ข้ามไปเนื้อหา

ประวัติศาสตร์จังหวัดภูเก็ต

จากวิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี
ตราประจำจังหวัดภูเก็ต

ในประวัติศาสตร์ไทย ภูเก็ตเป็นส่วนหนึ่งของอาณาจักรตามพรลิงก์ ต่อมาจนถึงสมัยอาณาจักรศิริธรรมนคร เรียกเกาะภูเก็ตว่า เมืองตะกั่วถลาง เป็นเมืองที่ 11 ใน 12 เมืองนักษัตร โดยใช้ตราเป็นรูปสุนัข จนถึงสมัยสุโขทัย เมืองถลางไปขึ้นกับเมืองตะกั่วป่า ในสมัยอยุธยา ชาวฮอลันดามาสร้างสถานที่เก็บสินค้าเพื่อรับซื้อแร่ดีบุกจากเมืองภูเก็ต

ในรัชสมัยของพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลก ได้เกิดสงครามเก้าทัพขึ้น พระเจ้าปดุง กษัตริย์ของประเทศพม่าในสมัยนั้น ได้ให้แม่ทัพยกทัพมาตีหัวเมืองปักษ์ใต้ เช่น ไชยา นครศรีธรรมราช และให้ยี่หวุ่นนำกำลังทัพเรือพล 3,000 คนเข้าตีเมืองตะกั่วป่า เมืองตะกั่วทุ่ง และเมืองถลาง ซึ่งขณะนั้นเจ้าเมืองถลาง (พระยาพิมลอัยาขัน) เพิ่งถึงแก่อนิจกรรม ท่านผู้หญิงจัน ภรรยา และคุณมุก น้องสาว จึงรวบรวมกำลังต่อสู้กับพม่าจนชนะเมื่อวันที่ 13 มีนาคม พ.ศ. 2328 พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราชจึงทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้ท่านผู้หญิงจันเป็น ท้าวเทพกระษัตรี และคุณมุกเป็นท้าวศรีสุนทร

ในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ได้รวบรวมหัวเมืองชายทะเลตะวันตกตั้งเป็น มณฑลภูเก็จ และเมื่อปี พ.ศ. 2476 ได้ยกเลิกระบบมณฑลเทศาภิบาล เปลี่ยนมาเป็น จังหวัดภูเก็ต จนถึงปัจจุบัน

ชื่อของภูเก็ต

[แก้]

ภูเก็ตในประวัติศาสตร์เป็นที่ตั้งของ"เมืองถลาง" ส่วนในเอกสารตะวันตกนั้นเกาะภูเก็ตเป็นที่รู้จักในนามว่า "จังก์ซีล็อน" (Junk Ceylon)[1] ซึ่งมาจากชื่อภาษาโปรตุเกสที่ปรากฏในเอกสารโปรตุเกสว่าโจนซาลัม (Jonsalam) โจนซาลัน (Jonsalan) หรือจุนซาเลา (Junsalão)[1] ซึ่งคำเรียกชื่อในภาษาโปรตุเกสเหล่านี้ มาจากชื่อในภาษามลายูว่า "อุหยงซาลัง" (Ujong Salang)[1][2] แปลว่า "แหลมซาลัง" ซึ่งหมายถึงแหลมปลายสุดทางทิศใต้ของเกาะภูเก็ต ในขณะที่เอกสารฝ่ายไทยเรียกว่า "ฉลาง" หรือ "ถลาง" มะโรงมหาวงศ์ (Merong Mahawangsa) หรือพงศาวดารไทรบุรี เรียกเกาะถลางว่า "ปูเลาซาลัง" (Pulau Salang)[2] แปลว่า "เกาะซาลัง" ซึ่งคำว่าซาลัง ฉลาง และถลาง ล้วนแต่มีที่มาเดียวกัน แต่ทว่าทั้งคำว่าซาลัง ฉลาง และถลาง ล้วนแต่เป็นคำที่ไม่มีความหมายทั้งในภาษาไทยและภาษามลายู เจรินีสันนิษฐานว่า คำว่า ซาลัง ฉลาง ถลาง เหล่านี้ มาจากภาษาของชาวซาไกหรือชาวเซมัง ซึ่งเป็นชนพื้นเมืองท้องถิ่นแต่เดิมของคาบสมุทรมลายู เป็นภาษาในกลุ่มออสโตรเอเชียติก[1]

ที่มาของชื่อ "ภูเก็ต" มีอยู่หลายทฤษฎี บางทฤษฎีระบุว่าคำว่าภูเก็ตมาจากคำว่า"บูกิต" (Bukit) ในภาษามลายู แปลว่าภูเขา ชื่อเมืองภูเก็ตเริ่มปรากฏในสมัยรัตนโกสินทร์ตอนต้น[3] สะกดว่า "ภูเก็จ" แปลว่า ภูเขาแก้ว[3] ซึ่งสัมพันธ์กับชื่อตำแหน่งราชทินนามของเจ้าเมืองถลาง"พระยาเพชรคีรีฯ" แปลว่า ภูเขาเพชร ต่อมาในช่วงปลายสมัยรัชกาลที่ 5 จนถึงสมัยรัชกาลที่ 6 มีการเปลี่ยนการสะกดจาก"ภูเก็จ" เป็น"ภูเก็ต"

ประวัติศาสตร์สมัยต้น

[แก้]

ยุคก่อนประวัติศาสตร์

[แก้]

การค้นหาหลักฐานร่องรอยของมนุษย์ก่อนประวัติศาสตร์ในภูเก็ต ไม่ได้พบหลักฐานที่อยู่อาศัย เช่น ถ้ำหรือเพิงผา คงพบแต่เครื่องมือหิน โดยเฉพาะขวานหินขัดหรือที่ชาวบ้านเรียกว่าขวานฟ้าแต่มีลักษณะไม่สมบูรณ์นัก ที่ได้พบจากเหมืองแร่และใต้พื้นดินที่ทับถมกันมานาน ในเรื่องถิ่นที่อยู่อาศัยในเกาะภูเก็ตนั้นมีความเปลี่ยนแปลงทางสภาพภูมิศาสตร์มากกว่าพังงาและกระบี่ ซึ่งถ้ำหรือเพิงผาอาจถูกลมมรสุมตะวันตกเฉียงใต้ทำลายจนไม่เหลือหลักฐาน

ชนเผ่าดั้งเดิมของภูเก็ตนั้น นักประวัติศาสตร์และนักโบราณคดีส่วนใหญ่มีความเห็นว่าชนเผ่าดั้งเดิมที่พบเห็นได้ในปัจจุบันในคาบสมุทรมลายูได้แก่ ชาวซาไก (Sakai) และชาวเลหรือชาวน้ำ (C'hau Nam) ชาวซาไกซึ่งมีลักษณะคล้ายพวกเซมัง (Semang) ซึ่งปัจจุบันอาศัยอยู่ทางตะวันตกของคาบสมุทรมลายู สันนิษฐานว่าชาวซาไกได้เดินทางมาตั้งถิ่นฐานในบริเวณเกาะถลาง (ภูเก็ต) ต่อมาได้มีชนชาติมอญจากพะโคมาอยู่ในดินแดนแถบนี้คือ พวกเซลัง (Selang หรือ Salon) กลุ่มคนพวกนี้ชำนาญในการดำน้ำ จึงเรียกว่าชาวน้ำ (C'hau Nam) กลุ่มคนพวกนี้ยังอาศัยอยู่ในหลายเกาะแถบอันดามันจนถึงปัจจุบัน แต่ชาวซาไกปัจจุบันไม่พบในจังหวัดภูเก็ต เนื่องจากชาวเผ่านี้รักสงบกลัวคนแปลกหน้า ฉะนั้นเมื่อมีคนต่างเผ่า ต่างหน้าตา อพยพเข้ามาอาศัยมากขึ้น ชาวซาไกก็หนีถอยร่นเข้าป่าลึก ในที่สุดข้ามเขาไปอยู่ในแผ่นดินใหญ่ฟากตะวันออกได้แก่ ตรัง พัทลุง สงขลา ยะลา และนราธิวาส ทำให้ภูเก็ตคงเหลือแต่ชาวเลที่ยังคงดำรงชีวิตอยู่ แต่ตามหลักฐานอาจมีชาวมอญ ชาวอินเดีย ชาวไทย ชาวจีนและชาวพม่าเข้ามาตั้งถิ่นฐานในภูเก็ตด้วยเนื่องจากลักษณะบ้านเรือนในโบราณมีลักษณะเช่นเดียวกับบ้านชาวมอญที่เมืองมะริด และอาจสมรสกันจนเกิดเป็นชนรุ่นใหม่

สมัยอาณาจักรศิริธรรมนคร

[แก้]
ตราประจำจังหวัดนครศรีธรรมราช แสดงภาพตราสิบสองนักษัตรล้อมพระบรมธาตุเจดีย์

อาณาจักรตามพรลิงก์และอาณาจักรศิริธรรมนครเป็นอาณาจักรอยู่ในภาคใต้ของประเทศไทยมีอำนาจครอบคลุมคาบสมุทรมลายูโดยตลอดเป็นเวลาถึง 600 ปีระหว่างพุทธศตวรรษที่ 12-18 แต่ไม่มีโบราณวัตถุของสมัยศรีวิชัยในภูเก็ต แต่ได้เข้ามาตั้งถิ่นฐานในแถบนี้อย่างมั่นคง ตำนานพระธาตุนครศรีธรรมราชและตำนานเมืองนครศรีธรรมราชระบุว่า พระเจ้าศรีธรรมโศกราชทรงสร้างเมืองนครศรีธรรมราชขึ้น ประกอบด้วยเมืองบริวารนักษัตรสิบสองเมือง แต่ละเมืองถือตรานักษัตร ได้แก่ ปีชวดเมืองสายบุรี ปีฉลูเมืองปัตตานี ปีขาลเมืองกลันตัน ปีเถาะเมืองปาหัง ปีมะโรงเมืองไทรบุรี ปีมะเส็งเมืองพัทลุง ปีมะเมียเมืองตรัง ปีมะแมเมืองชุมพร ปีวอกเมืองบันทายสมอ ปีระกาเมืองสระอุเลา ปีจอเมืองตะกั่วป่า ปีกุนเมืองกระบุรี ซึ่งในตำนานพระธาตุนครศรีธรรมราชระบุว่า เมืองที่มีตราสุนัขของปีจอคือเมืองตะกั่วป่า (ปีจอเมืองตะกั่วป่าถือตราสุนัขหนึ่ง)[4] แต่ตำนานเมืองนครศรีธรรมราชระบุว่า เมืองปีจอคือเมือง "ตะกั่วถลาง" (จอเมืองตะกั่วถลางถือตราสุนัข ๑)[4] ซึ่งหม่อมเจ้าจันทร์จิรายุ รัชนี ทรงตีความว่า เมืองตะกั่วถลางนี้คือเมืองถลาง[5]

สมัยสุโขทัยและอยุธยาตอนต้น

[แก้]

ศิลาจารึกหลักที่หนึ่งซึ่งจารึกขึ้นในรัชสมัยของพ่อขุนรามคำแหงระบุเมืองนครศรีธรรมราชเป็นหนึ่งในเมืองขึ้นของสุโขทัย ในตำนานพระธาตุนครศรีธรรมราชระบุว่า "เมื่อศักราชได้ ๑๑๙๖ ปี ยังมีพระญาองค์หนึ่งชื่อพระญาศรีไสณรงค์มาแต่ฝ่ายตวันตก นางอรรคมเหษีชื่อนางจันทาเทวี น้องชายคนหนึ่งชื่อเจ้าธรรมกระษัตริย์ ได้เป็นเจ้าเมืองนครนครศรีธรรมราช แลพระสิหิงค์มาประทักษิณพระธาตุอยู่แล้ว ๗ วัน ก็จากเมืองนครไปเมืองเชียงใหม่"[4] ซึ่ง"พระยาศรีไสณรงค์"นี้ ควรมาจากสุโขทัย แสดงให้เห็นว่าอาณาจักรสุโขทัยมีอำนาจเหนือเมืองนครศรีธรรมราชหรืออาจจะรวมถึงภาคใต้ของประเทศไทยอยู่ในช่วงเวลาหนึ่ง แต่ไม่ปรากฏชัดเจนว่า อาณาจักรสุโขทัยมีอำนาจปกครองเกาะถลางหรือเกาะภูเก็ตอย่างมั่นคงถาวรหรือไม่

อาณาจักรนครศรีธรรมราชและภาคใต้ของประเทศไทยถูกผนวกรวมเข้ากับอาณาจักรอยุธยาเมื่อทางฝ่ายกรุงศรีอยุธยาส่วนกลางส่งข้าหลวงมากินเมืองเป็นเจ้าเมืองนครศรีธรรมราชขึ้นตรงต่อกรุงศรีอยุธยา ไม่ได้ดำรงตำแหน่ง "ศรีมหาราชา" อีกต่อไป ในพระไอยการตำแหน่งนาทหารหัวเมือง ซึ่งตราขึ้นในรัชสมัยสมเด็จพระบรมไตรโลกนาถ ระบุตำแหน่งเจ้าเมืองทางฝั่งอ่าวไทยได้แก่ เมืองนครศรีธรรมราช เมืองชุมพร เมืองไชยา เมืองพัทลุง ปรากฏชื่อเมืองทางฝั่งทะเลอันดามันเพียงเมืองเดียวคือเมืองตะนาวศรี ไม่ปรากฏชื่อเมืองถลาง

พงศาวดารฉบับวันวลิตระบุว่า สมเด็จพระบรมราชาธิราชที่ 3 กษัตริย์อยุธยา เสด็จประพาส"จังชลอง"แล้วจึงเสด็จสวรรคต "ในรัชกาลปีที่ ๓๗ ของพระองค์ พระเจ้าอยู่หัวเสด็จไปยังจังฉลัง (Tjongh Tjelungh) เพื่อทรงสำราญเบิกบานพระราชหฤทัย ณ ที่นั่น ได้เสด็จสวรรคตโดยปัจจุบันทันด่วน"[6]

ฟือร์เนา เม็งดึซ ปินโต (Fernão Mendes Pinto) ได้เดินทางล่องเรือผ่านเกาะ"จุนชาลัน" (Juncalan,[1] ถลาง) ในปีพ.ศ. 2082 รัชสมัยของสมเด็จพระไชยราชาธิราช ปินโตระบุว่า เมืองท่าตะนาวศรีและเมืองท่าจุนชาลัน (ถลาง) เป็นเมืองท่าที่สำคัญของสยามและเป็นที่สุดเขตแดนของสยามกรุงศรีอยุธยาทางฝั่งมหาสมุทรอินเดีย[7] แม้ว่าปินโตเองจะไม่เคยเดินทางเข้ามาที่เกาะถลาง ได้แต่เพียงล่องเรือผ่านเท่านั้น นอกจากนี้ ปินโตยังบรรยายอีกว่า เมื่อพระเจ้าตะเบงชเวตี้ส่งทัพพม่าเข้าโจมตีเมือง Tilau[7] (ตะนาว?) เมื่อครั้งสงครามพระเจ้าตะเบงชเวตี้ในพ.ศ. 2090 นั้น เมืองนี้ตั้งอยู่บน"ชายฝั่งจุนชาลัน" (Coast of Juncalan)[1] หมายถึงว่า ปินโตเรียกบริเวณชายฝั่งตะนาวศรีว่า "ชายฝั่งถลาง"

ในพ.ศ. 2123 นายราล์ฟ ฟิตช์ (Ralph Fitch) พ่อค้าชาวอังกฤษ ล่องเรือจากเมืองหงสาวดีไปยังเมืองมะละกา ในระหว่างทางนั้นได้ผ่านเกาะ"จันซาโลน" (Junsalaon) ต่อมาในเดือนตุลาคม พ.ศ. 2135 รัชสมัยสมเด็จพระนเรศวรฯ นายเอ็ดมุนด์ เบเกอร์ (Edmund Baker)[1] ซึ่งอยู่ภายใต้การบังคับบัญชาของเซอร์เจมส์ลังคาสเตอร์ (Sir James Lancaster) ซึ่งเป็นสลัดหลวงของพระนางเจ้าเอลิซาเบ็ธที่หนึ่งแห่งอังกฤษ เป็นกองเรือที่มีเป้าหมายเพื่อโจมตีเรือรบและเรือสินค้าของสเปน นายเอ็ดมุนด์ เบเกอร์ เดินทางมาถึง"อาณาจักรจันซาโลม" (Kingdom of Junsalaom[1] หมายถึงเกาะถลาง) นายเบเกอร์ได้ส่งลูกน้องชาวโปรตุเกสออกไปเจรจากับชาวเกาะถลาง พูดจากันด้วยภาษามลายู "เราส่งทหารออกไปคนหนึ่ง ซึ่งเป็นคนที่กัปตันเรือได้มอบไว้ให้แก่เรา เพราะทหารคนนั้นรู้ภาษามลายู ออกไปเจรจาเพื่อหาอุปกรณ์ซ่อมแซมเรือ" (Here we sent our souldier, which the captaine of the aforesaid galion had left behind him with us, because he had the Malaian language to deale with the people for pitch)[1] เหตุการณ์นี้เป็นการปฏิสัมพันธ์ระหว่างชาวเกาะถลางกับชาวต่างชาติครั้งแรกที่ได้รับการบันทึกไว้[1]

ฮอลันดากับภูเก็ต

[แก้]

การเข้ามาของฮอลันดา

[แก้]

