่อระบบขับเคลื่อนขัดข้อง หางเสือก็ใช้งานไม่ได้ตามไปด้วย เป็นผลให้ไม่สามารถบังคับเรือเพื่อลดความเอียงหรือนำเรือเข้าหาฝั่ง มีพยานหลักฐานน้อยมากที่รายงานว่ามีผู้โดยสารติดอยู่ภายในลิฟต์ทั้งสองตัว อย่างไรก็ตาม มีผู้โดยสารชั้นหนึ่งคนหนึ่งอ้างว่าเห็นลิฟต์ติดอยู่ระหว่างดาดฟ้าเรือบดกับดาดฟ้าชั้นล่างขณะกำลังเดินผ่านทางเข้าชั้นหนึ่ง

ประมาณหนึ่งนาทีหลังไฟฟ้าดับ กัปตันเทอร์เนอร์ออกคำสั่งให้สละเรือ น้ำท่วมเข้าไปในห้องกันน้ำตามยาวด้านกราบขวาของตัวเรือ ทำให้เรือเอียงไปทางกราบขวา 15 องศา ภายในเวลาเพียง 6 นาทีหลังการโจมตี ดาดฟ้าหน้าของลูซิเทเนียก็เริ่มจมลงใต้น้ำ

การเอียงของลูซิเทเนียไปทางขวาอย่างรุนแรงทำให้การปล่อยเรือชูชีพเป็นไปด้วยความยากลำบาก 10 นาทีหลังถูกตอร์ปิโด เมื่อเรือชะลอความเร็วลงพอจะเริ่มปล่อยเรือชูชีพลงสู่ทะเล เรือชูชีพด้านกราบขวาก็อยู่ห่างเกินกว่าจะก้าวขึ้นไปได้อย่างปลอดภัย[55] แม้จะยังสามารถขึ้นเรือชูชีพด้านกราบซ้ายได้ แต่การปล่อยเรือชูชีพกลับกลายเป็นอีกปัญหา ตามแบบปกติของสมัยนั้น แผ่นตัวเรือของลูซิเทเนียนั้นถูกยึดด้วยหมุดย้ำ และเมื่อปล่อยเรือชูชีพลงมา เรือชูชีพเหล่านั้นก็เสียดกับหมุดย้ำสูง 1 นิ้ว ซึ่งอาจทำให้เกิดความเสียหายร้ายแรงหรือทำให้เรือพลิกคว่ำก่อนจะแตะผิวน้ำ

ภาพถ่ายใน ค.ศ. 1914 ที่แสดงให้เห็นเรือชูชีพแบบพับเพิ่มเติมที่ติดตั้งบนเรือลูซิเทเนีย

เรือชูชีพจำนวนมากพลิกคว่ำขณะกำลังบรรทุกผู้โดยสารหรือกำลังปล่อยลงสู่ทะเล ทำให้ผู้โดยสารตกลงสู่ทะเล และเรือชูชีพลำอื่น ๆ ก็พลิกคว่ำจากแรงกระแทกของการตกลงสู่ผิวน้ำ มีการกล่าวอ้างว่า[56] เรือชูชีพบางลำตกลงบนดาดฟ้าเนื่องจากความประมาทของเจ้าหน้าที่บางราย ทำให้มีผู้โดยสารรายอื่น ๆ ถูกทับได้รับบาดเจ็บ และเรือชูชีพไถลไปตามดาดฟ้าจนเกือบถึงสะพานเดินเรือ ประเด็นนี้เป็นที่โต้แย้งจากคำให้การของผู้โดยสารและลูกเรือ[57] ลูกเรือที่ขาดการฝึกอบรมบางรายอาจปล่อยมือจากเชือกที่ใช้ในการหย่อนเรือชูชีพ ทำให้เรือชูชีพและผู้โดยสารที่อยู่ในเรือชูชีพตกลงไปในทะเล บางส่วนของเรือชูชีพเอียงลงขณะที่ผู้คนบางกลุ่มกระโดดลงไปในเรือด้วยความตื่นตระหนก ลูซิเทเนียมีเรือชูชีพ 48 ลำ มากกว่าจำนวนเพียงพอสำหรับลูกเรือและผู้โดยสารทั้งหมด แต่มีเพียง 6 ลำเท่านั้นที่สามารถปล่อยลงไปได้สำเร็จ โดยทั้งหมดปล่อยจากด้านกราบขวาของเรือ เรือชูชีพลำที่ 1 พลิกคว่ำขณะกำลังลดระดับลง ทำให้ผู้โดยสารที่อยู่ในเรือชูชีพลำนั้นตกลงสู่ทะเล แต่ไม่นานนักก็สามารถพลิกกลับได้ และต่อมามีการนำผู้ที่กำลังลอยคออยู่ในทะเลขึ้นไปบนเรือชูชีพลำนี้ เรือชูชีพลำที่ 9 (มีผู้โดยสาร 5 คน) และลำที่ 11 (มีผู้โดยสาร 7 คน) สามารถลงสู่ผิวน้ำได้อย่างปลอดภัยพร้อมผู้โดยสารเพียงไม่กี่คน ต่อมาทั้งสองลำทำการช่วยเหลือผู้ที่กำลังว่ายน้ำอยู่จำนวนมากขึ้นมาบนเรือ เรือชูชีพลำที่ 13 และ 15 สามารถลงสู่ผิวน้ำได้อย่างปลอดภัย แต่บรรทุกผู้โดยสารเกินจำนวนประมาณ 150 คน ท้ายที่สุด เรือชูชีพลำที่ 21 ซึ่งมีผู้โดยสารอยู่ 52 คนลงสู่ผืนน้ำอย่างปลอดภัยและออกห่างจากเรือใหญ่เพียงชั่วขณะก่อนที่เรือจะจมลงสู่ก้นทะล เรือชูชีพแบบพับบางส่วนหลุดจากดาดฟ้าขณะเรือจมลงและทำหน้าที่เป็นทุ่นให้แก่ผู้รอดชีวิตบางส่วน

เรือชูชีพสองลำทางด้านกราบซ้ายของเรือก็ถูกปล่อยลงไปเช่นกัน เรือชูชีพลำที่ 14 (มีผู้โดยสาร 11 คน) ได้รับการปล่อยลงสู่ทะเลอย่างปลอดภัย แต่เนื่องจากฝาปิดรูระบายน้ำของเรือชูชีพลำดังกล่าวไม่ได้ปิดสนิท ทำให้มีน้ำทะเลไหลเข้าและเรือชูชีพลำนั้นก็จมลงเกือบจะทันทีหลังสัมผัสกับผิวน้ำ ต่อมาเรือชูชีพลำที่ 2 ลอยออกห่างจากเรือพร้อมผู้โดยสารชุดใหม่ (ผู้โดยสารชุดเดิมที่ตกลงไปในทะเลเนื่องจากทำเรือชูชีพพลิกคว่ำ) หลังพวกเขาตัดเชือกและหนึ่งในสายยึดปล่องไฟที่มีลักษณะ "คล้ายหนวดปลาหมึก" ของเรือออก พวกเขาพายเรือหนีไปก่อนเรือจะจมลง

ตามบันทึกของชวีเกอร์ เขาสังเกตเห็นความแตกตื่นและอลหม่านบนดาดฟ้ากราบขวาของเรือผ่านกล้องปริทรรศน์ และในเวลา 14:25 น. เขาก็เก็บกล้องปริทรรศน์และแล่นออกสู่ทะเล[58] ในวันเดียวกันนั้น เขาพยายามยิงตอร์ปิโดใส่เรือบรรทุกน้ำมันชื่อแนร์ราแกนเซ็ต (Narraganset) ของสหรัฐแต่พลาดเป้า ต่อมาเรือดำน้ำมุ่งหน้าไปทางเหนือตามแนวชายฝั่งตะวันตกของไอร์แลนด์และเดินทางต่อไปยังวิลเฮ็ลมส์ฮาเฟิน[38][49] ชวีเกอร์เสียชีวิตในวันที่ 5 กันยายน ค.ศ. 1917 เมื่อเอ็สเอ็ม อู-88 ที่เขาประจำการอยู่ชนกับทุ่นระเบิดของอังกฤษทางตอนเหนือของเกาะเทอร์เชลลิงและสูญหายไปพร้อมกับลูกเรือทั้งหมด

ทว่าผู้โดยสารที่รอดชีวิตที่อยู่ด้านกราบซ้ายกลับบรรยายถึงสถานการณ์ที่ดูสงบกว่า ผู้โดยสารหลายคนรวมถึงชาลส์ ลอเรียต นักเขียนผู้ซึ่งตีพิมพ์เรื่องราวภัยพิบัติครั้งนี้ระบุว่ามีผู้โดยสารบางรายปีนขึ้นเรือชูชีพด้านกราบซ้ายในช่วงแรก ก่อนจะถูกสั่งให้ลงจากเรือโดยรองกัปตันเจมส์ แอนเดอร์สัน ผู้ซึ่งได้ประกาศว่า "เรือลำนี้จะไม่จม" และให้ความมั่นใจแก่ผู้อยู่ใกล้เคียงว่าเรือได้ "แตะพื้นทะเล" แล้วและจะยังคงลอยอยู่ แท้จริงแล้วเขาสั่งให้ลูกเรือเติมน้ำทะเลลงถังอับเฉาด้านกราบซ้ายเพื่อปรับสมดุลเรือให้เสมอกัน เพื่อให้สามารถปล่อยเรือชูชีพได้อย่างปลอดภัย ด้วยเหตุนี้จึงมีเรือเพียงไม่กี่ลำที่ถูกปล่อยจากฝั่งกราบซ้ายและไม่มีลำใดที่อยู่ภายใต้การควบคุมของแอนเดอร์สัน

กัปตันเทอร์เนอร์ในวันที่ 11 พฤษภาคม ค.ศ. 1915 สี่วันหลังเรืออับปาง

กัปตันเทอร์เนอร์กำลังยืนอยู่บนดาดฟ้าบริเวณใกล้สะพานเดินเรือโดยกำสมุดปูมเรือและแผนที่เดินเรือไว้แน่น เมื่อมีคลื่นซัดขึ้นมาที่สะพานเดินเรือและส่วนโครงสร้างหน้าของเรือ กัปตันจึงพลัดตกลงไปในทะเล เขาสามารถว่ายน้ำและเกาะเก้าอี้ที่ลอยอยู่ในน้ำ เขารอดชีวิตมาได้หลังถูกดึงขึ้นมาจากน้ำในสภาพหมดสติหลังลอยคออยู่ในน้ำเป็นเวลาสามชั่วโมง ส่วนหัวของลูซิเทเนียพุ่งชนก้นทะเลลึกประมาณ 100 เมตร (330 ฟุต) ในมุมตื้นเนื่องจากแรงส่งของเรือขณะจมลง ระหว่างนั้นมีหม้อไอน้ำบางส่วนระเบิด ทำให้เรือกลับมาอยู่ในระดับสมดุลได้ชั่วขณะหนึ่ง ตำแหน่งนำเรือครั้งสุดท้ายที่กัปตันเทอร์เนอร์บันทึกไว้เป็นเวลาเพียงสองนาทีก่อนเรือถูกตอร์ปิโด และเขาสามารถจดจำความเร็วและทิศทางของเรือขณะที่เรือจมได้ ข้อมูลเหล่านี้มีความแม่นยำพอจะระบุตำแหน่งซากเรือหลังสงคราม เรือแล่นต่อไปอีกประมาณ 2 ไมล์ทะเล (4 กิโลเมตร) นับจากจุดถูกตอร์ปิโดถึงจุดอับปาง ทิ้งร่องรอยของเศษซากและผู้คนไว้เบื้องหลัง หลังหัวเรือจมลงอย่างสมบูรณ์ ท้ายเรือก็โผล่ขึ้นมาจากน้ำในระดับที่มองเห็นใบจักรได้ก่อนจะจมลงตามไป เมื่อปลายปล่องไฟทั้งสี่ของลูซิเทเนียซึ่งสูงถึง 70 ฟุต (21 เมตร) จมลงสู่ใต้น้ำ ก็เกิดกระแสน้ำวนที่ลากผู้อยู่บริเวณใกล้เคียงลงไปพร้อมกับเรือ เสากระโดงเรือและสายระโยงเป็นส่วนสุดท้ายที่หายไปจากสายตา

ลูซิเทเนียจมลงภายในเวลาเพียง 18 นาที ห่างจากแหลมโอลด์เฮดออฟคินเซลไปประมาณ 11.5 ไมล์ทะเล (21 กิโลเมตร) แม้จะอยู่ใกล้ชายฝั่งค่อนข้างมาก แต่ก็ใช้เวลาหลายชั่วโมงกว่าความช่วยเหลือจะมาถึงจากชายฝั่งไอร์แลนด์ อย่างไรก็ตาม เมื่อความช่วยเหลือมาถึง ผู้โดยสารจำนวนมากที่อยู่ในน้ำอุณหภูมิ 52 องศาฟาเรนไฮต์ (11 องศาเซลเซียส) ก็เสียชีวิตจากภาวะอุณหภูมิร่างกายต่ำ เมื่อสิ้นวัน ผู้โดยสารและลูกเรือจากลูซิเทเนียจำนวน 767 คนได้รับการช่วยเหลือและนำขึ้นฝั่งที่ควีนส์ทาวน์ ทว่ามีผู้เสียชีวิตเพิ่มอีก 4 รายในเวลาไม่นานหลังจากนั้น ยอดผู้เสียชีวิตจากภัยพิบัติครั้งนี้เป็นตัวเลขที่น่าสะพรึงกลัว ในจำนวนผู้โดยสารและลูกเรือบนเรือลูซิเทเนียทั้งหมด 1,960 คนขณะอับปาง มีผู้เสียชีวิตจำนวน 1,197 คน รวมถึงเด็ก 94 คน และชาวอเมริกันประมาณ 128 คน[4] (ตัวเลขอย่างเป็นทางการในขณะนั้นอาจมีความแตกต่างกันเล็กน้อย)[1] ไม่กี่วันหลังเหตุการณ์ภัยพิบัติ สายการเดินเรือคูนาร์ดเสนอเงินรางวัลแก่ชาวประมงและพ่อค้าเรือในท้องถิ่นเพื่อเป็นการแลกเปลี่ยนกับการกู้ร่างที่ลอยอยู่ทั่วทะเลไอริชซึ่งบางส่วนลอยไปไกลถึงชายฝั่งเวลส์ มีการกู้ขึ้นมาได้เพียง 289 ร่าง ในจำนวนนี้ไม่สามารถระบุตัวตนได้ถึง 65 ร่าง ร่างของผู้ประสบภัยจำนวนมากถูกฝังไว้ที่ควีนส์ทาวน์ โดยมีการฝัง 148 ร่างในสุสานโอลด์เชิร์จ[59] และที่โบสถ์เซนต์มัลโทสในคินเซล แต่ร่างของผู้ประสบภัยอีก 885 ร่างไม่เคยถูกพบ

มีเรื่องเล่าหนึ่งซึ่งเป็นตำนานเมืองกล่าวไว้ว่าเมื่อเรือเอกชวีเกอร์ของอู-20 สั่งยิงตอร์ปิโดใส่ลูซิเทเนีย พลาธิการชาลส์ โฟเกเล ไม่ยอมมีส่วนร่วมในการโจมตีผู้หญิงและเด็กและปฏิเสธจะส่งต่อคำสั่งนั้นไปยังห้องตอร์ปิโด ซึ่งเป็นการตัดสินใจที่ทำให้เขาถูกศาลทหารตั้งข้อหาและจำคุกที่คีลจนกระทั่งสิ้นสุดสงคราม[60] ข่าวลือนี้ดำเนินต่อมาตั้งแต่ ค.ศ. 1972 เมื่อหนังสือพิมพ์รายวันเลอมงด์ของฝรั่งเศสตีพิมพ์จดหมายเปิดผนึกฉบับหนึ่ง[61][62] อย่างไรก็ตาม ขณะที่อู-20 ยิงตอร์ปิโด โฟเกเลดำรงตำแหน่งช่างไฟฟ้า ไม่ใช่พลาธิการ แม้ข้อเท็จจริงดังกล่าวจะดูเหมือนว่าปัดเป่าข่าวลือนี้ไปได้แล้ว แต่การลังเลใจที่ถูกกล่าวหาว่าเป็นของโฟเกเลนั้นถูกนำเสนอไปในฉากการยิงตอร์ปิโดของสารคดีดรามาเรื่อง Sinking of the Lusitania: Terror at Sea ที่ออกฉายใน ค.ศ. 2007

ผู้โดยสารที่มีชื่อเสียง

[แก้]
"การอับปางของเรือลูซิเทเนีย โศกนาฏกรรมครั้งยิ่งใหญ่ที่สุดในมหาสมุทร"

รอดชีวิต

[แก้]
ลูกเรือ
ผู้โดยสาร
เอวิส ดอลฟิน

เสียชีวิต

[แก้]
อัลเฟรด กวินน์ แวนเดอร์บิลต์ 

การสอบสวน

[แก้]

เจ้าหน้าที่ชันสูตรเทศมณฑลคอร์ก

[แก้]

วันที่ 8 พฤษภาคม จอห์น ฮอแกน เจ้าหน้าที่ชันสูตรพลิกศพประจำเทศมณฑลคอร์ก เปิดการสอบสวนสาเหตุการตายเกี่ยวกับศพของบุรุษ 2 รายและสตรี 3 รายที่ถูกนำขึ้นฝั่งโดยเรือประมงท้องถิ่นชื่อเฮอรอน (Heron) ในคินเซล ผู้รอดชีวิตส่วนใหญ่ (และผู้เสียชีวิต) ถูกนำตัวไปยังควีนส์ทาวน์แทนที่จะเป็นคินเซลซึ่งอยู่ใกล้กว่า วันที่ 10 พฤษภาคม กัปตันเทอร์เนอร์ให้การเป็นพยานเกี่ยวกับการจมของเรือ เขาบรรยายว่าเรือถูกตอร์ปิโดลูกหนึ่งระหว่างปล่องไฟต้นที่สามและสี่ จากนั้นก็เกิดการระเบิดครั้งที่สองขึ้นทันที เขายอมรับว่าได้รับคำเตือนทั่วไปเกี่ยวกับเรือดำน้ำ แต่ไม่ได้รับแจ้งเกี่ยวกับการอับปางของเรือเอิร์ลออฟเลธอม (Earl of Lathom) เขาระบุว่าได้รับคำสั่งอื่น ๆ จากกระทรวงทหารเรือซึ่งเขาได้ปฏิบัติตามแล้ว แต่ไม่ได้รับอนุญาตให้เผยรายละเอียด เจ้าหน้าที่ชันสูตรตัดสินว่าผู้ตายจมน้ำเสียชีวิตจากการโจมตีเรือที่ไม่มีอาวุธและส่วนร่วมในการสู้รบซึ่งขัดต่อกฎหมายระหว่างประเทศ ผ่านไปครึ่งชั่วโมงหลังการสอบสวนสิ้นสุดลงและผลการสอบสวนถูกส่งมอบแก่สื่อมวลชนแล้ว แฮร์รี วินน์ อัยการสูงสุดประจำเทศมณฑลคอร์ก เดินทางมาพร้อมกับคำสั่งให้ยุติการสอบสวน กัปตันเทอร์เนอร์ไม่ได้รับอนุญาตให้เป็นพยานและห้ามเปิดเผยคำแนะนำที่เคยส่งให้แก่เรือโดยสารเกี่ยวกับการเลี่ยงเรือดำน้ำ[3]:330–332

การสอบสวนของคณะกรรมการการค้า

[แก้]
ลอร์ดเมอร์ซีย์ ประธานการสอบสวน

การสอบสวนอย่างเป็นทางการของคณะกรรมการการค้าเกี่ยวกับการอับปางของลูซิเทเนียมีลอร์ดเมอร์ซีย์ กรรมาธิการสอบสวนอุบัติเหตุทางทางทะเลเป็นประธานและถูกจัดขึ้น ณ เวสต์มินสเตอร์เซ็นทรัลฮอลล์ ระหว่างวันที่ 15–18 มิถุนายน ค.ศ. 1915 และมีการประชุมเพิ่มเติม ณ โรงแรมเวสต์มินสเตอร์พาเลซ ในวันที่ 1 กรกฎาคม และแคกซ์ตันฮอลล์ในวันที่ 17 กรกฎาคม ลอร์ดเมอร์ซีย์มีประสบการณ์ในกฎหมายพาณิชย์มากกว่ากฎหมายพาณิชยนาวี แต่เคยเป็นประธานการสอบสวนเหตุการณ์ทางทะเลที่สำคัญหลายครั้ง รวมถึงการสอบสวนเหตุการณ์ไททานิกอับปาง เขาได้รับความช่วยเหลือจากคณะผู้ประเมิน 4 คนได้แก่ พลเรือเอก เซอร์ เฟรเดอริก อิงเกิลฟิลด์, นาวาตรี เฮิร์น และกัปตันเรือพาณิชย์สองคนคือ ดี. เดวีส์ และเจ. สเปดดิง เซอร์ เอ็ดเวิร์ด คาร์สัน อัยการสูงสุดในฐานะผู้แทนคณะกรรมการการค้า ได้รับความช่วยเหลือจากเอฟ. อี. สมิธ ทนายความที่ปรึกษาสูงสุด บัตเลอร์ แอสปินอลล์ ผู้ซึ่งเคยเป็นตัวแทนคณะกรรมการการค้าในการสอบสวนเหตุการณ์ไททานิก ได้รับการว่าจ้างให้เป็นตัวแทนของสายการเดินเรือคูนาร์ด มีการเรียกพยานทั้งหมด 36 ปาก โดยลอร์ดเมอร์ซีย์สอบถามถึงเหตุผลที่ผู้รอดชีวิตส่วนใหญ่ไม่ยอมให้การ การพิจารณาคดีส่วนใหญ่เปิดให้ประชาชนเข้าฟัง แต่ในวันที่ 15 และ 18 มิถุนายน มีการปิดห้องพิจารณาคดีเพื่อนำเสนอพยานหลักฐานเกี่ยวกับการเดินเรือ[66]

ได้ทำการรวบรวมคำให้การจากลูกเรือทั้งหมด ซึ่งคำให้การเหล่านี้ถูกบันทึกเป็นลายลักษณ์อักษรลงในแบบมาตรฐาน โดยมีลายมือและถ้อยคำที่คล้ายกันเพื่อนำเสนอในการสอบสวน พลาธิการจอห์นสตันอธิบายในภายหลังว่าตนถูกกดดันให้แสดงความภักดีต่อบริษัท และมีผู้เสนอแนะว่าหากระบุว่าเรือถูกตอร์ปิโดสองลูกแทนที่จะเป็นลูกเดียวตามที่เขาอธิบายไว้จะเป็นประโยชน์ต่อรูปคดี เมื่อให้การต่อศาล เขาไม่ได้ถูกถามเกี่ยวกับตอร์ปิโด พยานรายอื่นที่อ้างว่ามีการยิงตอร์ปิโดเพียงลูกเดียวถูกปฏิเสธไม่ให้เข้าให้การ เมื่อเทียบกับคำให้การในระหว่างการสอบสวน กัปตันเทอร์เนอร์ให้การว่ามีตอร์ปิโดสองลูกพุ่งชนเรือ ไม่ใช่ลูกเดียว[3]:363 ในการให้สัมภาษณ์ใน ค.ศ. 1933 เทอร์เนอร์กลับคำให้การเดิมของตนว่ามีตอร์ปิโดเพียงลูกเดียวเท่านั้นที่ถูกยิงมา[3]:457 พยานส่วนใหญ่ให้การว่ามีการระเบิดสองครั้ง แต่มีพยานบางรายให้การว่าสามครั้งซึ่งอาจเกี่ยวข้องกับเรือดำน้ำลำที่สอง เคลเมนต์ เอ็ดเวิดส์ ผู้แทนสหภาพแรงงานลูกเรือ พยายามนำเสนอหลักฐานเกี่ยวกับห้องกันน้ำที่เกี่ยวข้องในการอับปาง แต่ถูกอุปสรรคจากการกระทำของลอร์ดเมอร์ซีย์[3]:367

