ข้ามไปเนื้อหา

จักรพรรดิโยเซ็ฟที่ 2 แห่งจักรวรรดิโรมันอันศักดิ์สิทธิ์

จากวิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี
จักรพรรดิโยเซ็ฟที่ 2
พระบรมสาทิสลักษณ์โดย
อันโทน ฟอน มารอน ป.1775
จักรพรรดิโรมันอันศักดิ์สิทธิ์ (อ่านต่อ...)
ครองราชย์18 สิงหาคม 1765 – 20 กุมภาพันธ์ 1790
ราชาภิเษก3 เมษายน 1764 (แฟรงก์เฟิร์ต)
ก่อนหน้าจักรพรรดิฟรันทซ์ที่ 1
ถัดไปจักรพรรดิเลโอพ็อลท์ที่ 2
ผู้ว่าราชการ
(ในเนเธอร์แลนด์ของฮาพส์บวร์ค)
พระราชสมภพ(1741-03-13)13 มีนาคม 1741
พระราชวังเชินบรุน, เวียนนา, ออสเตรีย
สวรรคต20 กุมภาพันธ์ ค.ศ. 1790(1790-02-20) (48 ปี)
เวียนนา, ออสเตรีย
ฝังพระศพอิมพิเรียล คริปต์
คู่อภิเษก
พระราชบุตร
อาร์ชดัชเชสมารีอา เทเรซีอา
อาร์ชดัชเชสมารีอา คริสทีนา
ราชวงศ์ฮาพส์บวร์ค-ลอแรน
พระราชบิดาจักรพรรดิฟรันทซ์ที่ 1 แห่งจักรวรรดิโรมันอันศักดิ์สิทธิ์
พระราชมารดาจักรพรรดินีมาเรีย เทเรซา
ลายพระอภิไธย

จักรพรรดิโยเซ็ฟที่ 2 พระนามเต็ม โยเซ็ฟ เบเนดิกท์ อันโทน มีชาเอิล อาดัม (เยอรมัน: Josef Benedikt Anton Michael Adam}) เป็นจักรพรรดิโรมันอันศักดิ์สิทธิ์ ระหว่างปี 1765 จนกระทั่งสวรรคต และทรงเป็นผู้ปกครองแผ่นดินฮาพส์บวร์ค ระหว่างปี 1780 จนกระทั่งสวรรคต พระองค์เป็นพระราชโอรสองค์ใหญ่ในจักรพรรดินีมาเรีย เทเรซา กับ จักรพรรดิฟรันทซ์ที่ 1 และเป็นพระเชษฐาในมารี อ็องตัวแน็ต อัครมเหสีในพระเจ้าหลุยส์ที่ 16

ในฐานะจักรพรรดิโรมันอันศักดิ์สิทธิ์ พระองค์ทรงเป็นผู้ปกครองดินแดนประเทศราชของออสเตรียพระองค์แรก ที่มีเชื้อสายมาจากฮาพส์บวร์คผ่านทางพระราชมารดา ในช่วงรัชกาลของพระองค์ ทรงใช้การปกครองแบบสมบูรณาญาสิทธิราชย์อันทรงภูมิธรรม ตัวพระองค์ถูกเปรียบว่าเทียบได้กับ เยกาเจรีนามหาราชินี แห่งรัสเซีย และ ฟรีดริชมหาราช แห่งปรัสเซีย เป็นหนึ่งในสามกษัตริย์ผู้รุ่งโรจน์แห่งยุค พระองค์เสร็จสวรรคตโดยปราศจากรัชทายาท ดังนั้นผู้สืบราชบัลลังก์ต่อคือพระอนุชาของพระองค์ แกรนด์ดยุกเพเทอร์ เลโอพ็อลท์

การปฏิรูปจักรวรรดิ

[แก้]