บริเวณเทือกเขาตะนาวศรีและคาบสมุทรมลายูนั้น เป็นแหล่งอุดมด้วยแร่ดีบุก ดึงดูดพ่อค้าต่างชาติให้เข้ามาซื้อดีบุกออกไปจำหน่ายที่ยังเมืองท่าต่างอาณาจักร ในสมัยกรุงศรีอยุธยา มีเส้นทางการค้าทางทะเลระหว่างชายฝั่งตะนาวศรี อันประกอบด้วยเมืองท่าคือเมืองมะริดและเมืองถลาง ค้าขายกับชายฝั่งโจฬะมณฑล (Coromandel Coast) ของอินเดียใต้ โดยที่พ่อค้าจากอินเดียใต้นำผ้าอินเดียหรือผ้าสุรัตนำเข้ามาค้าขายและเปลี่ยนกันกับแร่ดีบุกจากเมืองตะนาวศรี และเมืองถลาง ดีบุกจึงเป็นสินค้าที่มูลค่าในการค้าบริเวณทะเลอันดามัน เมื่อฮอลันดาสามารถยึดเมืองท่ามะละกาจากโปรตุเกสได้สำเร็จในพ.ศ. 2184 ฮอลันดาจึงยึดเมืองมะละกาเป็นศูนย์กลางทางการค้า[2]และทางทหาร ฮอลันดาจึงมีอำนาจในทางเศรษฐกิจและในทางการเมืองขึ้นมาในภูมิภาคคาบสมุทรมลายู ฮอลันดาเห็นว่าเส้นทางการค้าดีบุกจากฝั่งตะนาวศรีแลกเปลี่ยนกับผ้าอินเดียจากอินเดียใต้ เป็นเส้นทางการค้าที่รุ่งเรือง บริษัทอินเดียตะวันออกของฮอลันดา (Dutch East India Company, VOC) ในฐานะตัวแทนทางการค้าของฮอลันดา จึงมีความพยายามที่จะผลักดันตนเองเข้ามาหาผลประโยชน์ เป็นผู้ผูกขาดการค้าในเส้นทางการค้าข้ามมหาสมุทรอินเดียนี้ ด้วยการใช้กำลังทางทหารบีบบังคับให้เจ้าเมืองท้องถิ่นในภูมิภาคคาบสมุทรมลายูนี้ บังคับให้เจ้าเมืองยินยอมยกให้ฮอลันดาเป็นผู้ผูกขาดขายดีบุกให้แก่ฮอลันดาแต่เพียงฝ่ายเดียว เพื่อที่ฮอลันดาจะสามารถเป็นพ่อค้าคนกลางนำดีบุกไปขายต่อในราคาที่สูงขึ้น

ในรัชสมัยของสมเด็จพระเจ้าปราสาททอง ทางภาคใต้ของประเทศไทยมีเมืองท่าหลายแห่งที่ส่งออกดีบุกเป็นสินค้าส่งออก ได้แก่ เมืองนครศรีธรรมราช เมืองชุมพร เมืองไชยา เมืองพุนพิน เมืองถลาง และเมืองบางคลี บริษัทอินเดียตะวันออกของฮอลันดาเข้ามาตั้งสถานีการค้าที่เมืองนครศรีธรรมราชในพ.ศ. 2185 มีจุดประสงค์คือเข้ามาซื้อดีบุกเพื่อนำออกไปขายต่อ เอกสารฮอลันดาเรียกเจ้าเมืองถลางและเจ้าเมืองบางคลีว่าเป็น "อุปราช" (Viceroy) มีอำนาจสูงอยู่ในท้องถิ่นสามารถดำเนินการเจรจาตกลงสนธิสัญญาทางการค้ากับฮอลันดาได้เองโดยที่ไม่ต้องผ่านกรุงศรีอยุธยา เจ้าเมืองถลางทำสนธิสัญญาทางการค้ากับฮอลันดาในเดือนมีนาคม พ.ศ. 2186 และเจ้าเมืองบางคลีทำสนธิสัญญากับฮอลันดาในเดือนมกราคม พ.ศ. 2188[2] ซึ่งสนธิสัญญาของทั้งเมืองถลางและเมืองบางคลีที่ทำกับฮอลันดานั้นมีเนื้อหาคล้ายคลึงกันคือ ฮอลันดาเป็นผู้ผูกขาดการส่งออกดีบุกจากเมืองถลางและเมืองบางคลี ชาวเมืองถลางและบางคลีที่ได้ร่อนแร่ดีบุกมานั้นสามารถขายดีบุกให้แก่ฮอลันดาเท่านั้น ห้ามมิให้ขายแก่พ่อค้าอินเดียใต้ ซึ่งเป็นคู่แข่งทางการค้าของฮอลันดา โดยที่ฮอลันดาจะเป็นผู้นำผ้าอินเดียเข้ามาขายให้แก่ชาวถลางและบางคลี ไม่ให้พ่อค้าอินเดียใต้เข้ามาขายผ้าโดยตรง หากชาวถลางและบางคลีผู้ใดฝ่าฝืนขายดีบุกให้แก่พ่อค้าอื่นใดนอกจากฮอลันดา จะมีโทษถูกเจ้าเมืองถลางและบางคลีริบสินค้าดีบุก[2] นอกจากนี้ หากพ่อค้าฮอลันดากระทำความผิดอาญาในเมืองถลางหรือบางคลี ชาวฮอลันดาจะไม่ขึ้นศาลท้องถิ่น แต่ให้หัวหน้าสถานีการค้าของฮอลันดา (Opperhoofd) ที่กรุงศรีอยุธยา เดินทางมาที่เมืองถลางและบางคลีเป็นตุลาการตัดสินชำระคดีความ[2] เป็นการมอบสิทธิสภาพนอกอาณาเขตบางส่วนให้แก่ฮอลันดา

ในรัชสมัยของสมเด็จพระเจ้าปราสาททอง ราชสำนักกรุงศรีอยุธยาประสบปัญหาไม่สามารถควบคุมหัวเมืองชายขอบที่อยู่ห่างไกล เช่น เมืองถลาง และเมืองบางคลี ได้อย่างเบ็ดเสร็จเด็ดขาด กรุงศรีอยุธยาควบคุมหัวเมืองต่างๆในภาคใต้ผ่านเมืองเมืองนครศรีธรรมราช ซึ่งเป็นเมืองเอกหรือเมืองเจ้าพระยามหานคร เจ้าพระยานครศรีธรรมราชมีอำนาจเหนือหัวเมืองต่างๆในภาคใต้ เจ้าเมืองถลางในรัชสมัยสมเด็จพระเจ้าปราสาททองนั้นมีอำนาจมาก สามารถส่งสาส์นทางการทูตไปยังเยเรเมียส ฟาน ฟลีต เจ้าเมืองมะละกาผู้ปกครองฮอลันดาทั้งมวลในคาบสมุทรมลายู เจ้าเมืองถลางหรือ "ออกหลวงเพชรคีรี" ผู้นี้ ส่งสาสน์ไปถึงฟานฟลีตในพ.ศ. 2187[2] โดยที่ไม่ผ่านกรุงศรีอยุธยา ในพ.ศ. 2188 สมเด็จพระเจ้าปราสาททองทรงแต่งตั้งเจ้าเมืองนครศรีธรรมราชคนใหม่ ซึ่งเจ้าพระยานครศรีธรรมราชคนใหม่นี้ ได้รับพระราชโองการจากพระเจ้าปราสาททองให้เข้ามาเกลี้ยกล่อมเมืองถลางและเมืองบางคลีให้เข้ามาอยู่ในอำนาจของพระองค์ เจ้าพระยานครศรีธรรมราชนำพระราชกำหนดไปแจ้งแก่ออกหลวงเพชรคีรีเจ้าเมืองถลาง"เป็นครั้งที่สี่" ให้เจ้าเมืองถลางเดินทางเข้าไปยังกรุงศรีอยุธยาเพื่อเข้าเฝ้าฯ[2] แต่ไม่ประสบผล ออกหลวงเพชรคีรียังคงไม่ไปเข้าเฝ้าพระเจ้าปราสาททองที่อยุธยา อย่างไรก็ตาม ต่อมาออกหลวงเพชรคีรียังคงได้เลื่อนขึ้นเป็น "ออกพระเพชรคีรี" เจ้าเมืองถลาง

ต่อมาในพ.ศ. 2197 เจ้าพระยานครศรีธรรมราชได้ทำการแบ่งการปกครองเมืองถลางออกเป็นสองส่วน[2] สร้างความไม่พอใจให้แก่ออกพระเพชรคีรีเจ้าเมืองถลาง ออกพระเพชรคีรีจึงทำเรื่องร้องเรียนผ่านทางเจ้าเมืองตะนาวศรี[2]ไปยังอยุธยา เป็นเหตุให้เจ้าพระยานครศรีธรรมราชถูกปลดจากตำแหน่ง และสมเด็จพระเจ้าปราสาททองจึงทรงแต่งตั้งให้เจ้าเมืองตะนาวศรีมาเป็นเจ้าเมืองนครศรีธรรมราชคนใหม่แทนที่ (ศักราช ๒๑๙๗ ปี มีพระบรรทูลโปรดให้พระญาบริบาลพลราชเจ้าเมืองตะนาวศรีมหานครมาเป็นเจ้าพระญานครศรีธรรมราช)[4]

เหตุการณ์พ.ศ. 2201

[แก้]

บริษัทอินเดียตะวันออกของฮอลันดาใช้วิธีการนำกองเรือเข้ามาปิดล้อมเพื่อบีบบังคับให้เจ้าเมืองท้องถิ่นในภูมิภาคคาบสมุทรมลายูมอบให้ฮอลันดาเป็นผู้ผูกขาดซื้อดีบุกแต่เพียงผู้เดียว ซึ่งฮอลันดามักกดราคาดีบุกลงต่ำ ทำให้ผู้ทำเหมืองแร่ดีบุกพื้นเมืองท้องถิ่นเสียประโยชน์ พ่อค้าจากอินเดียใต้และจากอาเจะฮ์ถูกกีดกัดไม่ให้เข้ามาซื้อดีบุก ซึ่งพ่อค้าจากอินเดียซื้อดีบุกในราคาที่สูงกว่าฮอลันดา การผูกขาดการส่งออกดีบุกของฮอลันดาสร้างความไม่พอใจให้แก่ราษฎรท้องถิ่น อย่างไรก็ตาม บรรดาเจ้าเมืองท้องถิ่น เช่น เจ้าเมืองถลางและเจ้าเมืองบางคลี ไม่ได้ปฏิบัติตามสนธิสัญญาที่ทำให้แก่ฮอลันดาอย่างเคร่งครัด[2] โดยที่พ่อค้าจากอินเดียใต้และพ่อค้าจากอาเจะฮ์ยังสามารถซื้อดีบุกไปจากถลางและบางคลีได้อย่างสม่ำเสมอ สร้างความไม่พอใจให้แก่ฝ่ายฮอลันดาอีกเช่นกัน

ความขัดแย้งทางเศรษฐกิจ ระหว่างฮอลันดากับราษฎรท้องที่ผู้ทำเหมืองแร่ ซึ่งมีทั้งชาวมลายูและชาวสยาม[2] นำไปสู่การปะทะด้วยความรุนแรงในพ.ศ. 2201 เอกสารฮอลันดาระบุว่า ในเดือนธันวาคม พ.ศ. 2201 ทางการฝ่ายฮอลันดา ซึ่งได้มาตั้งสถานีการค้าที่เมืองถลางนั้น ทำการตรวจค้นเรือสินค้ามลายูลำหนึ่ง ซึ่งต้องสงสัยว่าลักลอบซื้อดีบุกไปจากเมืองถลาง ขัดต่อสนธิสัญญาที่ฮอลันดาได้ทำไว้กับเมืองถลาง ทำให้บรรดาชาวมลายูในเมืองถลางไม่พอใจฮอลันดา บรรดาชาวมลายูเหล่านั้นจึงยกกำลังเข้าโจมตีสถานีการค้าของฮอลันดาในเมืองถลาง สังหารข้าราชการและพ่อค้าฝ่ายฮอลันดา และเผาสถานีการค้าของฮอลันดาลงวอดวาย ซึ่งทางการฮอลันดาประเมินความเสียหายไว้อยู่ที่ 22,000 กิลเดอร์[2] การลุกฮือขึ้นของชาวมลายูในถลางนั้น เป็นส่วนหนึ่งของความเคลื่อนไหวของชาวมลายูในระดับภูมิภาคเพื่อต่อต้านการผูกขาดทางการค้าของฮอลันดา[8] โดยที่ชาวมลายูเมืองเประลุกฮือขึ้นสังหารพ่อค้าฮอลันดาและทำลายสถานีการค้าในพ.ศ. 2194 และชาวมลายูเมืองไทรบุรีลุกฮือขึ้นสังหารชาวฮอลันดาและทำลายสถานีการค้าฮอลันดาถึงสองครั้ง ในพ.ศ. 2193 และพ.ศ. 2201[8]

เมื่อทรงทราบเรื่องการลุกฮือจลาจลของชาวมลายูในเมืองถลาง สมเด็จพระนารายณ์ฯจึงทรงส่งข้าหลวงจากกรุงศรีอยุธยาจำนวนสองคน ไปสมทบกับข้าราชการจากเมืองนครศรีธรรมราชอีกหนึ่งคน รวมทั้งหมดสามคน[9] ลงมาทำการสอบสวนเหตุการณ์ที่เมืองถลาง กว่าที่ข้าหลวงสามคนจะเดินทางถึงเมืองถลางก็ถึงปี พ.ศ. 2202 ฝ่ายฮอลันดากล่าวโทษว่าออกพระเพชรคีรีเจ้าเมืองถลางนั้นรู้เห็นเป็นใจให้แก่ชาวมลายูที่ได้เข้าสังหารชาวฮอลันดาและทำลายสถานีการค้าลงนั้น ทำให้ออกพระเพชรคีรีเจ้าเมืองถลางตกเป็นจำเลย ทั้งเจ้าพระยานครศรีธรรมราชเจ้าเมืองนครฯ ออกพระเพชรคีรีเจ้าเมืองถลาง และชาวมลายูสามคนซึ่งเป็นผู้นำในการลุกฮือ ต่างถูกคุมตัวไปยังกรุงศรีอยุธยาในพ.ศ. 2204[9] สมเด็จพระนารายณ์ฯทรงพระเมตตา เห็นว่าเจ้าเมืองนครศรีธรรมราชนั้นชราภาพ ไม่ต้องเข้าสู่กระบวนการสอบสวน ในขณะที่ออกพระเพชรคีรีนั้นถูกจำห้าประการ แต่สุดท้ายออกพระเพชรคีรีเจ้าเมืองถลางได้พ้นโทษถูกปล่อยตัวเนื่องจากไม่พบความผิดตามที่ฮอลันดาได้กล่าวหา ส่วนชาวมลายูสามคนนั้นทางฝ่ายอยุธยาส่งตัวให้แก่ทางการฮอลันดาที่เมืองมะละกาเพื่อตัดสินโทษต่อไป[9]

เหตุการณ์ที่ชาวมลายูเมืองถลางลุกฮือขึ้นต่อต้านการผูกขาดทางการค้าของฮอลันดาในพ.ศ. 2201 นั้น สร้างความเสียหายทางเศรษฐกิจให้แก่ฮอลันดาอย่างมาก เป็นเหตุให้ฮอลันดาจำต้องปิดสถานีกาารค้าในเมืองถลางลงในพ.ศ. 2203[2]

บันทึกของเดอบรูชส์

[แก้]

ในพ.ศ. 2201 บาทหลวงชาวฝรั่งเศสชื่อว่าปิแยร์ ล็องแบร์ เดอลาโมต (Pierre Lambert de la Motte) จากคณะมิสซังต่างประเทศแห่งกรุงปารีส ได้รับการแต่งตั้งให้เป็นผู้แทนพระสันตปาปา (Apostolic Vicar) ประจำโคชินหรือเวียดนามภาคกลาง บาทหลวงเดอลาโมตเดินทางออกจากเมืองมาร์เซยในพ.ศ. 2203 พร้อมกับบาทหลวงชาวฝรั่งเศสอีกคนหนึ่งชื่อว่าฌัคส์ เดอ บรูชส์ (Jacques de Bourges) บาทหลวงเดอลาโมตและบาทหลวงเดอบรูชส์เดินทางเข้าทางเมืองมะริดมาถึงกรุงศรีอยุธยาในพ.ศ. 2205 ต่อจากนั้นบาทหลวงเดอบรูชส์พำนักอยู่ในกรุงศรีอยุธยา จดบันทึกเรื่องราวเกี่ยวกับราชอาณาจักรสยาม เป็นบันทึกฝรั่งเศสฉบับแรกที่เขียนเกี่ยวกับอาณาจักรสยาม ต่อมาบาทหลวงเดอบรูชส์จึงเดินทางจากอยุธยากลับไปยังกรุงโรม ที่กรุงปารีส บาทหลวงเดอบรูชส์ได้ตีพิมพ์บันทึกเกี่ยวกับราชอาณาจักรสยาม[1] มีเนื้อความระบุว่า"ชังซาลง" (Jansalom หมายถึง ถลาง) นั้นเป็นหนึ่งใน "สิบเอ็ดแคว้น" ที่ขึ้นต่ออาณาจักรสยาม "อาณาจักรสยามแบ่งออกเป็นสิบเอ็ดแคว้นได้แก่ แคว้นสยาม แคว้นเมาะตะมะ แคว้นตะนาวศรี แคว้นถลาง แคว้นไทรบุรี แคว้นเประ แคว้นยะโฮร์ แคว้นปาหัง แคว้นปัตตานี แคว้นลิกอร์ (นครศรีธรรมราช) และแคว้นไชยา ซึ่งแคว้นเหล่านีเคยเป็นอาณาจักรเอกเทศแต่ปัจจุบันอยู่ภายใต้พระเจ้ากรุงสยาม"[1] สังเกตว่าแคว้นต่างๆที่บาทหลวงเดอบรูชส์ได้บรรยายนี้ ครอบคลุมเฉพาะบริเวณภาคใต้ของไทยและคาบสมุทรมลายูเท่านั้น