ริชาร์ด เวบบ์ ผู้อำนวยการกองการค้าในขณะนั้น

ระหว่างการพิจารณาคดีที่ปิดต่อสาธารณชน กระทรวงทหารเรือพยายามโยนความผิดให้แก่กัปตันเทอร์เนอร์โดยให้เหตุผลว่าเทอร์เนอร์กระทำการโดยประมาท รากฐานของมุมมองนี้มีจุดเริ่มต้นมาจากรายงานเบื้องต้นเกี่ยวกับการอับปางของเรือซึ่งได้รับจากพลเรือโท ชาลส์ เฮนรี โค้ก ผู้บัญชาการกองทัพเรือประจำควีนส์ทาวน์ เขารายงานว่า "เรือลำนั้นได้รับการเตือนเป็นพิเศษว่ามีเรือดำน้ำปฏิบัติการอยู่บริเวณชายฝั่งทางใต้และให้รักษาเส้นทางเดินเรือกลางช่องแคบ หลีกเลี่ยงแหลมต่าง ๆ นอกจากนี้ยังมีการแจ้งตำแหน่งของเรือดำน้ำนอกแหลมเคลียร์ไปยังเรือลำนั้นทางวิทยุโทรเลขในเวลา 10:00 น." กัปตันริชาร์ด เวบบ์ ผู้อำนวยการกองการค้า เริ่มรวบรวมเอกสารบันทึกสัญญาณที่ส่งไปยังลูซิเทเนียซึ่งอาจเป็นไปได้ว่ากัปตันเทอร์เนอร์ไม่ได้ปฏิบัติตาม จอมพลเรือ จอห์น ฟิชเชอร์ สมุหราชนาวีและเสนาธิการทหารเรือ บันทึกไว้ในเอกสารฉบับหนึ่งที่เวบบ์นำเสนอเพื่อพิจารณาว่า "เนื่องจากสายการเดินเรือคูนาร์ดคงไม่อาจจ้างบุคคลไร้ความสามารถ จึงเป็นที่ประจักษ์ว่ากัปตันเทอร์เนอร์มิได้เป็นคนโง่ แต่เป็นผู้มีพฤติกรรมไม่สุจริต ข้าพเจ้าหวังว่าเทอร์เนอร์จะถูกจับกุมทันทีหลังการสอบสวน ไม่ว่าผลการสอบสวนจะเป็นเช่นไร" วินสตัน เชอร์ชิล สมุหราชนาวี บันทึกว่า "ข้าพเจ้าเห็นว่าคดีที่กระทรวงทหารเรือยื่นฟ้องคุณเทอร์เนอร์ควรได้รับการดำเนินการโดยทนายความผู้ชำนาญ และควรเชิญกัปตันเวบบ์มาร่วมเป็นพยาน หากมิได้มอบหมายให้เป็นผู้ประเมินผลคดี ข้าพเจ้าจะดำเนินการติดตามสืบสวนกัปตันผู้นี้อย่างไม่หยุดยั้ง" ท้ายที่สุดทั้งเชอร์ชิลและฟิชเชอร์ถูกปลดจากตำแหน่งก่อนการสอบสวนเนื่องจากความล้มเหลวของการทัพที่กัลลิโพลี[67]

ส่วนหนึ่งของการพิจารณาคดีมุ่งเน้นไปที่ประเด็นเกี่ยวกับยุทธวิธีการหลบเรือดำน้ำที่เหมาะสม มีการกล่าวหาเทอร์เนอร์ว่าละเมิดคำแนะนำของกระทรวงทหารเรือในการเดินเรือด้วยความเร็วสูง รักษาเส้นทางซิกแซก และรักษาระยะห่างจากชายฝั่ง ลูซิเทเนียลดความเร็วลงเหลือ 15 นอตในช่วงหนึ่งเนื่องจากสภาพอากาศหมอกหนา แต่โดยปกติแล้วเรือรักษาความเร็วไว้ที่ 18 นอตขณะผ่านเกาะไอร์แลนด์ ความเร็ว 18 นอตนั้นเร็วกว่าเรือลำอื่น ๆ ในกองเรือพาณิชย์ของอังกฤษเกือบทั้งหมด และยังมีความเร็วมากกว่าเรือดำน้ำอย่างสบาย ณ เวลานั้นยังไม่มีเรือลำใดที่ถูกโจมตีด้วยตอร์ปิโดขณะแล่นด้วยความเร็วเกิน 15 นอต แม้เขาอาจจะสามารถทำความเร็วได้ถึง 21 นอต และสั่งการให้เพิ่มแรงดันไอน้ำเพื่อเตรียมพร้อมจะทำเช่นนั้น แต่เขาก็อยู่ภายใต้คำสั่งให้กำหนดเวลาการมาถึงลิเวอร์พูลให้ตรงกับช่วงน้ำขึ้นสูง เพื่อเรือจะได้ไม่ต้องรอเข้าเทียบท่า ด้วยเหตุนี้เขาจึงตัดสินใจลดความเร็วในการเดินทางลง

อย่างไรก็ตาม เทอร์เนอร์อาจบรรลุเป้าหมายการเดินทางถึงจุดหมายปลายทางตามเวลาที่ต้องการด้วยความเร็วสูงได้โดยการเปลี่ยนทิศทางการเดินเรือไปมา แต่ต้องแลกมาด้วยการสิ้นเปลืองเชื้อเพลิงมากขึ้น กัปตันอ่านคำแนะนำของกระทรวงทหารเรือเกี่ยวกับการเลี้ยวซิกแซกให้ฟัง โดยกัปตันยืนยันว่าได้รับคำแนะนำดังกล่าวแล้ว แต่ต่อมาได้กล่าวเพิ่มเติมว่าคำแนะนำที่ได้รับไม่สอดคล้องกับที่ตนจดจำไว้ ไม่น่าแปลกใจ เนื่องจากข้อบังคับทั่วไปที่อ้างถึงนั้นได้รับการอนุมัติในวันที่ 25 เมษายน หลังลูซิเทเนียเดินทางถึงนิวยอร์กเป็นครั้งสุดท้าย และเริ่มมีการแจกจ่ายในวันที่ 13 พฤษภาคม หลังลูซิเทเนียอับปางลง[68] แม้คำตอบของเทอร์เนอร์จะบ่งชี้ว่าเขาได้รับคำแนะนำเฉพาะบางส่วนก่อนหน้านี้ในวันที่ 16 เมษายน เทอร์เนอร์ให้ความเห็นว่าการตีความคำแนะนำที่ได้รับนั้นคือการเปลี่ยนทิศทางการเดินเรือไปมาเมื่อพบเห็นเรือดำน้ำ ซึ่งวิธีการดังกล่าวจะไร้ประโยชน์ในกรณีถูกโจมตีโดยเรือดำน้ำที่ดำอยู่ใต้น้ำโดยไม่ทันตั้งตัว[40]

ประภาคารแหลมโอลด์เฮดออฟคินเซล เทอร์เนอร์เข้าใกล้จุดนี้เพื่อวัดมุมแบริ่งก่อนเรือจะจมลง

แม้กระทรวงทหารเรือจะมีคำแนะนำให้เรือรักษาระยะห่างจากชายฝั่งอย่างปลอดภัย แต่ก็ยังไม่มีความชัดเจนว่าระยะห่างที่กำหนดไว้นั้นคือเท่าใด กระทรวงทหารเรืออ้างว่าเรือของเทอร์เนอร์อยู่ห่างออกไปเพียง 8 ไมล์ทะเล (15 กิโลเมตร) เท่านั้น ขณะที่ระยะทางจริงเมื่อถูกโจมตีคือ 13 ไมล์ทะเล (24 กิโลเมตร) ทั้งสองระยะทางนั้นยังคงมีระยะห่างมากกว่าระยะทาง 2 ไมล์ทะเล (3.7 กิโลเมตร) ที่เรือจะแล่นได้ในยามสงบ น่าขันที่ระยะทางนี้ก็ทำให้ลูซิเทเนียพลาดเป้าเรือดำน้ำได้เช่นกัน[40] อย่างไรก็ตาม เทอร์เนอร์ตั้งใจนำเรือเข้ามาใกล้มากขึ้น เทอร์เนอร์ระบุว่าตนหารือเกี่ยวกับแนวทางการเดินเรือกับเจ้าหน้าที่ระดับสูงสองคนคือรองกัปตันแอนเดอร์สัน และหัวหน้าเจ้าหน้าที่ไพเปอร์ ทั้งสองคนไม่รอดชีวิต ทั้งสามเห็นพ้องกันว่าคำแนะนำจากกระทรวงทหารเรือเกี่ยวกับ "กิจกรรมของเรือดำน้ำห่างจากโคนิงเบกไปทางใต้ 20 ไมล์" นั้นมีผลบังคับเหนือคำแนะนำอื่น ๆ ของกระทรวงเรือที่ให้รักษาเส้นทาง "กลางช่องแคบ" ที่ที่ตนเชื่อว่าเรือดำน้ำเหล่านั้นจะอยู่ ด้วยเหตุนี้ เขาจึงเข้าใกล้แหลมโอลด์เฮดออฟคินเซลเพื่อวัดมุมแบริ่งโดยมีวัตถุประสงค์จะนำเรือเข้าใกล้ฝั่งมากขึ้น แล้วจึงเลี้ยวเรือไปทางเหนือของตำแหน่งที่รายงานว่ามีเรือดำน้ำอยู่ห่างจากชายฝั่งเพียงครึ่งไมล์ ขณะกำลังบังคับเรือให้แล่นตรงเพื่อวัดมุมแบริ่งนั้นเองที่เกิดการโจมตีขึ้น[69][70]

เอฟ. อี. สมิธ ทนายความที่ปรึกษาสูงสุด

ณ จุดหนึ่งระหว่างการดำเนินการ สมิธพยายามเน้นย้ำประเด็นที่ตนกำลังกล่าวอ้าง โดยการอ้างถึงสัญญาณที่ส่งไปยังเรือของอังกฤษ ลอร์ดเมอร์ซีย์สอบถามว่าข้อความดังกล่าวคือข้อความใด และปรากฏว่าข้อความที่เป็นประเด็นนั้นปรากฏอยู่ในสำนวนหลักฐานที่ส่งให้แก่สมิธโดยเซอร์ เอลลิส คันลิฟฟ์ ทนายความประจำคณะกรรมการการค้าแต่กลับไม่ปรากฏอยู่ในสำนวนหลักฐานที่ส่งให้แก่บุคคลอื่น คันลิฟฟ์ชี้แจงถึงความไม่สอดคล้องกันดังกล่าวโดยระบุว่ามีการจัดทำเอกสารฉบับต่าง ๆ ขึ้นมาเพื่อใช้ในการพิจารณา ซึ่งขึ้นอยู่กับว่าการพิจารณาดังกล่าวเป็นการพิจารณาแบบปิดหรือไม่ อย่างไรก็ตาม ข้อความที่อ้างถึงนั้นปรากฏว่าไม่เคยมีอยู่จริง ลอร์ดเมอร์ซีย์สังเกตเห็นว่าหน้าที่ของตนคือการค้นหาความจริงและหลังจากนั้นตนจึงมีความเห็นวิพากษ์วิจารณ์หลักฐานของกระทรวงทหารเรือมากขึ้น[71]

ผู้รอดชีวิตจากการอับปางในวันที่ 25 พฤษภาคม ค.ศ. 1915

มีการจัดการพิจารณาคดีเพิ่มเติมขึ้นในวันที่ 1 กรกฎาคม ตามคำร้องของโจเซฟ แมริชัล ซึ่งขู่ว่าจะฟ้องสายการเดินเรือคูนาร์ดเนื่องจากการจัดการเหตุการณ์ภัยพิบัติครั้งนี้เป็นไปอย่างไม่เหมาะสม เขาให้การว่าเสียงระเบิดครั้งที่สองดังคล้ายเสียงปืนกลเหมือนกับว่าเกิดขึ้นบริเวณใต้ห้องอาหารชั้นสองท้ายเรือซึ่งเป็นที่นั่งของเขา รัฐบาลอังกฤษสืบข้อมูลประวัติของแมริชัลและบิดเบือนข้อมูลดังกล่าวก่อนจะปล่อยให้สื่อมวลชนเผยแพร่เพื่อทำลายชื่อเสียงของเขา[3]:367–369 กระสุนปืนไรเฟิลที่แมริชัลกล่าวถึงนั้นถูกนำมาอ้างในระหว่างการพิจารณาคดี โดยลอร์ดเมอร์ซีย์ระบุว่า "กระสุนปืน 5,000 กล่องที่บรรจุอยู่บนเรือนั้นอยู่ห่างจากจุดที่ตอร์ปิโดพุ่งชนเรือไป 50 หลา และไม่มีวัตถุระเบิดอื่นอยู่บนเรือ" ทุกฝ่ายเห็นพ้องกันว่าไม่สามารถเป็นสาเหตุของการระเบิดครั้งที่สองได้[72]

ท้ายที่สุดแล้ว กัปตันเทอร์เนอร์ สายการเดินเรือคูนาร์ด และกระทรวงทหารเรือได้รับการยกฟ้องจากข้อกล่าวหาประมาทเลินเล่อ และความผิดทั้งหมดถูกเบี่ยงไปยังรัฐบาลเยอรมัน ลอร์ดเมอร์ซีย์พิจารณาว่าเทอร์เนอร์กระทำการที่ขัดต่อคำแนะนำของกระทรวงทหารเรือซึ่งอาจเป็นการช่วยให้เรือรอดพ้นจากเหตุการณ์ดังกล่าว แต่คำแนะนำดังกล่าวเป็นเพียงข้อเสนอแนะมากกว่าคำสั่ง ดังนั้นกัปตันจึง "ใช้ดุลยพินิจของตนอย่างดีที่สุด" และความผิดพลาดจากภัยพิบัติครั้งนี้ "ต้องตกอยู่กับผู้วางแผนและผู้ก่อเหตุเพียงผู้เดียว"[73][74]

จากการเปิดเผยของซิมป์สัน ลอร์ดเมอร์ซีย์เปิดเผยกับลูกของเขาในภายหลังว่า "คดีเรือลูซิเทเนียเป็นเรื่องที่สกปรกและน่ารังเกียจ!"[75] แม้จะมีการนำเสนอรายงานสาธารณะต่อรัฐสภา[74] และได้รับการรายงานโดยสื่อมวลชนอังกฤษแล้ว[76] ซิมป์สันเสนอสมมติฐานว่ามีรายงานลับฉบับเต็มซึ่งอาจถูกเก็บไว้ในเอกสารส่วนตัวของลอร์ดเมอร์ซีย์หลังการเสียชีวิตของเขา แต่จนถึงปัจจุบันก็ยังไม่พบรายงานฉบับดังกล่าว เบลีย์และไรอันมีความเห็นว่าเมอร์ซีย์ตัดสินใจที่จะ "ล้างมลทิน" ให้เทอร์เนอร์ หลังแสดงให้เห็นถึงความสงสัยเกี่ยวกับการบริหารที่ไม่เหมาะสมของทั้งเทอร์เนอร์และสายการเดินเรือคูนาร์ดในการสอบสวน พลเรือเอกอิงเกิลฟีลด์ได้เสนอแนะให้ลงโทษเทอร์เนอร์ที่ไม่ปฏิบัติตามคำสั่งของกระทรวงทหารเรือ แต่เมอร์ซีย์โต้แย้งว่าการกระทำเช่นนี้อาจเป็นการเสริมสร้างข้ออ้างของเยอรมนี เมื่อมีการประกาศคำตัดสิน ผู้รอดชีวิตจากเหตุการณ์ลูซิเทเนียต่างแสดงความไม่พอใจ[77]

การดำเนินคดีในศาลสหรัฐ

[แก้]
ผู้พิพากษาจูเลียส เมเยอร์ เป็นประธาน

ในสหรัฐ มีการยื่นคำร้องขอค่าชดเชย 67 คดีต่อสายการเดินเรือคูนาร์ด คดีทั้งหมดได้รับการพิจารณาพร้อมกันใน ค.ศ. 1918 ต่อหน้าศาลแขวงสหรัฐประจำเขตใต้ของนิวยอร์ก ผู้พิพากษาจูเลียส เมเยอร์ เป็นประธานพิจารณาคดี ก่อนหน้านี้เขาเคยดำรงตำแหน่งประธานพิจารณาคดีที่เกิดขึ้นหลังไททานิกสูญหายโดยเขาตัดสินให้บริษัทเดินเรือเป็นฝ่ายชนะคดี เมเยอร์เป็นพวกอนุรักษ์นิยมที่ถือว่าเป็นคู่หูที่ปลอดภัยในเรื่องผลประโยชน์ของชาติ และคำพูดที่เขาชอบพูดกับทนายความก็คือ "พูดตรงประเด็น" คดีนี้ถูกพิจารณาโดยไม่มีลูกขุน ทั้งสองฝ่ายตกลงกันล่วงหน้าว่าจะไม่มีการซักถามใด ๆ ในเรื่องที่ว่าลูซิทาเนียมีอาวุธหรือบรรทุกทหารหรือเครื่องกระสุนหรือไม่ พยาน 33 รายซึ่งไม่สามารถเดินทางไปยังสหรัฐให้การในอังกฤษต่อกรรมาธิการอาร์. วี. วินน์ หลักฐานที่นำเสนอในศาลเปิดเพื่อการสืบสวนของลอร์ดเมอร์ซีย์ได้รับการพิจารณา แต่ไม่มีการนำหลักฐานจากการประชุมปิดของอังกฤษมาพิจารณา พระราชบัญญัติป้องกันราชอาณาจักรถูกเรียกร้องขึ้นเพื่อห้ามชาวอังกฤษให้การเป็นพยานในประเด็นใด ๆ ที่ได้รับการกล่าวถึง แถลงการณ์ดังกล่าวถูกรวบรวมไว้ที่ควีนส์ทาวน์โดยกงสุลอเมริกัน เวสลีย์ ฟรอสต์ แต่ไม่ได้มีการเผยแพร่ออกมา[3]:413–414

กัปตันเทอร์เนอร์ให้การเป็นพยานในอังกฤษและตอนนี้ให้การปกป้องการกระทำของเขาอย่างกล้าหาญมากขึ้น เขาแย้งว่าจนกระทั่งถึงเวลาที่เรือจม เขาไม่มีเหตุผลใดที่จะคิดว่าการเคลื่อนที่แบบซิกแซกในเรือเร็วจะช่วยได้ แท้จริงแล้ว เขาเคยบังคับบัญชาเรืออีกลำหนึ่งซึ่งถูกจมขณะแล่นซิกแซก จุดยืนของเขาได้รับการสนับสนุนจากหลักฐานของกัปตันคนอื่น ๆ ที่กล่าวว่าก่อนลูซิเทเนียจะจม ไม่มีเรือพาณิชย์ลำใดแล่นซิกแซกกันเลย เทอร์เนอร์แย้งว่าการรักษาทิศทางคงที่เป็นเวลา 30 นาทีนั้นเป็นสิ่งจำเป็นในการกำหนดมุมแบริ่งสี่จุดและยืนยันตำแหน่งของเรือได้อย่างแม่นยำ แต่ในประเด็นนี้ เขาได้รับการสนับสนุนน้อยกว่า โดยกัปตันคนอื่น ๆ โต้แย้งว่าการกำหนดทิศทางสองจุดสามารถทำได้ในเวลาห้านาทีและแม่นยำเพียงพอ

พยานหลายคนให้การว่าช่องหน้าต่างรอบเรือเปิดอยู่ขณะที่เรือจม และพยานผู้เชี่ยวชาญก็ยืนยันว่าช่องหน้าต่างใต้น้ำ 3 ฟุตดังกล่าวจะสามารถปล่อยให้น้ำเข้ามาได้ 4 ตันต่อนาที คำให้การแตกต่างกันไปขึ้นอยู่กับว่ามีตอร์ปิโดอยู่กี่ลูกและการโจมตีเกิดขึ้นระหว่างปล่องไฟต้นแรกและสอง หรือสามและสี่ มีการพิจารณาถึงลักษณะของสินค้าที่บรรทุกอย่างเป็นทางการ แต่ผู้เชี่ยวชาญเห็นว่าสินค้าจะไม่ระเบิดภายใต้เงื่อนไขใด ๆ มีบันทึกไว้ว่าลูกเรือแจ็ก โรเปอร์ เขียนจดหมายถึงสายการเดินเรือคูนาร์ดใน ค.ศ. 1919 เพื่อขอค่าใช้จ่ายในการเป็นพยานตามแนวทางที่คูนาร์ดระบุ[3]:415–416

การตัดสินเกิดขึ้นในวันที่ 23 สิงหาคม ค.ศ. 1918 คำตัดสินของเมเยอร์คือ "สาเหตุของการจมนั้นเกิดจากการกระทำที่ผิดกฎหมายของรัฐบาลจักรวรรดิเยอรมัน" มีตอร์ปิโดสองลูกเกี่ยวข้อง และกัปตันก็ดำเนินการอย่างถูกต้องและระเบียบการฉุกเฉินก็เป็นไปตามมาตรฐาน เขาตัดสินว่าการเรียกร้องค่าชดเชยเพิ่มเติมควรส่งไปที่รัฐบาลเยอรมัน (ซึ่งท้ายที่สุดก็จ่ายเงิน 2.5 ล้านดอลลาร์สหรัฐใน ค.ศ. 1925)

ปฏิกิริยาจากนานาชาติ

[แก้]

เยอรมนี

[แก้]