โยเซ็ฟที่ 2 เป็นหนึ่งในผู้นำที่มีแนวคิดสมัยใหม่มากที่สุดในยุโรปในยุคเรืองปัญญา พระองค์พยายามเปลี่ยนแปลงจักรวรรดิของราชวงศ์ฮาพส์บวร์คให้หลุดพ้นจากกรอบของรัฐศักดินาแบบเก่า และก้าวเข้าสู่ระเบียบใหม่ที่มีประสิทธิภาพ โปร่งใส และยุติธรรมมากขึ้น โยเซ็ฟที่ 2 มองว่ารัฐควรเป็นผู้ดูแลผลประโยชน์ของประชาชนอย่างแท้จริง และพยายามใช้อำนาจจักรพรรดิผลักดันการปฏิรูป โดยไม่ผ่านการเจรจาหรือกลไกของชนชั้นสูงหรือท้องถิ่นแบบเดิม

หนึ่งในนโยบายที่โดดเด่นคือการปฏิรูปศาสนาและการศึกษา พระองค์ลดอำนาจของคริสตจักรคาทอลิก โดยยุบคณะนักบวชที่ไม่เน้นงานสังคม เช่น การสอนหรือดูแลผู้ป่วย พร้อมออกพระราชกฤษฎีกาขันติธรรม (Toleranzedikt) ในปี 1781 เพื่อขยายเสรีภาพทางศาสนาให้แก่โปรเตสแตนต์และชาวยิวในจักรวรรดิ โยเซฟยังส่งเสริมการศึกษาแบบรัฐ แทนที่ระบบโรงเรียนที่ผูกกับศาสนา โดยหวังให้พลเมืองกลายเป็น “ราษฎรผู้มีเหตุผล”

นอกจากนี้ พระองค์ยังมุ่งลดอำนาจของชนชั้นขุนนางและระบบไพร่ในดินแดนต่างๆ เช่น โบฮีเมียและฮังการี มีความพยายามยกเลิกแรงงานเกณฑ์ต่อชาวนา และจัดระบบราชการให้มีมาตรฐานเดียวกันทั้งจักรวรรดิ แต่ทว่าความทะเยอทะยานในการปฏิรูปกลับกลายเป็นจุดอ่อน เมื่อโยเซ็ฟดำเนินนโยบายอย่างรวดเร็วและแข็งกร้าวเกินไป ไม่คำนึงถึงความหลากหลายของชาติพันธุ์ ภาษา และธรรมเนียมในจักรวรรดิอันกว้างใหญ่ การออกกฎหมายกลางสำหรับดินแดนที่มีวัฒนธรรมแตกต่างกันจึงกลายเป็นการลิดรอนสิทธิของท้องถิ่น จนเกิดแรงต่อต้านรุนแรงในฮังการี เนเธอร์แลนด์ของออสเตรีย และประเทศราชอื่นๆ

สงครามกับออตโตมัน

[แก้]

สถานการณ์ยิ่งเลวร้ายลงเมื่อพระองค์ตัดสินใจเข้าร่วมสงครามกับจักรวรรดิออตโตมันระหว่างปี 1787–1790 โดยจับมือกับจักรพรรดินีเยกาเจรีนาแห่งรัสเซีย แม้สงครามจะมีเป้าหมายเชิงยุทธศาสตร์และดินแดน แต่กลับกลายเป็นหายนะทางเศรษฐกิจ ภายหลังการเกณฑ์ทหาร ภาษีที่เพิ่มขึ้น และผลผลิตเสียหายในปี 1788–89 ชาวเวียนนาจึงลุกฮือจากความอดอยาก เกิดจลาจลเรื่องขนมปัง และหนี้สาธารณะพุ่งสูงถึง 400 ล้านกิลเดนในปีสุดท้ายแห่งรัชสมัย ทำให้ความนิยมในตัวพระองค์ลดต่ำลงอย่างรวดเร็ว