สนธิสัญญาฮอลันดา-สยาม พ.ศ. 2207

[แก้]

ในรัชสมัยสมเด็จพระเจ้าปราสาททอง ราชสำนักอยุธยามีความสัมพันธ์ที่แน่นแฟ้นกับฮอลันดา ซึ่งสมเด็จพระเจ้าปราสาททองได้ทรงเคยทำสัญญากับฮอลันดาไว้ให้ฮอลันดาเป็นผู้ผูกขาดการส่งออกหนังสัตว์จากสยาม ต่อมาในรัชสมัยสมเด็จพระนารายณ์ฯ ความสัมพันธ์ระหว่างอยุธยาและฮอลันดาเริ่มเสื่อมถอยลง ในสมัยพระเจ้าทรงธรรม ราชสำนักอยุธยาแต่งเรือสินค้าของป่าเช่นหนังสัตว์และไม้ฝางไปค้าขายที่ญี่ปุ่น สร้างรายได้ให้แก่ราชสำนัก แต่ญี่ปุ่นได้ตัดความสัมพันธ์สยามในรัชสมัยสมเด็จพระเจ้าปราสาททอง อีกทั้งรัฐบาลโชกุนเอโดะยังมีนโยบายซาโกกุปิดประเทศ ทำให้สยามไม่สามารถค้าขายกับญี่ปุ่นโดยตรงได้อีกต่อไป ราชสำนักอยุธยาจำต้องค้าขายกับญี่ปุ่นผ่านทางพ่อค้าคนกลาง เช่นชาวจีนและชาวฮอลันดา ฮอลันดาอาศัยการที่ญี่ปุ่นปิดประเทศ เข้ามาเป็นพ่อค้าคนกลางนำสินค้าจากสยามเช่นหนังสัตว์และไม้ฝางไปค้าขายที่ญี่ปุ่น แต่ฝ่ายกรุงศรีอยุธยาสมเด็จพระนารายณ์ฯได้ทรงแต่งพ่อค้าจีนให้ล่องเรือสำเภาจีนนำสินค้าจากสยามไปขายที่ญี่ปุ่น โดยที่ไม่ผ่านบริษัทอินเดียตะวันออกของฮอลันดา ฝ่ายฮอลันดาบันทึกไว้ว่า ในพ.ศ. 2204 มีเรือสินค้าจีนนำพ่อค้าชาวจีนนำสินค้าจากสยามไปขายที่เมืองนางาซากิ[10] โดยที่พ่อค้าจีนต่างๆเหล่านั้นเป็นตัวแทนของพระเจ้ากรุงสยาม พระราชวงศ์ และขุนนางระดับสูง ซึ่งล้วนแต่ได้ลงทุนนำสินค้าลงเรือให้พ่อค้าจีนนำไปขายที่นางาซากิ

ฝ่ายฮอลันดาไม่พอใจที่ราชสำนักกรุงศรีอยุธยาแต่งเรือสำเภาจีนให้พ่อค้าจีนนำสินค้าไปขายที่ญี่ปุ่นโดยไม่ผ่านฮอลันดา ผิดสัญญาที่พระเจ้าปราสาททองฯได้เคยพระราชทานไว้ให้แก่ฮอลันดา ว่าให้ฮอลันดาเป็นผู้ผูกขาดการส่งออกหนังสัตว์และไม้ฝางจากกรุงศรีอยุธยา ฝ่ายฮอลันดาจึงยึดเรือสินค้าหลวงของสมเด็จพระนารายณ์ฯที่เมืองมาเก๊าในพ.ศ. 2204 สมเด็จพระนารายณ์มีพระราชโองการในปีต่อมาพ.ศ. 2205 ให้พระคลังสินค้าเป็นผู้ผูกขาดการส่งออกสินค้าจากกรุงศรีอยุธยาแต่เพียงผู้เดียว เป็นการยกเลิกสิทธิ์การผูกขาดสินค้าของฮอลันดาทั้งปวง ที่ฝ่ายฮอลันดาเคยได้รับพระราชทานจากสมเด็จพระเจ้าปราสาททอง ฝ่ายฮอลันดาตอบโต้ด้วยการยึดเรือสินค้าหลวงอีกลำหนึ่งที่เกาะบันดาในปีต่อมาพ.ศ. 2206 สุดท้ายนายโยอัน แมตซุยเกอร์ (Joan Maetsuycker) ข้าหลวงใหญ่ของฮอลันดาที่เมืองบาตาเวีย มีคำสั่งให้นำเรือรบสามลำเข้าปิดล้อมและปิดกั้นสันดอนปากแม่น้ำเจ้าพระยา ไม่ให้เรือสินค้าใดๆเข้าออกกรุงศรีอยุธยา เรือรบฮอลันดาสามลำนั้นปิดล้อมกรุงศรีอยุธยาเป็นเวลาสี่เดือน ตั้งแต่เดือนตุลาคมพ.ศ. 2206 ถึงเดือนกุมภาพันธ์ พ.ศ. 2207

ฝ่ายราชสำนักกรุงศรีอยุธยายินยอมทำสนธิสัญญากับฮอลันดาขึ้นฉบับใหม่ คือสนธิสัญญาฮอลันดา-สยาม พ.ศ. 2207 มีเนื้อหาคือกรุงศรีอยุธยายินยอมให้ฮอลันดาเป็นผู้ผูกขาดการส่งออกหนังสัตว์ นอกจากนี้ ในสนธิสัญญายังมีข้อตกลงให้สยามยินยอมให้ฝ่ายฮอลันดาเข้ามาค้าขายอย่างสงบสุขปราศจากภัยอันตรายที่เมืองลิกอร์ (Ligor, นครศรีธรรราช) เมืองอุหยงซาลัง (Oetjangh Salangh, ถลาง) และเมืองท่าอื่นๆ

ฮอลันดาปิดล้อมถลาง

[แก้]

บัลธาซาร์ บอร์ต (Balthasar Bort) ข้าหลวงใหญ่ของฮอลันดาที่เมืองบาตาเวียคนใหม่ มีคำสั่งให้แก่นิโคลาส เดอ รูย (Nicolaas de Rooij) หัวหน้าสถานีการค้าของฮอลันดาที่กรุงศรีอยุธยา ทูลขอพระราชทานสมเด็จพระนารายณ์ฯให้มีพระราชานุญาตให้ฮอลันดาเข้ามาผูกขาดการส่งออกดีบุกจากเมืองถลางอีกครั้งหนึ่ง[11] หลังจากที่ว่างเว้นไปเป็นเวลาสิบปีเนื่องเหตุการณ์จลาจลที่เมืองถลางในพ.ศ. 2201 ในพ.ศ. 2213 สมเด็จพระนารายณ์ฯพระราชทานตราให้ฮอลันดาเป็นผู้ผูกขาดการส่งออกดีบุกแต่ผู้เดียวจากสามเมืองได้แก่ เมืองนครศรีธรรมราช เมืองถลาง และเมืองบางคลี[2] แต่ชาวเมืองถลางและบางคลีนั้นเกลียดชังการผูกขาดทางการค้าของฮอลันดาอย่างมาก เนื่องจากทำให้ชาวถลางและบางคลีซึ่งเป็นผู้ลงทุนลงแรงร่อนแร่ดีบุกนั้นเสียประโยชน์ อีกทั้งชาวถลางและบางคลียังทราบข่าวอีกว่า พ่อค้าอินเดียใต้ซึ่งเข้ามาซื้อดีบุกที่เมืองมะริดนั้น ให้ราคาดีบุกมากกว่าที่ฮอลันดาซื้อไป ในเดือนเมษายน พ.ศ. 2214 ชาวเมืองบางคลี ผู้ไม่พอใจการผูกขาดดีบุกของฮอลันดา ได้ยกกำลังเข้ายึดเรือสินค้าฮอลันดาชื่อว่าโดลฟิน (Dolphin) ซึ่งจอดเทียบท่าอยู่ที่เมืองบางคลี และสังหารพ่อค้าฮอลันดาบนเรือนั้น[2]

ในเหตุการณ์สังหารพ่อค้าฮอลันดาที่เมืองบางคลีในพ.ศ. 2214 ครั้งนี้ ฝ่ายฮอลันดาตอบโต้ด้วยการนำเรือรบเข้าบุกโจมตีและจุดไฟเผาเมืองถลางและบางคลี ในพ.ศ. 2216 และนำเรือรบเข้าแล่นวนรอบเกาะถลางเพื่อปิดล้อมเกาะถลาง นอกจากนี้ ฝ่ายฮอลันดายังกล่าวหาออกพระเพชรคีรีเจ้าเมืองถลางว่ารู้เห็นเป็นใจให้ชาวถลางเข้ายึดเรือสินค้าและสังหารพ่อค้าฮอลันดา ฝ่ายฮอลันดากล่าวหาออกพระเพชรคีรีว่า"แสร้งทำเป็นพูดจาดีกับฮอลันดา แต่แท้จริงแล้วในใจเข้าข้างไทรบุรี"[2] กองเรือฮอลันดาตั้งมั่นอยู่ที่อ่านบ้านกัวลา (Banquala Bay[2] สันนิษฐานว่าคืออ่าวป่าตองในปัจจุบัน) แล้วแล่นเรือวนรอบเกาะถลาง ปิดล้อมเกาะถลางคอยตรวจตราไม่ให้เรือสินค้าใดๆเข้าออกมาทำการค้าขายที่ถลางได้เลย

กองเรือฮอลันดาปิดล้อมเกาะถลางอยู่เป็นเวลาถึงสองปี จนถึงปีพ.ศ. 2218 ฝ่ายฮอลันดาจับได้ว่ามีเรือสินค้าจากอาเจะฮ์กำลังขนดีบุกออกไปจากถลาง เหตุการณ์นี้ทำให้ชาวมลายูที่เมืองถลางไม่พอใจฮอลันดาอย่างถึงที่สุด ชาวมลายูเมืองถลางจึงรวมตัวกันประท้วงฮอลันดา เรียกร้องว่าการกระทำของฮอลันดานั้นเป็นการไม่ให้เกียรติแก่"รายาแห่งจันซาโลน" (Radja of Jansalone[2] หมายถึงออกพระเพชรคีรีเจ้าเมืองถลาง) ฝ่ายฮอลันดาตอบโตว่า ถนนหนทางและแม่น้ำทั้งหมดบนเกาะถลางนั้น อยู่ภายใต้อำนาจของฮอลันดา ฝ่ายฮอลันดานำเรือเข้ายิงปืนเข้าใส่ฝูงชนที่ประท้วงฮอลันดาอยู่นั้น ชาวเมืองถลางจึงตัดต้นไม้นำไม้ซุงมาปิดกั้นทางออกแม่น้ำออกสู่อ่าว ทำให้กองเรือฮอลันดาซึ่งจอดเทียบอยู่ในแม่น้ำนั้นติดกับออกไปไม่ได้ จากนั้นชาวมลายูเมืองถลางจึงยกกำลังเข้าโจมตีกองเรือของฮอลันดา สังหารทหารพ่อค้าฮอลันดาไปจนหมดสิ้น รวมทั้งรื้อทำลายเรือของฮอลันดาที่จอดอยู่นั้นลงทั้งหมด[2] เมื่อกองเรือฮอลันดาที่ถลางถูกทำลายและชาวฮอลันดาถูกสังหารสิ้นแล้ว การปิดล้อมเกาะถลางของฮอลันดาจึงสิ้นสุดลง

เหตุการณ์ที่ชาวเมืองถลางสังหารหมู่ชาวฮอลันดาอีกครั้งหนึ่งในพ.ศ. 2218 บริษัทอินเดียตะวันออกของฮอลันดาทำการประท้วงร้องเรียนต่อราชสำนักกรุงศรีอยุธยา ฝ่ายสมเด็จพระนารายณ์ฯมีพระราชวินิจฉัยว่าฮอลันดานั้นทำเกินกว่าเหตุ จึงมีพระราชโองการให้ออกพระเพชรคีรีเจ้าเมืองถลางต่อเรือรบขึ้นประจำเมืองท่าทั้งสามแห่งบนเกาะถลาง แห่งละสองลำ[2] ปลูกหอรบป้อมปราการเกณฑ์กำลังพลเข้าป้องกันเกาะถลาง ไม่ให้ฮอลันดาเข้ามารุกรานปิดล้อมได้อีก ต่อมาในพ.ศ. 2220 เกิดเหตุการณ์ชาวถลางเข้าโจมตีเรือสินค้าฮอลันดาที่ถลางอีกครั้งหนึ่ง ฝ่ายฮอลันดามีแผนการที่จะยกกองเรือเข้ายึดเกาะถลาง แต่สุดท้ายล้มเลิกแผนการไป เนื่องจากประโยชน์ที่จะได้จากการส่งออกดีบุกจากถลางนั้น ไม่คุ้มค่าต่อค่าใช้จ่ายที่จะต้องใช้ในการเข้าพิชิตถลาง[2]

บันทึกของโธมัส โบว์รีย์

[แก้]

ในรัชสมัยของสมเด็จพระนารายณ์ฯ สยามกรุงศรีอยุธยามีอำนาจปกครองหัวเมืองชายทะเลฝั่งทะเลอันดามันเช่น เมืองถลาง เมืองบางคลี เมืองตรัง อย่างมั่นคง[11] ในรัชสมัยของสมเด็จพระนารายณ์ฯ เกาะถลางมีประชากรประมาณ 6,000 คน[2] ประกอบด้วยราษฎรซึ่งเลี้ยงชีพด้วยการทำเหมืองแร่ร่อนแร่ดีบุกขาย ซึ่งราษฎรผู้ร่อนแร่ดีบุกในเมืองถลางนั้นส่วนใหญ่เป็นชาวมลายู โดยที่กรมการข้าราชการเมืองถลางนั้นเป็นชาวสยาม และผู้ให้ทุนในการขุดแร่ดีบุกนั้นเป็นชาวต่างประเทศ[11] พ่อค้าชาวอังกฤษชื่อว่าโธมัส โบว์รีย์ (Thomas Bowrey) ได้รับว่าจ้างจากพ่อค้านายทุนชื่อว่าวิลเลียม เจียร์ซีย์ (William Jearsey) ให้นำสินค้าอังกฤษจากเมืองมัทราสออกมาค้าขายตามเมืองท่าต่างๆในคาบสมุทรมลายู พ่อค้าอังกฤษนายโบว์รีย์ล่องเรือมาค้าขายที่เกาะถลาง ในพ.ศ. 2218 ตรงกับรัชสมัยของสมเด็จพระนารายณ์ฯ ได้จดบันทึกเรื่องราวเกี่ยวกับเกาะถลาง ต่อมาได้ตีพิมพ์ในหนังสือชื่อว่า A Geographical Account of Countries Round the Bay of Bengal

นายโบว์รีย์เรียกเกาะถลางว่า"จันซาโลน" (Jansalone)[12] และบันทึกไว้ว่าเกาะถลางนั้นเป็นอาณาเขตของพระเจ้ากรุงสยาม (It wholy belongeth to the Kinge of Syam)[12] ราษฎรเกาะถลางนั้นประกอบด้วยทั้งชาวมลายูและชาวสยาม โดยที่ชาวมลายูอาศัยอยู่ที่เมืองท่าตามชายฝั่ง (downe att the Sea Ports most of the Inhabitants are Malayars)[12] ในขณะที่ชาวสยามอาศัยอยู่ที่แผ่นดินด้านใน (The Inhabitants Up in the Countrey are Naturall Syamers)[12] นอกจากนี้ โธมัสโบว์รีย์ยังกล่าวถึงชาวอุรักลาโวย ซึ่งเป็นชาวเร่รอนในทะเล หรือที่นายโบว์รีย์เรียกว่า"ชาวซาเล๊ตเตอร์" (Saletters) ชาวทะเลเหล่านั้นคอยแล่นเรือตระเวนบริเวณโดยรอบเกาะถลาง

โธมัส โบว์รีย์ ระบุว่า เกาะถลางนั้นมีเมืองท่าสามแห่ง ได้แก่ บูเก็ต (Buckett) ลี้พอน (Luppoone) และบ้านกัวลา? (Banquala)[12] เกาะถลางนั้นเป็นป่าทึบโดยส่วนใหญ่ มีสัตว์ป่าน้อยใหญ่ต่างๆอาศัยอยู่ เช่น ช้าง เสือ และลิงที่มีเขี้ยวใหญ่ นายโบว์รีย์ประมาณว่ามีการแผ้วถางพื้นที่บนเกาะถลางเพื่อใช้สอยเพียงร้อยละสิบ ที่เหลือเป็นพื้นที่ป่า บนเกาะถลางมีผลไม้ได้แก่กล้วย มะพร้าว ส้มโอ และผลหมาก ชาวเกาะถลางปลูกข้าวในที่ราบบริเวณตอนกลางของเกาะ แต่เกาะถลางปลูกข้าวได้ไม่มากเนื่องจากมีพื้นที่ราบจำกัด และข้าวที่ปลูกได้ไม่เพียงพอต่อการเลี้ยงประชากรบนเกาะถลาง[12] จำต้องมีการนำเข้าข้าวจากภายนอกเข้ามา