วันที่ 8 พฤษภาคม ดร. แบร์นฮาร์ท แดนบวร์ค อดีตรัฐมนตรีอาณานิคมเยอรมันและผู้แทนสภากาชาดเยอรมัน ได้ออกแถลงการณ์ในคลีฟแลนด์ รัฐโอไฮโอ ซึ่งเขาพยายามให้เหตุผลที่ชอบธรรมในการจมเรือลูซิเทเนีย หนังสือพิมพ์นิวยอร์กไทมส์รายงานว่า "แดนบวร์คเป็นกระบอกเสียงอย่างเป็นทางการของจักรพรรดิไคเซอร์" แต่ในความเป็นจริงแล้ว แดนบวร์คกำลังกระทำในฐานะพลเมืองเอกชนโดยไม่มีบทบาทอย่างเป็นทางการในกระทรวงต่างประเทศเยอรมัน แต่ได้จัดตั้ง "สำนักข่าว" ในนิวยอร์กเพื่อเผยแพร่โฆษณาชวนเชื่อของเยอรมันตั้งแต่ ค.ศ. 1914[78] แดนบวร์คกล่าวว่าเนื่องจากลูซิเทเนีย "บรรทุกของผิดกฎหมายสงคราม" และเรือลำดังกล่าว "ถูกจัดประเภทเป็นเรือลาดตระเวนช่วยรบ" เยอรมนีจึงมีสิทธิ์ทำลายเรือลำนั้นโดยไม่คำนึงถึงผู้โดยสารบนเรือ เขากล่าวเพิ่มเติมว่าคำเตือนที่สถานทูตเยอรมันแจ้งก่อนการออกเรือ รวมถึงหนังสือแจ้งวันที่ 18 กุมภาพันธ์ที่ประกาศการมีอยู่ของ "เขตสงคราม" ทำให้เยอรมนีพ้นจากความรับผิดชอบใด ๆ ต่อการเสียชีวิตของพลเมืองอเมริกันบนเรือ เขาอ้างถึงยุทธภัณฑ์และสินค้าทางทหารที่ระบุไว้ในบัญชีสินค้าของลูซิเทเนียและกล่าวว่า "เรือประเภทนั้น" สามารถถูกยึดและทำลายได้ภายใต้กฎหมายเฮกโดยไม่ต้องคำนึงถึงเขตสงครามใด ๆ[79]

วันรุ่งขึ้น รัฐบาลเยอรมันออกแถลงการณ์อย่างเป็นทางการเกี่ยวกับการจมเรือโดยกล่าวว่าเรือลูซิเทเนียของสายการเดินเรือคูนาร์ด "ถูกตอร์ปิโดจากเรือดำน้ำเยอรมันเมื่อวานนี้และจมลง" ว่าลูซิเทเนีย "ติดตั้งปืนโดยธรรมชาติ เช่นเดียวกับเรือพาณิชย์อังกฤษส่วนใหญ่ในระยะหลัง"[80] และว่า "เป็นที่ทราบกันดีในที่นี้ว่าเธอมีวัสดุสงครามจำนวนมากในสินค้าของเธอ" นี่คือถ้อยแถลงอย่างเป็นทางการของฝ่ายเยอรมนี ต่อเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น[81]

การอับปางครั้งนั้นถูกวิพากษ์วิจารณ์อย่างรุนแรงและได้รับการต่อต้านในตุรกีและออสเตรีย-ฮังการี[82] ขณะที่หนังสือพิมพ์เยอรมันอย่าง Vorwärts หนังสือพิมพ์รายวันของพรรคสังคมประชาธิปไตยเยอรมนีแสดงความเสียใจต่อการอับปางครั้งนี้ และกัปตันเพอร์ซิอุส นักวิจารณ์กองทัพเรือผู้ตรงไปตรงมาซึ่งเขียนบทความให้กับหนังสือพิมพ์ Berliner Tageblatt[83] ก็ได้แสดงความเสียใจเช่นกัน อย่างไรก็ตาม สื่อมวลชนส่วนใหญ่กลับเห็นชอบกับการจมของเรือลำนั้น[84] หนังสือพิมพ์ศูนย์รวมคาทอลิกฉบับหนึ่งชื่อ Kölnische Volkszeitung [de] ระบุว่า "การจมลงของเรือกลไฟอังกฤษยักษ์ถือเป็นชัยชนะที่มีนัยสำคัญทางจิตใจซึ่งยิ่งใหญ่กว่าความสำเร็จทางวัตถุ ด้วยความภาคภูมิใจอย่างเปี่ยมสุข เราพิจารณาการกระทำล่าสุดของกองทัพเรือของเราด้วยความปิติยินดีและภาคภูมิใจ มันจะไม่ใช่ครั้งสุดท้าย อังกฤษปรารถนาจะทอดทิ้งประชาชนชาวเยอรมันให้ตายด้วยความอดอยาก เรามีมนุษยธรรมมากกว่า เราเพียงแต่จมเรืออังกฤษที่มีผู้โดยสารซึ่งพวกเขาเหล่านั้นยอมรับความเสี่ยงเองที่เข้าไปในพื้นที่สงคราม"[85] หนังสือพิมพ์ Frankfurter Zeitung รายงานว่า "กองทัพเรือเยอรมันถือว่าการจมเรือลูซิเทเนีย เป็นชัยชนะครั้งสำคัญ การจมของมันได้ทำลายล้างนิทานปรัมปราสุดท้ายที่ชาวอังกฤษใช้ปลอบประโลมตนเอง[86]

ในรายงานวันที่ 13 กรกฎาคม เกี่ยวกับสถานการณ์ในเยอรมนี เจมส์ ดับเบิลยู. เจอราด ทูตสหรัฐ รายงานว่าด้วยการดำเนินโฆษณาชวนเชื่อที่มีประสิทธิภาพสูงของสำนักข่าวกองทัพเรือ:

วิธีการทำสงครามของเยอรมนีได้รับการเห็นชอบจากประชาชนอย่างเต็มที่ การจมเรือลูซิเทเนียได้รับการอนุมัติอย่างกว้างขวาง แม้แต่คนอย่างฟ็อน กวินเนอร์ หัวหน้าธนาคารเยอรมันก็กล่าวว่าพวกเขาจะปฏิบัติต่อเรือมอริเทเนียในลักษณะเดียวกันหากเรือลำนั้นออกมา

เจมส์ ดับเบิลยู เจอราด[87], 13 กรกฎาคม ค.ศ. 1915

เหรียญโฆษณาชวนเชื่อถูกสร้างขึ้นโดยศิลปินหลายคน รวมถึงลุดวิก กีส์ และคาร์ล เกิทซ์ (ช่างทำเหรียญ) [de] (ค.ศ. 1875–1950) ช่างทำเหรียญและประติมากรชาวมิวนิกในเดือนสิงหาคม ค.ศ. 1915[88] คนหลังจัดทำเหรียญที่ระลึกชุดเล็กเป็นการส่วนตัวเพื่อเป็นการโจมตีเชิงเสียดสี (น้อยกว่า 500 เหรียญ) ต่อสายการเดินเรือคูนาร์ดที่พยายามดำเนินธุรกิจตามปกติในยามสงคราม เกิทซ์กล่าวโทษทั้งรัฐบาลอังกฤษและสายการเดินเรือคูนาร์ดที่อนุญาตให้ลูซิเทเนียออกเดินทางทั้ง ๆ ที่สถานทูตเยอรมันได้เตือนแล้ว[89] ความต้องการของผู้คนอย่างแพร่หลายนำไปสู่การทำสำเนาที่ไม่ได้รับอนุญาตจำนวนมาก เหรียญที่ระลึกยอดนิยมด้านหนึ่งแสดงภาพลูซิเทเนียกำลังจมลง โดยบรรทุกปืนใหญ่ (ซึ่งวาดภาพผิดพลาดว่าจมโดยหันหัวเรือขึ้น) พร้อมคำขวัญ "KEINE BANNWARE!" ("ไม่มีของเถื่อน!") ส่วนอีกด้านหนึ่งแสดงภาพโครงกระดูกกำลังขายตั๋วโดยสารของคูนาร์ดพร้อมคำขวัญ "Geschäft Über Alles" ("ธุรกิจเหนือสิ่งอื่นใด")"[90]

เกิทซ์ได้ใส่ข้อมูลวันที่เรืออับปางผิดพลาดลงบนเหรียญ ต่อมาเขาอ้างว่าเป็นความผิดพลาดที่เกิดจากข้อมูลผิด ๆ ในข่าวหนังสือพิมพ์ที่รายงานเรื่องการอับปาง โดยแทนที่จะเป็นวันที่ 7 พฤษภาคม เขากลับใส่เป็น "5 พฤษภาคม" สองวันก่อนเรืออับปางจริง โดยไม่ตระหนักถึงความผิดพลาดของตนเอง เกิทซ์ทำสำเนาเหรียญและจำหน่ายในมิวนิกรวมถึงให้กับผู้ค้าเหรียญกษาปณ์บางรายที่เขาทำธุรกิจด้วย สิ่งนี้นำไปสู่ทฤษฎีสมคบคิด[91] เมื่อตระหนักถึงความผิดพลาดของตน เกิทซ์จึงจัดทำเหรียญที่แก้ไขใหม่โดยระบุวันที่เป็น "7 พฤษภาคม"

สหรัฐอเมริกา

[แก้]
บทความของ เดอะนิวยอร์กไทมส์ แสดงให้เห็นถึงการตระหนักรู้ในทันทีถึงผลกระทบอันร้ายแรงจากการจมเรือ โดยข่าวพาดหัวนี้ในวันที่ 8 พฤษภาคม มีส่วนหนึ่ง (ที่อยู่ด้านล่างของภาพที่เห็น) ซึ่งมีชื่อว่า "ทิศทางของชาติอยู่ในความคลุมเครือ"[92]

จากพลเมืองสหรัฐ 159 คนบนเรือลูซิเทเนีย มีผู้เสียชีวิตกว่าร้อยคน[4] และเกิดความโกรธแค้นอย่างรุนแรงในอเมริกา นิตยสาร The Nation เรียกเหตุการณ์นี้ว่า "การกระทำที่แม้นแต่คนป่าเถื่อนยังต้องอับอาย ชาวตุรกียังต้องละอาย และโจรสลัดบาร์บารียังต้องขอโทษ"[93] ความเห็นของเดิร์นเบิร์กยิ่งทำให้ความไม่พอใจของสาธารณชนเพิ่มขึ้น นำไปสู่การที่เอกอัครราชทูตเยอรมันแบร์นสตอร์ฟ แนะนำให้เขาออกจากประเทศ[94]

วูดโรว์ วิลสัน ประธานาธิบดีสหรัฐ เรียกร้องให้ยับยั้งชั่งใจ เขากล่าวที่ฟิลาเดลเฟียในวันที่ 10 พฤษภาคม ค.ศ. 1915 ว่า:

มีสิ่งที่เรียกว่าคนเรานั้นหยิ่งเกินกว่าจะต่อสู้ มีสิ่งที่เรียกว่าชาติหนึ่งนั้นถูกต้องชอบธรรมเสียจนไม่จำเป็นต้องใช้อำนาจบังคับเพื่อโน้มน้าวให้ผู้อื่นเชื่อว่าตนเองถูกต้องชอบธรรม[93]

วลี "หยิ่งเกินกว่าจะต่อสู้" หลังจากนั้นก็ถูกล้อเลียนโดยกลุ่มสนับสนุนสงครามและกลุ่มสนับสนุนฝ่ายสัมพันธมิตร รวมถึงกลุ่มต่าง ๆ ในเยอรมนีที่เชื่อว่าไม่มีภัยคุกคามที่แท้จริงที่อเมริกาจะเข้าร่วมสงคราม[95]

ทางการสหรัฐหักล้างข้อกล่าวอ้างของเยอรมนี แม้จะเป็นความจริงที่ลูซิเทเนียได้รับการติดตั้งฐานปืนตามข้อกำหนดเงินกู้ของรัฐบาลในระหว่างการสร้าง ซึ่งช่วยให้สามารถดัดแปลงเป็นเรือลาดตระเวนพาณิชย์ติดอาวุธ (AMC) ได้อย่างรวดเร็ว และถูกขึ้นทะเบียนอย่างเป็นทางการว่าเป็น "เรือลาดตระเวนพาณิชย์ของกองหนุนราชนาวี" แต่ตัวปืนเองไม่เคยถูกติดตั้งเลย[9] เรือพาณิชย์ของอังกฤษส่วนใหญ่ไม่ได้ติดอาวุธ และในความเป็นจริง เรือที่ถูกเรียกใช้เป็นเรือช่วยรบ อย่างเช่น เอสเอส ออร์ดูญา (SS Orduña) บางครั้งยังต้องติดตั้งอาวุธปลอมอีกด้วย[96]

ดังนั้น ดัดลีย์ ฟีลด์ มาโลน ผู้เก็บภาษีประจำท่าเรือนิวยอร์ก ได้ออกแถลงการณ์ปฏิเสธอย่างเป็นทางการต่อข้อกล่าวหาของเยอรมนี โดยระบุว่าลูซิเทเนียได้รับการตรวจสอบก่อนออกเดินทางและไม่พบอาวุธใด ๆ ไม่ว่าจะเป็นแบบติดตั้งหรือไม่ก็ตาม มาโลนระบุว่าจะไม่มีเรือพาณิชย์ลำใดได้รับอนุญาตให้ติดตั้งอาวุธในท่าเรือและออกจากท่าได้ เฮอร์แมน วินเทอร์ ผู้ช่วยผู้จัดการสายการเดินเรือคูนาร์ด ก็ปฏิเสธข้อกล่าวหาที่ว่าเรือลำนี้บรรทุกยุทโธปกรณ์ด้วยเช่นกัน

เธอบรรทุกกระสุนปืนเล็ก 4,200 ลัง แต่เป็นกระสุนสำหรับอาวุธขนาดเล็ก ซึ่งบรรจุในลังแยกต่างหาก... พวกมันไม่ได้ถูกจัดอยู่ในประเภทของยุทโธปกรณ์แต่อย่างใด ทางการสหรัฐจะไม่อนุญาตให้เราบรรทุกยุทโธปกรณ์ที่จัดประเภทโดยหน่วยงานทางทหารเช่นนั้น บนเรือโดยสาร เราส่งกระสุนปืนเล็กไปต่างประเทศด้วยลูซิเทเนียมาหลายปีแล้ว[97]

นอกเหนือจากกระสุนปืนไรเฟิลแล้ว ลูซิเทเนียยังบรรทุกกล่องกระสุนเปล่า 1,250 กล่อง และฟิวส์ที่ไม่ระเบิดอีก 18 กล่อง[98] ทั้งหมดถูกระบุไว้ในบัญชีสินค้าของเรือ[99] อย่างไรก็ตาม กฎหมายของสหรัฐให้ความสำคัญกับความปลอดภัยของสินค้าที่อาจเป็นอันตรายต่อผู้โดยสาร ไม่ใช่ความต้องการทางยุทธศาสตร์ของเยอรมนี ดังนั้นคำกล่าวของวินเทอร์จึงอยู่ในบริบทของการทดสอบกระสุนปืนขนาดเล็กของสหรัฐที่พบว่า "ไม่ระเบิดในปริมาณมาก" นำไปสู่คำวินิจฉัยใน ค.ศ. 1911 ว่ากระสุนดังกล่าวสามารถขนส่งได้โดยไม่มีข้อจำกัดบนเรือโดยสาร ต่างจากวัตถุระเบิดที่ "มีแนวโน้มจะเป็นอันตรายต่อสุขภาพหรือชีวิตของผู้โดยสารหรือความปลอดภัยของเรือ"[100]

ประธานาธิบดีวิลสัน, แลนซิง และไบรอัน

[แก้]

เมื่อเยอรมนีเริ่มการทัพเรือดำน้ำโจมตีบริเตนนั้น วิลสันได้เตือนไว้ว่าสหรัฐจะถือว่ารัฐบาลเยอรมันต้องรับผิดชอบอย่างเคร่งครัดต่อการละเมิดสิทธิของอเมริกาใด ๆ ก็ตาม[101] วันที่ 1 พฤษภาคม เพื่อตอบโต้ประกาศของแบร์นสตอร์ฟ เขาได้กล่าวว่า "จะไม่มีการเตือนล่วงหน้าว่าการกระทำผิดกฎหมายและไร้มนุษยธรรมจะเกิดขึ้น" ที่จะได้รับการยอมรับว่าเป็นข้อแก้ตัวที่ชอบด้วยกฎหมายสำหรับการกระทำนั้น[102]

รอเบิร์ต แลนซิง จะได้เป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศสหรัฐเนื่องมาจากวิกฤตการณ์นั้น

ในช่วงหลายสัปดาห์หลังอับปาง ประเด็นนี้ถูกถกเถียงอย่างร้อนแรงภายในคณะรัฐบาล วิลเลียม เจนนิงส์ ไบรอัน รัฐมนตรีต่างประเทศ เรียกร้องให้มีการประนีประนอมและยับยั้งชั่งใจ เขาเชื่อว่าสหรัฐควรพยายามชักจูงอังกฤษให้ยกเลิกการห้ามการขนส่งเสบียงอาหารและจำกัดการวางทุ่นระเบิดในเวลาเดียวกันกับที่เยอรมนีถูกชักจูงให้ลดการทัพเรือดำน้ำของพวกเขา นอกจากนี้ เขายังเสนอว่ารัฐบาลสหรัฐควรออกคำเตือนอย่างชัดเจนต่อพลเมืองสหรัฐไม่ให้เดินทางบนเรือของคู่สงครามใด ๆ และห้ามการขนส่งของหนีภาษีบนเรือโดยสาร

กลับกัน ที่ปรึกษารอเบิร์ต แลนซิงแนะนำให้วิลสันยึดมั่นในหลัก "ความรับผิดชอบอย่างเคร่งครัด" ในตอนแรก เขาสงสัยว่าข้อมูลเกี่ยวกับการขนส่งสินค้าของลูซิเทเนียได้ถูกส่งไปถึงเรือดำน้ำที่ทำการโจมตีจริงหรือไม่ แต่สำหรับแลนซิง ผู้ซึ่งมีส่วนร่วมในการก่อตั้งสมาคมกฎหมายระหว่างประเทศอเมริกัน ประเด็นนี้เป็นเรื่องของหลักการ ไม่ใช่ข้อเท็จจริง สิ่งสำคัญทั้งหมดคือความรับผิดชอบของเยอรมนีต่อความปลอดภัยของลูกเรือและผู้โดยสารที่ไม่มีการต่อต้านของเรือลำนั้น เมื่อได้รับการยืนยันว่าเรือไม่ได้ติดอาวุธและถูกโจมตีโดยไม่คาดคิด การเตือนล่วงหน้าหรือเหตุผลทางยุทธศาสตร์ใด ๆ ก็ไม่สามารถอนุญาตให้มีการละเมิด "หลักการของกฎหมายและมนุษยธรรม" ได้ สหรัฐยึดมั่นในแนวทางนี้อยู่แล้ว และไม่เคยเตือนผู้โดยสารไม่ให้เดินทางบนเรืออังกฤษมาก่อนและการกล่าวเช่นนั้นในตอนนี้จะเป็นการละทิ้งความรับผิดชอบของรัฐบาลในการปกป้องพลเมืองของตน[103]

แม้วิลสันจะเห็นอกเห็นใจความรู้สึกต่อต้านสงครามของไบรอัน แต่เขากลับพบว่าข้อโต้แย้งของแลนซิง "ไม่สามารถโต้แย้งได้" ด้วยเหตุนี้เขาจึงตัดสินใจยืนกรานให้รัฐบาลเยอรมันต้องขอโทษสำหรับการจมเรือ ชดเชยเหยื่อชาวสหรัฐและให้คำมั่นว่าจะเลี่ยงเหตุการณ์ที่คล้ายกันในอนาคต[104][105] วิลสันแสดงจุดยืนของเขาอย่างชัดเจนในบันทึกสามฉบับที่ส่งถึงรัฐบาลเยอรมันซึ่งออกในวันที่ 13 พฤษภาคม, 9 มิถุนายน และ 21 กรกฎาคม

"A letter from the president of the United States" การ์ตูนการเมืองร่วมสมัยของสหรัฐ

บันทึกฉบับแรก (อ้างถึงการโจมตีเรือลำอื่น 3 ลำ ได้แก่ ฟาบาบา, คัชชิง และกัลฟ์ไลต์) ยืนยันสิทธิ์ของชาวอเมริกันที่จะเดินทางเป็นผู้โดยสารบนเรือพาณิชย์ไม่ว่าจะเป็นสัญชาติใด และยืนยันหลักการของความรับผิดชอบอย่างเคร่งครัดอีกครั้ง เนื่องจากเยอรมนีอ้างว่ามันเป็นไปไม่ได้ที่จะทำสงครามเรือดำน้ำกับเรือพาณิชย์ "โดยไม่คำนึงถึงกฎเกณฑ์ของความยุติธรรม เหตุผล ความชอบธรรม และมนุษยธรรมซึ่งความเห็นสมัยใหม่ทั้งหมดถือว่าจำเป็น" ดังนั้น "เห็นได้ชัดว่า เรือดำน้ำไม่สามารถนำมาใช้กับเรือพาณิชย์ได้"[106] ไบรอันทำลายความน่าเชื่อถือของตัวเองเมื่อเขาบอกกับคอนสตันติน ดัมบา เอกอัครราชทูตออสเตรีย-ฮังการี ว่าการประท้วงของอเมริกาเป็นเพียงเพื่อประโยชน์ของความเห็นสาธารณะของสหรัฐเท่านั้นและไม่ควรให้ความสำคัญกับน้ำเสียงที่รุนแรงของมัน การตอบโต้เชิงป้องกันของเยอรมนีมาถึงในวันที่ 28 พฤษภาคม[107]

ในบันทึกฉบับที่สอง เพื่อตอบกลับการโต้แย้งของเยอรมนี วิลสันปฏิเสธการแก้ต่างของเยอรมนีอย่างสิ้นเชิง โดยระบุว่าเรือลำนี้ไม่ได้ติดอาวุธ สินค้าที่บรรทุกนั้นถูกกฎหมายตามกฎหมายอเมริกัน และคำถามเหล่านี้ทั้งหมดก็ไม่สำคัญเมื่อเทียบกับประเด็นหลัก ซึ่งก็คือ วิธีการทำลายเรือ

ไม่ว่าข้อเท็จจริงอื่น ๆ เกี่ยวกับลูซิเทเนียจะเป็นอย่างไร ข้อเท็จจริงหลักก็คือเรือกลไฟขนาดใหญ่ลำหนึ่ง ซึ่งโดยหลักแล้วเป็นเรือโดยสารและบรรทุกผู้คนกว่าพันคนซึ่งไม่มีส่วนเกี่ยวข้องใด ๆ ในการทำสงคราม ถูกยิงด้วยตอร์ปิโดและจมลงโดยไม่มีการท้าทายหรือเตือนภัยแม้แต่น้อย และชาย หญิงและเด็กต่างก็ถูกส่งไปสู่ความตายในสถานการณ์ที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อนในการสงครามสมัยใหม่

การที่พลเมืองอเมริกันกว่าร้อยคนเสียชีวิตในเหตุการณ์นี้ทำให้รัฐบาลสหรัฐต้องออกมาพูดถึงเรื่องเหล่านี้อีกครั้ง และด้วยความจริงจังอย่างยิ่ง ได้เรียกความสนใจของรัฐบาลจักรวรรดิเยอรมันมายังความรับผิดชอบอันหนักหน่วงที่รัฐบาลสหรัฐเชื่อว่าเยอรมนีได้ก่อขึ้นในเหตุการณ์อันน่าสลดใจนี้ และหลักการที่ไม่สามารถโต้แย้งได้ซึ่งเป็นพื้นฐานของความรับผิดชอบนั้น