เมื่อใกล้สวรรคต โยเซฟที่ 2 จำต้องยกเลิกนโยบายหลายอย่างที่เคยประกาศไว้ พระองค์ทรงตระหนักถึงความล้มเหลวและกล่าวไว้ในช่วงท้ายชีวิตว่า “ข้าพเจ้าล้มเหลวในทุกสิ่ง” เป็นถ้อยคำสะท้อนถึงความเจ็บปวดของผู้ปกครองที่ตั้งใจจะเปลี่ยนแปลงโลก แต่ถูกโลกแห่งความจริงต้านกลับอย่างรุนแรง อย่างไรก็ดี แม้นโยบายหลายอย่างของพระองค์จะไม่ประสบความสำเร็จในระยะสั้น แต่ก็ได้วางรากฐานแนวคิดเสรีภาพ เสมอภาค และรัฐสมัยใหม่ที่ส่งอิทธิพลยาวนานในยุโรปกลางและตะวันออก

การอุปถัมภ์ศิลปกรรม

[แก้]

จักรพรรดิโยเซฟที่ 2 มีบทบาทสำคัญในฐานะผู้ส่งเสริมศิลปวัฒนธรรมแห่งยุค ท่ามกลางแรงกดดันของการปฏิรูปและสงคราม โยเซฟยังคงให้การสนับสนุนแก่ศิลปิน การดนตรี และโรงละครอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะในกรุงเวียนนา ซึ่งกลายเป็นศูนย์กลางทางวัฒนธรรมของยุโรปในปลายศตวรรษที่ 18 พระองค์ให้ความอุปถัมภ์แก่คีตกวีเอกหลายคน โดยเฉพาะว็อล์ฟกัง อมาเดอุส โมทซาร์ท ซึ่งสร้างสรรค์ผลงานโอเปร่าเรื่อง Die Entführung aus dem Serail และ Le nozze di Figaro แม้ความสัมพันธ์ของโมทซาร์ทกับราชสำนักจะไม่ราบรื่นในระยะยาว แต่ถือได้ว่าทรงเปิดโอกาสให้ดนตรีแนวใหม่ได้มีพื้นที่แสดงออกในระดับราชสำนัก

ในด้านโรงละคร โยเซฟทรงสนับสนุนให้ใช้ภาษาเยอรมันในงานโอเปร่าและการแสดงแทนที่ภาษาละตินหรืออิตาลีซึ่งเคยเป็นภาษาหลักในราชสำนัก การส่งเสริมนี้ไม่เพียงแต่เป็นการสนับสนุนศิลปะ แต่ยังสะท้อนถึงแนวคิดชาตินิยมและความพยายามสร้างอัตลักษณ์ร่วมของประชาชนในอาณาจักร นอกจากนี้ พระองค์ยังส่งเสริมการก่อตั้งพิพิธภัณฑ์และสถาบันทางวัฒนธรรม เปิดคลังสะสมศิลปะให้ประชาชนเข้าชมได้บางส่วน ซึ่งนับเป็นแนวคิดใหม่ในยุคที่ศิลปะเคยจำกัดอยู่เฉพาะในกลุ่มชนชั้นสูง

ฐานันดรและอิสริยยศ

[แก้]
ตราอาร์มใหญ่
  • 13 มีนาคม 1741 – 4 เมษายน 1764: พระราชกุมารและอาร์ชดยุกแห่งออสเตรีย พระราชกุมารแห่งฮังการีและโบฮีเมีย
  • 4 เมษายน 1764 – 18 สิงหาคม 1765: กษัตริย์แห่งชาวโรมัน
  • 18 สิงหาคม 1765 – 20 กุมภาพันธ์ 1790: จักรพรรดิโรมันอันศักดิ์สิทธิ์

อ้างอิง

[แก้]
ก่อนหน้า จักรพรรดิโยเซ็ฟที่ 2 แห่งจักรวรรดิโรมันอันศักดิ์สิทธิ์ ถัดไป
ฟรันทซ์ที่ 1 จักรพรรดิโรมันอันศักดิ์สิทธิ์
ค.ศ. 1780 – ค.ศ. 1790

เลโอพ็อลท์ที่ 2
ฟรันทซ์ที่ 1 อาร์ชดยุกแห่งออสเตรีย
ค.ศ. 1780 – ค.ศ. 1790

เลโอพ็อลท์ที่ 2