เกาะถลางมีสินค้าส่งออกเพียงสองอย่าง ได้แก่ ช้างป่า และดีบุก ชาวเกาะถลางใช้ลูกดีบุกขนาดเล็กเรียกว่า"พุตตะ" (Putta)[12] เป็นสื่อกลางในการแลกเปลี่ยนค้าขายแทนเงินตรา โบว์รีย์เรียกออกพระเพชรคีรีเจ้าเมืองถลางว่าเป็น"อุปราช" (Vice Kinge) มีอำนาจมากในท้องถิ่น เจ้าเมืองถลางอาศัยอยู่ที่ลี้พอน ซึ่งโบว์รีย์ระบุว่าเป็นเมืองที่สำคัญที่สุดของเกาะถลางทางตอนในของเกาะ พ่อค้าเรือสินค้าต่างประเทศ เมื่อเข้ามาค้าขายที่ถลาง จอดเทียบท่าที่บ้านกัวลา ซึ่งเป็นเมืองท่าที่ตั้งอยู่ทางทิศตะวันตกเฉียงใต้ของเกาะถลาง เป็นธรรมเนียมว่าพ่อค้าต่างประเทศจะต้องเดินทางขึ้นไปพบกับเจ้าเมืองถลาง เพื่อให้ฝ่ายกรมการเมืองถลางเก็บภาษีสิบชักหนึ่งเสียก่อน[12]

มูฮาเหม็ดเบ็กและอิสมาเอลเบ็ก

[แก้]

จากเหตุการณ์ที่ชาวมลายูเมืองถลางและบางคลีเข้าโจมตีเรือสินค้าของฮอลันดา รวมทั้งสังหารชาวฮอลันดา ในพ.ศ. 2214 และพ.ศ. 2218 ด้วยเหตุที่ชาวถลางและบางคลีไม่พอใจที่ฮอลันดาเข้ามาผูกขาดเป็นผู้ซื้อดีบุก สมเด็จพระนารายณ์ฯทรงเห็นว่า ออกพระเพชรคีรีเจ้าเมืองถลางนั้นเป็นปฏิปักษ์กับฮอลันดา หากให้กินเมืองถลางอยู่จะเกิดความขัดแย้งกับฮอลันดาในอนาคต ทรงมีพระราชประสงค์ที่จะให้ขุนนางผู้มีความสามารถไปเป็นเจ้าเมืองถลาง[12] ไว้คอยเจรจาป้องกันไม่ให้ฮอลันดาเข้ามาโจมตีถลางได้อีก ในขณะนั้นออกพระศรีเนาวรัตน์ (อากามูฮาหมัด) ขุนนางเชื้อสายเปอร์เซีย กำลังมีอำนาจและบทบาทในราชสำนักอยุธยา ออกพระศรีเนาวรัตน์ได้กราบทูลฯเสนอให้สมเด็จพระนารายณ์ฯทรงแต่งตั้งพ่อค้าชาวมุสลิมอินเดียใต้สองคน ได้แก่ นายมูฮาเหม็ด เบ็ก (Mohammed Beg) และนายอิสมาเอล เบ็ก (Ismael Beg) สองพี่น้องสองคนนี้ ให้ไปเป็นเจ้าเมืองถลางและเจ้าเมืองบางคลีตามลำดับ สมเด็จพระนารายณ์ฯทรงเห็นชอบด้วย จึงทรงแต่งตั้งให้นายมูฮาเหม็ดเบ็กเป็นเจ้าเมืองถลางคนใหม่ และนายอิสมาเอลเบ็กเป็นเจ้าเมืองบางคลี[2]

เมื่อพ่อค้าสองพี่น้องชาวมุสลิมอินเดียใต้ มูฮาเหม็ดเบ็กและอิสมาเอลเบ็ก ได้เข้ามาเป็นเจ้าเมืองถลางและบางคลีแล้วนั้น ได้แต่งตั้งให้พวกพ้องพ่อค้ามุสลิมอินเดียใต้จำนวนร้อยกว่าคน[2] เข้ามาเป็นกรมการเมืองถลางและเมืองบางคลี สร้างความไม่พอใจแก่ขุนนางข้าราชการชาวสยาม ซึ่งดำรงตำแหน่งเป็นกรมการเมืองถลางอยู่แต่เดิม อีกทั้งนายมูฮาเหม็ดเบ็กและอิสมาเอลเบ็กยังเข้าควบคุมการส่งออกดีบุกจากเมืองถลาง โดยให้เมืองถลางส่งออกดีบุกไปเมืองมะริดในราคาถูก เพื่อที่พ่อค้าอินเดียใต้ที่เมืองมะริดจะสามารถซื้อเอาดีบุกราคาถูกนี้ไปขายต่อ สร้างความไม่พอใจแก่ชาวสยามและชาวมลายูผู้ลงทุนลงแรงทำเหมือนแร่ดีบุก ซึ่งต้องการขายดีบุกให้ได้ในราคาที่ดีที่สุด พ่อค้าอังกฤษนายโธมัส โบว์รีย์ เดินทางมายังเกาะถลางอีกครั้งในพ.ศ. 2220 มูฮาเหม็ดเบ็กเจ้าเมืองถลางให้การต้อนรับแก่นายโบว์รีย์พ่อค้าอังกฤษเป็นอย่างดี[12]

การปกครองของนายมูฮาเหม็ดเบ็กและนายอิสมาเอลเบ็กสองพี่น้องชาวมุสลิมอินเดียใต้ สร้างความไม่พอใจให้แก่ชาวสยามและชาวมลายูเมืองถลางและเมืองบางคลี บ้างเสียผลประโยชน์ในการค้าขายดีบุก บ้างสูญเสียตำแหน่งในกรมกาารเมืองถลาง ในพ.ศ. 2221 ออกพระศรีเนาวรัตน์ (อากามูฮาหมัด) ได้รับพระราชอาญาจนถึงสิ้นชีวิต[11] ทำให้อำนาจและอิทธิพลของชาวมุสลิมในราชสำนักกรุงศรีอยุธยาเสื่อมถอยลง ชาวสยามและชาวมลายูเมืองถลางได้อาศัยโอกาสนี้ ร่วมมือกันลุกฮือขึ้นในปีต่อมาพ.ศ. 2222 เข้าโจมตีสังหารนายมูฮาเหม็ดเบ็กเจ้าเมืองถลาง นายอิสมาเอลเบ็กเจ้าเมืองบางคลี รวมทั้งชาวมุสลิมอินเดียใต้อีกจำนวนเจ็ดสิบคน[2] ล้วนแต่ถูกสังหารหมดสิ้น ทำให้เมืองถลางและบางคลีเข้าสู่ภาวะจลาจล นายโธมัส โบว์รีย์ พ่อค้าชาวอังกฤษ จำต้องหลบหนีออกจากเกาะถลาง ไปลี้ภัยอยู่ที่เมืองไทรบุรีเป็นการชั่วคราว[12]

ความขัดแย้งระหว่างอยุธยาและไทรบุรี

[แก้]

รัฐสุลต่านไทรบุรี (Kedah Sultanate) เป็นเมืองประเทศราชของกรุงศรีอยุธยา ส่งเครื่องราชบรรณาการต้นไม้เงินต้นไม้ทอง ในพ.ศ. 2162 ตรงกับรัชสมัยของสมเด็จพระเจ้าทรงธรรม รัฐสุลต่านอาเจะฮ์นำกองเรือเข้าพิชิตเมืองไทรบุรีได้สำเร็จ จับตัวสุลต่านเจ้าเมืองไทรบุรีไปเป็นเชลยอยู่ที่เมืองบันดาอาเจะฮ์ เป็นเหตุให้เมืองไทรบุรีต้องขอความคุ้มครองจากอยุธยา ในรัชสมัยของสมเด็จพระเจ้าปราสาททอง ตรงกับสมัยของสุลต่านริยาลุดดิน มูฮาหมัด ชาฮ์ (Rijaluddin Muhammad Shah) เจ้าเมืองไทรบุรี ในพ.ศ. 2188 สมเด็จพระเจ้าปราสาททองมีพระราชโองการให้สุลต่านเจ้าเมืองไทรบุรีไปเข้าเฝ้าฯที่กรุงศรีอยุธยาด้วยตนเอง[13] แต่สุลต่านริยาลุดดินเจ้าเมืองไทรบุรีบิดพลิ้วไม่ไปเข้าเฝ้าฯ ทูลว่าเจ็บป่วยอยู่ สมเด็จพระเจ้าปราสาททองจึงพระราชทานพระสาทิสลักษณ์ พระรูปของพระองค์สลักบนแผ่นทอง ไปมอบให้แก่สุลต่านริยาลุดดินเจ้าเมืองไทรบุรี ให้เจ้าเมืองไทรบุรีกราบไหว้บูชาพระรูปของพระเจ้าปราสาททอง[13] เพื่อเป็นการทดแทนที่สุลต่านเจ้าเมืองไทรบุรีไม่เดินทางมาเข้าเฝ้าฯ

ปีต่อมาในพ.ศ. 2189 หัวเมืองมลายูประเทศราชทั้งสามเมืองได้แก่ เมืองสงขลา เมืองปัตตานี และเมืองไทรบุรี ต่างแข็งเมืองไม่ส่งเครื่องราชบรรณาการแก่กรุงศรีอยุธยาโดยพร้อมกัน ฝ่ายเมืองสงขลายกทัพบุกโจมตีเมืองพัทลุงและเมืองตรัง[14] สมเด็จพระเจ้าปราสาททองทรงแต่งทัพจากกรุงศรีอยุธยาจำนวน 15,000 คน และจากเมืองนครศรีธรรมราชอีก 7,000 คน[14] ลงมาปราบกบฏหัวเมืองมลายู พร้อมกันนั้นทางกรุงศรีอยุธยาได้ร้องขอให้ฝ่ายฮอลันดาให้ความช่วยเหลือ ในการปราบปรามหัวเมืองมลายู ฝ่ายฮอลันดาได้ส่งกองเรือเข้าปิดกั้นปากน้ำไทรบุรี ปิดล้อมเมืองไทรบุรี ทำให้เมืองไทรบุรียอมจำนน ยอมถวายต้นไม้เงินต้นไม้ทองในพ.ศ. 2191[13] ปีต่อมาพ.ศ. 2192 เมืองสงขลาและเมืองปัตตานี ยกทัพขึ้นมาโจมตีเมืองนครศรีธรรมราช สมเด็จพระเจ้าปราสาททองทรงแต่งทัพอยุธยาจำนวน 25,000 คน พร้อมทั้งเรือรบฮอลันดาอีก 20 ลำ[14] ลงไปปราบกบฏมลายูอีกครั้งหนึ่ง จนเมืองสงขลายอมส่งต้นไม้เงินทองในพ.ศ. 2193

ฝ่ายเมืองไทรบุรีประสบปัญหา เรือฮอลันดาเข้ามาปิดล้อม ตั้งแต่ปีพ.ศ. 2191 จากคำขอของกรุงศรีอยุธยา ถึงแม้ว่าเมืองไทรบุรีจะยอมส่งถวายต้นไม้เงินต้นไม้ทองแล้ว แต่เรือฮอลันดายังคงปิดล้อมไทรบุรีไม่ปล่อย ฮอลันดาอาศัยโอกาสนี้ เรียกร้องบีบบังคับให้สุลต่านเจ้าเมืองไทรบุรียกให้ฮอลันดาเป็นผู้ผูกขาดการส่งออกดีบุกจากไทรบุรี ซึ่งสุลต่านริยาลุดดินเจ้าเมืองไทรบุรีไม่ยินยอม ฮอลันดาจึงปิดปากแม่น้ำไทรบุรีอย่างต่อเนื่องเป็นเวลาสี่ปีนับตั้งแต่พ.ศ. 2191 ต่อมาสุลต่านริยาลุดดินเจ้าเมืองไทรบุรีถึงแก่พิราลัย บุตรชายขึ้นเป็นสุลต่านเจ้าเมืองไทรบุรีคนต่อมา ในพ.ศ. 2205 ชื่อว่าสุลต่านจีอัดดิน มุกการัม ชาฮ์ (Dziaddin Mukkaram Shah) เจ้าเมืองไทรบุรีคนใหม่นี้ ส่งผู้แทนสองคน[11]มาถวายต้นไม้เงินต้นไม้ทอง เครื่องราชบรรณาการ ที่กรุงศรีอยุธยา พร้อมทั้งขอพระราชทานให้สมเด็จพระนารายณ์ฯทรงให้ความช่วยเหลือแก่ไทรบุรี ในเรื่องที่ไทรบุรีกำลังถูกเรือฮอลันดาปิดล้อมอยู่ แต่ทางราชสำนักอยุธยา ไม่ได้ช่วยเหลือไทรบุรีในเรื่องฮอลันดาแต่อย่างใด หลังจากนั้นเมืองไทรบุรีจึงขาดส่งต้นไม้เงินต้นไม้ทองไปแปดปีด้วยกัน[13] เมื่อราชสำนักอยุธยาทวงต้นไม้เงินต้นไม้ทองจากไทรบุรี สุลต่านจีอัดดินเจ้าเมืองไทรบุรีไม่ยอมส่ง ทางฝ่ายอยุธยาจึงถือว่าไทรบุรีแข็งเมือง สมเด็จพระนารายณ์ฯทรงส่งทัพเข้าโจมตีเมืองไทรบุรีสองครั้ง ในพ.ศ. 2213 และพ.ศ. 2216[15] แต่ไม่ประสบความสำเร็จ ฝ่ายฮอลันดาเข้าช่วยเหลืออยุธยา ด้วยการส่งเรือเข้าปิดล้อมเมืองไทรบุรีอีกครั้งในพ.ศ. 2217

เมื่อการใช้กำลังทางทหารไม่ประสบผล สมเด็จพระนารายณ์ฯจึงทรงใช้วิธีการประนีประนอม ด้วยการพระราชทานเครื่องยศหมวก ไปมอบให้แก่สุลต่านจีอัดดินเจ้าเมืองไทรบุรีในพ.ศ. 2220[13] แต่สุลต่านจีอัดดินยังคงไม่ยอมรับอำนาจของอยุธยา ในปีเดียวกันนั้น พ.ศ. 2220 หัวเมืองมลายูทั้งสามเมือง สงขลา ปัตตานี และไทรบุรี แข็งเมืองขึ้นเป็นกบฏต่อกรุงศรีอยุธยา ฝ่ายทัพเรือเมืองไทรบุรีบุกรุกโจมตีขึ้นมาถึงที่เมืองถลางและเมืองบางคลี[2] สมเด็จพระนารายณ์ฯทรงแต่งทัพลงไปปราบกบฏมลายูอีกครั้งหนึ่งในพ.ศ. 2221[14] ปรากฏว่าทัพอยุธยาสามารถพิชิตยึดและทำลายเมืองสงขลาเขาหัวแดงลงได้สำเร็จในพ.ศ. 2223

ต่อมาในพ.ศ. 2224 เมื่อสุลต่านจีอัดดินเจ้าเมืองไทรบุรีแข็งเมือง ไม่ยอมส่งต้นไม้เงินทอง สมเด็จพระนารายณ์ฯมีพระราชโองการ ให้เจ้าเมืองถลางจัดทัพเรือยกไปโจมตีเมืองไทรบุรี[2]

ฝรั่งเศสกับภูเก็ต

[แก้]

นับตั้งแต่รัชสมัยของสมเด็จพระเจ้าปราสาททอง มาถึงรัชสมัยสมเด็จพระนารายณ์ฯ ฮอลันดาเป็นชาติตะวันตกที่เข้ามามีบทบาททางเศรษฐกิจในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ อาณาจักรอยุธยามีความสัมพันธ์ติดต่อค้าขายกับฮอลันดา อย่างไรก็ตาม ราชสำนักอยุธยาต้องเผชิญกับความขัดแย้งกับบริษัทอินเดียตะวันออกของฮอลันดาอยู่เสมอ[11] เนื่องจากฮอลันดามีนโยบายบีบบังคับผูกขาดทางการค้า และฮอลันดายังต้องประสบกับระบบราชการและวิธีการค้าขายแบบผูกขาดของราชสำนักอยุธยาอีกด้วย ความขัดแย้งระหว่างอยุธยาและฮอลันดา ปะทุขึ้นในครั้งเมื่อฮอลันดานำเรือรบมาปิดกั้นกรุงศรีอยุธยาในพ.ศ. 2206 นำไปสู่สนธิสัญญาฮอลันดา-สยาม พ.ศ. 2207 ซึ่งฝ่ายอยุธยาจำต้องยินยอมให้ฮอลันดาเป็นผู้ผูกขาดการส่งออกหนังกวางจากสยาม และอยุธยายังต้องมอบสิทธิพิเศษให้แก่ฮอลันดาอีกหลายประการ

ฮอลันดาพยายามที่จะเข้ามาเป็นผู้ผูกขาดการส่งออกดีบุกจากถลางและบางคลี แต่ไม่ประสบความสำเร็จเนื่องจากชาวถลางและบางคลีได้ลุกฮือขึ้นสังหารขับไล่ชาวฮอลันดาออกไปถึงสี่ครั้ง ในพ.ศ. 2201 พ.ศ. 2214 พ.ศ. 2218 และพ.ศ. 2220[2]

หลังจากสนธิสัญญา พ.ศ. 2207 ความสัมพันธ์ระหว่างอยุธยาและฮอลันดาเป็นไปด้วยไมตรีดังเดิม ฮอลันดายังส่งเรือรบเข้าช่วยเหลืออยุธยาในการปราบกบฏหัวเมืองมลายูอีกด้วยในบางครั้ง[11] แต่ราชสำนักอยุธยามีความตระหนักว่าฮอลันดาอาจเป็นภัยคุกคาม เมื่อมีชาติตะวันตกชาติใหม่เข้ามา กรุงศรีอยุธยาจึงยินดีต้อนรับชาติตะวันตกใหม่นั้น เพื่อคานอำนาจกันกับฮอลันดา

การเข้ามาของฝรั่งเศส

[แก้]