รัฐบาลสหรัฐกำลังต่อสู้เพื่อบางสิ่งที่ยิ่งใหญ่กว่าแค่สิทธิ์ในทรัพย์สินหรือสิทธิพิเศษทางการค้า พวกเขากำลังต่อสู้เพื่อสิ่งที่สูงส่งและศักดิ์สิทธิ์ไม่ยิ่งหย่อนไปกว่าสิทธิมนุษยชน ซึ่งเป็นสิ่งที่ทุกรัฐบาลจะได้รับเกียรติในการให้ความเคารพ และไม่มีรัฐบาลใดมีเหตุผลจะสละสิทธิ์เหล่านี้ในนามของผู้อยู่ภายใต้การดูแลและอำนาจของตน

เฉพาะการที่เรือจะขัดขืนการจับกุมจริง ๆ หรือปฏิเสธจะหยุดเมื่อถูกสั่งให้หยุดเพื่อการตรวจค้นเท่านั้นที่จะทำให้ผู้บังคับการเรือดำน้ำมีเหตุผลอันสมควรแม้เพียงเล็กน้อยในการทำให้ชีวิตของผู้ที่อยู่บนเรือตกอยู่ในอันตราย รัฐบาลสหรัฐเข้าใจว่าหลักการนี้ได้รับการยอมรับและรวมอยู่ในคำสั่งที่ออกอย่างชัดแจ้งเมื่อวันที่ 3 สิงหาคม ค.ศ. 1914 โดยกองทัพเรือจักรวรรดิเยอรมันถึงผู้บังคับบัญชาในทะเล เช่นเดียวกับ ประมวลกฎหมายทางทะเลของทุกชาติอื่น ๆ และนักเดินทางและลูกเรือทุกคนมีสิทธิ์ที่จะเชื่อมั่นในหลักการนี้

สหรัฐจะต้องยืนหยัดอยู่บนหลักการแห่งมนุษยธรรมนี้เช่นเดียวกับกฎหมายที่ตั้งอยู่บนหลักการนี้

ประธานาธิบดีวิลสัน[108][109]

ไบรอันมองว่าบันทึกทางทูตฉบับที่สองนั้นยั่วยุเกินไปและปฏิเสธจะลงนาม เขาจึงลาออกจากตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ แลนซิงเข้ามารับตำแหน่งแทน ภายหลังแลนซิงกล่าวในบันทึกความทรงจำของเขาว่าจากเหตุการณ์โศกนาฏกรรม เขาเชื่อมั่นมาตลอดว่า "ในที่สุดเรา [สหรัฐ] จะต้องกลายเป็นพันธมิตรของอังกฤษ"

ในบันทึกฉบับที่สาม ลงวันที่ 21 กรกฎาคม เป็นการตอบกลับบันทึกของเยอรมนีที่ประนีประนอมมากขึ้นในวันที่ 12 กรกฎาคม วิลสัน (โดยการแนะนำของแลนซิง) ชี้แจงอย่างชัดเจนว่าสหรัฐถือว่าการละเมิดสิทธิของประเทศเป็นกลางของอังกฤษนั้นเป็นเรื่องเล็กน้อยกว่ามาก และออกคำขาดโดยระบุว่าสหรัฐจะถือว่าการจมเรือใด ๆ ที่เกิดขึ้นในภายหลังว่าเป็น "การกระทำที่ไม่เป็นมิตรโดยเจตนา" อย่างไรก็ตาม บันทึกดังกล่าวระบุว่าวิลสันจะยอมรับการสงครามเรือดำน้ำหากเป็นไปตาม "แนวปฏิบัติที่ยอมรับได้ของการทำสงครามที่มีการควบคุม" โดยสังเกตว่าการโจมตีด้วยเรือดำน้ำของเยอรมนีส่วนใหญ่ก็ดำเนินการภายใต้กฎเรือรบที่กำหนดไว้แล้ว[110][111] ดังนั้น แม้สาธารณชนและผู้นำชาวอเมริกันจะยังไม่พร้อมทำสงคราม แต่ก็มีการขีดเส้นแบ่งไว้แล้วอันเป็นผลมาจากการจมเรือลูซิเทเนีย วิกฤตการณ์สำคัญในภายหลังที่เกี่ยวข้องกับการจมเรือเอสเอส แอระบิก (ค.ศ. 1902) (SS Arabic) และอุบัติการณ์ซัสเซ็กซ์

การพลิกนโยบายของเยอรมนี

[แก้]

ขณะที่ภายนอกเยอรมนีดำเนินการโฆษณาชวนเชื่อโต้ตอบ แต่ภายในประเทศนั้นมีกลุ่มที่คัดค้านการทำสงครามเรือดำน้ำรูปแบบใหม่มานานแล้ว เอกอัครราชทูต โยฮันน์ ไฮน์ริช ฟ็อน แบร์นสตอร์ฟ เองก็สรุปเป็นการส่วนตัวว่าการทัพนี้มีความชอบด้วยกฎหมายที่น่ากังขาและขัดต่อผลประโยชน์สูงสุดของเยอรมนี ตรงกันข้ามกับการแก้ต่างอย่างเป็นทางการของเยอรมนี แบร์นสตอร์ฟเชื่อว่าลูซิเทเนียไม่น่าจะเป็นเป้าหมายเฉพาะเจาะจงได้ และการงดเว้นการโจมตีเรือโดยสารให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้นั้นเป็น "นโยบายที่ถูกต้องอย่างชัดเจน"[27] แบร์นสตอร์ฟมองว่าบทบาทของเขาคือการรักษาความสัมพันธ์ทางการทูตกับสหรัฐ "ภายใต้ทุกสถานการณ์" และมักดำเนินการโดยไม่ได้รับคำสั่งจากเบอร์ลิน[112]

Now remember what I told you การ์ตูนหนังสือพิมพ์โดยออสการ์ ซีซาร์ ที่แสดงความเห็นเกี่ยวกับการจำกัดการทำสงครามเรือดำน้ำที่นำโดยกระทรวงการต่างประเทศเยอรมนี, ค.ศ. 1915–1916

ภายในเยอรมนีเกิดการถกเถียงอย่างเผ็ดร้อนระหว่างนายกรัฐมนตรีเทโอบัลท์ ฟ็อน เบทมัน ฮ็อลเวคกับบรรดานายทหารเรือที่สนับสนุนการใช้เรือดำน้ำอย่างเต็มที่ เช่น เทียร์พิทซ์และกุสทัฟ บัคมันน์ โดยที่เทียร์พิทซ์มองว่าอเมริกาไม่เป็นภัยคุกคาม จึงผลักดันให้รัฐบาลเยอรมันยึดมั่นในจุดยืนเกี่ยวกับการบรรทุกยุทโธปกรณ์ของลูซิเทเนีย เพื่อปลุกระดมความเห็นของสาธารณชนชาวเยอรมันโดยไม่สนใจผลกระทบที่จะเกิดขึ้นกับความสัมพันธ์กับสหรัฐ[86] นายกรัฐมนตรีขอความช่วยเหลือจากเสนาธิการทหารบก เอริช ฟ็อน ฟัลเคินไฮน์ ผู้ซึ่งทูลเตือนไคเซอร์ถึงอันตรายของการแตกหักกับอเมริกา ด้วยเหตุนี้ในวันที่ 6 มิถุนายน ไคเซอร์จึงมีพระบรมราชโองการให้ส่งคำสั่งลับไปยังกองทัพเรือ โดยให้ยกเลิกคำสั่งของบัคมันน์ที่ให้จงใจโจมตีเรือโดยสารของศัตรูและให้ยุติการโจมตีเรือเดินสมุทรขนาดใหญ่โดยเจตนา ในกรณีที่เรือลำใดที่ยังไม่แน่ใจว่าเป็นเรือสัญชาติใด ก็ให้ยกเลิกการโจมตีทันที (ก่อนหน้านี้ บรรดานายพลเรือหวังว่าจะจมเรือที่เป็นกลาง "โดยอุบัติเหตุ" เพื่อข่มขวัญเรือลำอื่น ๆ) เทียร์พิทซ์และบัคมันน์ยื่นใบลาออก แต่ไคเซอร์ปฏิเสธ เพื่อรักษาศักดิ์ศรีของกองทัพเยอรมัน แม้แต่เอกอัครราชทูตแบร์นสตอร์ฟก็ไม่ได้รับแจ้งถึงคำสั่งลับนี้เช่นกัน[113]

Just like that การ์ตูน ค.ศ. 1917 ที่แสดงภาพของจักรพรรดิวิลเฮ็ล์มที่ 2 กำลังฉีกกระดาษที่เป็นคำสัญญาของเยอรมนีว่าจะ "ละทิ้งนโยบายการทำสงครามเรือดำน้ำแบบไม่จำกัด"

ถึงแม้จะเป็นเช่นนั้น เรือโดยสารก็ยังคงถูกโจมตีต่อไป เรือแอระบิก (Arabic) ถูกจมในวันที่ 19 สิงหาคม เรือกำลังเดินทางออกจากอังกฤษ จึงเห็นได้ชัดว่าไม่ได้บรรทุกของผิดกฎหมายใด ๆ ซึ่งยิ่งทำให้ชาวอเมริกันโกรธมากขึ้น ด้วยหลักฐานที่เพิ่มขึ้นว่าการทัพเรือดำน้ำซึ่งเดิมสัญญาไว้ว่าจะบังคับให้อังกฤษต้องเจรจาภายในหกสัปดาห์นั้นไม่มีประสิทธิภาพ เบทมัน ฮ็อลเว็คจึงยื่นคำร้องต่อจักรพรรดิให้สั่งห้ามโจมตีเรือโดยสารทุกลำโดยไม่มีการเตือนล่วงหน้าอย่างเป็นทางการ เขากล่าวว่าชาวเยอรมันควรทำงานร่วมกับชาวอเมริกัน โดยให้คำมั่นว่าจะจำกัดการใช้เรือดำน้ำตามกฎเรือลาดตระเวน หากอังกฤษยอมรับปฏิญญาลอนดอนและลดการปิดล้อมลง แต่กลับมีความขัดแย้งอีกครั้งจากพลเรือเอกของกองทัพเรือ (นำโดยอัลเฟรท ฟ็อน เทียร์พิทซ์) ผู้ซึ่งไม่มีความสนใจในปฏิญญาลอนดอนหากจะขัดขวางไม่ให้พวกเขาใช้เรือดำน้ำได้อย่างเต็มที่ วันที่ 27 สิงหาคม ฟัลเคินไฮน์และข้อความที่แสดงความกังวลจากแบร์นสตอร์ฟได้โน้มน้าวให้จักรพรรดิวิลเฮ็ล์มที่ 2 เห็นชอบกับทางออกของนายกรัฐมนตรี[114] บัคมานน์ถูกบังคับให้ลาออก เทียร์พิทซ์หมดสิทธิ์เข้าถึงจักรพรรดิโดยตรง และในวันที่ 1 กันยายน การสิ้นสุดของสงครามเรือดำน้ำแบบไม่จำกัดต่อเรือโดยสารก็ถูกประกาศให้ชาวอเมริกันทราบโดยทั่วกัน[115][116]

ขณะที่รัฐบาลเยอรมันกำลังพิจารณาคำสั่งอื่น ๆ อยู่นั้น ในวันที่ 18 กันยายน หัวหน้าคนใหม่ของกองทัพเรือ เฮนนิง ฟ็อน โฮลท์เซินดอร์ฟ ได้ทำให้การเตรียมการเหล่านั้นไม่มีผลโดยการออกคำสั่งด้วยอำนาจของตนเอง: เรือดำน้ำทุกลำที่ปฏิบัติการในช่องแคบอังกฤษและนอกชายฝั่งตะวันตกของสหราชอาณาจักรถูกเรียกกลับ และสงครามเรือดำน้ำจะดำเนินต่อไปเฉพาะในทะเลเหนือเท่านั้น ซึ่งจะต้องดำเนินการภายใต้กฎการริบทรัพย์สิน[115] ด้วยเหตุนี้ การทดลองเรือดำน้ำของโพลจึงถูกยกเลิกโดยสิ้นเชิง[114] สถานการณ์นี้ดำเนินไปจนถึงสิ้นเดือนกุมภาพันธ์ปีถัดไป ซึ่งการโจมตีเรือพาณิชย์ด้วยเรือดำน้ำจะทวีความรุนแรงขึ้นชั่วคราว นำไปสู่การโจมตีเอสเอส ซัสเซกซ์ (SS Sussex) ในวันที่ 24 มีนาคม ค.ศ. 1916 และเป็นเหตุให้เกิดคำมั่นซัสเซกซ์ที่จะปฏิบัติตามกฎเรือลาดตระเวนเท่านั้น[117]

ในปลายเดือนมกราคม ค.ศ. 1917 รัฐบาลเยอรมนีได้ประกาศว่าจะทำสงครามเรือดำน้ำแบบไม่จำกัดอีกครั้ง ซึ่งเป็นการละเมิดคำมั่นสัญญาที่เคยให้ไว้ก่อนหน้านี้ วูดโรว์ วิลสันโกรธจัดอีกครั้ง และในวันที่ 6 เมษายน ค.ศ. 1917 รัฐสภาสหรัฐได้ปฏิบัติตามคำขอของวิลสันเพื่อประกาศสงครามต่อเยอรมนี การระดมกำลังเข้าร่วมสงครามของสหรัฐในช่วงแรกเป็นไปอย่างช้า ๆ แต่ในระหว่างการรุกฤดูใบไม้ผลิเยอรมันในเดือนมีนาคม ค.ศ. 1918 ซึ่งในช่วงแรกเยอรมนีทำได้ดีและฝ่ายสัมพันธมิตรสามารถต้านทานไว้ได้อย่างยากลำบาก สถานการณ์ก็พลิกผันไปในทางตรงกันข้ามเมื่อทหารอเมริกันจำนวน 2 ล้านนายเดินทางมาถึงในเดือนเมษายน ค.ศ. 1918[118]

อังกฤษ

[แก้]
Take Up the Sword of Justice โปสเตอร์โฆษณาชวนเชื่อของสหราชอาณาจักรที่มีลูซิเทเนียเป็นฉากหลัง
Take Up the Sword of Justice โปสเตอร์โฆษณาชวนเชื่อของสหราชอาณาจักรที่มีลูซิเทเนียเป็นฉากหลัง 
The Freedom of the Seas. From the Hun Point of View โปสเตอร์โฆษณาชวนเชื่อของอังกฤษ
The Freedom of the Seas. From the Hun Point of View โปสเตอร์โฆษณาชวนเชื่อของอังกฤษ 
Remember Always, Nothing German, แสตมป์โฆษณาชวนเชื่อสงครามโลกครั้งที่หนึ่ง
Remember Always, Nothing German, แสตมป์โฆษณาชวนเชื่อสงครามโลกครั้งที่หนึ่ง 
เหรียญลูซิเทเนียจำลองของอังกฤษที่ทำเลียนแบบเหรียญเกิทซ์ซึ่งแตกต่างจากเหรียญเกิทซ์ต้นฉบับที่หล่อด้วยทรายจากสัมฤทธิ์ เหรียญจำลองของอังกฤษนั้นหล่อจากเหล็กหล่อและมีคุณภาพต่ำกว่า รุ่นภาษาอังกฤษถูกแก้ไขให้สะกดว่า 'May' แทนที่จะเป็น 'Mai' และเหรียญต้นฉบับมักมีคำว่า 'KGoetz' อยู่ที่ขอบ[90]
เหรียญลูซิเทเนียจำลองของอังกฤษที่ทำเลียนแบบเหรียญเกิทซ์ซึ่งแตกต่างจากเหรียญเกิทซ์ต้นฉบับที่หล่อด้วยทรายจากสัมฤทธิ์ เหรียญจำลองของอังกฤษนั้นหล่อจากเหล็กหล่อและมีคุณภาพต่ำกว่า รุ่นภาษาอังกฤษถูกแก้ไขให้สะกดว่า 'May' แทนที่จะเป็น 'Mai' และเหรียญต้นฉบับมักมีคำว่า 'KGoetz' อยู่ที่ขอบ[90] 

สื่อมวลชนอังกฤษเน้นย้ำถึงความโหดร้ายป่าเถื่อนของเยอรมัน โดยประณามชวีเกอร์ว่าเป็นอาชญากรสงคราม ด้วยพระราชบัญญัติการป้องกันราชอาณาจักรทำให้เรื่องที่เกี่ยวข้องกับสินค้าบนเรือถูกเซ็นเซอร์[119] การอ้างอิงถึงลูซิเทเนียถูกนำไปใช้ในงานโฆษณาชวนเชื่ออย่างกว้างขวาง และมีส่วนช่วยกระตุ้นให้เกิดอุบัติการณ์บาราลงในภายหลัง ตามคำกล่าวของเคิร์ต ฮาห์น การจมเรือในครั้งนี้ถือเป็นจุดเปลี่ยนที่สำคัญในทัศนคติโดยรวมของชาวอังกฤษที่มีต่อเยอรมนี[120]

เซอร์ เซซิล สปริง-ไรซ์ เอกอัครราชทูตอังกฤษ มีความกังวลเกี่ยวกับน้ำเสียงของสื่ออังกฤษและเห็นว่าควรกันสหรัฐออกจากสงครามให้ดีที่สุด วันที่ 9 พฤษภาคม เขาระบุว่า "ผลประโยชน์หลักของเราคือการรักษาสหรัฐไว้ให้เป็นฐานเสบียง ผมหวังว่าภาษาที่สื่อของเราใช้จะระมัดระวังเป็นอย่างมาก"[121]

ตามคำกล่าวของวอลเตอร์ ไฮนส์ เพจ เอกอัครราชทูตสหรัฐประจำสหราชอาณาจักร ระบุว่าฝ่ายอังกฤษไม่ได้ต้องการความช่วยเหลือทางทหารจากสหรัฐแต่พวกเขารู้สึกว่าสหรัฐ "บกพร่องทางศีลธรรม" เนื่องจากไม่ได้ประณามวิธีการและลักษณะนิสัยของเยอรมนีอย่างเพียงพอ[122] ในขณะเดียวกัน โฆษณาชวนเชื่อของอังกฤษก็มุ่งเป้าไปที่สหรัฐด้วย โดยการจมของลูซิเทเนียเกิดขึ้นในช่วงเวลาเดียวกับที่มีการเผยแพร่รายงานไบรซ์ เอกสารที่กล่าวถึงความโหดร้ายที่เยอรมนีกระทำ นอกจากนี้ ยังมีเรื่องเล่าที่ถูกกุขึ้นโดยผู้สร้างโฆษณาชวนเชื่อที่กระตือรือร้นเกินเหตุว่าในบางพื้นที่ของเยอรมนี มีการให้วันหยุดแก่เด็กนักเรียนเพื่อเฉลิมฉลองการจมของลูซิเทเนีย เรื่องเล่านี้มีประสิทธิภาพมากจนเจมส์ ดับเบิลยู. เจอราร์ด เอกอัครราชทูตสหรัฐประจำเยอรมนี นำไปเล่าต่อในบันทึกความทรงจำของเขาชื่อ Face to Face with Kaiserism (1918) แม้จะไม่ได้ยืนยันความถูกต้องของเรื่องนี้ก็ตาม[123]

กลยุทธ์อีกอย่างหนึ่งคือการทำเหรียญเกิทซ์จำลอง ซึ่งดำเนินการโดยแฮร์รี กอร์ดอน เซลฟริดจ์ เจ้าของห้างสรรพสินค้า ตามคำสั่งของลอร์ดนิวตัน ผู้รับผิดชอบด้านการโฆษณาชวนเชื่อที่กระทรวงการต่างประเทศใน ค..ศ. 1916[124] เหรียญจำลองเหล่านี้ผลิตขึ้นในกล่องที่ดูน่าสนใจและขายในราคาชิลลิงละหนึ่งเหรียญ บนกล่องระบุว่าเหรียญนี้ถูกแจกจ่ายในเยอรมนี "เพื่อรำลึกถึงการจมลูซิเทเนีย" และมาพร้อมกับใบปลิวโฆษณาชวนเชื่อที่ประณามชาวเยอรมันและใช้ข้อมูลวันที่ผิดบนเหรียญ (5 พฤษภาคม) เพื่ออ้างอย่างไม่ถูกต้องว่าการจมลูซิเทเนียเป็นการกระทำที่ไตร่ตรองไว้ล่วงหน้า แทนที่จะเป็นเพียงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นโดยบังเอิญตามแผนที่ใหญ่กว่าของเยอรมนีที่จะจมเรือทุกลำในเขตสงครามโดยไม่มีการเตือนล่วงหน้า หัวหน้าคณะกรรมการเหรียญที่ระลึกลูซิเทเนียประเมินในภายหลังว่าขายไปได้ 250,000 เหรียญ โดยเงินที่ได้จะมอบให้กับสภากาชาดและหอพักทหารและกะลาสีตาบอดเซนต์ดันสแตน[125][126] นิตยสารและหนังสือพิมพ์ยอดนิยมหลายฉบับลงภาพถ่ายของเหรียญจำลองหรือเหรียญต้นฉบับ และมีการอ้างอย่างผิด ๆ ว่าเหรียญนี้มอบให้แก่ลูกเรืออู[123][127]

ด้านหลังของเหรียญโบดิชง

รัฐบาลบาวาเรียตกใจกับกระแสต่อต้านงานของเกิทซ์ทั่วโลก จึงสั่งระงับการผลิตเหรียญต้นฉบับและสั่งให้ยึดเหรียญในเดือนเมษายน ค.ศ. 1917 ภายหลังสงคราม เกิทซ์แสดงความเสียใจที่งานของเขาเป็นเหตุให้ความรู้สึกต่อต้านเยอรมนีเพิ่มขึ้น แต่งานของเขายังคงถูกยกย่องให้เป็นการโฆษณาชวนเชื่อที่โด่งดัง ภายหลังสงคราม ประมาณ ค.ศ. 1920 เรอเน โบดิชง นักทำเหรียญชาวฝรั่งเศสได้สร้างเหรียญเพื่อตอบโต้เหรียญของเกิทซ์ขึ้นมา เหรียญของโบดิชองทำจากทองสัมฤทธิ์ มีเส้นผ่านศูนย์กลาง 54 มิลลิเมตร (2.1 นิ้ว) และหนัก 79.51 กรัม (2.805 ออนซ์) ด้านหน้าแสดงเสรีภาพเหมือนกับที่เห็นในอนุสาวรีย์เทพีเสรีภาพแต่ถือดาบที่ยกขึ้นและกำลังผุดขึ้นจากทะเลที่ปั่นป่วน ด้านหลังมีดวงอาทิตย์ที่ส่องแสงทะลุเมฆ และมีเรือหกลำกำลังแล่นอยู่ มีลายเซ็น R Baudichon จารึกว่า: Ultrix America Juris, 1917 U.S.A 1918 (อเมริกาผู้แก้แค้นความถูกต้อง) ด้านหลังแสดงท้ายลูซิเทเนียที่กำลังจมโดยหัวเรือทิ่มลงอย่างถูกต้อง ด้านหน้าเรือมีเรือชูชีพคว่ำอยู่ ด้านบนแสดงภาพเด็กกำลังจมน้ำ โดยมีส่วนหัว มือ และเท้าโผล่พ้นน้ำ และมีลายโมโนแกรม RB จารึกว่า: Lusitania May 7, 1915[128]