ความสัมพันธ์ระหว่างอยุธยากับฝรั่งเศส เริ่มต้นขึ้นเมื่อนายฟรองซัว มาร์แตง (François Martin) เจ้าเมืองปอนดีเชอร์รีของฝรั่งเศส ที่ชายฝั่งโจฬะมณฑล ได้ส่งนายอังเดร เดอล็องด์-บูโร (André Deslandes-Boureau) เป็นทูตฝรั่งเศสมากับเรือชื่อวาตูร์ (Vautour) เดินทางมายังกรุงศรีอยุธยาในพ.ศ. 2223 เป็นการสร้างความสัมพันธ์ทางการทูตครั้งแรกระหว่างฝรั่งเศสกับราชอาณาจักรสยาม ในปีเดียวกันนั้นเอง พ.ศ. 2223 ฝรั่งเศสได้เข้ามาซื้อดีบุกจากถลางออกไปบรรทุกเต็มเรือ[2] สองปีต่อมา ในพ.ศ. 2225 สมเด็จพระนารายณ์ฯทรงแต่งตั้งให้บาทหลวงชาวฝรั่งเศส จากคณะมิชชันนารีของนักบุญลาซารัส (Mission of St. Lazarus) ชื่อว่า เรเน ชาร์บอนโน (René Charbonneau) มาเป็นเจ้าเมืองถลางในตำแหน่ง"ออกพระถลาง"

หลังจากเหตุการณ์ที่ชาวเมืองถลางลุกฮือขึ้นสังหารนายมูฮาเหม็ดเบ็กเจ้าเมืองถลาง และนายอิสมาเอลเบ็กเจ้าเมืองบางคลี เมื่อพ.ศ. 2222 ทำให้เมืองถลางและบางคลีตกอยู่ในภาวะจลาจลและความวุ่นวาย เรเน ชาร์บอนโน นั้น เป็นแพทย์มิชชันนารีและไม่ประสงค์ที่จะดำรงตำแหน่งทางการเมือง แต่ เรเน ชาร์บอนโน ได้รับการเกลี้ยกล่อมจากบาทหลวงหลุยส์ ลาโน (Louis Laneau) ผู้แทนพระสันตปาปา (Apostolic Vicar) ประจำกรุงสยาม ให้นายชาร์บอนโนยินยอมตามพระราชประสงค์ของพระเจ้ากรุงสยาม เพื่อเสริมสร้างและขยายอิทธิพลของฝรั่งเศสในอยุธยาและมาถึงที่เมืองถลางด้วย[2] นายชาร์บอนโนจึงจำใจต้องเดินทางมาเป็นเจ้าเมืองถลาง

ในสมัยที่เรเน ชาร์บอนโน เป็นออกพระถลางเจ้าเมืองถลางนั้น การค้าขายดีบุกในเมืองถลางเป็นไปอย่างเสรีปราศจากการผูกขาด[1] เนื่องจากทางกรุงศรีอยุธยายังมิได้มอบสิทธิ์การผูกขาดการส่งออกดีบุกจากถลางให้แก่ชาติใด ฝ่ายฮอลันดายังคงจับตามองถลางอยู่เสมอ แต่เรเน ชาร์บอนโน เจ้าเมืองถลาง ได้กีดกัดไม่ให้เรือของฮอลันดาเข้ามาเทียบท่าค้าขายที่ถลางได้เลย[1]

บันทึกของนิโกลาส์ แชร์เวส

[แก้]

บาทหลวงนิโกลาส์ แชร์เวส (Nicolas Gervaise) มิชชันนารีฝรั่งเศส จากคณะมิสซังต่างประเทศแห่งกรุงปารีส (Paris Foreign Missions Society) เดินทางยังถึงกรุงศรีอยุธยาในพ.ศ. 2226 พำนักอยู่ในกรุงศรีอยุธยาเป็นเวลาสามปี จนถึงพ.ศ. 2229 จึงเดินทางกลับฝรั่งเศส ต่อมาในพ.ศ. 2231 ที่ประเทศฝรั่งเศส บาทหลวงแชร์เวสได้ตีพิมพ์หนึงสือเกี่ยวกับอาณาจักรสยาม ชื่อว่า"ประวัติศาสตร์ธรรมชาติและการเมืองของราชอาณาจักรสยาม" (The Natural and Political History of the Kingdom of Siam, ฝรั่งเศส: Histoire naturelle et politique du Siam) ซึ่งกล่าวถึงเมืองถลางในชื่อว่า"ชงซาลัง" (Jonsalam)[1] แชร์เวสกล่าวว่าเมืองชงซาลังนี้ตั้งอยู่ที่ชายฝั่งทางทิศตะวันตกของคาบสมุทรมลายู ตั้งอยู่ที่ละติจูดที่แปดองศาเหนือ แชร์เวสระบุว่า ที่เมืองท่าของถลางมีอ่าวพักเรือขนาดใหญ่ ที่ซึ่งเรือที่เข้ามาค้าขายจะได้จอดแวะพักเปลี่ยนถ่ายสินค้า ซึ่งทางกรมการเมืองถลางจะทำการเก็บภาษีจังกอบจากสินค้าที่พ่อค้านำเข้ามา แต่เมืองท่าของถลางนั้น น้ำไม่ลึกพอที่จะให้เรือขนาดใหญ่เข้ามาเทียบท่าได้[1]

แชร์เวสระบุว่า ถลางนั้นเป็นจุดพักเรือที่สำคัญ ในเส้นทางการค้าระหว่างชายฝั่งโจฬะมณฑลในอินเดียใต้กับคาบสมุทรมลายู โดยเฉพาะในฤดูมรสุม ช่วงเดือนกรกฎาคมถึงสิงหาคม เรือสินค้าจะต้องเข้ามาเทียบท่าหลบลมมรสุมที่ถลาง แชร์เวสยังระบุอีกว่า เมืองถลางนั้นเป็นเมืองค้าขายที่สำคัญ ในการค้ากับเบงกอล หงสาวดี และเมืองท่าอื่นๆในภูมิภาคมหาสมุทรอินเดีย แชร์เวสกล่าวว่า ฮอลันดามีความสนใจในการเข้าครอบครองเกาะถลาง เนื่องจากเกาะถลางนั้นอุดมไปด้วยแร่ดีบุก รวมทั้งยังมีแร่ทองคำและอำพันทอง แต่เรเน ชาร์บอนโน เจ้าเมืองถลาง ได้กีดกัดไม่ให้เรือของฮอลันดาเข้ามาที่ถลางได้เลย[1]

สนธิสัญญาฝรั่งเศส-สยาม พ.ศ. 2228 และพ.ศ. 2230

[แก้]
เชอวาลิเยร์ เดอ โชมงต์ ถวายพระราชสาสน์จากพระเจ้าหลุยส์ที่สิบสี่ แด่สมเด็จพระนารายณ์ฯ ในพ.ศ. 2228

สมเด็จพระนารายณ์ฯทรงส่งคณะทูตกรุงศรีอยุธยาออกไปฝรั่งเศสชุดแรกในพ.ศ. 2224 แต่ทว่าคณะทูตสยามชุดแรกนี้เรืออัปปางลงบริเวณชายฝั่งเกาะมาดากัสการ์ สมเด็จพระนารายณ์ฯทรงส่งคณะทูตออกไปอีกครั้งในพ.ศ. 2227 ซึ่งเดินไปถึงยีงกรุงปารีสโดยสวัสดิภาพ ได้เข้าเฝ้าฯสมเด็จพระเจ้าหลุยส์ที่สิบสี่ ฝ่ายพระเจ้าหลุยส์ที่สิบสี่กษัตริย์ฝรั่งเศสทรงส่งคณะทูตฝรั่งเศส นำโดยเชอวาลิเยร์ เดอ โชมงต์ (Chevalier de Chaumont) หรือ อัศวินแห่งโชมงต์ พร้อมทั้งบาทหลวงอธิการ เดอ ชัวซี (Abbé de Choisy) มาที่อยุธยาเป็นการตอบแทน คณะทูตของเดอโชมงต์เดินทางถึงกรุงศรีอยุธยาในพ.ศ. 2228 นำไปสู่การตกลงสนธิสัญญาฝรั่งเศส-สยาม พ.ศ. 2228 ซึ่งหนึ่งในข้อตกลงที่สำคัญ ระหว่างราชสำนักกรุงศรีอยุธยา กับราชอาณาจักรฝรั่งเศส ในครั้งนี้ คือการที่ฝ่ายอยุธยายินยอมให้ฝรั่งเศสเข้ามาเป็นผู้ผูกขาดการส่งออกดีบุกจากเมืองถลางและบางคลี[1] และฝรั่งเศสสามารถซื้อดีบุกไปจากถลางและบางคลีได้โดยไม่ต้องชำระภาษีจังกอบ

ออกพระถลาง นายเรเน ชาร์บอนโน เจ้าเมืองถลาง ได้กราบทูลหลายครั้งขอพระราชานุญาตให้ตนเองคือนายชาร์บอนโนกลับคืนสู่กรุงศรีอยุธยา เมื่อคณะทูตของเดอโชมงต์ได้เข้าเฝ้าฯสมเด็จพระนารายณ์ฯ และได้ตกลงสนธิสัญญาพ.ศ. 2228 แล้วนั้น สมเด็จพระนารายณ์ฯจึงมีพระราชานุญาตให้นายเรเน ชาร์บอนโน ออกจากตำแหน่งเจ้าเมืองถลาง กลับมาพำนักที่กรุงศรีอยุธยา สมเด็จพระนารายณ์ฯ ทรงแต่งให้นายซิเยอร์ เดอ บิลลี (Sieur de Billy) ซึ่งเป็นพ่อบ้านรับใช้ (maître d'hôtel) ของทูตเดอโชมงต์ มาเป็นเจ้าเมืองถลางคนใหม่ ในพ.ศ. 2228 และยังทรงแต่งตั้งให้นายช็อง ริวัล (Jean Rival) ชาวฝรั่งเศสจากแคว้นโพรว็องซ์ ให้เป็นเจ้าเมืองตะกั่วป่าและบางคลี ในครั้งเดียวกันนั้น[1]

เมื่อตกลงสนธิสัญญาพ.ศ. 2228 แล้วนั้น สมเด็จพระนารายณ์ฯทรงส่งคณะทูตออกไปอีกครั้งในปีต่อมา ในพ.ศ. 2229 ครั้งนี้นำโดยออกพระวิสุทธสุนทร เพื่อให้สัตยาบันในสนธิสัญญา พระเจ้าหลุยส์ที่สิบสี่ทรงส่งส่งคณะทูตฝรั่งเศส มายังกรุงศรีอยุธยาอีกครั้งหนึ่ง ในปีต่อมา พ.ศ. 2230 นำโดยซิมง เดอ ลาลูแบร์ (Simon de la Loubère) และโคลด เซเบอเรอ ดู บูลไลย์ (Claude Céberet du Boullay) และยังมีนายพลเดฟาร์จ (Desfarges) เป็นผู้นำกองกำลังทหารของฝรั่งเศส มาประจำการที่สยาม นำไปสู่การตกลงสนธิสัญญาฝรั่งเศส-สยาม พ.ศ. 2230 ซึ่งมีเนื้อความข้อตกลง เป็นการยืนยันว่า กรุงศรีอยุธยามมอบสิทธิการผูกขาดการซื้อส่งออกดีบุกจากเมืองถลางและบางคลีให้แก่ฝรั่งเศส เป็นผู้เข้ามาซื้อดีบุกจากถลางและบางคลีแต่เพียงผู้เดียว ดังในข้อสัญญาข้อที่หกระบุว่า (กุมปันหญี คือ Compagnie หมายถึง บริษัทอินเดียตะวันออกของฝรั่งเศส, ฝรั่งเศส: Compagnie des Indes orientales);

๖ ข้อหนึ่ง สมเด็จพระมหากระษัตราธิราชเจ้า กรุงศรีอยุธยาผู้ใหญ่ พระราชทานให้กุมปันหญีฝรั่งเศสไปตั้งซื้อขายในเมืองถลางบางคลีก็ดี แลในจังหวัดที่นั้น แลห้ามจำกอบขนอนแลริดชาดุจในข้อสอง ข้อสาม แลพระราชทาน ให้ซื้อดีบุกในเมืองถลางบางคลีทั้งปวง แลห้ามมิให้ผู้อื่นผู้ใดๆ ซื้อดีบุกนอกกุมปันหญีฝรั่งเศสนั้นได้

[16]

ห้ามมิให้ชาวถลางและบางคลีขายดีบุกให้แก่พ่อค้าอื่นใดนอกจากฝรั่งเศส หากฝ่าผืนมีโทษ ถูกริบสินค้าดีบุกทั้งหมด โดยแบ่งดีบุกของกลางออกที่ยึดได้เป็นสี่ส่วน สองส่วนเข้าพระคลังสินค้าเป็นของหลวง หนึ่งส่วนมอบให้แก่โจทย์ผู้ฟ้องชี้เบาะแส หนึ่งส่วนมอบให้แก่ฝรั่งเศส

ถ้าแลผู้ใดลอบลักซื้อขายนอกกุมปันหญีฝรั่งเศสไซร้ให้ริบเอา แลทำให้เป็นสี่ส่วน ให้สองส่วน ให้แก่ชาวคลังเป็นของหลวง ส่วนหนึ่งให้แก่ผู้โจทย์ ส่วนหนึ่งพระราชทานแก่กุมปันหญีฝรั่งเศส

[16]

นอกจากนี้ ในสนธิสัญญายังระบุให้เจ้าเมืองถลางและกรมการเมืองถลาง เป็นผู้เจรจากำหนดราคาสินค้ากับฝรั่งเศส ราคาดีบุกที่เมืองถลางขายให้แก่ฝรั่งเศส และราคาสินค้าที่ฝรั่งเศสมาขายที่เมืองถลาง เพื่อป้องกันไม่ให้ฝ่ายฝรั่งเศสโก่งราคาสินค้าขึ้นสูง หรือกดราคาดีบุกลงต่ำ จนเป็นที่เดือดร้อนของราษฎรเมืองถลางและบางคลี จนนำไปสู่เหตุการณ์ดังเช่นที่เกิดขึ้นกับฮอลันดาหลายครั้ง หากกรมการเมืองถลางไม่สามารถตกลงราคากับฝรั่งเศสได้ ให้อุทธรณ์ไปที่กรุงศรีอยุธยา

แลราคาสินค้าซึ่งกุมปันหญีเอามาขายก็ดี ราคาดีบุกซึ่งกุมปันหญีจะซื้อก็ดี ให้เจ้าเมืองแลกรมการ แลผู้เฒ่าผู้แก่แลกุมปันหญีนั่งด้วยกันว่าราคาสินค้าซึ่งกุมปันหญีจะขาย แลราคาดีบุกซึ่งกุมปันหญีจะซื้อนั้นให้ว่าขาดทีเดียว แลอย่าให้กุมปันหญีขึ้นลงราคาให้เป็นแค้นเคืองแก่ราษฎร ถ้าแลราคานั้นมิลงกันก็ให้บอกข้อซึ่งขัดสนนั้นเข้ามา แลสมเด็จพระมหากระษัตราธิราชเจ้ากรุงศรีอยุธยาผู้ใหญ่ โปรดประการใดก็ให้ทำตาม

[16]

บันทึกของลาลูแบร์

[แก้]

หลังจากที่ทำสนธิสัญญาฝรั่งเศส-สยาม พ.ศ. 2230 แล้วนั้น สมเด็จพระนารายณ์ฯทรงแต่งคณะทูตไปยังฝรั่งเศสอีกครั้งหนึ่ง (เป็นครั้งสุดท้าย) นำโดยออกขุนชำนาญใจจง โดยที่ทูตฝรั่งเศสซิมงเดอลาลูแบร์ได้ติดตามคณะทูตของออกขุนชำนาญฯกลับไปฝรั่งเศสด้วย คณะทูตของออกขุนชำนาญฯเดินทางออกจากกรุงศรีอยุธยาในเดือนมกราคม พ.ศ. 2230 (นับอย่างปัจจุบัน พ.ศ. 2231) อีกสามปีต่อมา ในพ.ศ. 2234 ซิมงเดอลาลูแบร์ได้ตีพิมพ์หนังสือเกี่ยวกับราชอาณาจักรสยาม ชื่อว่า "ราชอาณาจักรสยาม" (ฝรั่งเศส: Du Royaume de Siam) หรือในสมัยปัจจุบันเรียกว่า จดหมายเหตุลาลูแบร์ ซึ่งกล่าวถึงถลางในชื่อว่า "ชงซาลัง" (Jonsalam)[1] ลาลูแบร์บันทึกว่า ถลางนั้นอุดมไปด้วยดีบุก

ลาลูแบร์กล่าวว่า เหมืองดีบุกทั้งปวงในพระราชอาณาจักรสยาม เมื่อทำเหมืองร่อนได้แร่ดีบุกออกมาแล้วนั้น ผลผลิตดีบุกที่ได้เป็นของหลวง เป็นของพระเจ้ากรุงสยามทั้งสิ้น เนื่องจากราชสำนักอยุธยาพระคลังสินค้าเป็นผู้ผูกขาดการส่งออกดีบุกจากสยาม ยกเว้นแต่เมืองถลาง(และบางคลี) ซึ่งอยู่ทางอ่าวเบงกอล พระเจ้ากรุงสยามพระราชทานให้ราษฎรชาวถลางสามารถประกอบกิจการลงทุนทำเหมืองแร่ ร่อนแร่ดีบุกออกขายต่อพ่อค้าต่างประเทศ เพื่อหารายได้ให้แก่ตนเอง ได้อย่างอิสระโดยที่ไม่ต้องผ่านราชสำนัก เนื่องจากว่าเมืองถลางนั้นหัวเมืองชายขอบ อยู่ห่างไกลจากกรุงศรีอยุธยา และเมืองถลางนั้นมี"อภิสิทธิ์แต่โบราณ"ที่สามารถค้าขายดีบุกได้โดยไม่ผ่านกรุงศรีอยุธยา[1] โดยที่ต้องจ่ายภาษีอากรดีบุกให้หลวงเป็นการตอบแทน (ฝรั่งเศส: Tout le Calin est à luy, & il le vend tant aux étrangers qu'à ses sujets, hormis celuy, que l'on tite des mines de Jonsalam sur le golphe de Bengale: car comme c'est une frontiere éloignée, il y laisse les habitants dans leurs anciens droits; de sorte qu'ils joüissent des mines qu'ils travaillent, moyennant un leger profit pour ce Prince.)

การค้าขายดีบุกที่เมืองถลางและบางคลี แตกต่างจากการค้าขายดีบุกในที่แห่งอื่นในอาณาจักรสยาม พ่อค้าบริษัทต่างประเทศ หากต้องการซื้อดีบุกจากสยาม จะต้องซื้อจากพระคลังสินค้าเท่านั้น เนื่องจากพระคลังสินค้าเป็นผู้ผูกขาดการส่งออกดีบุกให้แก่พ่อค้าต่างประเทศ ยกเว้นที่เมืองถลางและบางคลี ซึ่งพ่อค้าต่างประเทศสามารถซื้อดีบุกจากชาวเมืองถลางและบางคลีได้โดยตรง โดยไม่ผ่านพระคลังสินค้า โดยที่เจ้าเมืองถลางและกรมการเมืองถลางเป็นผู้กำหนดราคาดีบุก เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดความขัดแย้ง ในสนธิสัญญาพ.ศ. 2230 ระบุความแตกต่างไว้อย่างชัดเจน ว่าถ้าหากฝรั่งเศสต้องการซื้อดีบุกจากเมืองอื่นใดนอกจากเมืองถลางและบางคลี พระคลังสินค้าจะเป็นผู้ขายให้ "ถ้าแลกุมปันหญีต้องการซื้อดีบุกนอกดีบุก ณ เมืองถลางบางคลี แลงาช้าง แลช้าง แลดินประสิวขาว ดีบุกดำหมากกรอก ฝาง ก็ให้ชาวคลังขายให้แต่ตามราคาซื้อขายแก่ลูกค้าทั้งปวงแลอย่าให้กุมปันหญีซื้อขายสินค้ามีชื่อทั้งนี้แก่ลูกค้าซึ่งมิได้ซื้อแก่ชาวคลังนั้นเลย ด้วยสินค้านั้นเป็นส่วยสาอากรของหลวง แลห้ามมิให้ผู้ใดขายนอกชาวคลังนั้นเลย"[16] แต่ฝรั่งเศสสามารถซื้อดีบุกจากเมืองถลางและบางคลีได้โดยตรง "พระราชทานให้ซื้อดีบุกในเมืองถลางบางคลีทั้งปวง"[16]

ฝรั่งเศสที่ถลาง พ.ศ. 2232

[แก้]

สนธิสัญญาฝรั่งเศส-สยาม พ.ศ. 2230 อนุญาตให้ฝรั่งเศสนำกองกำลังมาประจำการที่เมืองบางกอกและเมืองมะริด เป็นเหตุให้เมื่อสมเด็จพระนารายณ์ฯเสด็จสวรรคตในพ.ศ. 2231 กลุ่มขุนนางกรุงศรีอยุธยาผู้ต่อต้านอำนาจและอิทธิพลของฝรั่งเศส นำโดยออกพระเพทราชา จึงทำการยึดอำนาจในกรุงศรีอยุธยา ออกพระเพทราชาปราบดาภิเษกขึ้นเป็นสมเด็จพระเพทราชา ปฐมกษัตริย์ราชวงศ์บ้านพลูหลวงแห่งกรุงศรีอยุธยา นายพลเดฟาร์จ ผู้บัญชาการกองกำลังฝรั่งเศสที่ป้อมบางกอก ไม่สามารถขัดขวางการยึดอำนาจของพระเพทราชาได้ทันการ สมเด็จพระเพทราชามีพระราชโองการให้คุมตัวบรรดามิชชันนารีฝรั่งเศสในกรุงศรีอยุธยาไว้เป็นตัวประกัน รวมทั้งคุมตัวขุนนางฝรั่งเศสได้แก่ นายซิเยอร์ เดอ บิลลี เจ้าเมืองถลาง และนายช็องริวัล เจ้าเมืองบางคลี (สุดท้ายทั้งเจ้าเมืองถลางและเจ้าเมืองตะกั่วป่าชาวฝรั่งเศสทั้งสองคนนี้ไม่ทราบชะตากรรม) ส่วนนายเรเน ชาร์บอนโน อดีตเจ้าเมืองถลางนั้น พระเพทราชาทรงให้นายชาร์บอนโนเข้าไปลี้ภัยอยู่ในสถานีการค้าของฮอลันดา[11] เนื่องจากทรงเกรงว่านายชาร์บอนโนจะได้รับอันตรายในเหตุการณ์ยึดอำนาจครั้งนี้ เมื่อออกจากตำแหน่งเจ้าเมืองถลางแล้ว นายเรเน ชาร์บอนโน ได้ลาออกจากคณะมิชชันนารีฝรั่งเศส อาศัยอยู่ที่กรุงศรีอยุธยาในฐานะราษฎรผู้หนึ่ง ไม่เป็นคนในบังคับของฝรั่งเศสอีกต่อไป

พระเพทราชาทรงส่งกองกำลังอยุธยาลงมาปิดล้อมป้อมบางกอก ซึ่งกองกำลังฝรั่งเศสและนายพลเดฟาร์จประจำการอยู่ ทัพฝ่ายกรุงศรีอยุธยาปิดล้อมป้อมบางกอกของฝรั่งเศสเป็นเวลาห้าเดือน จนกระทั่งฝ่ายฝรั่งเศสนายพลเดฟาร์จยอมจำนนและเปิดการเจรจาในเดือนพฤศจิกายน พ.ศ. 2231 โดยบรรลุข้อตกลงว่านายพลเดฟาร์จจะถอนกำลังฝรั่งเศสออกจากสยามทั้งหมด โดยที่ฝ่ายสยามจะไม่เข้าโจมตี ปล่อยให้ทหารฝรั่งเศสออกจากสยามอย่างปลอดภัย มีการแลกเปลี่ยนตัวประกันทั้งฝ่ายสยามและฝ่ายฝรั่งเศส เพื่อเป็นเครื่องรับประกันว่าทั้งสองฝ่ายจะไม่ผิดสัญญา นายพลเดฟาร์จนำกองกำลังฝรั่งเศสออกจากสยามได้สำเร็จในเดือนพฤศจิกายน โดยมีตัวประกันเป็นขุนนางสยามไปด้วยสามคน เดฟาร์จนำกองกำลังฝรั่งเศสที่หลงเหลือไปที่เมืองปอนดีเชอร์รี่ ในอินเดียใต้ชายฝั่งโจฬะมณฑล ซึ่งเป็นเมืองศูนย์กลางอำนาจการปกครองของฝรั่งเศสในภูมิภาคอินเดีย

ที่เมืองปอนดิเชอร์รี นายพลเดฟาร์จหารือกันกับนายฟรองซัว มาร์แตง เจ้าเมืองปอนดีเชอร์รี และข้าหลวงใหญ่ของฝรั่งเศสประจำภูมิภาคอินเดีย ในประเด็นเรื่องฝ่ายฝรั่งเศสควรจะตอบโต้การที่สมเด็จพระเพทราชาทรงขับไล่ชาวฝรั่งเศสออกจากสยาม ด้วยที่ขุนนางสยามสยามคนที่พระเพทราชาส่งมาเป็นตัวประกัน ยังคงอยู่กับนายพลเดฟาร์จที่เมืองปอนดิเชอร์รี นายพลเดฟาร์จและนายฟรองซัวมาร์แตง เห็นพ้องต้องกันว่า ฝ่ายฝรั่งเศสควรนำกองเรือบุกยึดครองเกาะถลาง เพื่อใช้เป็นเครื่องต่อรองในการเจรจากับราชสำนักอยุธยาภายใต้กษัตริย์พระองค์ใหม่คือสมเด็จพระเพทราชา ฝ่ายฝรั่งเศสมีความคาดหวังว่า เมื่อฝรั่งเศสยึดครองถลางแล้ว กรุงศรีอยุธยาจะยินยอมทำสัญญาการค้าฉบับใหม่กับฝรั่งเศส โดยให้สิทธิ์แก่ฝรั่งเศสมากขึ้น

นายพลเดฟาร์จนำขุนนางสยามสามคนที่เป็นตัวประกัน มาพร้อมเรือรบและกำลังทหารฝรั่งเศส 330 นาย[1] จากเมืองปอนดิเชอร์รี มาจอดเทียบท่าที่เมืองท่าถลาง ในเดือนเมษายน พ.ศ. 2232 เดฟาร์จส่งสาส์นไปยังเจ้าพระยาโกษาธิบดี (ปาน) เจ้าพระยาพระคลังคนใหม่ที่กรุงศรีอยุธยา เรียกร้องให้ฝ่ายกรุงศรีอยุธยาปล่อยตัวประกันชาวฝรั่งเศส ทั้งบาทหลวงมิชชันนารี และชดใช้ทรัพย์สินของฝรั่งเศสคืนให้แก่ทางการฝรั่งเศส ฝ่ายกรุงศรีอยุธยาสมเด็จพระเพทราชาทรงนิ่งเฉยมิได้ทรงตอบแต่ประการใด มีพระราชโองการให้แก่ชาวถลาง ห้ามมิให้ชาวถลางให้ข้าวให้น้ำหรือให้ที่พักพิงแก่ชาวฝรั่งเศสที่ถลางโดยเด็ดขาด มิฉะนั้นจะลงพระราชอาญาถึงสิ้นชีพ[1] เพื่อเป็นการกดดันให้ฝ่ายนายพลเดฟาร์จขาดเสบียงอาหาร

กองเรือฝรั่งเศสของนายพลเดฟาร์จไม่ได้เข้ายึดครองเกาะถลาง เพียงแต่จอดเทียบท่าอยู่ที่เมืองท่าถลางเพียงเท่านั้น เดฟาร์จรอคอยคำตอบจากราชสำนักอยุธยา ในขณะที่ทหารฝรั่งเศสขาดแคลนเสบียง เมื่อผ่านไปสามเดือนยังไม่ได้คำตอบ เดฟาร์จจึงส่งสาส์นไปยังเจ้าพระยาโกษาธิบดีอีกครั้ง ในเดือนสิงหาคมพ.ศ. 2232 เรียกร้องให้ทางราชสำนักกรุงศรีอยุธยาส่งราชทูตเป็นผู้แทนพระองค์ ลงมาเจรจากับนายพลเดฟาร์จที่ถลาง เพื่อทำข้อตกลงสนธิสัญญาฉบับใหม่ และนายเวเรต์ อดีตหัวหน้าสถานีการค้าของฝรั่งเศสในอยุธยา ส่งสาส์นอีกฉบับ เรียกร้องให้ทางฝ่ายสยามยกเกาะถลางให้ฝรั่งเศสเข้าครอบครอง[1] ฝ่ายพระเพทราชาทรงตอบว่า ทางกรุงศรีอยุธยาจะปล่อยตัวตัวประกันชาวฝรั่งเศสทั้งหลาย ก็ต่อเมื่อฝ่ายฝรั่งเศสปล่อยตัวประกันขุนนางสยามเสียก่อน

การตอบโต้เจรจาผ่านสาส์นระหว่างนายพลเดฟาร์จและราชสำนักอยุธยาไม่ประสบผล ฝ่ายอยุธยาไม่ยินยอมทำตามข้อเรียกร้องใดๆของเดฟาร์จ นายพลเดฟาร์จอดทนรอคอยคำตอบจากอยุธยาอยู่ที่ถลางเป็นเวลาถึงเจ็ดเดือน ไม่ได้การตอบรับจากกรุงศรีอยุธยา เมื่อเสบียงอาหารหมดสิ้น นายพลเดฟาร์จตระหนักว่าไม่อาจบีบบังคับหรือเจรจาสัญญาฉบับใหม่กับสยามได้อีก นายพลเดฟาร์จจึงตัดสินใจปล่อยตัวประกันขุนนางชาวสยาม แล้วถอนกองเรือฝรั่งเศสออกจากเมืองท่าถลาง ในเดือนพฤศจิกายน พ.ศ. 2232

สมัยกรุงศรีอยุธยาตอนปลาย

[แก้]

รัชสมัยสมเด็จพระเพทราชา

[แก้]

หลังจากที่สมเด็จพระเพทราชาทรงผลักดันชาวฝรั่งเศสให้ออกไปจากสยามแล้วนั้น ทางฝ่ายฮอลันดาได้เข้ามาเจริญสัมพันธไมตรีกับกรุงศรีอยุธยาดังเดิม โดยมีการทำสนธิสัญญาฉบับใหม่ ระหว่างกรุงศรีอยุธยาและบริษัทอินเดียตะวันออกของฮอลันดา ในพ.ศ. 2231[11] นอกจากนี้ ฝ่ายฝรั่งเศส บาทหลวงกีตาชาร์ด (Guy Tachard) ยังนำคณะทูตฝรั่งเศสมาเจริญสัมพันธไมตรีกับกรุงศรีอยุธยา เข้าเฝ้าสมเด็จพระเพทราชาในพ.ศ. 2242 แต่ไม่สามารถบรรลุข้อตกลงสนธิสัญญาขึ้นใหม่ได้ อย่างไรก็ตาม ในสมัยราชวงศ์บ้านพลูหลวง กิจกรรมทางการค้าของฮอลันดาในสยามลดน้อยเสื่อมถอยลง เนื่องจากสินค้าที่ฮอลันดาซื้อจากสยามออกไปขาย ได้แก่ หนังกวาง และไม้ฝาง ประสบปัญหาราคาตกต่ำ ทำให้ธุรกิจการค้าของฮอลันดาในสยามมีกำไรลดลงจนถึงขาดทุน[11] ในขณะที่จีนราชวงศ์ชิงขึ้นมามีบทบาทในการค้าทางทะเลขึ้นมามากขึ้นแทนที่ฮอลันดา พ่อค้าชาวจีนเข้ามามีบทบาทเป็นนายทุนในสยามขึ้นมาแทนที่พ่อค้าฮอลันดา เมื่อเจ้าพระยาโกษาธิบดี (ปาน) ถึงแก่อสัญกรรมในพ.ศ. 2242 สมเด็จพระเพทราชาทรงแต่งตั้งให้ชาวจีนผู้หนึ่ง ให้เป็นเจ้าพระยาพระคลังคนใหม่ ในพ.ศ. 2243 เป็นเจ้าพระยาพระคลังชาวจีนคนแรก[17] แสดงถึงบทบาทของชาวจีนที่เริ่มปรากฏขึ้นมาในราชสำนักอยุธยาและในการค้าของสยาม เมื่อชาวตะวันตกเสื่อมบทบาทลงไปจากภูมิภาค ถลางไม่ได้เป็นเงื่อนไขต่อรองทางการค้าอีกต่อไป ทำให้เหตุการณ์เมืองถลางสมัยราชวงศ์บ้านพลูหลวงไม่ได้รับการจดบันทึก[2]มากเท่ากับสมัยสมเด็จพระนารายณ์ฯ

เมื่อทรงปราบดาภิเษกขึ้นครองราชสมบัติแล้ว สมเด็จพระเพทราชาทรงประสบปัญหาหัวเมืองต่างๆตามภูมิภาคก่อการกบฏขึ้นหลายครั้ง ในรัชสมัยสมเด็จพระเจ้าปราสาททอง เมืองนครศรีธรรมราช เป็นเมืองเอก มีอำนาจดูแลกำกับเมืองอื่นในภาคใต้ของประเทศ รวมถึงเมืองถลาง ในรัชสมัยของสมเด็จพระเพทราชา พระยารามเดโช ซึ่งสมเด็จพระนารายณ์ฯได้ทรงแต่งตั้งออกไปให้เป็นเจ้าเมืองนครศรีธรรมราชนั้น ไม่ยอมรับสมเด็จพระเพทราชาและเป็นกบฏขึ้นในพ.ศ. 2243 พระเพทราชาต้องทรงแต่งทัพมีกำลัง 15,000 คน จากกรุงศรีอยุธยาลงไปปราบกบฏเมืองนครศรีธรรมราช แล้วจึงทรงแต่งตั้งให้หม่อมเดโชเป็นเจ้าเมืองนครศรีธรรมราชต่อมา ต่อมาในรัชสมัยสมเด็จพระเจ้าเสือ ในพ.ศ. 2247 หม่อมเดโชเจ้าเมืองนครศรีธรรมราช ไม่ยอมรับพระเจ้าเสือ เป็นกบฏขึ้น สมเด็จพระเจ้าเสือจึงทรงแต่งทัพลงไปปราบกบฏเมืองนครศรีธรรมราช ในพ.ศ. 2248[17] (ในปีนั้น หม่อมเดโชกินเมืองนคร จับปลัดฆ่าเสีย มีตราให้หาก็มิได้เข้ามา จึงยกทัพออกไปจะจับหม่อมเดโช ๆ ขับคนขึ้นน่าที่เชิงเทินต่อรบพุ่งเปนสามารถ พระไกรพลแสนอยู่ในเมืองเปนใจด้วยทัพหลวง ให้คนหนีจากน่าที่เชิงเทิน กองทัพจึงเข้าเมืองได้ หม่อมเดโชหนีไปได้)[18] ในสมัยราชวงศ์บ้านพลูหลวง เจ้าเมืองนครศรีธรรมราช ไม่ได้มีอำนาจมากเท่ากับในรัชสมัยสมเด็จพระเจ้าปราสาททอง เนื่องจากหัวเมืองต่างๆของกรุงศรีอยุธยาเป็นกบฏหลายครั้ง ราชสำนักอยุธยาจึงไม่ไว้วางใจให้เจ้าเมืองมีอำนาจอยู่มาก หัวเมืองต่างๆในภาคใต้อยู่ภายใต้การกำกับดูแลของสมุหพระกลาโหม

ในรัชสมัยสมเด็จพระเพทราชา มีเจ้าเมืองถลางคนหนึ่งชื่อ พระยาสุรินทราชา (จอมสุริน) เจ้าเมืองผู้นี้ตั้งเมืองอยู่ที่บ้านลี้พอนคือ บ้านลิพอนในปัจจุบัน พงศาวดารเมืองถลาง ในประชุมพงศาวดารหอสมุดแห่งชาติได้กล่าวถึงคำให้การของชาวถลางเมื่อ พ.ศ. 2384 ได้ให้ความย้อนหลังขึ้นไปในสมัยกรุงศรีอยุธยาตอนปลายคือเหตุการณ์ครั้งนั้นคงเกิดขึ้นประมาณพ.ศ. 2233 หรือ พ.ศ. 2234 ซึ่งอยู่ในรัชสมัยของพระเพทราชาและทรงทำการปราบชาวฝรั่งเศสและผู้เอาใจฝรั่งเศสอย่างรุนแรง พงศาวดารเมืองกล่าวว่า"...ฝ่ายบ้านลี้พอนจอมสุรินคิดมิชอบ จะตั้งตัวเป็นใหญ่ มีตราออกมาให้จับจอมสุรินฆ่าเสีย เพราะเป็นโทษขบถต่อแผ่นดินสิ้นเชื้อผู้ดีเมืองถลางว่าง พระยาถลางคางเซ้ง ชาวกรุงออกมาเป็นเจ้าเมือง..."