ผู้รอดชีวิตคนสุดท้าย

[แก้]
บาร์บารา แมกเดอร์ม็อตต์ วัยเยาว์ ผู้รอดชีวิตเป็นลำดับที่สองจากสุดท้าย พร้อมด้วยวิลเลียม ฮาร์กเนส ผู้รักษาบัญชี

ผู้รอดชีวิตคนสุดท้ายคือ ออเดรย์ วอร์เรน ลอว์สัน-จอห์นสตัน (สกุลเดิม เพิร์ล) ซึ่งเกิดที่นครนิวยอร์กเมื่อวันที่ 15 กุมภาพันธ์ ค.ศ. 1915 เธอเป็นลูกคนที่สี่ในบรรดาพี่น้องเจ็ดคน (สามคนสุดท้องเกิดหลังภัยพิบัติ) ของพันตรี เฟรเดอริก "แฟรงก์" วอร์เรน เพิร์ล (ค.ศ. 1869–1952) และเอมี ลี (สกุลเดิม ดันแคน; ค.ศ. 1880–1964) เธออายุเพียงสามเดือนเมื่อขึ้นเรือลูซิเทเนียที่นิวยอร์กพร้อมกับพ่อแม่ พี่น้องสามคน และพี่เลี้ยงอีกสองคน และเนื่องจากอายุยังน้อย เธอจึงไม่มีความทรงจำจากภัยพิบัติในครั้งนั้น เธอและสจวร์ต พี่ชาย (อายุ 5 ปี) ได้รับการช่วยเหลือจากอลิซ มอด ไลนส์ พี่เลี้ยงชาวอังกฤษวัย 18 ปี ซึ่งกระโดดลงจากดาดฟ้าเรือและรอดชีวิตในเรือชูชีพ พ่อแม่ของเธอรอดชีวิตเช่นกัน แต่เอมี (อายุ 3 ปี) และซูซาน (อายุ 14 เดือน) น้องสาวของเธอเสียชีวิต[129] เพิร์ลแต่งงานกับฮิวจ์ เดอ โบแชมป์ ลอว์สัน-จอห์นสตัน ลกชายคนที่สองของจอร์จ ลอว์สัน จอห์นสตัน บารอนลุกที่ 1 เมื่อวันที่ 18 กรกฎาคม ค.ศ. 1946 พวกเขามีลูกด้วยกันสามคนและอาศัยอยู่ที่เมลช์เบิร์นในเบดฟอร์ดเชอร์ ฮิวจ์ดำรงตำแหน่งนายอำเภอเบดฟอร์ดเชอร์ใน ค.ศ. 1961[130] จอห์นสตันมอบเรือชูชีพชายฝั่งชื่อ เอมี ลี ให้แก่สถานีเรือชูชีพนิวคีย์ใน ค.ศ. 2004 เพื่อรำลึกถึงแม่ของเธอ ออเดรย์ จอห์นสตันเสียชีวิตเมื่อวันที่ 11 มกราคม ค.ศ. 2011 ด้วยวัย 95 ปี[131]

มรดกทางวัฒนธรรม

[แก้]

ภาพยนตร์

[แก้]
วินเซอร์ แมกเคย์ นักวาดการ์ตูนชาวอเมริกัน ใช้เวลาเกือบสองปีในการสร้างภาพยนตร์ The Sinking of the Lusitania (1918) ซึ่งในขณะนั้นเป็นภาพยนตร์แอนิเมชันที่ยาวที่สุด และเป็นภาพยนตร์สารคดีแอนิเมชันที่เก่าแก่ที่สุดที่ยังคงหลงเหลืออยู่

ไม่มีภาพเหตุการณ์เรืออับปาง

  • วินเซอร์ แมคเคย์ ผู้บุกเบิกด้านแอนิเมชัน ใช้เวลาเกือบสองปีในการสร้างแอนิเมชันเกี่ยวกับภัยพิบัตินี้ในภาพยนตร์ The Sinking of the Lusitania (1918) ภาพยนตร์เรื่องนี้มีความยาว 12 นาที นับเป็นภาพยนตร์แอนิเมชันที่ยาวที่สุดในยุคนั้น และยังเป็นแอนิเมชั่นดราม่าที่เก่าแก่ที่สุดเท่าที่เคยมีมา[132]
  • สารคดีเชิงดราม่า Sinking of the Lusitania: Terror at Sea (2007) เล่าเรื่องการเดินทางครั้งสุดท้ายของลูซิเทเนียและการตัดสินใจทางการเมืองและการทหารที่นำไปสู่การอับปาง
  • สารคดีของเนชั่นแนลจีโอกราฟิก Dark Secrets of the Lusitania (2012) บรรยายถึงการสำรวจซากเรือนำโดยเกร็ก เบมิสและทีมนักดำน้ำใน ค.ศ. 2011[133]
  • มีการกู้กล้องถ่ายภาพได้จากซากเรือลูซิเทเนียและภาพถ่ายที่ได้แสดงให้เห็นภาพของเรือที่กำลังจม[134][แหล่งอ้างอิงอาจไม่น่าเชื่อถือ][135]

ซอฟต์แวร์และมัลติมีเดีย

[แก้]
  • Lusitania: The Greyhound's Wake คือพิพิธภัณฑ์เสมือนจริงในมุมมองบุคคลที่หนึ่งที่กำลังอยู่ระหว่างการพัฒนาโดย HFX Studios โครงการนี้ประกอบด้วยการทัวร์ชมเรือลูซิเทเนียเสมือนจริง รวมถึงการจำลองการจมของเรือแบบเรียลไทม์ ซึ่งให้ความสำคัญกับความถูกต้องทางประวัติศาสตร์ โดยทำงานร่วมกับนักประวัติศาสตร์และนักวิจัยโดยตรง[136]

สิ่งของจากซากเรือ

[แก้]
ใบจักรหนึ่งในสามของลูซิเทเนียที่กู้ขึ้นมาจากซากเรือใน ค.ศ. 1982 ปัจจุบันถูกจัดแสดงเป็นอนุสรณ์ที่พิพิธภัณฑ์การเดินเรือเมอร์ซีย์ไซด์ ในลิเวอร์พูล ประเทศอังกฤษ
หนึ่งในสามใบจักรของลูซิเทเนีย

วรรณกรรม

[แก้]
  • The Secret Adversary นวนิยายของอกาธา คริสตีที่ตีพิมพ์ใน ค.ศ. 1922 เหตุการณ์ในเรื่องเริ่มต้นจากการอับปางของลูซิเทเนีย
  • Seven Days in May (2017) นวนิยายของคิม อิซโซที่ตีพิมพ์[144] เหตุการณ์ส่วนใหญ่ในเรื่องเกิดขึ้นบนลูซิเทเนีย นวนิยายอิงประวัติศาสตร์เรื่องนี้สลับฉากระหว่างกลุ่มคนบนเรือ เช่น อัลเฟรด แวนเดอร์บิลต์และชาลส์ โฟรห์แมน กับฉากในห้องลับในไวต์ฮอล ลอนดอน ซึ่งมีการดักฟังข้อความรหัส
  • The Glass Ocean (2019) นวนิยายของคาเรน ไวต์, ลอเรน วิลลิกและเบียทริซ วิลเลียมส์ มีการเล่าเรื่องสลับผู้บรรยายและช่วงเวลา[145] หนึ่งในเนื้อเรื่องเกิดขึ้นบนลูซิเทเนีย ซึ่งเป็นเรื่องแต่งจากมุมมองของผู้โดยสาร และเชื่อมโยงกับเนื้อเรื่องที่เล่าใน ค.ศ. 2013
  • Lusitania (1982) นวนิยายของเดวิด บัตเลอร์ เป็นเรื่องแต่งเกี่ยวกับการจมของเรือและเหตุการณ์ที่นำไปสู่โศกนาฏกรรมดังกล่าว[146]
  • The Crime of Crimes: Lusitania 1915 หนังสือเล่มแรกที่เอช.พี. เลิฟคราฟต์ตีพิมพ์ (ตีพิมพ์ในเวลส์) ซึ่งเป็นบทกวีเกี่ยวกับการจมของเรือลำนี้[147]
  • Listen to the Moon (2014) นวนิยายของไมเคิล มอร์เพอร์โก ได้รับแรงบันดาลใจจากการจมของลูซิเทเนีย[148]

เพลง

[แก้]
  • แฟรงก์ บริดจ์ นักประพันธ์เพลงผู้รักสงบและรู้สึกสะเทือนใจกับสงครามโลกครั้งที่หนึ่ง ได้ประพันธ์เพลง Lament (สำหรับแคเทอรีน วัย 9 ปี "ลูซิเทเนีย" 1915) สำหรับวงออร์เคสตราเครื่องสาย เพื่อรำลึกถึงความสูญเสียของเรือลำนี้[149] แสดงครั้งแรกโดยนิวควีนส์ฮอลออเคสตรา ซึ่งบริดจ์เป็นผู้ควบคุมวง ในวันที่ 15 กันยายน ในงานพรอม ค.ศ. 1915 ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของรายการ "เพลงอิตาเลียนยอดนิยม" โดยที่ส่วนที่เหลือของรายการควบคุมโดยเฮนรี วูด[150]
  • ชุดเพลงออร์เคสตรา ชุดที่ 2 ของชาลส์ ไอฟส์ จบลงด้วยท่อนที่ชื่อว่า From Hanover Square North, at the End of a Tragic Day, the Voice of the People Again Arose ในบทเพลงนี้ ไอฟส์ได้รำลึกถึงประสบการณ์ของเขาที่กำลังรอรถไฟในนครนิวยอร์กขณะที่มีรายงานข่าวการอับปางเข้ามา ผู้คนที่รอรถไฟต่างพากันร้องเพลง "In The Sweet By and By" โดยได้ยินทำนองจากออร์แกนกระบอก เสียงร้องของพวกเขาได้ยินในช่วงต้นของเพลง และทำนองเพลงสวดนี้ก็ปรากฏขึ้นในช่วงท้าย[151]
  • เพลงยอดนิยม "As the Lusitania Went Down" (1915) โดยอาเทอร์ เจ. แลมบ์และเอฟ. อองรี คลิกมันน์[152] ได้รับการตีพิมพ์โดยบริษัท C. K. Root & Co. แห่งชิคาโกและนิวยอร์ก[153] The Music Trade Review ฉบับวันที่ 29 พฤษภาคม ค.ศ. 1915 ได้บรรยายเพลงนี้ว่าเป็น "หนึ่งในเพลงที่น่าสนใจที่สุดที่ปรากฏขึ้นเพื่อรำลึกถึงภัยพิบัติลูซิเทเนีย"[154]
  • เพลง "When the Lusitania Went Down" (1915) โดยชาลส์ แม็กคาร์รอนและแนต วินเซนต์ ได้รับการตีพิมพ์โดยลีโอ ไฟสต ในนิวยอร์ก[155] โคลัมเบียเรเคิดส์ได้ออกบันทึกเสียงที่ขับร้องโดยนักร้องเสียงบาริโทน เฮอร์เบิร์ต สจวร์ต (หรือที่รู้จักในนามอัลเบิร์ต วีเดอร์โฮลด์) พร้อมด้วยดนตรีประกอบวงออร์เคสตรา ในรูปแบบแผ่นเสียง 80 รอบต่อนาที[156]
  • เพลง "Lusitania" จากวงแบล็กเมทัลสัญชาติอเมริกัน มิเนนเวอร์เฟอร์ อยู่ในอัลบั้มที่สองของพวกเขา Nihilistischen
  • เพลง "Lusitania" จากนักร้องและนักแต่งเพลงชาวอเมริกัน แอนดรูว์ เบิร์ด เพลงนี้มีเสียงร้องร่วมโดยแอนนี คลาร์ก จากวงเซนต์วินเซนต์
  • เพลง "Dead Wake" จากวงโพสต์-ฮาร์ดคอร์ ไทรซ์
  • เพลง "Lusitania" จากวงโพสต์-ฮาร์ดคอร์ จูนออฟโฟร์ตีโฟร์ จากอัลบั้ม Tropics and Meridians

ข้อโต้แย้ง

[แก้]

กฎเรือลาดตระเวนและคำแนะนำของกระทรวงทหารเรือ

[แก้]

"กฎการริบทรัพย์สิน" หรือ "กฎเรือลาดตระเวน" ซึ่งมีรากฐานมาจากกฎหมายจารีตประเพณีและได้รับอิทธิพลจากอนุสัญญากรุงเฮก ค.ศ. 1899 และ 1907 รวมถึงปฏิญญาลอนดอนว่าด้วยกฎหมายสงครามทางเรือ ค.ศ. 1909 มีผลบังคับใช้กับการยึดเรือในทะเลช่วงสงคราม แม้ว่าความก้าวหน้าทางเทคโนโลยี เช่น วิทยุและเรือดำน้ำ จะทำให้บางส่วนของกฎเหล่านี้ไม่เกี่ยวข้องในที่สุด แต่โดยทั่วไปแล้ว กฎเหล่านี้ก็ได้รับการยอมรับเมื่อสงครามเริ่มต้นขึ้น เรือพาณิชย์จะต้องได้รับการเตือนจากเรือรบ และผู้โดยสารกับลูกเรือต้องได้รับอนุญาตให้อพยพออกจากเรือก่อนจะถูกจม เว้นแต่ว่าเรือจะขัดขืนหรือพยายามหลบหนี หรืออยู่ในขบวนเรือที่ได้รับการคุ้มกันจากเรือรบ การมีอาวุธจำนวนจำกัดบนเรือพาณิชย์ เช่น ปืนหนึ่งหรือสองกระบอก ไม่ได้ทำให้เรือลำนั้นหมดความคุ้มครองจากการถูกโจมตีโดยไม่มีการเตือน และการบรรทุกกระสุนหรือยุทโธปกรณ์ก็เช่นกัน[157][158]

ตั้งแต่ 18 กุมภาพันธ์ ค.ศ. 1915 เรือของฝ่ายสัมพันธมิตรทุกลำที่อยู่ใน "เขตสงคราม" ที่เยอรมนีประกาศจะเสี่ยงต่อการถูกโจมตี และอาจเกิดขึ้นโดยไม่มีการเตือนล่วงหน้า

การอภิปรายระหว่างกองทัพเรือเยอรมันและรัฐบาลเยอรมันเกี่ยวกับการสงครามเรือดำน้ำแบบไม่จำกัดได้ดำเนินมาตั้งแต่ ค.ศ. 1914 โดยบุคคลระดับสูงในกองทัพเรือเสนอว่าการใช้วิธีนี้จะทำให้ชนะสงครามได้อย่างรวดเร็วและง่ายดาย ในเดือนพฤศจิกายน ค.ศ. 1914 อังกฤษประกาศว่าด้วยเยอรมันวางทุ่นระเบิด น่านน้ำทะเลเหนือทั้งหมดจึงกลายเป็น "เขตทหาร" และออกคำสั่งจำกัดการเดินเรือของเรือพาณิชย์ที่เป็นกลางให้ใช้เฉพาะช่องทางพิเศษที่สามารถควบคุมดูแลได้ (เนื่องจากเส้นทางอื่น ๆ ถูกวางทุ่นระเบิด) โดยอาศัยสถานการณ์นี้และคำสั่งกระทรวงทหารเรือ 31 มกราคม ค.ศ. 1915 ที่ให้เรือพาณิชย์ของอังกฤษชักธงประเทศที่เป็นกลางเพื่อใช้เป็นกลอุบายสงคราม[159] พลเรือเอก ฮูโก ฟ็อน โพห์ล ผู้บัญชาการกองเรือทะเลหลวงเยอรมันและอดีตหัวหน้ากระทรวงทหารเรือ กระทำการนอกเหนือระเบียบปฏิบัติปกติและประกาศยกเลิกกฎเรือลาดตระเวน โดยได้ตีพิมพ์คำเตือนใน Deutscher Reichsanzeiger (ราชกิจจานุเบกษาจักรวรรดิเยอรมัน) เมื่อวันที่ 4 กุมภาพันธ์ ค.ศ. 1915 ดังนี้:[160]

(1) น่านน้ำรอบบริเตนใหญ่และไอร์แลนด์ รวมถึงช่องแคบอังกฤษทั้งหมด ขอประกาศให้เป็นเขตสงคราม ตั้งแต่วันที่ 18 กุมภาพันธ์เป็นต้นไป เรือพาณิชย์ของฝ่ายศัตรูทุกลำที่พบในเขตนี้จะถูกทำลาย และจะไม่สามารถเลี่ยงอันตรายที่อาจเกิดขึ้นกับลูกเรือและผู้โดยสารได้เสมอไป (2) เรือที่เป็นกลางก็จะมีความเสี่ยงในเขตสงครามนี้เช่นกัน เพราะเมื่อพิจารณาถึงความเสี่ยงของการทำสงครามทางทะเลและการที่อังกฤษอนุญาตเมื่อวันที่ 31 มกราคมให้มีการใช้ธงประเทศที่เป็นกลางในทางที่ผิด การป้องกันไม่ให้การโจมตีเรือศัตรูไปสร้างความเสียหายให้แก่เรือที่เป็นกลางอาจไม่สามารถทำได้เสมอไป[161]

แม้จะมีการโต้เถียงกันในรัฐบาลเยอรมันเพื่อจำกัดขอบเขตยุทธศาสตร์ที่กองทัพเรือเสนอ แต่เป็นการภายในแล้ว คำสั่งกลับไปไกลกว่านั้น โดยพลเรือเอก กุสทัฟ บัคมันน์ สั่งการให้ผู้บังคับการเรือดำน้ำโจมตีเรือโดยสาร เพื่อให้เกิดผลกระทบที่น่าตกใจและยับยั้งการเดินเรือ[162]

ปฏิกิริยาจากนานาชาติเป็นไปในเชิงลบ โดยหลายฝ่ายมองว่าการประกาศดังกล่าวเป็นแค่การขู่ นักวิจารณ์ส่วนใหญ่มองว่ากฎเรือลาดตระเวนยังคงมีผลบังคับใช้ แม้จะสิ้นสุดสงครามไปแล้วก็ตาม[157] แต่ถึงอย่างไร เพื่อเป็นการตอบโต้ กระทรวงทหารเรืออังกฤษได้ออกคำสั่งในวันที่ 10 กุมภาพันธ์ ค.ศ. 1915 ให้เรือพาณิชย์หลบหนีจากเรือดำน้ำศัตรูหากเป็นไปได้ แต่ "หากเรือดำน้ำโผล่ขึ้นมาข้างหน้าอย่างกะทันหันโดยมีเจตนาเป็นศัตรูอย่างชัดเจน ให้แล่นตรงเข้าหามันด้วยความเร็วสูงสุด... [...] มันอาจดำน้ำหนี ซึ่งในกรณีนี้คุณก็จะปลอดภัย..."[163] คำสั่งเพิ่มเติมอีกสิบวันต่อมาแนะนำให้เรือกลไฟติดอาวุธเปิดฉากยิงใส่เรือดำน้ำที่ "กำลังไล่ตามอย่างเห็นได้ชัดด้วยเจตนาเป็นศัตรู" แม้ว่าจะยังไม่ได้ยิงก็ตาม บุคคลทั่วไปยังเสนอเงินรางวัลสำหรับการจมเรือดำน้ำได้ เมื่อพิจารณาถึงความเปราะบางของเรือดำน้ำต่อการถูกพุ่งชนหรือแม้แต่การยิงด้วยกระสุนปืนขนาดเล็ก การที่เรือดำน้ำโผล่ขึ้นสู่ผิวน้ำและให้คำเตือนแก่เรือพาณิชย์ที่ได้รับคำสั่งดังกล่าวจึงเป็นการนำตัวเองไปอยู่ในอันตรายอย่างมาก ฝ่ายเยอรมนีทราบเรื่องนี้ดี แม้คำสั่งดังกล่าวจะเป็นความลับ แต่ก็ได้รับสำเนามาจากเรือที่ถูกยึดและจากการดักฟังสัญญาณวิทยุ[164] เบลีย์และไรอันในหนังสือของพวกเขา The Lusitania Disaster เน้นย้ำถึงคำสั่งเหล่านี้เป็นอย่างมาก โดยชี้ให้เห็นว่าแม้คำสั่งดังกล่าวจะ "ถูกออกแบบมาเพื่อช่วยเรือ" อย่างแน่นอน แต่การพยายามพุ่งชนหรือแม้แต่เพียงแค่หลบหนีก็อาจถูกโต้แย้งได้ว่าทำให้การโจมตีเรือนั้นชอบด้วยกฎหมาย ในความเห็นของพวกเขา เหตุผลนี้เป็นข้ออ้างทางกฎหมายที่ดีที่สุดสำหรับการกระทำของเยอรมนี มากกว่าเรื่องยุทโธปกรณ์ อาวุธที่ไม่มีอยู่จริง หรือเหตุผลอื่นใดที่ถูกเสนอมา ถึงแม้ทางการเบอร์ลินจะไม่เคยชี้แจงประเด็นนี้อย่าง "เด็ดขาด" ก็ตาม[165]

ปืนดาดฟ้าขนาด 105 มม. ที่นำมาจากเรือพี่น้องของอู-20 คืออู-19 การใช้ปืนใหญ่ดังกล่าวมีส่วนทำให้เรือจมส่วนใหญ่ในช่วงแรกและถือว่ายอมรับได้ทางกฎหมายมากกว่า

เกอร์ฮาร์ท ริทเทอร์ตั้งข้อสังเกตว่าแม้กระทั่งใน ค.ศ. 1916 การจมเรือส่วนใหญ่ก็ยังคงดำเนินการโดยการเตือนก่อนด้วยปืนใหญ่บนดาดฟ้าเรืออู เนื่องจากมีประสิทธิภาพมากกว่าตอร์ปิโดที่มีจำนวนจำกัดและไม่แม่นยำ[166] หลายวันก่อนหน้านั้น อู-20 เองก็ได้จมเอิร์ลออฟเลทอมและแคนดิเดตหลังปล่อยให้ลูกเรือลงเรือชูชีพก่อน ลูซิเทเนียเป็นเรือที่มีขนาดใหญ่และเร็วกว่ามาก ทำให้มีโอกาสที่ดีกว่าในการหลบหลีกหรือพุ่งชน แม้เรือพาณิชย์จะสามารถจมเรือดำน้ำด้วยการพุ่งชนสำเร็จเพียงครั้งเดียวในช่วงสงคราม (ใน ค.ศ. 1918 เอชเอ็มที โอลิมปิกของไวต์สตาร์ไลน์ เรือพี่ของไททานิกและบริแทนนิก ได้พุ่งชนเอ็สเอ็ม อู-103 ในช่องแคบอังกฤษ)

ในการสื่อสารกับเยอรมนี ประธานาธิบดีวิลสันยึดถือกฎเรือลาดตระเวนอย่างเคร่งครัด โดยอ้างว่า "การต่อต้านที่แท้จริง" ของเรือเท่านั้นที่จะทำให้การโจมตีชอบด้วยกฎหมายในมุมมองของเขา และหากเรือไม่สามารถถูกโจมตีได้อย่างปลอดภัยและถูกกฎหมาย ก็ไม่ควรถูกโจมตีเลย[108][167] ในการโต้แย้งกับผู้นำทางการเมืองของเยอรมนีในช่วงวิกฤตการณ์เรือแอระบิก พลเรือเอกบัคมันน์ให้เหตุผลว่าพวกเขาไม่ต้องการให้อังกฤษปฏิบัติตามปฏิญญาลอนดอน เนื่องจากสิ่งสำคัญกว่าคือการสามารถดำเนินการโจมตีด้วยเรือดำน้ำต่อไปได้และการกระทำของอังกฤษก็ช่วยให้เหตุผลนั้นชอบธรรมขึ้น[168]

การระเบิดครั้งที่สอง

[แก้]
ภาพวาดร่วมสมัยของอังกฤษที่แสดงลูซิเทเนียถูกตอร์ปิโด โดยแสดง "ตอร์ปิโดลูกที่สอง" ซึ่งตอนนี้ถูกหักล้างไปแล้ว

ผู้รอดชีวิตหลายคนจากลูซิเทเนียรายงานว่าเกิดการระเบิดครั้งที่สองขึ้นทันทีหรือหลังจากนั้นไม่กี่วินาที โดยบางคนระบุว่ารู้สึกรุนแรงกว่า[169] การระเบิดครั้งนี้ถูกนำมาใช้อธิบายความเร็วในการจมของลูซิเทเนีย และเป็นหัวข้อถกเถียงกันมาตั้งแต่เกิดภัยพิบัติ โดยสภาพของซากเรือ (ที่นอนทับจุดที่ถูกตอร์ปิโด) ทำให้ยากต่อการหาคำตอบที่ชัดเจน ในขณะนั้น การสอบสวนอย่างเป็นทางการระบุว่าเกิดจากการโจมตีด้วยตอร์ปิโดลูกที่สองจากเรือดำน้ำ ตามที่พยานหลายคนให้การ อย่างไรก็ตาม คำให้การและการสื่อสารทางวิทยุจากอู-20 ชี้ชัดว่ามีการยิงตอร์ปิโดเพียงลูกเดียวไปยังลูซิเทเนีย ชวีเกอร์ยังแสดงความเห็นในบันทึกสงครามของเขาด้วยว่าเป็นไปไม่ได้ที่จะยิงตอร์ปิโดลูกที่สองเนื่องจากฝูงชนของผู้โดยสารที่ตื่นตระหนกและกระโดดลงไปในมหาสมุทร มีความเป็นไปได้ที่ตอร์ปิโดลูกที่สอง หรือแม้แต่เรือดำน้ำลำที่สองอาจมีอยู่จริงและถูกปกปิดไว้ ถึงแม้สิ่งนี้จะไม่น่าจะเป็นไปได้ก็ตาม[170]

ทฤษฎีหนึ่งที่มีการถกเถียงกันกล่าวโทษว่าการระเบิดครั้งที่สองบนลูซิเทเนียเกิดจากสินค้าที่บรรทุก ซึ่งรวมถึงกระสุนปืนไรเฟิล/ปืนกลขนาด .303 ปลอกกระสุนและชนวน ซึ่งทั้งหมดมีรายชื่ออยู่ในบัญชีสินค้าสองหน้าของเรือที่ยื่นต่อศุลกากรสหรัฐ หลังออกเดินทาง เป็นที่ทราบกันดีว่ากระสุนปืนขนาดเล็กจำนวนมากเหล่านี้ไม่สามารถระเบิดได้ และมีการระบุไว้อย่างชัดเจนว่าเป็นเช่นนั้น ตามกฎระเบียบการขนส่งของอเมริกาถือเป็นเรื่องถูกกฎหมายอย่างสมบูรณ์ที่เรือโดยสารจะบรรทุกสิ่งเหล่านี้ ผู้เชี่ยวชาญเห็นตรงกันว่าสิ่งเหล่านี้ไม่ใช่สาเหตุของการระเบิดครั้งที่สอง การสอบสวนในช่วงเวลาที่เรืออับปางพบว่าไม่มีวัตถุระเบิดอื่นอยู่บนเรือ[171][172] แม้จะมีการกล่าวอ้างเป็นเวลานานแล้วว่ามี (เริ่มจากนักโฆษณาชวนเชื่อชาวเยอรมัน) แพทริก โอซัลลิแวน เห็นด้วยว่ากระสุนปืนใหญ่เป็นกระสุนเปล่า (เพื่อนำไปบรรจุวัตถุระเบิดเมื่อไปถึง) และชนวนก็ไม่ใช่ชนวนระเบิด โดยอ้างอิงจากคำให้การที่สาบานตนของผู้ผลิตในคดีในภายหลังและการวิเคราะห์น้ำหนักของกระสุนปืนใหญ่ที่ระบุไว้ เขาให้เหตุผลว่าการส่งมอบผงอะลูมิเนียมเนื้อละเอียดซึ่งอาจถูกรบกวนระหว่างการระเบิดครั้งแรก อาจเป็นสาเหตุ[173] ในการทดลอง การระเบิดของผงอะลูมิเนียมหรือดินระเบิด (ไพโรไซลีน) (วัตถุระเบิดที่ถูกกล่าวอ้างว่าเป็นความลับ) ไม่ตรงกับคุณสมบัติที่สังเกตได้ในเวลานั้น การมีอยู่ของวัตถุระเบิดลับอื่น ๆ ไม่เคยได้รับการพิสูจน์[174] รายงานจากผู้เห็นเหตุการณ์ รวมถึงคำบอกเล่าของผู้บังคับการเรือดำน้ำและผู้เห็นเหตุการณ์ที่เห็นเรือชูชีพลำหนึ่งถูกทำลาย มีแนวโน้มที่จะระบุตำแหน่งการถูกตอร์ปิโดยิงครั้งแรกว่าอยู่ไกลจากห้องสินค้า[54]

ผังด้านข้างของเรือลูซิเทเนีย แสดงตำแหน่งที่เกี่ยวข้องกับการอับปาง โดยเน้นส่วนสำคัญต่าง ๆ ได้แก่ ห้องสินค้า สะพานเดินเรือที่อู-20 รายงานว่าโจมตีบริเวณด้านหลัง เรือชูชีพหมายเลข 5 ที่พยานพบว่าถูกทำลาย ห้องเก็บถ่านหิน และห้องหม้อไอน้ำ ซึ่งห้องหม้อไอน้ำมีห้องเก็บถ่านหินขนาดเล็กอยู่ตามแนวข้างเรือด้วย[54]

ในทศวรรษ 1960 นักดำน้ำชาวอเมริกัน จอห์น ไลต์ ได้ดำน้ำสำรวจซ้ำแล้วซ้ำเล่า ณ จุดที่เรืออับปาง เพื่อพยายามพิสูจน์ว่ามีวัตถุระเบิดผิดกฎหมายอยู่ในห้องสินค้าของลูซิเทเนีย ซึ่งถูกจุดระเบิดโดยตอร์ปิโด ใน ค.ศ. 1993 ดร.รอเบิร์ต บัลลาร์ด นักสำรวจชื่อดังผู้ค้นพบไททานิกและเรือประจัญบานบิสมาร์ค ทำการสำรวจซากเรือลูซิเทเนียอย่างละเอียด บัลลาร์ดซึ่งในตอนแรกเชื่อว่าการระเบิดเกิดจากของต้องห้าม ได้พยายามยืนยันสิ่งที่จอห์น ไลต์พบ นั่นคือรูขนาดใหญ่ที่กราบซ้ายของซากเรือ แต่เขากลับไม่พบรูดังกล่าว และเมื่อเขาสำรวจพื้นที่ทั้งหมดของห้องสินค้าที่เปิดออก เขาก็พบว่ามัน "ไม่ได้รับความเสียหายอย่างชัดเจน" เขาจึงสรุปว่าไม่มีการระเบิดของสินค้าเกิดขึ้น ระหว่างการสำรวจ บัลลาร์ดสังเกตเห็นถ่านหินจำนวนมากบนพื้นทะเลใกล้ซากเรือ และหลังปรึกษาผู้เชี่ยวชาญด้านวัตถุระเบิด เขาก็เสนอทฤษฎีการระเบิดของฝุ่นถ่านหิน เขาเชื่อว่าฝุ่นในห้องเก็บถ่านหินที่พร่องไปแล้วถูกเหวี่ยงขึ้นไปในอากาศจากการระเบิดของตอร์ปิโด ทำให้เกิดเป็นกลุ่มควันซึ่งถูกจุดประกายด้วยประกายไฟ ก่อให้เกิดการระเบิดครั้งที่สอง[175][176] ผู้วิพากษ์วิจารณ์ทฤษฎีนี้กล่าวว่าฝุ่นถ่านหินคงจะชื้นเกินไปที่จะถูกปั่นขึ้นไปในอากาศให้มีความเข้มข้นพอจะระเบิดได้จากการปะทะของตอร์ปิโด[170] หรือไม่ก็เป็นไปได้ว่าห้องเก็บถ่านหินที่ถูกตอร์ปิโดจะถูกน้ำทะเลที่ไหลผ่านแผ่นตัวเรือที่เสียหายท่วมเกือบจะทันที[169]

ใน ค.ศ. 2007 นักสืบนิติวิทยาศาสตร์ทางทะเลพิจารณาว่าการระเบิดในโรงผลิตไอน้ำของเรืออาจเป็นคำอธิบายที่เป็นไปได้สำหรับการระเบิดครั้งที่สอง แม้รายงานจากผู้รอดชีวิตเพียงไม่กี่คนซึ่งสามารถหนีออกมาจากห้องหม้อไอน้ำสองห้องหน้าจะแจ้งว่าหม้อไอน้ำของเรือไม่ได้ระเบิด แต่หัวหน้าคนงานคุมเตาเผา อัลเบิร์ต มาร์ติน ให้การในภายหลังว่าเขาคิดว่าตอร์ปิโดได้พุ่งเข้าไปในห้องหม้อไอน้ำและระเบิดระหว่างกลุ่มหม้อไอน้ำ แม้คำให้การนี้จะเป็นไปไม่ได้ในทางกายภาพ แต่ก็มีคนอื่น ๆ อีกหลายคนระบุว่าจุดที่ตอร์ปิโดโจมตีอยู่ใกล้กับห้องหม้อไอน้ำ[177] ยังเป็นที่ทราบกันว่าห้องหม้อไอน้ำหน้าเต็มไปด้วยไอน้ำ และแรงดันไอน้ำที่ส่งไปยังกังหันไอน้ำลดลงอย่างมากหลังการระเบิดครั้งที่สอง สิ่งเหล่านี้ชี้ให้เห็นถึงความล้มเหลวบางอย่างในโรงผลิตไอน้ำของเรือ เป็นไปได้ว่าความล้มเหลวดังกล่าวไม่ได้มาจากหม้อไอน้ำโดยตรง แต่มาจากท่อไอน้ำแรงดันสูงที่ไปยังกังหัน[178] พยานหลายคนรายงานว่ามีการระเบิดเกิดขึ้นหลายนาทีหลังการโจมตีจากส่วนที่น้ำท่วมของเรือ ซึ่งชี้ให้เห็นว่าอย่างน้อยหม้อไอน้ำบางส่วนก็ระเบิด[169]

อีกทฤษฎีหนึ่งคือแท้จริงแล้วมีเพียงการระเบิดครั้งเดียวเท่านั้น โดย "การระเบิดครั้งแรก" เป็นเพียงผลกระทบทางกายภาพของตอร์ปิโดที่กระทบกับตัวเรือ แม้ทฤษฎีนี้จะพบกับปัญหาที่ว่าตอร์ปิโดในสมัยนั้นถูกตั้งชนวนให้ระเบิดทันทีเมื่อกระทบ[170] ไม่ว่าในกรณีใด คำอธิบายเช่นนี้และทฤษฎีท่อไอน้ำเสนอว่าความเสียหายจากตอร์ปิโดเพียงอย่างเดียว ซึ่งโจมตีใกล้กับห้องหม้อไอน้ำ ทำให้ลูซิเทเนียจมลงอย่างรวดเร็วโดยไม่มีการระเบิดครั้งที่สองอย่างมีนัยสำคัญ[54] และได้รับการสนับสนุนจากงานวิจัยล่าสุดที่พบว่าการระเบิดครั้งนี้ก็เพียงพอที่จะทำให้เกิดน้ำท่วมอย่างรุนแรงแบบไม่สมมาตรได้ด้วยตัวมันเอง ข้อบกพร่องของการออกแบบผนังกันน้ำเดิมของเรือจะทำให้สถานการณ์เลวร้ายลง เช่นเดียวกับช่องหน้าต่างจำนวนมากที่เปิดทิ้งไว้เพื่อระบายอากาศ ใน ค.ศ. 1997 นาวาสถาปนิกที่ JMS ให้เหตุผลในประเด็นนี้ โดยตั้งข้อสังเกตว่าเมื่อเรือสูญเสียแรงดันไอน้ำ ระบบต่าง ๆ เช่น ประตูผนังกันน้ำอัตโนมัติจะไม่ทำงานอีกต่อไป ทำให้เรือในแบบจำลองของพวกเขาจมลงอย่างรวดเร็วโดยไม่มีความเสียหายเพิ่มเติม[179] ใน ค.ศ. 2012 นักวิจัยด้านวัตถุระเบิดที่ห้องปฏิบัติการลอว์เรนซ์ลิเวอร์มอร์เห็นด้วย โดยให้เหตุผลว่าการทดลองและหลักฐานจากซากเรือแสดงให้เห็นว่าตอร์ปิโดเองเป็นสาเหตุของการจมอย่างรุนแรง โดยการระเบิดครั้งที่สองมีผลกระทบเพียงเล็กน้อย[174] ใน ค.ศ. 2016 นักประวัติศาสตร์ เจ. เคนต์ เลย์ตัน ได้ทบทวนบันทึกของผู้รอดชีวิต 86 คน และเชื่อว่าบันทึกเหล่านี้ร่วมกับเรือที่เอียงทันที 15 องศา บ่งชี้ว่าตอร์ปิโดโจมตีระหว่างห้องหม้อไอน้ำ 1 และ 2 ซึ่งเป็นจุดที่เสี่ยงเป็นพิเศษ ทำให้เกิดน้ำท่วมทันทีจากห้องเก็บถ่านหินของห้องหม้อไอน้ำทั้งสอง และนำไปสู่การระเบิดครั้งที่สองจากหม้อไอน้ำหรืออุปกรณ์ไอน้ำภายในซึ่งอาจไม่ได้สร้างความเสียหายร้ายแรงเพิ่มเติมมากนัก ดังนั้นความเร็วของการจมจึงเป็นผลมาจากความสามารถที่ย่ำแย่ของลูซิเทเนียในการควบคุมน้ำท่วม[169]

รัฐบาลอังกฤษจงใจทำให้ลูซิเทเนียตกอยู่ในความเสี่ยง

[แก้]
เชอร์ชิลและฟิชเชอร์ ทั่วไปแล้วชี้ไปที่เชอร์ชิลว่าเป็นตัวการหลัก โดยที่คนอื่น ๆ ในกระทรวงทหารเรืออาจช่วยในการปกปิดเรื่องนี้

มีความเป็นทฤษฎีมาอย่างยาวนาน ซึ่งถูกกล่าวถึงโดยนักประวัติศาสตร์และอดีตเจ้าหน้าที่หน่วยข่าวกรองทางเรือของอังกฤษ แพทริก บีสลีย์ และนักเขียน โคลิน ซิมป์สันและดอนัลด์ อี. ชมิดท์ รวมถึงคนอื่น ๆ ว่าลูซิเทเนียจงใจถูกนำไปอยู่ในสถานการณ์อันตรายโดยทางการอังกฤษ เพื่อล่อให้เรืออูโจมตีและดึงสหรัฐเข้าสู่สงครามข้างอังกฤษ[180][181] ซิมป์สันและนักเขียนคนต่อมาชี้ให้เห็นถึงจดหมายที่วินสตัน เชอร์ชิลเขียนถึงวอลเตอร์ รันซิแมน ประธานคณะกรรมการการค้า ในวันที่ 12 กุมภาพันธ์ ไม่นานหลังการประกาศของเยอรมนี โดยเน้นไปที่ข้อความที่เขาระบุว่า "เป็นสิ่งสำคัญที่สุดที่จะดึงดูดการเดินเรือของประเทศที่เป็นกลางให้เข้ามาที่ชายฝั่งของเรา โดยเฉพาะอย่างยิ่งด้วยความหวังที่จะทำให้สหรัฐขัดแย้งกับเยอรมนี"[181][182]

บีสลีย์สรุปว่า: "เว้นเสียแต่และจนกว่าจะมีข้อมูลใหม่เปิดเผย ผมจำใจต้องสรุปว่ามีการสมรู้ร่วมคิดเพื่อจงใจนำลูซิเทเนียไปอยู่ในความเสี่ยงโดยหวังว่าแม้แต่การโจมตีที่ล้มเหลวต่อเรือลำนี้ก็จะทำให้สหรัฐเข้าร่วมสงคราม การสมรู้ร่วมคิดเช่นนี้จะไม่สามารถเกิดขึ้นได้หากปราศจากการอนุญาตและการอนุมัติอย่างชัดแจ้งจากวินสตัน เชอร์ชิล"[180]

ในการสอบสวนหลังการอับปาง กัปตันเทอร์เนอร์ปฏิเสธที่จะตอบคำถามบางข้อโดยอ้างถึงความจำเป็นในการรักษาความลับในยามสงคราม รัฐบาลอังกฤษยังคงเก็บเอกสารบางส่วนที่เกี่ยวข้องกับวันสุดท้ายของการเดินทางเป็นความลับ รวมถึงสัญญาณบางอย่างที่ส่งผ่านระหว่างกระทรวงทหารเรือและลูซิเทเนีย ผู้เขียนบางคนยังอ้างว่าบันทึกที่มีอยู่นั้นมักขาดหน้าสำคัญ และยืนยันข้อกล่าวอ้างที่โต้แย้งกันอีกหลายประการ:[183][184][185]

  1. ทางการอังกฤษทราบ (จากการถอดรหัสลับของห้อง 40) ว่ามีเรือดำน้ำเยอรมันอยู่ในเส้นทางของลูซิเทเนีย แต่ตัดสินใจจะไม่เปลี่ยนเส้นทางเรือไปยังเส้นทางที่ปลอดภัยกว่า
  2. ทางการจงใจและมุ่งร้ายที่จะไม่จัดหาเรือพิฆาตคุ้มกัน
  3. เรือได้รับคำสั่งให้ลดความเร็วในเขตสงครามเพื่อทำให้เป็นเป้าหมายง่าย
  4. เรือขนาดใหญ่เช่นนี้ไม่น่าจะจมอย่างรวดเร็วจากการถูกตอร์ปิโดเพียงลูกเดียว[ต้องการอ้างอิง]

นักประวัติศาสตร์ส่วนใหญ่สรุปว่าการสมรู้ร่วมคิดเช่นนั้นไม่น่าเป็นไปได้ การส่งข้อมูลข่าวกรองจากห้อง 40 ไปยังเรือพาณิชย์ แม้จะเป็นประโยชน์ได้ แต่ก็ถูกขัดขวางมาโดยตลอดด้วยเป้าหมายสำคัญยิ่งกว่าคือการปกป้องความลับของแหล่งที่มา อย่างไรก็ตาม เรือได้รับการเตือนซ้ำแล้วซ้ำเล่าเกี่ยวกับการมีเรือดำน้ำในพื้นที่ และได้รับแจ้งเกี่ยวกับการจมเรือครั้งก่อนหน้าของอู-20 อันที่จริงแล้ว เทอร์เนอร์อ้างในภายหลังว่าเขารู้สึกหนักใจกับจำนวนคำเตือนที่ได้รับ โดยคิดว่าอาจมีเรือดำน้ำถึงหกลำรอเขาอยู่[45] เรือคุ้มกันก็มีจำนวนจำกัด และลูซิเทเนียก็เร็วกว่าและเสี่ยงน้อยกว่าเรือที่สามารถจัดหาได้[186] จะมีการรับประกันน้อยมากว่าจะมีการโจมตีที่ประสบความสำเร็จ แม้จะมีข้อมูลที่สมบูรณ์แบบก็ตาม เนื่องจากความเร็วที่ช้าของเรือดำน้ำที่อยู่ใต้น้ำจะต้องให้เรือผ่านไปในระยะไม่กี่ร้อยหลาจากผู้โจมตี และการโจมตีด้วยตอร์ปิโดก็ไม่น่าเชื่อถือในช่วงเวลานั้นอยู่แล้ว เชอร์ชิลกำลังพูดกับรันซิแมนในบริบทของการเสนอประกันภัยให้กับเรือพาณิชย์ที่เป็นกลางซึ่งเยอรมนีหวังว่าจะยับยั้งไม่ให้ค้าขายกับอังกฤษ คำกล่าวของเขาไม่ได้ใช้กับเรือของอังกฤษ อันที่จริง "การพัวพัน" ของเขาหมายถึงการสร้าง "ความปลอดภัย" ให้กับเรือฝ่ายสัมพันธมิตรอย่างลูซิเทเนีย[187] ความลับใด ๆ ก็สามารถอธิบายได้ในแง่ของการเลี่ยงความอับอายจากมาตรการต่อต้านเรือดำน้ำของอังกฤษที่ไม่มีประสิทธิภาพและไม่เป็นระเบียบ[188]

ณ ขณะนั้นสหรัฐก็ไม่ค่อยมีข้อดีที่จะเข้าร่วมสงคราม[189] และปฏิกิริยาของชาวอเมริกันก็ยังไม่แน่นอนเช่นกัน เพราะท้ายที่สุดแล้วผู้บังคับการเรือดำน้ำเยอรมันได้รับคำสั่งโดยเจตนาให้โจมตีเรือโดยสาร โดยเชื่อว่าการกระทำนี้จะสร้างผลกระทบที่ยับยั้งการเดินเรือได้อย่างมีประสิทธิผล[190] และไบรอัน รัฐมนตรีต่างประเทศซึ่งต่อต้านการเข้าแทรกแซงในสงครามได้แสดงปฏิกิริยาต่อการอับปาง โดยแนะนำให้ประธานาธิบดีวิลสันเพียงแค่สั่งห้ามเรือโดยสารไม่ให้บรรทุกกระสุน[191][192] ใน ค.ศ. 1923 เชอร์ชิลกล่าวถึงจดหมายฉบับนี้ โดยแสดงความเชื่อว่าการสร้างความไม่พอใจแก่ประเทศที่เป็นกลางอันเนื่องมาจาก "อุบัติเหตุที่เลี่ยงไม่ได้" จะนำไปสู่ "การบรรเทาลงอย่างสมเหตุสมผล" ของแรงกดดันต่อการปิดล้อมของอังกฤษ ซึ่งจะดูไม่ผิดกฎหมายเมื่อเปรียบเทียบกัน[193]