เจรินี ได้กล่าวไว้ในหนังสือ"เค้าเงื่อนประวัติศาสตร์ถลาง" (Historical Retrospect of Junkceylon Island) ว่า หลังจากฝรั่งเศสได้รับการแต่งตั้งจากกรุงศรีอยุธยา 2 คน ในสมัยสมเด็จพระนารายณ์มหาราช การเปลี่ยนแปลงของประเทศไทยในระยะต่อมาก็ได้ชาวจีนได้รับการแต่งตั้งมาเป็นเจ้าเมืองถลาง เป็นข้อสันนิษฐานว่าน่าจะเป็น พระยาถลางคางเซ้งในคำให้การของชาวถลางในพงศาวดารถลาง ราชทินนามน่าจะเป็นพระยาสุรินทราชาตามยศและตำแหน่งเดิม แต่ชาวบ้านนิยมเรียกระบุชื่อเพื่อมิให้สับสน

การเข้ามาของชาวจีน

[แก้]

ในรัชสมัยสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวท้ายสระ อิทธิพลของพ่อค้าและขุนนางชาวจีนในราชสำนักกรุงศรีอยุธยารุ่งเรืองอย่างที่สุด โดยมีเจ้าพระยาพระคลังจีนดำรงตำแหน่งเป็นเสนาบดีพระคลังในรัชสมัยนี้ และมีอำนาจอยู่มาก[17] พ่อค้าชาวจีนเข้ามาแทนที่พ่อค้าฮอลันดาในฐานะที่เป็นนายทุนว่าจ้างการขุดทำเหมืองร่อนแร่ดีบุกในภาคใต้ ปรากฏว่าในรัชสมัยของพระเจ้าอยู่หัวท้ายสระ ในพ.ศ. 2259 มีพ่อค้าชาวจีนผู้หนึ่งได้รับมอบหมายจากราชสำนักอยุธยาให้ลงทุนจัดทำเหมืองแร่ดีบุกที่สงขลา[17] ส่วนที่ถลางนั้นปรากฏเริ่มมีชาวจีนเข้ามาตั้งถิ่นฐานเป็นแรงงานทำเหมืองแร่ รวมทั้งเป็นนายทุนเหมืองแร่ดีบุกด้วย อย่างไรก็ตาม แหล่งดีบุกที่สำคัญของพ่อค้าจีน ในสมัยราชวงศ์บ้านพลูหลวง ไม่ได้อยู่ที่ภาคใต้ของประเทศไทย ที่อยู่ที่เกาะบังกา (Bangka Island)[19] ใกล้กับเกาะสุมาตรา

ในพ.ศ. 2260 นายอเล็กซานเดอร์ แฮมิลตัน (Alexander Hamilton) นายทหารชาวสก็อต เป็นผู้บัญชาการกองเรือบอมเบย์ของอังกฤษ (Bombay Marine) เดินทางมาที่กรุงศรีอยุธยา ระหว่างทางนายอเล็กซานเดอร์ แฮมิลตัน ได้เดินทางเข้ามาที่ถลาง เรียกเกาะถลางว่า "โจนเซโลน" (Jonceyloan)[20] แฮมิลตันบรรยายว่า"โจนเซโลน"หรือถลางนั้นเป็นอาณาเขตของพระเจ้ากรุงสยาม (it lies in the dominions of the king of Siam)[20] แฮมิลตันระบุว่า เกาะถลางนั้นมีเมืองท่าสองแห่ง ซึ่งเมืองท่าแต่ละแห่งนั้น มีการใช้งานในฤดูมรสุมที่แตกต่างกัน เพื่อหลบเลี่ยงลมมรสุมในฤดูกาลที่ต่างกัน;

  • เมืองท่าแห่งหนึ่ง ซึ่งตั้งอยู่ระหว่างเกาะถลางกับแผ่นดินใหญ่ ไว้สำหรับใช้งานในฤดูมรสุมตะวันตกเฉียงใต้
  • เมืองท่าอีกแห่งหนึ่ง ตั้งอยู่ทางที่อ่าวป่าตอง (Puton Bay)[20] ไว้สำหรับใช้งานในฤดูมรสุมตะวันออกเฉียงเหนือ

อเล็กซานเดอร์ แฮมิลตัน บรรยายว่า เกาะถลางนั้นอุดมไปด้วยแร่ดีบุกแต่ไม่มีคนขุด[20] แสดงถึงว่า ในขณะนั้น ถลางประสบปัญหาขาดแคลนแรงงานในการขุดทำเหมืองแร่ดีบุก เมื่อปราศจากพ่อค้าจากอินเดียและตะวันตก เศรษฐกิจการค้าดีบุกในถลางนั้นอาจเสื่อมถอยลง ประชากรเบาบาง ทำให้ขาดแคลนกำลังแรงงานในอุตสาหกรรมดีบุกเมืองถลาง นอกจากนี้ นายแฮมิลตันยังระบุว่า เจ้าเมืองและกรมการเมืองถลางนั้นเป็นชาวจีนโดยส่วนใหญ่ (and the governors being generally Chinese)[20] อาจเป็นคนเดียวกันกับ"พระยาถลางคางเซ้ง" แฮมิลตันบรรยายว่า เจ้าเมืองและกรมการชาวจีนเหล่านี้ ซื้อตำแหน่งมากจากราชสำนักอยุธยา เมื่อเข้ามาปกครองเมืองถลางแล้ว จึงขูดรีดเอาจากราษฎรเมืองถลาง เพื่อไถ่ถอนทุนคืนจากการซื้อตำแหน่งเหล่านี้มา[20] ถึงแม้ว่าพ่อค้าชาวจีนจะเข้ามามีบทบาทมากขึ้น แต่พ่อค้าชาวจีนเหล่านั้น ส่วนมากเข้ามาค้าขายที่เมืองท่าฝั่งอ่าวไทย เช่น นครศรีธรรมราช สงขลา ปัตตานี มากกว่าที่จะเข้ามาทางฝั่งทะเลอันดามัน

ถึงแม้ว่าเศรษฐกิจการค้าดีบุกของถลางจะเสื่อมถอยลงในสมัยราชวงศ์บ้านพลูหลวง แต่ยังปรากฏมีการค้าขายระหว่างถลางกับทางอินเดียใต้ชายฝั่งโจฬะมณฑล ทางฝั่งมหาสมุทรอินเดีย ถึงแม้ว่าอาจไม่รุ่งเรืองเท่ากับในรัชสมัยของสมเด็จพระนารายณ์ฯ แฮมิลตันบันทึกว่า ชาวถลางนั้นทำการค้าขายกับเบงกอลและชายฝั่งโจฬะมณฑลในระดับที่ไม่มาก[20] ฝ่ายกรมการเมืองมัทราสของอังกฤษ กล่าวถึงเมืองในภูมิภาคทะเลอันดามันที่สำคัญ ที่ค้าขายกับเมืองมัทราสของอังกฤษ ได้แก่ เมืองหงสาวดี เมืองมะริด เมืองไทรบุรี และเมืองถลาง[21]

เหตุการณ์เรืออังกฤษถูกปล้นที่ถลาง

[แก้]

เรือนอร์ธธัมเบอร์แลนด์ (Northumberland)[22] เรือสินค้าของอังกฤษ นำโดยกัปตันจอห์น แม็กแมธ (John Macmath)[22] ล่องเรือจากเมืองมัทราสจากอินเดียใต้ ชายฝั่งโจฬะมณฑล เข้ามายังภูมิภาคทะเลอันดามัน ไปค้าขายที่เมืองไทรบุรีและเมืองสลังงอร์ ระหว่างเดินทางกลับเมืองมัทราส เรือนอร์ธธัมเบอร์แลนด์ได้เดินเข้ามาเทียบท่าที่ท่าเรือเมืองถลาง ในเดือนเมษายน พ.ศ. 2299[22] กัปตันจอห์น แม็กแมธ เดินทางขึ้นมาเข้าพบเจ้าเมืองถลางตามธรรมเนียม แต่ในขณะที่กัปตันจอห์นแม็กแมธกำลังเข้าพบเจ้าเมืองถลางอยู่นั้น ชาวจีนผู้หนึ่ง ซึ่งเป็น"ลูกน้องคนสำคัญ"ของเจ้าเมืองถลาง ได้นำชาวมลายู จากถลางและจากเกาะลังกาวี จำนวนทั้งสิ้นแปดคน เข้าปล้นเรือนอร์ธธัมเบอร์แลนด์ที่จอดเทียบท่าอยู่ที่ท่าเรือเมืองถลางนั้น ชาวมลายูแปดคน ที่หัวหน้าชาวจีนลูกน้องเจ้าเมืองถลางได้นำมานั้น สังหารชาวอังกฤษบนเรือนอร์ธธัมเบอร์แลนด์ไปจำนวนหกคน และจับกุมลูกเรือชาวอังกฤษอีกจำนวนยี่สิบเอ็ดคน โดยที่หัวหน้าชาวจีนลูกน้องคนสำคัญของเจ้าเมืองถลางนั้น เป็นผู้ใช้มีดแทงรองกัปตันเรือนอร์ธธัมเบอร์แลนด์จนเสียชีวิต ส่วนกัปตันจอห์นแม็กแมธนั้น ได้หลบหนีซ่อนตัวอยู่ในเกาะถลาง เป็นเวลาเจ็ดวัน ก่อนที่จะสามารถเดินทางหลบหนีออกมาจากเกาะถลางได้ในที่สุด[22]

สองเดือนหลังจากเหตุการ์ปล้นเรือสินค้านอร์ธธัมเบอร์แลนด์ของอังกฤษที่เมืองถลางนี้ ประมาณเดือนกรกฎาคม พ.ศ. 2299 ขุนนางมลายูไทรบุรีชื่อว่า รายาปูโกโล (Raja Pookolo)[22] ซึ่งสุลต่านเจ้าเมืองไทรบุรีได้แต่งตั้งไว้ให้ปกครองเกาะลังกาวี รายาปูโกโลเดินทางมายังเกาะถลาง นำเรือสินค้าอังกฤษนอร์ธธัมเบอร์แลนด์ พร้อมทั้งชาวมลายูผู้ก่อการทั้งแปดคน และเชลยชาวอังกฤษลูกเรืออีกยี่สิบเอ็ดคน ทั้งหมดรายาปูโกโลย้ายจากถลางไปไว้ที่เกาะลังกาวี ต่อมาเรือนอร์ธธัมเบอร์แลนด์นี้ถูกนำไปปล่อยทิ้งให้จมลงที่ปากน้ำกัวลาเกอดะฮ์ หรือปากน้ำเมืองไทรบุรี แล้วสินค้าของอังกฤษบนเรือนอร์ธธัมเบอร์แลนด์ทั้งหมดนั้น สุลต่านมูฮาหมัดยิหวาไจนัลอาดีลิน (Muhammad Jiwa Zainal Adilin) เจ้าเมืองไทรบุรีเป็นผู้รับไป ต่อมาในเดือนสิงหาคม พ่อค้าชาวอังกฤษอีกคนหนึ่งชื่อว่า วิลเลียม ออร์มสตัน (William Ormston) เดินทางเข้ามาค้าขายที่ถลาง เจ้าเมืองถลางได้แจ้งแก่นายวิลเลียมออร์มสตันว่า เหตุการณ์ปล้นเรือนอร์ธธัมเบอร์แลนด์ของอังกฤษเมื่อสี่เดือนก่อนหน้านั้น ผู้ก่อการเป็นชาวมลายูที่ไม่ได้อยู่ในความปกครองของเจ้าเมืองถลาง[22]

ฝ่ายนายจอห์นแม็กแมธกัปตันเรือนอร์ธธัมเบอร์แลนด์ มีความโกรธแค้นที่ถูกปล้นสินค้าที่ถลาง จึงไปฟ้องต่อนายจอร์จปิเกิต (George Pigot) เจ้าเมืองมัทราสของอังกฤษ ให้ทางการอังกฤษที่เมืองมัทราสตอบโต้เหตุการณ์ปล้นเรืออังกฤษที่ถลาง นายจอร์จปิเกิตเจ้าเมืองมัทราสเรียกเหตุการณ์ปล้นเรืออังกฤษที่ถลางนี้ว่าเป็น "ความทรยศของมลายูที่ถลาง" (Malay Treachery at Junk Ceylon)[22] ในปีพ.ศ. 2300 ทางการอังกฤษเมืองมัทราสส่งสาส์นให้แก่กรุงศรีอยุธยา เรียกร้องให้กรุงศรีอยุธยาชดใช้ค่าเสียหายให้แก่นายแม็กแมธ มิฉะนั้นอังกฤษจะโจมตีเรือสินค้าของสยามในมหาสมุทรอินเดีย ฝ่ายราชสำนักกรุงศรีอยุธยา สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวบรมโกศทรงให้จับกุมหัวหน้าคณะผู้ก่อการปล้นเรืออังกฤษที่ถลาง (ควรเป็นชาวจีนผู้เป็นลูกน้องคนสำคัญของเจ้าเมืองถลาง) นำตัวไปสอบสวนที่กรุงศรีอยุธยา แต่ทว่าหัวหน้าคณะผู้ก่อการนั้นได้ใช้มีดแทงตนเองสิ้นชีวิตก่อนถึงอยุธยา[22]

ปีต่อมาพ.ศ. 2301 ฝ่ายอังกฤษเมืองมัทราส ได้สืบทราบเบื้องหลังเหตุการณ์ปล้นเรือนอร์ธธัมเบอร์แลนด์ที่ถลางว่า ชาวจีนซึ่งเป็นลูกน้องคนสำคัญของเจ้าเมืองถลางนั้น ได้ติดหนี้ต่อสุลต่านมูฮาหมัดยิหวาเจ้าเมืองไทรบุรี ฝ่ายอังกฤษจึงสรุปว่าหัวหน้าชาวจีนเมืองถลางผู้นั้น ได้วางแผนก่อการปล้นเรือสินค้านอร์ธธัมเบอร์แลนด์ของอังกฤษ เพื่อนำสินค้าอังกฤษนั้นไปชดใช้หนี้ต่อสุลต่านเจ้าเมืองไทรบุรี[22] และอังกฤษยังสืบทราบอีกว่าเรือนอร์ธธัมเบอร์แลนด์นั้นสุดท้ายแล้วถูกเคลื่อนย้ายไปจมที่ปากน้ำไทรบุรี ฝ่ายอังกฤษจึงเพ่งเล็งไปที่เมืองไทรบุรีมากกว่าอยุธยา เป็นเหตุให้นายจอห์นแม็กแมธเดินทางไปยังเมืองอาโลร์เซอตาร์ เพื่อเข้าพบสุลต่านมูฮาหมัดยิหวาเจ้าเมืองไทรบุรีด้วยตนเอง ฝ่ายเจ้าเมืองไทรบุรีตอบนายแม็กแมธว่า เจ้าเมืองไทรบุรีนั้นไม่ทราบเรื่องราวที่เรือนอร์ธธัมเบอร์แลนด์ของอังกฤษถูกปล้นที่ถลาง เนื่องจากเกาะถลางนั้นอยู่ในอาณาเขตของกรุงศรีอยุธยา ไม่ได้เป็นอาณาเขตของไทรบุรี[22] แต่สุลต่านเจ้าเมืองไทรบุรีให้สัญญาว่า จะช่วยเหลือนายแม็กแมธค้นหาเรือนอร์ธธัมเบอร์แลนด์ที่สูญหายไป คำตอบของเจ้าเมืองไทรบุรีนี้ ทำให้นายแม็กแมธมั่นใจว่า เจ้าเมืองไทรบุรีมีส่วนรู้เห็นในการปล้นเรืออย่างแน่นอน