ใน ค.ศ. 1916 หลังเยอรมันถูกกดดันให้จำกัดการทัพเรือดำน้ำของพวกเขา ความสัมพันธ์ระหว่างสหรัฐและเยอรมนีกลับดีขึ้น แม้เรือที่ถูกจมจะมีจำนวนเพิ่มขึ้นก็ตาม ขณะเดียวกัน ความสัมพันธ์กับอังกฤษกลับแย่ลงอย่างเห็นได้ชัด จนบางคนถึงกับเสนอว่าอเมริกาควรเข้าร่วมสงครามโดยอยู่ตรงข้ามกับฝ่ายสัมพันธมิตร[186][194]

อาวุธสงคราม

[แก้]
คนงานกำลังผลิตกระสุน .303 บริติช ซึ่งเป็นชนิดเดียวกับที่ได้รับการยืนยันว่าอยู่บนเรือ ในช่วงเวลานั้นถึงแม้ว่าอังกฤษจะผลิตยุทโธปกรณ์ส่วนใหญ่สำหรับสงครามโลกครั้งที่หนึ่งเอง แต่ก็มีการพิจารณาการนำเข้าเพื่อเสริมปริมาณด้วยเช่นกัน

ลูซิเทเนียกำลังบรรทุกสินค้าอย่างเป็นทางการ ซึ่งในบรรดาสินค้านั้นมีกระสุนปืนไรเฟิล/ปืนกล 4,200 ลัง ปลอกกระสุนปืนใหญ่แบบสะเก็ดระเบิดเปล่า 1,250 ลัง และชนวนกระสุนปืนใหญ่สำหรับปลอกกระสุนเหล่านั้นที่ถูกเก็บแยกกัน สิ่งเหล่านี้รวมทั้งหมดเป็น 173 ตัน[5][195][2] ในเดือนกันยายน ค.ศ. 2008 มีการกู้กระสุนขนาด .303 ขึ้นมาจากซากเรือโดยนักดำน้ำ[196] วัสดุอื่น ๆ ที่ถูกประกาศไว้ก็สามารถนำไปใช้ในทางทหารได้ สินค้าประกอบด้วยอะลูมิเนียม 50 ถังและ 94 ลัง (รวม 46 ตัน) ซึ่งมีจำนวนหนึ่งอยู่ในรูปผงที่ใช้ผลิตวัตถุระเบิดที่โรงงานวูลวิชอาร์เซนอล[173] รวมถึงโลหะอื่น ๆ หนังและยาง[197]

โดยรวมแล้ว เสบียงเหล่านี้คิดเป็นประมาณหนึ่งในสามถึงครึ่งหนึ่ง (ขึ้นอยู่กับการนับ) ของมูลค่าทางการเงินที่ประกาศไว้ของสินค้าบรรทุกบนเรือ แต่คิดเป็นปริมาณที่ค่อนข้างน้อยของสินค้าบนเรือ[2] เรือโดยสารยังไม่ใช่เรือขนส่งสินค้าที่มีประสิทธิภาพ เพราะเรือบรรทุกสินค้าเฉพาะที่มีขนาดเล็กกว่ามากสามารถบรรทุกสินค้าได้มากกว่ามาก ตัวอย่างเช่น แอ็สแอ็ส มงบล็อง (SS Mont-Blanc) ที่เกี่ยวข้องกับเหตุระเบิดที่แฮลิแฟกซ์ สามารถบรรทุกวัสดุได้เกือบ 3,000 ตันแม้จะมีขนาดเพียงหนึ่งในสิบ นอกจากนี้ยังอาจสังเกตได้ว่า กระทรวงการสงครามของอังกฤษพิจารณาว่ากระสุนที่ผลิตในสหรัฐส่วนใหญ่ในช่วงเวลานี้มีคุณภาพต่ำและดังนั้น "เหมาะสำหรับการใช้งานฉุกเฉินเท่านั้น" และไม่ว่าในกรณีใดก็ไม่สามารถรองรับการใช้กระสุนที่มากกว่า 5 ล้านนัดต่อวันได้ สัญญาการจัดหากระสุนของอเมริกาถูกยกเลิกใน ค.ศ. 1916[198]

นักเขียนบางคนตั้งข้อสังเกตถึงการมีอยู่ของกระสุนวัตถุระเบิดที่ไม่ได้มีการแจ้งไว้ โดยนักเขียน สตีเวน แอล. แดนเวอร์ อ้างว่าลูซิเทเนียยังแอบบรรทุกไนโตรเซลลูโลส (ฝ้ายปืน) ไว้เป็นจำนวนมาก[199] อีกทฤษฎีหนึ่งชี้ว่าเนยและมันหมู 90 ตัน (ซึ่งไม่ได้แช่เย็นเนื่องจากขาดพื้นที่และถูกกล่าวหาว่ามีจุดหมายปลายทางที่ "ศูนย์ทดสอบอาวุธราชนาวี" ในชูเบอรีเนส) อาจเป็นอย่างอื่น[200] การคาดเดาเพิ่มเติมมุ่งเน้นไปที่การส่งมอบขนสัตว์ที่มาจากดูปองต์เดอเนมูร์ บริษัทที่ผลิตวัตถุระเบิดด้วย[201] แม้จะมีรายงานว่าขนสัตว์ดังกล่าวถูกคลื่นซัดขึ้นฝั่งในไอร์แลนด์ก็ตาม[41] นักเขียนคนอื่น ๆ ได้ให้ข้อเสนอแนะว่ากระสุนปืนใหญ่ที่บรรทุกอยู่นั้นเป็นกระสุนจริง ซึ่งหมายความว่ามีคอร์ไดต์ประมาณ 5 ตันอยู่บนเรือ ซึ่งเป็นแนวคิดที่ขัดแย้งกับข้อเท็จจริงที่ว่าน้ำหนักที่แจ้งไว้ของกระสุนนั้นสอดคล้องกับกระสุนที่ไม่มีวัตถุระเบิดบรรจุอยู่ภายใน[173] จนถึงขณะนี้ยังไม่พบหลักฐานของวัตถุระเบิดลับเพิ่มเติม[2]

นักเขียนหลายคนได้เสนอว่ามีการปกปิดบางอย่างจากเจ้าหน้าที่อังกฤษหรืออเมริกาเกี่ยวกับการมีอยู่ของยุทโธปกรณ์บนเรือ[202][203][204] อย่างไรก็ตาม การมีอยู่ของยุทโธปกรณ์เป็นที่รู้กันดีในเวลานั้น โดยมีการเปิดเผยต่อสาธารณะในหนังสือพิมพ์[99] มีการหยิบยกขึ้นมาในการสอบสวนอย่างเป็นทางการของอังกฤษ[171] และนำเสนอต่อประธานาธิบดีวิลสัน[205] เมื่อวุฒิสมาชิกรอเบิร์ต เอ็ม. ลา ฟอลเล็ตต์ เสนอใน ค.ศ. 1917 ว่ามีการสมรู้ร่วมคิดที่วิลสันได้รับคำเตือนว่าเรือลำนี้บรรทุกกระสุน 6 ล้านนัด ทางการนิวยอร์กได้ตอบกลับด้วยการให้ตัวเลขที่ถูกต้องแก่เขา[206] เป็นความจริงที่ว่าเนื่องจากการเซ็นเซอร์ในยามสงคราม ประเด็นเกี่ยวกับยุทโธปกรณ์สงครามไม่สามารถนำมาอภิปรายได้อย่างอิสระในสื่ออังกฤษ[207] แม้การสื่อสารของเยอรมนีกับสหรัฐจะถูกตีพิมพ์ในหนังสือพิมพ์อังกฤษก็ตาม[208] อย่างไรก็ตาม การปฏิเสธอย่างเป็นทางการของการมีอยู่ของ "ยุทโธปกรณ์" หรือ "กระสุนพิเศษ" ในเวลานั้นเกี่ยวข้องกับการปฏิเสธความเป็นไปได้ที่เรือบรรทุกสินค้าที่เป็นอันตรายต่อผู้โดยสาร[209] (ดังนั้นจึงมีคำกล่าวเช่น "เธอบรรทุกกระสุน 4,200 กล่อง [...] พวกมันไม่จัดอยู่ในประเภทกระสุนอย่างแน่นอน") หรือการปฏิเสธว่าเรือเป็นเรือรบติดอาวุธ ("ติดตั้งปืนที่ซ่อนไว้ จัดหาพลปืนที่ได้รับการฝึกฝนและกระสุนพิเศษ")[109] จุดยืนที่อังกฤษและอเมริกาใช้ไม่ใช่การกล่าวว่าไม่มีวัตถุสงครามอยู่บนเรือ แต่เป็นสิ่งที่อยู่บนเรือไม่ได้ทำให้สิทธิของผู้โดยสารที่จะได้รับความปลอดภัยหมดไป ซึ่งเป็นสิ่งที่ตกอยู่ในอันตรายโดยเนื้อแท้เมื่อถูกโจมตีในลักษณะที่เรือถูกโจมตี[210][211]

เบลีย์และไรอันกล่าวถึงเรื่องนี้อย่างละเอียด โดยระบุว่า เป็นที่รู้กันโดยทั่วไปว่า "เรือหลายสิบลำ" ออกจากนิวยอร์กพร้อมสินค้าที่มีขนาดใกล้เคียงกันหรือมากกว่านั้น ซึ่งประกอบด้วยกระสุนปืนขนาดเล็กและยุทโธปกรณ์ทางทหารอื่น ๆ ในช่วงต้นปีนั้น เทอร์เนอร์เป็นกัปตันเรือของคูนาร์ดอีกลำหนึ่งที่ขนส่งปืนใหญ่ขนาด 15 นิ้ว แม้จะมีการประท้วงจากเยอรมนี พวกเขาสรุปว่าการส่งวัตถุระเบิดลับผิดกฎหมายในเรือโดยสารนั้นไม่น่าจะเกิดขึ้นได้ เมื่อพิจารณาถึงเรือบรรทุกสินค้าเฉพาะลำอื่น ๆ ที่มีอยู่ พวกเขาและนักเขียนคนอื่น ๆ ยังตั้งข้อสังเกตถึงความขัดแย้งของผู้เขียนบางคนที่แนะนำว่าเรือบรรทุกสินค้าสงครามที่จำเป็น และในขณะเดียวกันก็โต้แย้งว่าอังกฤษกำลังสมคบคิดที่จะให้เรือจม[212][213] การมีหรือไม่มีอยู่ของยุทโธปกรณ์ที่เรือลูซิเทเนียบรรทุกมา ซึ่งถูกนำมากล่าวอ้างโดยโฆษณาชวนเชื่อของเยอรมนีในช่วงแรก จะไม่ส่งผลกระทบต่อความตั้งใจของเยอรมนีที่จะโจมตีเรือลำนี้ หรือข้อโต้แย้งทั้งที่สนับสนุนและต่อต้านความชอบธรรมของการจมเรือ อันที่จริงแล้ว ในตอนแรกมันถูกสร้างขึ้นมาเป็นมาตรการโดยพลเรือเอก ฟ็อน เทียร์พิทซ์ของเยอรมนีเพื่อ "ปลุกระดมความเห็นของสาธารณชนในประเทศ"[86]

ข้อโต้แย้งอื่น ๆ

[แก้]

เรืออับปางถูกโจมตีด้วยระเบิดน้ำลึกหรือระเบิดเฮดจ์ฮ็อก[214] เดส ควิกลีย์ นักดำน้ำเทคนิคจากดับลินที่เคยดำลงไปสำรวจซากเรือในช่วงทศวรรษ 1990 รายงานว่าซากเรือมีสภาพ "เหมือนชีสสวิส" และพื้นทะเลรอบ ๆ "เต็มไปด้วยระเบิดเฮดจ์ฮ็อกที่ยังไม่ระเบิด"[215] การสังเกตการณ์ที่คล้ายกันนี้ถูกบันทึกโดยนักสำรวจคนอื่น ๆ เช่น คณะสำรวจของบัลลาร์ดใน ค.ศ. 1993[216] นักทฤษฎีสมคบคิดได้เสนอว่านี่เป็นส่วนหนึ่งของแผนการที่จะทำลายหลักฐานการหลอกลวงของอังกฤษ เช่น การมีอยู่ของวัตถุระเบิดที่ไม่ได้มีการประกาศไว้ กลับกัน นักประวัติศาสตร์ชี้ว่าเหตุการณ์นี้น่าจะเกิดจากการซ้อมปราบเรือดำน้ำของ NATO ใน ค.ศ. 1948[216] ซึ่งใช้ซากเรือเป็นเป้าหมายในช่วงเวลาที่มูลค่าทางประวัติศาสตร์ของมันยังไม่ถูกพิจารณาว่ามีความสำคัญ เลย์ตันตั้งข้อสังเกตว่าซากเรือถูกขายในราคาเพียง 1,000 ปอนด์ และถึงแม้จะถูกโจมตี ซากเรือก็ยังอยู่ในสภาพที่คณะสำรวจใน ค.ศ. 1993 และ 2011 สามารถยืนยันได้ว่าห้องสินค้ายังคงอยู่ครบถ้วน รวมถึงกระสุนปืนที่ "ถูกจัดวางอย่างเรียบร้อย"[217]

อีกประเด็นหนึ่งที่ยังคงมีการถกเถียงกันคือระดับความผิดที่สามารถตำหนิกัปตันเทอร์เนอร์ นี่เป็นประเด็นหลักในการสอบสวนช่วงสงคราม ซึ่งหยิบยกประเด็นที่ว่าเขาขัดคำสั่งของกระทรวงทหารเรือหรือไม่ แม้ในขณะนั้นเขาจะได้รับข้อยกเว้นจากความผิด แต่ในปัจจุบันนักประวัติศาสตร์มีความเห็นไม่ตรงกันว่าการยกเว้นนั้นเหมาะสมหรือไม่ นอกจากนี้เทอร์เนอร์ยังถูกตำหนิเรื่องความไม่พร้อมของเรือ รวมถึงการซ้อมช่วยชีวิตในเรือชูชีพที่คุณภาพต่ำ และการปล่อยให้ช่องหน้าต่างหลายบานเปิดอยู่ ขณะที่คนส่วนใหญ่เห็นด้วยว่าการแล่นเข้าไปในระยะของเรือดำน้ำเป็นเรื่องความโชคร้ายอย่างที่สุด แต่เมื่อมีความเข้าใจที่ทันสมัยมากขึ้นว่าเรืออาจจมลงจากความเสียหายของตอร์ปิโดเพียงอย่างเดียว ระดับที่เทอร์เนอร์อาจทำให้การสูญเสียชีวิตรุนแรงขึ้นก็ยิ่งมีความสำคัญมากขึ้น[178][40]

ยังมีการตั้งข้อสังเกตว่าอาจมีการปกปิดบางอย่างจากฝ่ายเยอรมัน ซึ่งมีจุดสังเกตจากลักษณะบันทึกประจำวันของชวีเกอร์ที่เป็นแบบพิมพ์ดีดและไม่มีลายเซ็นในวันนั้น ซึ่งหมายความว่าอาจมีบันทึกต้นฉบับที่หายไปซึ่งมีรูปแบบตรงกับบันทึกอื่น ๆ ของเขามากกว่า ข้อเสนอหนึ่งคือบันทึกของชวีเกอร์ถูกแก้ไขเพื่อ "ทำให้ดูมีความเป็นมนุษย์" มากขึ้น เนื่องจากผู้บังคับการคนนี้ไม่ได้มีชื่อเสียงในเรื่องการแสดงความเห็นอกเห็นใจต่อเหยื่อของเขามากนัก[218] เพรสตันอธิบายถึงความไม่สอดคล้องกันหลายประการในบันทึกของชวีเกอร์ โดยเสนอว่าบันทึกดังกล่าวแสดงให้เห็นถึง "ความคิดย้อนหลังขององค์กร" ที่มีจุดประสงค์เพื่อแสดงให้เห็นถึงจิตสำนึกของเยอรมันและความไร้ความสามารถของอังกฤษ[219] บันทึกของผู้รอดชีวิตบางคนยังระบุด้วยว่าพวกเขาเห็นเรือดำน้ำลอยขึ้นสู่ผิวน้ำขณะเรือกำลังจม บางส่วนวิจารณ์ว่าเรือดำน้ำไม่ได้ให้ความช่วยเหลือ แม้จะเป็นข้อเรียกร้องที่ไม่สมจริง แต่ก็มีการตั้งข้อสังเกตว่าการลอยขึ้นสู่ผิวน้ำนี้เกิดขึ้นจริง[220]

ซากเรือ

[แก้]

ซากเรือลูซิเทเนียนอนตะแคงทางกราบขวาทำมุมเอียงประมาณ 30 องศาในน้ำทะเลลึก 305 ฟุต (93 เมตร) ตัวเรือยุบตัวลงอย่างมากทางกราบขวาอันเป็นผลมาจากแรงกระแทกที่พุ่งชนพื้นทะเล และตลอดหลายทศวรรษที่ผ่านมา ลูซิเทเนียเสื่อมสภาพเร็วกว่าไททานิคอย่างมีนัยสำคัญเนื่องจากถูกกัดกร่อนจากกระแสน้ำในฤดูหนาว กระดูกงูมีความโค้ง "ผิดปกติ" เป็นรูปบูมเมอแรง ซึ่งอาจเกี่ยวข้องกับการสูญเสียความแข็งแรงจากการที่โครงสร้างส่วนบนของเรือพังทลายลง[221] ความกว้างตัวเรือลดลงเนื่องจากปล่องไฟหายไป สันนิษฐานว่ามาจากการเสื่อมสภาพ[221] หัวเรือเป็นส่วนที่โดดเด่นที่สุดของซากเรือ ส่วนท้ายเรือเสียหายจากการที่บริษัท Oceaneering International นำใบจักร 3 จาก 4 ใบออกใน ค.ศ. 1982 เพื่อนำไปจัดแสดง

ลูซิเทเนียมีลักษณะเด่นที่ยังคงเห็นได้ชัด เช่น ชื่อเรือที่ยังคงอ่านออกได้ เสาผูกเรือบางส่วนที่ยังมีเชือกติดอยู่ ชิ้นส่วนดาดฟ้าเดินเล่นที่พังทลาย ช่องหน้าต่างบางบาน หัวเรือ และใบจักรที่ยังคงเหลืออยู่ การสำรวจซากเรือเมื่อไม่นานมานี้เปิดเผยว่าลูซิเทเนียอยู่ในสภาพทรุดโทรมอย่างน่าประหลาดใจเมื่อเทียบกับไททานิก เนื่องจากตัวเรือได้เริ่มยุบตัวแล้ว[221]

ดูเพิ่ม

[แก้]

อ้างอิง

[แก้]
  1. 1 2 3 4 The official figures give 1195 lost out of 1959, excluding three stowaways who also were lost. The figures here eliminate some repetitions from the list and people subsequently known not to be on board. "Passenger and Crew Statistics". The Lusitania Resource. 12 ธันวาคม 2010. สืบค้นเมื่อ 27 เมษายน 2024.
  2. 1 2 3 4 5 "The Lusitania Resource: Lusitania Passengers & Crew, Facts & History". rmslusitania.info. สืบค้นเมื่อ 14 กุมภาพันธ์ 2018.
  3. 1 2 3 4 5 6 7 8 9 10 11 12 13 14 15 16 17 18 19 20 21 Preston, D (2003). Wilful Murder. The Sinking of the Lusitania. London : Black Swan. ISBN 978-0-552-99886-4.
  4. 1 2 3 The exact number varies across sources. 128 is the official number. Hoehling gives 124, Lusitania's passenger manifest suggests many more, and the Library of Congress gives 123. "The Lusitania Disaster | Articles & Essays | Newspaper Pictorials: World War I Rotogravures, 1914–1919 | Digital Collections | Library of Congress". Library of Congress. สืบค้นเมื่อ 28 ธันวาคม 2021.
  5. 1 2 Douglas Carl Peifer (1 มิถุนายน 2016). Choosing War: Presidential Decisions in the Maine, Lusitania, and Panay Incidents. Oxford University Press. p. 269.
  6. King & Wilson 2015, p. 5.
  7. Manson, Janet Marilyn (1977). International law, German submarines and American policy (วิทยานิพนธ์ Master of Arts). Portland State University. doi:10.15760/etd.2489.
  8. "Remembering the Sinking of the RMS Lusitania". history.com. สืบค้นเมื่อ 15 กุมภาพันธ์ 2018.
  9. 1 2 Watson, Bruce (2006). Atlantic convoys and Nazi raiders. Greenwood. p. 9. ISBN 978-0-275-98827-2.
  10. Simpson p. 60
  11. Layton, J. Kent. Lusitania: An Illustrated Biography (2010, Amberley Books)
  12. Tucker, Spencer; Priscilla Mary Roberts (2005). World War I. ABC-CLIO. pp. 836–837. ISBN 978-1-85109-420-2.
  13. "Memorandum to War Cabinet on trade blockade". The National Archives.
  14. Germany's second submarine campaign against the Allies during the First World War was unrestricted in scope, as was submarine warfare during the Second World War.
  15. Tirpitz, Alfred von (1926). Politische Dokumente vol 2. p. 308.
  16. Manson 1977, pp. 74–82, 91–101.
  17. 1 2 "The Lusitania Resource: War". 26 มีนาคม 2011.
  18. Referred to in Lusitania, by Diana Preston, and Lusitania: An Illustrated Biography by J. Kent Layton (2010, Amberley Books).
  19. Beesly 1982, p. 95.
  20. 1 2 Preston, D. (2002) Lusitania: An Epic Tragedy. New York: Walker & Company.
  21. Bailey, Thomas A.; Ryan, Paul B. (1975). The Lusitania Disaster: An Episode in Modern Warfare and Diplomacy. New York/London: Free Press/Collier Macmillan.
  22. New photographic evidence presented in Lusitania: An Illustrated Biography, by J. Kent Layton (2010, Amberley Books)
  23. Link 1960, p. 355–357.
  24. Link 1960, p. 366–367.
  25. Testimony of A.A. Booth at the Mersey Inquiry.
  26. "Commander Daniel Dow RD, RNR". Dow Family History. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 16 พฤษภาคม 2011. สืบค้นเมื่อ 19 มกราคม 2014.
  27. 1 2 3 Bernstorff, Johann Heinrich von (1920). My Three Years in America. pp. 136–140.
  28. Imperial German Embassy. "Notice to travellers". fas.org.
  29. Bailey & Ryan 1975, pp. 70–71.
  30. "Papers Relating to the Foreign Relations of the United States, The Lansing Papers, 1914–1920, Volume I". Office of the Historian, Foreign Service Institute.
  31. The Lusitania Saga & Myth: 100 Years On ISBN 978-1-473-82176-7 p. 53
  32. "Detective-Inspector William John Pierpoint". 27 มิถุนายน 2011. สืบค้นเมื่อ 15 กุมภาพันธ์ 2018.
  33. Layton, J. Kent: Lusitania: an illustrated biography of the Ship of Splendor, p. 177.
  34. Beesly, p. 101
  35. Beesly pp. 99–100
  36. Molony, Senan (2004). Lusitania, an Irish Tragedy. Cork: Mercier Press. p. 8. ISBN 978-1-85635-452-3.
  37. Beesly p. 103
  38. 1 2 3 Some Original Documents from the British Admiralty, Room 40, regarding the sinking of Lusitania: PhotoCopies from The National Archives in Kew, Richmond, UK
  39. Beesly pp. 103–104
  40. 1 2 3 4 "The Culpability of Captain Turner". The Lusitania Resource. 26 มีนาคม 2011.
  41. 1 2 Bailey & Ryan 1975.
  42. Beesly pp. 104–105
  43. "Lusitania and Mauretania: Cunard's Revolutionary Liners". YouTube. The Great Big Move. สืบค้นเมื่อ 24 กันยายน 2023.
  44. Beesly p. 106
  45. 1 2 Bailey & Ryan 1975, pp. 225.
  46. Ramsay p. 79
  47. Beesly p. 108
  48. Beesly pp. 84–85 (U-20 log entry transcript. Log first published in L'illustration in 1920)
  49. 1 2 "English Translation of His Majesty's Submarine U-20 War Diary".
  50. Bailey & Ryan 1975, pp. 150–161.
  51. Bailey & Ryan 1975, pp. 148.
  52. Beesly
  53. Schmidt, Donald E. (29 มิถุนายน 2005). The Folly of War: American Foreign Policy, 1898–2004. Algora Publishing. p. 70. ISBN 978-0-87586-383-2.
  54. 1 2 3 4 J. Kent Layton. "RMS Lusitania Home".
  55. "Wreck Commissioner's Inquiry – The torpedoing of the ship – The launching of the life-boats". titanicinquiry.org. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 8 กรกฎาคม 2006. สืบค้นเมื่อ 18 กุมภาพันธ์ 2018.
  56. Linnihan, Ellen (2005). Stranded at Sea. Saddleback Educational Publications. p. 32. ISBN 978-1-56254-830-8.
  57. Schapiro, Amy; Thomas H. Kean (2003). Millicent Fenwick. Rutgers University Press. pp. 21–22. ISBN 978-0-8135-3231-8.
  58. The Sinking of the Lusitania: Terror at Sea or ("Lusitania: Murder on the Atlantic") puts this at 14:30, two minutes after Lusitania sank.
  59. Molony, p. 123
  60. Des Hickey and Gus Smith, Seven Days to Disaster: The Sinking of the Lusitania, 1981, William Collins, ISBN 0-00-216882-0
  61. Bernd Langensiepen: Die Legende von Karl Vögeles "Meuterei" auf U 20. In: Marine-Nachrichtenblatt. Das Veröffentlichungsblatt des Arbeitskreises Krieg zur See 1914–18. 3/2012 № 8 pp. 55–60.
  62. "The Lusitania Case".
  63. "Miss Kathleen Kaye (Hannah Ermine Kathleen Kirschbaum)". 27 มิถุนายน 2011. สืบค้นเมื่อ 9 กันยายน 2020.
  64. Mr. William Brodrick-Cloete (5 สิงหาคม 2011). "The Lusitania Resource". Rmslusitania.info. สืบค้นเมื่อ 28 มิถุนายน 2014.
  65. "Mr. Albert Lloyd Hopkins". The Lusitania Resource. 25 กรกฎาคม 2011. สืบค้นเมื่อ 13 พฤษภาคม 2021.
  66. Ramsay pp. 126–128
  67. Beesly p. 111
  68. Beesly p. 97
  69. Ramsay pp. 140–146
  70. Bailey & Ryan 1975, pp. 210–212.
  71. Ramsay pp. 147–149
  72. Bailey & Ryan 1975, p. 217.
  73. Peeke, Mitch; Steven Jones, Kevin Walsh-Johnson (2002). The Lusitania Story. Leo Cooper. ISBN 978-0-85052-902-9.
  74. 1 2 Mersey. "Wreck Commissioner's Inquiry Report".
  75. Simpson 1972, p. 241.
  76. Schrader 1920, p. 314.
  77. Bailey & Ryan 1975, p. 217-221.
  78. Bernstorff 1920, pp. 36–57.
  79. "Sinking Justified, Says Dr. Dernburg; Lusitania a "War Vessel", Known to be Carrying Contraband, Hence Search Was Not Necessary" (PDF). The New York Times. 9 พฤษภาคม 1915. p. 4. Justification of the sinking of the liner Lusitania by German submarines as a man of war was advanced today by Dr. Bernhard Dernburg, former German Colonial Secretary and regarded as the Kaiser's official mouthpiece in the United States. Dr. Dernburg gave out a statement at the Hollenden Hotel following his arrival in Cleveland to address the City Club at noon on Germany's attitude in the present war
  80. The Germans fabricated a non-existent Parliamentary declaration that "practically all British merchant vessels [are] armed and provided with hand grenades" Bailey & Ryan, 1975. p. 244
  81. Halsey, Francis Whiting (1919). The Literary Digest History of the World War. Funk & Wagnalls. p. 255.
  82. Schreiner, George Abel (1918). The Iron Ration: Three Years in Warring Central Europe. Harper & Brothers. p. 314.
  83. Schrader, Frederick Franklin (1920). 1683–1920. Concord Pub. Co., Inc. p. 242.
  84. Ernest K. May. The World War and American isolationism. pp. 205–6.
  85. Gilbert, Martin First World War (1994) pp. 157–158 [ไอเอสบีเอ็น ไม่มี]
  86. "The Ambassador in Germany (Gerard) to the Secretary of State". 13 กรกฎาคม 1915.
  87. "Karl Xaver Goetz". KarlGoetz.com. สืบค้นเมื่อ 24 เมษายน 2024.
  88. "Kiwis at War". NZ Army Museum. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 25 กรกฎาคม 2015. สืบค้นเมื่อ 22 เมษายน 2015.
  89. 1 2 3 Burns, G. (2003). "Excerpt from The Lusitania Medal and its Varieties". LusitaniaMedal.com. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 3 มีนาคม 2012.
  90. One from Emile Henry Lacombe appeared in the New York Times in 1917. "A NEW THEORY OF THE LUSITANIA SINKING.; The Evidence of the German Medal Dated May 5 and the Report of the Explosive "Cigars" on Board" (PDF). สืบค้นเมื่อ 15 กุมภาพันธ์ 2018.
  91. "Lusitania Sunk by a Submarine, Probably 1,260 Dead". The New York Times. 8 พฤษภาคม 1915. p. 1. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 9 มิถุนายน 2019. สืบค้นเมื่อ 9 มิถุนายน 2019.
  92. 1 2 Jones, Howard (2001). Crucible of Power: A History of U.S. Foreign Relations Since 1897. Rowman & Littlefield. p. 73. ISBN 978-0-8420-2918-6.
  93. Bernstorff 1920, pp. 140–147.
  94. Bernstorff 1920, pp. 143–144.
  95. "SS Orduna in dazzle camouflage, diorama model". National Museums Liverpool.
  96. "Lusitania was unarmed" (PDF). New York Times. 10 พฤษภาคม 1915.
  97. Doswald-Beck, Louise; International Institute of Humanitarian Law (1995). San Remo Manual on International Law Applicable to Armed Conflicts at Sea. Cambridge University Press. p. 124. ISBN 978-0-521-55864-8.
  98. 1 2 "Lusitania was Unarmed" (PDF). New York Times. 10 พฤษภาคม 1915.
  99. "Lusitania Controversy – Armament and Cargo". gwpda.org.
  100. Jeanette Keith (2004). Rich Man's War, Poor Man's Fight: Race, Class, and Power in the Rural South during the First World War. U. of North Carolina Press. pp. 1–5. ISBN 978-0-8078-7589-6.
  101. Gilbert, Martin First World War (1994) p. 157 [ไอเอสบีเอ็น ไม่มี]
  102. "The Secretary of State to President Wilson". 10 พฤษภาคม 1915.
  103. Zieger, Robert H. (1972). America's Great War. Rowman & Littlefield. pp. 24–25. ISBN 978-0-8476-9645-1.
  104. Manson 1977, pp. 110–125.
  105. "This government has already taken occasion to inform the Imperial German government that it cannot admit the adoption of such measures or such a warning of danger to operate as in any degree an abbreviation of the rights of American shipmasters or of American citizens bound on lawful errands as passengers on merchant ships of belligerent nationality; and that it must hold the Imperial German government to a strict accountability for any infringement of those rights, intentional or incidental." "U.S. Protest over the Sinking of the Lusitania". 28 พฤศจิกายน 2010.
  106. Baker, Ray Stannard (1935). Woodrow Wilson: Life and letters; Neutrality 1914-1915. Vol. 5. pp. 349–350.
  107. 1 2 Manson 1977, pp. 124–125.
  108. 1 2 "Second U.S. Protest over the Sinking of the Lusitania". 28 พฤศจิกายน 2010.
  109. Manson 1977, p. 130.
  110. "It is manifestly possible, therefore, to lift the whole practice of submarine attack above the criticism which it has aroused and remove the chief causes of offence. [...] Repetition by the commanders of German naval vessels of acts in contravention of those rights must be regarded by the Government of the United States, when they affect American citizens, as deliberately unfriendly." "Third U.S. Protest over the Sinking of the Lusitania". 28 พฤศจิกายน 2010.
  111. Manson 1977, pp. 121.
  112. Ritter 1972, pp. 132–133.
  113. 1 2 Ritter 1972, pp. 147–150.
  114. 1 2 Gardiner, Robert; Randal Gray, Przemyslaw Budzbon (1985). Conway's All the World's Fighting Ships 1906–1921. Conway. p. 137. ISBN 978-0-85177-245-5.
  115. Link 1960, pp. 580–585.
  116. Ritter 1972, pp. 166–173.
  117. Protasio, John. (2011). The Day the World was Shocked; The Lusitania Disaster and Its Influence on the Course of World War I pp. 200–201, Casemate Publications (US) ISBN 978-1-935149-45-3
  118. Rea, Tony; John Wright (1997). International Relations 1914–1995. Oxford University Press. p. 196. ISBN 978-0-19-917167-5.
  119. Robert V. Banks (1969). British propaganda: Its impact on America in World War I (วิทยานิพนธ์).
  120. Preston 2003, p. 450.
  121. "The Ambassador in Great Britain (Page) to the Secretary of State". 11 พฤษภาคม 1915.
  122. 1 2 Quinn, Patrick J. (2001). The Conning of America. Rodopi. pp. 54–55. ISBN 978-90-420-1475-6.
  123. Cull, Nicholas John; David Holbrook Culbert, David Welch (2003). Propaganda and Mass Persuasion. ABC-CLIO. p. 124. ISBN 978-1-57607-820-4.
  124. Ponsonby, Arthur (2005). Falsehood in War Time: Containing an Assortment of Lies Circulated Throughout the Nations During the Great War. Kessinger Publishing. pp. 124–125. ISBN 978-1-4179-2421-9.
  125. Besly, Edward; National Museums & Galleries of Wales (1997). Loose Change. National Museum of Wales. p. 55. ISBN 978-0-7200-0444-1. (Original propaganda leaflet)
  126. White, Horace (5 พฤษภาคม 1916). "More Schrectlichkeit" (PDF). New York Times. p. 10. [sic – author misspelled Schrecklichkeit]
  127. Catalogue entry on the Royal Museums Greenwich website.
  128. "Bedfordshire Lusitania survivor keeps story alive". BBC. 6 พฤษภาคม 2010. สืบค้นเมื่อ 16 ตุลาคม 2014.
  129. "No. 42314". The London Gazette. 28 มีนาคม 1961. p. 2345.
  130. "1915". Genarians. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 22 มีนาคม 2016. สืบค้นเมื่อ 25 กุมภาพันธ์ 2009.
  131. Theisen, Earl (1967) [1933]. "The History of the Animated Cartoon". ใน Fielding, Raymond (บ.ก.). A Technological History of Motion Pictures and television. University of California Press. pp. 84–87. ISBN 978-0-520-00411-5.
  132. "TV show to reveal secrets of Lusitania". The Independent. 15 กรกฎาคม 2012. สืบค้นเมื่อ 1 มิถุนายน 2018.
  133. Picture taken while Lusitiana was sinking
  134. "Real Photos from Lusitania's Sinking | These Pictures Survived the Disaster". YouTube. 17 กันยายน 2023.
  135. "Lusitania: The Greyhound's Wake – HFX Studios". สืบค้นเมื่อ 25 ธันวาคม 2023.
  136. "Lusitania Propeller". iwm.org.uk. สืบค้นเมื่อ 25 พฤษภาคม 2021.
  137. "Propeller from RMS Lusitania on display at Hilton Anatole in Dallas". dallasnews.com. 19 สิงหาคม 2012.
  138. "Lusitania Propeller". 10 มิถุนายน 2013.
  139. "R.M.S. Lusitania: a Limited Edition set of Lusitania Legacy golf clubs". bonhams.com. 13 พฤษภาคม 2015.
  140. "The Davit". oldheadofkinsale.com. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 14 มิถุนายน 2021. สืบค้นเมื่อ 25 พฤษภาคม 2021.
  141. "Lusitania propeller in Dallas". The Southern Star. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 24 กันยายน 2015. สืบค้นเมื่อ 1 มีนาคม 2015.
  142. Marceleno, Tatiana (19 สิงหาคม 2012). "Propeller from RMS Lusitania on display at Hilton Anatole in Dallas". The Dallas Morning News. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 4 มีนาคม 2016. สืบค้นเมื่อ 1 มีนาคม 2015.
  143. "Seven Days in May". HarperCollins Canada. สืบค้นเมื่อ 15 เมษายน 2021.
  144. "The Glass Ocean". HarperCollins. สืบค้นเมื่อ 16 เมษายน 2021.
  145. Butler, David (1982). Lusitania.
  146. Joshi, S.T. (1981). H.P. Lovecraft and Lovecraft Criticism: An Annotated Bibliography. Kent State University Press. p. 1. ISBN 978-0-87338-248-9.
  147. Morpurgo, Michael (24 กันยายน 2014). "How the sinking of the Lusitania inspired my new book". The Guardian.
  148. "Pianists Celebrate Wartime Composers". Canberra Times. 8 พฤษภาคม 2014. สืบค้นเมื่อ 3 กรกฎาคม 2014.
  149. "Proms Seasons: 1915 Season". BBC Radio. 2014. สืบค้นเมื่อ 27 มิถุนายน 2014.
  150. Kirkpatrick, John (1973). Charles E. Ives: Memos. London: Calder & Boyars. ISBN 978-0-7145-0953-2
  151. Kalafus, Jim; Poirier, Michael (2005). "Lest We Forget Part 2: As The Lusitania Went Down". Encyclopedia Titanica. Gare Maritime.
  152. As the Lusitania went down. F.K. Root & Co. 1915.
  153. "As the Lusitania Went Down" (PDF). The Music Trade Review. 29 พฤษภาคม 1915.
  154. McCarron, Charles; Vincent, Nat (1915). "When the Lusitania went down". Library of Congress.
  155. Stuart, Herbert. "When the Lusitania Went Down" โดยทาง Internet Archive.
  156. 1 2 F. Cyril James (1927). "Modern Developments of the Law of Prize". University of Pennsylvania Law Review and American Law Register. 75 (6): 505–526. doi:10.2307/3307534. JSTOR 3307534.
  157. Mallison, Sally V.; Mallison, W. Thomas (1991). "Naval targeting: lawful objects of attack". International Law Studies. 64.
  158. O'Connell, Daniel Patrick (1975). The influence of law on sea power. Manchester University Press ND. p. 45. ISBN 978-0-7190-0615-9.
  159. Ritter 1972, pp. 126–129.
  160. Potter, Elmer Belmont; Roger Fredland, Henry Hitch Adams (1981). Sea Power: A Naval History. Naval Institute Press. p. 223. ISBN 978-0-87021-607-7.
  161. Ritter, p. 132
  162. "Copy of instructions to merchant captains as issued by the Admiralty".
  163. Beesly 1982, p. 94.
  164. Bailey & Ryan 1975, pp. 53, 330.
  165. Ritter, pp. 123, 173
  166. Link 1960, pp. 362–364, 381–383, 412–415.
  167. Ritter 1972, pp. 148.
  168. 1 2 3 4 Layton, J Kent (2016). "The Second Explosion". Conspiracies at Sea: Titanic and Lusitania.
  169. 1 2 3 "The Second Explosion". The Lusitania Resource. 26 มีนาคม 2011.
  170. 1 2 "RMS Lusitania | Sinking and Inquiry". titanicandco.com.
  171. "Shipwreck of the Cunard Line – Lusitania". cunardshipwrecks.com. สืบค้นเมื่อ 15 กุมภาพันธ์ 2018.
  172. 1 2 3 O'Sullivan 2000, pp. 130–139.
  173. 1 2 "British 'Not to Blame' for Rapid Sinking and Loss of Life on Liner RMS Lusitania, Find Underwater Researchers". The Daily Telegraph. 1 กรกฎาคม 2012. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 12 มกราคม 2022. สืบค้นเมื่อ 6 ธันวาคม 2020.
  174. Ballard, Robert D. (2007). Robert Ballard's Lusitania : probing the mysteries of the sinking that changed history. pp. 194–195.
  175. "Lost Liners – Lusitania, paragraph 10". PBS. สืบค้นเมื่อ 7 พฤษภาคม 2009.
  176. Layton, J. Kent (2007). Lusitania: An Illustrated Biography of the Ship of Splendor. p. 194
  177. 1 2 "Lusitania Controversy: The Sinking". Gwpda.org. 17 เมษายน 1999. สืบค้นเมื่อ 19 พฤษภาคม 2009.
  178. "Animations & Simulations/ R.M.S. Lusitania". JMS Naval Architects & Salvage Engineers. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 10 มีนาคม 2009.
  179. 1 2 Beesly 1982, p. 90.
  180. 1 2 Schmidt 2005, p. 71.
  181. "It is most important to attract neutral shipping to our shores, in the hope especially of embroiling the U.S. with Germany. The German formal announcement of indiscriminate submarining has been made to the United States to produce a deterrent effect on traffic. For our part we want the traffic—the more the better & if some of it gets into trouble better still. Therefore do please furbish up at once your insurance offer to neutrals trading with us after February 18th. The more that come, the greater our safety & the German embarrassment." Cameron Hazlehurst (1971). Politicians at War: July 1914 to May 1915. pp. 188–89.
  182. Beesly 1982, Chapter 7.
  183. Steiger, Brad; Steiger, Sherry Hansen (2006). Conspiracies and Secret Societies: The Complete Dossier. OMNIGRAPHICS. ISBN 978-0-7808-0921-5. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 3 กรกฎาคม 2023. สืบค้นเมื่อ 3 กรกฎาคม 2023.
  184. Preston, Diana (2002a). Lusitania: An Epic Tragedy. Waterville: Thorndike Press. p. 384. ISBN 0-80271375-0. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 3 กรกฎาคม 2023. สืบค้นเมื่อ 17 มีนาคม 2015.
  185. 1 2 Keith Allen. "Lusitania Controversy: Warning and conspiracy".
  186. Langworth, Richard M. (2017). Winston Churchill, Myth and Reality: What he actually did and said. McFarland. p. 69. ISBN 978-1-4766-6583-2.
  187. "The Lusitania Resource: Conspiracy or Foul-Up?". 26 มีนาคม 2011.
  188. Indeed, US officials discussed the "disturbing possibilities" of Germany provoking war for its own advantage. "The Secretary of State to President Wilson". 3 เมษายน 1915.
  189. Tirpitz, p. 308
  190. "Papers Relating to the Foreign Relations of the United States, The Lansing Papers, 1914–1920, Volume I – Office of the Historian". history.state.gov.
  191. "Sinking RMS Lusitania: A Long-Lived Conspiracy Theory". The Churchill Project. 24 กันยายน 2020.
  192. Bailey & Ryan 1975, pp. 188–191.
  193. Nimrod Tal (2018). "Putting Out the "Embers of This Resentment"". Journal of the Civil War Era. 8 (1): 92–93. JSTOR 26381504.
  194. Hoehling & Hoehling 1956, p. 27.
  195. Mullally, Erin (มกราคม–กุมภาพันธ์ 2009). "Lusitania's Secret Cargo". Archaeology. Archaeological Institute of America. 62 (1). เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 20 กุมภาพันธ์ 2014. สืบค้นเมื่อ 25 กุมภาพันธ์ 2014.
  196. Larson, Erik (2015). Dead Wake. Crown. ISBN 978-0-307-40886-0.
  197. Ministry of Munitions (1922). "Part VI: Small arms ammunition". History of the Ministry of Munitions: The Supply of Munitions. Vol. 11. p. 38.
  198. Danver, Steven L (2010). Popular Controversies in World History: Investigating History's Intriguing Questions. ABC-CLIO. p. 114. ISBN 978-1-59884-078-0. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 3 กรกฎาคม 2023. สืบค้นเมื่อ 3 กรกฎาคม 2023.
  199. "The Home Port of RMS Lusitania". Lusitania.net.
  200. Simpson, Colin (13 ตุลาคม 1972). "Lusitania". Life Magazine. p. 68. สืบค้นเมื่อ 17 มีนาคม 2015.
  201. "Did Britain doom the Lusitania?". BBC History Magazine. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 24 กุมภาพันธ์ 2017. สืบค้นเมื่อ 23 กุมภาพันธ์ 2017 โดยทาง History Extra. Government papers released in 2014, and recent dives on the wreck, have confirmed that the Germans were right all along: the ship was indeed carrying war material.
  202. Sides, Hampton; Goodwin Sides, Anne (มกราคม 2009). "Lusitania Rising". Men's Vogue. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 31 พฤษภาคม 2009.
  203. Simpson 1972, p. 11.
  204. "The Secretary of State to President Wilson, May 9, 1915".
  205. Bailey & Ryan 1975, p. 319.
  206. Regulation 18 of the Defence of the Realm Acts, "No. 28990". The London Gazette. 27 พฤศจิกายน 1914. pp. 10135–6.
  207. "The German Excuse; Blame officially put on Great Britain; Cargo of Contraband". The Times. 10 พฤษภาคม 1915.
  208. In particular, in reference to the German contention that otherwise, the ship could have been sunk without endangering the passengers. Bailey & Ryan 1975, p. 253
  209. Preston 2003, p. 443.
  210. Layton, J Kent (2016). "Secret Cargoes & Armament". Conspiracies at Sea: Titanic and Lusitania.
  211. Bailey & Ryan 1975, pp. 102–113.
  212. O'Sullivan 2000, pp. 94–95.
  213. King & Wilson 2015, p. 299.
  214. Sides & Goodwin Sides 2009.
  215. 1 2 Ballard 2007.
  216. Layton, J Kent (2016). "Destroying the Evidence". Conspiracies at Sea: Titanic and Lusitania.
  217. Bailey & Ryan 1975, pp. 158–161.
  218. Preston 2003, pp. 474–476.
  219. Layton, J Kent (2016). "Surfacing". Conspiracies at Sea: Titanic and Lusitania.
  220. 1 2 3 Bishop, Leigh (2003). "Return to Lusitania". Advanced Diver Magazine (13). สืบค้นเมื่อ 1 พฤษภาคม 2011.

หนังสืออ่านเพิ่ม

[แก้]

แหล่งข้อมูลอื่น

[แก้]