นายจอห์น แม็กแมธ อดีตกัปตันเรือ มีความมั่นใจว่า สุลต่านมูฮาหมัดยิหวาเจ้าเมืองไทรบุรี คือผู้อยู่เบื้องหลังเหตุการณ์ปล้นเรือนอร์ธธัมเบอร์แลนด์ที่ถลาง ในพ.ศ. 2299 นายแม็กแมธจึงเรียกร้องให้นายจอร์จปิเกิต เจ้าเมืองมัทราสของอังกฤษ ให้ดำเนินการตอบโต้ต่อเมืองไทรบุรี นายปิเกิตจึงมีคำสั่งให้ยึดเรือสินค้าของไทรบุรีที่ไปค้าขายที่เมืองมัทราส ในเดือนกรกฎาคม พ.ศ. 2302 ฝ่ายสุลต่านมูฮาหมัดยิหวาเจ้าเมืองไทรบุรี มีประกาศออกมาในพ.ศ. 2303 ว่า เจ้าเมืองไทรบุรีนั้นไม่ได้มีส่วนรู้เห็นต่อเหตุการณ์ปล้นเรือนอร์ธธัมเบอร์แลนด์ที่ถลาง และเจ้าเมืองไทรบุรียังตำหนิกัปตันแม็กแมธว่า กัปตันแม็กแมธปล่อยให้ชาวมลายูเพียงแปดคนสามารถเอาชนะลูกเรือชาวอังกฤษที่มีจำนวนถึงยี่สิบกว่าคนได้[22]

บาทหลวงปิแยร์ บริโกต์ (Pierre Brigot) ผู้แทนพระสันตปาปาประจำกรุงสยาม ได้บันทึกเหตุการณ์ที่เรือของอังกฤษถูกปล้นที่ภูเก็ตในรัชสมัยสมเด็จพระเจ้าเอกทัศน์ไว้ว่า มีอย่างน้อยสองครั้ง โดยเขียนลงในจดหมายวันที่ 15 ธันวาคม ค.ศ. 1762 (พ.ศ. 2305) ว่ามีเรืออังกฤษลำหนึ่งจากเบงกอล ได้เข้ามาที่ภูเก็จ (ถลาง) เมื่อปีกลาย (พ.ศ. 2304) ได้ถูกชาวถลางเข้าปล้นเรือ และในปีนี้ (พ.ศ. 2305) ข้าราชการกรมการเมืองถลาง ได้เชื้อเชิญให้เรือสินค้าอังกฤษเข้ามาซ่อมแซมเรือที่เมืองท่าถลาง แล้วกรมการเมืองถลางจึงร่วมมือกับชาวสยามและชาวมลายู เข้าปล้นสะดมเรือของอังกฤษ ยึดเอาสินค้าของอังกฤษบนเรือนั้น แล้วฝ่ายกรมการเมืองถลางจึงโยนความผิดนั้นให้แก่ชาวโปรตุเกสคริสเตียนเข้ารีดที่เมืองถลาง และบาทหลวงบริโกต์ ยังระบุอีกว่า มีบาทหลวงโปรตุเกสผู้หนึ่งที่ถลาง ถูกกรมการเมืองถลางคุมตัวไว้สอบสวนเป็นเวลานานหนึ่งเดือน จนสุดท้ายบาทหลวงโปรตุเกสผู้นั้นเสียชีวิต[23]

เมื่อปีกลายนี้พวกข้าราชการ ที่เมืองภูเก็จได้ปล้นเรืออังกฤษลำหนึ่ง ซึ่งได้หนีจากเมืองเบงกอลแวะ เข้ามาที่เมืองภูเก็จเพื่อหนีท่านเคาน์เดซแตง เมื่อปีนี้พวกข้าราชการเมืองภูเก็จได้แนะนำให้เรืออังกฤษอีกลำหนึ่ง เข้าไปซ่อมแซมเรือที่ฝั่ง เมืองแตร์แฟม (Terre Ferme) ใกล้กับเมือง โตยอง (Toyon) ซึ่งเปนเมืองที่มีคนเข้ารีดมากที่สุดในแถบเกาะภูเก็จนี้ ครั้นเรือ อังกฤษได้ไปทอดที่เมืองแตร์แฟมตามคำแนะนำของข้าราชการเมือง ภูเก็จแล้ว พวกไทยและมะลายูซึ่งอยู่ที่เมืองนั้นกู้กันกับข้าราชการ เมืองภูเก็จ จึงได้ฟันแทงพวกอังกฤษและขึ้นปล้นเรือเก็บสินค้าใน เรือนั้นไปหมดสิ้น ฝ่ายข้าราชการเมืองภูเก็จคิดจะปิดบังความผิด ของตัว จึงคิดอุบายความว่าพวกเข้ารีดที่เมืองโตยอง เปนผู้ที่ปล้น และทำร้ายเรืออังกฤษ ลงท้ายที่สุดพวกเข้ารีดเหล่านี้ก็พลอยฉิบหาย ไปเปล่า ๆ ยังมีบาดหลวงคณะฟรังซิซแกง เปนชาติ ปอตุเกตคนหนึ่ง ได้ตายด้วยความตรอมใจและถูกทรมาน เพราะเจ้าพนักงารเมือง ภูเก็จได้จับบาดหลวงคนนี้ขังไว้ในระหว่างพิจารณาความเกือบเดือนหนึ่ง

[24]

จากบันทึกต่างๆข้างต้นนี้ เรือสินค้าของอังกฤษถูกปล้นที่ถลางอย่างน้อยสามครั้ง ในพ.ศ. 2299 พ.ศ. 2304 และพ.ศ. 2305 บาทหลวงบริโกต์ระบุว่า ด้วยเหตุที่เมืองถลางนั้นอยู่ห่างไกลจากพระเนตรพระกรรณ ทำให้ข้าราชการเมืองถลางสามารถเข้าปล้นเรือสินค้าของอังกฤษได้ "แต่ถ้าห่างพระเนตร์พระกรรณออกไปแล้วข้าราชการเหล่านี้ก็ลักขะโมยอย่างไม่กลัวทีเดียว"[24] ภาวะเศรษฐกิจการค้าดีบุกที่เสื่อมลงของเมืองถลางในสมัยราชวงศ์บ้านพลูหลวงอาจเป็นปัจจัยที่ทำให้ชาวถลางและกรมการเมืองถลางเข้าปล้นสินค้าอังกฤษ อย่างไรก็ตาม ไม่ได้มีแต่เพียงเมืองถลางเท่านั้น ยังปรากฏว่ามีเมืองไทรบุรีที่อาจมีส่วนในการปล้นเรืออังกฤษด้วยเช่นกัน

สมัยของตระกูลของคุณหญิงจัน

[แก้]

ท้าวเทพกระษัตรีเป็นบุตรีของจอมร้างบ้านเคียน เจ้าเมืองถลางในสมัยนั้น ซึ่งมีการเกี่ยวดองทางเครือญาติกับพระปลัด (หนู) เมืองนครศรีธรรมราช พงศาวดารได้กล่าวไว้ว่า เจ้าเมืองถลางจอมร้าง มีพี่ช่ยร่วมบิดาต่างมารดาอยู่คนหนึ่งชื่อ จอมเฒ่าบ้านดอน เป็นเจ้าเมืองถลางบ้านดอน สองพี่น้องมีความรักใคร่กลมเกลียวมาก จอมเฒ่ายังมีชื่อที่ชาวถลางเรียกขานไว้คือ จอมทองคำ จอม่ทองคำน่าจะเป็นชื่อจริงบเพราะมีบุตรชายชื่อ ทองพูน ได้เป็นพระยาถลางหลังจากเมืองถลางชนะศึกพม่า ปีพ.ศ. 2328 แล้ว

โดยประเพณีไทยโบราณนั้น เมื่อผู้ชายเข้าพิธีสมรส ก็จะต้องไปอยู่บ้านฝ่ายหญิง หม่อมศรีภักดีภูธรบุตรจอมนายกองเมืองตะกั่วทุ่งเมื่อเข้าพิธีสมรสกับคุณจัน (นามเดิมของท้าวเทพกระษัตรี) บุตรีจอมร้างบ้านตะเคียนเมืองถลาง จึงต้องมาอยู่บ้านของฝ่ายภรรยา ซึ่งเป็นการเหมาะสมเนื่องจากจะได้ช่วยราชการเมืองของจอมร้าง ในขณะที่สูงอายุ แต่มีเพียงบุตรีคนโตคือคุณจันเท่านั้นที่เป็นหัวเรี่ยวหัวแรงในการปกครองบ้านเมืองเพราะบุตรชายคือ คุณอาดและคุณเรืองยังอยู่ในวัยเด็กมาก ไม่อาจช่วยงานราชการได้ แต่หม่อมศรีภักดีภูธรบุญน้อย พอมีบุตรกับคุณจันได้ 2 คนคือ คุณปรางบุตรีและคุณเทียน หม่อมศรีภักดีถึงแก่กรรม คุณจันจึงตกเป็นพุ่มหม้าย

ขณะนั้นกรุงศรีอยุธยากำลังระส่ำระสายด้วยการผลัดแผ่นดินจากสมเด็จพระเจ้าบรมโกศเป็นพระเจ้าอุทุมพร แล้วเปลี่ยนเป็นพระเจ้าเอกทัศและกลับเปลี่ยนเป็นพระเจ้าอุทุมพรอีกครั้งหนึ่ง เพื่อทำการสู้ศึกกับพม่า ซึ่งยกทัพเข้ามาโจมตีกรุงศรีอยุธยายืดเยื้อติดต่อกันนับตั้งแต่พ.ศ. 2301 จนถึงพ.ศ. 2310 อันเป็นปีที่กรุงศรีอยุธยาล่มสลาย

ปัญหาในเมืองถลาง

[แก้]

พระยาพิมลขัน เจ้าเมืองกระบุรี ซึ่งมีบรรดาศักดิ์เพียงเป็นพระกระในครั้งนั้น หนีศึกพม่าลงมาเข้ากับเจ้านครศรีธรรมราชคนใหม่ เจ้านครฯจึงส่งให้มาช่วยราชการเมืองถลางแทนหม่อมศรีภักดีที่ถึงแก่อนิจกรรมลง โดยตอนนั้นคุณหญิงจันตกเป็นพุ่มหม้าย พระกระได้รับสถาปนาขึ้นเป็นพระยาพิมลอัยา (ขัน) และได้สมรสกับคุณหญิงจันในเวลาต่อมา (พ.ศ. 2314)

เมื่อสิ้นบุญจอมร้างบ้านเคียน ก็เกิดปัญหาเรื่องมรดกในเมืองถลาง ว่าผู้ใดควรจะได้สืบทายาทความเป็นเจ้าเมืองต่อไป พระยาพิมลขันว่าที่สามีคุณหญิงจันซึ่งได้ช่วยราชการมานานพอควรและสูงด้วยวัยวุฒิ สมควรแก่เจ้าเมืองถลางในครั้งนั้น แต่เนื่องจากไม่ใช่ทายาทสายตรงของจอมร้าง ซึ่งมีบุตรชาย 2 คน และมีหลานชายคือ คุณเทียน ผู้มีสายสกุลของหม่อมศรีภักดี สายสกุลเมืองนคร คุณหญิงจันไม่ยอมให้มรดกเมืองถลางตกอยู่กับพระยาพิมลว่าที่สามีใหม่ เพราะเกรงข้อครหาที่ว่าหลงใหลว่าที่สามียิ่งกว่าน้องชายร่วมสายโลหิตเดียวกันคือ คุณอาด และคุณเรือง เป็นเหตุให้พระยาพิมลขันเกิดความน้อยใจจึงแยกตัวจากถลางไปยังนครศรีธรรมราชอีกครั้ง และได้ย้ายไปยังเมืองพัทลุง

คุณอาด บุตรจอมร้าง ผู้เป็นน้องชายของคุญหญิงจันก็ได้รับการยกย่องขึ้นเป็นเจ้าเมือง ชาวบ้านเรียกว่า"พระยาถลาง (อาด)" ส่วนน้องชายที่ชื่อเรือง ก็ได้เป็นพระพลจางวานด่าน (เรือง)ทำหน้าที่เป็นผู้ช่วยเจ้าเมืองถลาง แต่ว่าราชการไม่นานถูกโจรยิงเสียชีวิต โจรสลัดแขกชาวไทรบุรีได้บุกเข้ายึดเมืองถลางไว้ระยะหนึ่งแต่ชาวถลางเชื้อสายไทยไม่ยอมอยู่ใต้อำนาจแขกไทรบุรี จึงทำการส้องสุมกำลังไว้ที่บ้านสาคูและบ้านไม้ขาว และยึดเมืองคินมาได้สำเร็จภายในคืนเดียว ซึ่งเป็นคืนวันสารทของชาวถลาง มีการชุมนุม แห่กระจาดพืชพันธุ์ผลไม้ และอาหารแห้งไปทำบุญ โดยซ่อนอาวุธในกระจาดและภาพสัตว์ต่างๆ รวมกำลังกันจู่โจมที่พักเจ้าเมืองชาวไทรบุรี ฝ่ายแขกตั้งตัวไม่ทันจึงเร่งรีบลงเรือหนีไป การขับไล่แขกมลายูครั้งนี้ พระยายกบัตร (ชู) เป็นหัวเรี่ยวหัวแรงใหญ่ในครั้งนี้ จึงได้รับแต่งตั้งจากเจ้านครศรีธรรมราชที่แข็งเมืองต่อกรุงศรีอยุธยาให้เป็นเจ้าเมืองถลาง ชื่อว่า"พระยาถลาง (ชู)"

ต้นรัชสมัยธนบุรีและการค้นพบแหล่งแร่ดีบุก

[แก้]

เมื่อกรุงศรีอยุธยาล่มสลายในปีพ.ศ. 2310 ก่อให้เกิดความแตกแยกกันขึ้นในระหว่างข้าราชการและขุนนาง ฝ่ายเมืองนครศรีธรรมราชนั้น เจ้าพระยานครพระยาไชยาธิเบศร์ก็ถูกเรียกตัวเข้าไปช่วยราชการงานศึกที่กรุงศรีอยุธยา แล้วถึงแก่อนิจกรรมไม่ได้กลับมาที่นครศรีธรรมราชอีก พระปลัด (หนู)จึงเห็นเป็นโอกาสเหมาะที่จะประกาศอิสรภาพแก่นครศรีธรรมราช ซึ่งเคยเป็นเมืองอิสระแต่ครั้นโบราณกาล จึงตั้งตนเป็นใหญ่ขึ้นตั้งแต่ พ.ศ. 2307 และได้เกลี้ยกล่อมหัวเมืองปักษ์ใต้ให้เข้าเป็นพวกด้วย

ครั้งล่วงปีพ.ศ. 2312 สมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราชทรงตีชุมนุมเจ้านครศรีธรรมราชได้ โปรดให้เจ้านราสุริยวงศ์มาเป็นเจ้าเมืองนครศรีธรรมราชในปีนั้นมีการเปลี่ยนเจ้าเมืองในเมืองบริวารของนครศรีธรรมราชหลายคน

พระยาราชกปิตัน ฟรานซิส ไลท์

การค้าแร่ดีบุกนั้น ปรากฏว่า ชาวอังกฤษชื่อ กัปตันฟรานซิส ไลท์ พ่อค้าในสังกัดบริษัทอินเดียตะวันออก ได้นำเรือกำปั่นแวะเวียนมาทำการค้าขายที่เมืองถลางตั้งแต่ปีพ.ศ. 2315 จนได้แต่งงานกับฆญิงสาวชาวถลางลูกครึ่งโปรตุเกสชื่อ มาร์ตินา โรเซลล์ กัปตันฟรานซิส ไลท์ได้สร้างที่พักอาศัยและสำนักงานที่บ้านท่าเรือ

ระหว่างปีพ.ศ. 2312 ถึง พ.ศ. 2314 พระยาพิมลขันถูกกุมตัวเอาตัวเข้าไปรับราชการที่ธนบุรี คุณหญิงจันตกพุ่มหม้ายอยู่ที่เมืองถลางในฐานะสามัญชน พร้อมด้วยน้องสาวชื่อ มุก ลูกสาวคนโตชื่อ ปราง และบุตรชายคนโตชื่อ เทียน ต้องพยายามกอบกู้ชื่อเสียงฐานะที่เคยรุ่งเรืองแล้วกลับถดถอยลง ด้วยการค้าดีบุกกับชาวต่างชาติ โดยผ่านเจ้าเมืองถลาง

เมื่อปีพ.ศ. 2314 - พ.ศ. 2315 กับตันฟรานซิส ไลท์ ได้เข้าไปขอพระบรมราชานุญาตจากสมเด็จพระเจ้ากรุงธนบุรี เพื่อตั้งสำนักงานผูกขาดแร่ดีบุกเมืองถลางที่บ้านท่าเรือ ซึ่งก็ได้รับพระบรมราชานุญาต เนื่องจากพระเจ้ากรุงธนบุรีมีพระราชดำริที่จะฟื้นฟูฐานะเมืองไทยหลังสงคราม ซึ่งประสบปัญหาข้าวยากหมากแพง การค้าแร่ดีบุกจึงเป็นหนทางช่วยเหลืออันมีประโยชน์อย่างแท้จริงทางหนึ่ง ฝ่ายพระยาพิมลนั้น ขณะรับราชการทรงเป็นผู้จงรักภักดีทำให้พระเจ้ากรุงธนบุรีทรงไว้วาวพระทัยมาก จึงโปรดให้พระยาพิมลขันออกมากำกับดูแลการค้าแร่ระหว่างเมืองถลางกับกัปตันฟรานซิส ไลท์ ตั้งแต่ปีพ.ศ. 2314 สืบมาจนได้รับแต่งตั้งเป็นเจ้าเมืองถลาง ในปีพ.ศ. 2319 จึงได้กลับมายังถลางใช้ชีวิตร่วมกับคุณหญิงจันและมีบุตรด้วยกัน เป็นบุตรหญิงชื่อ ทอง ซึ่งต่อมาได้นำเข้าไปถวายตัวในรัชกาลที่ 1 พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราชเมื่อพ.ศ. 2330 โปรดสถาปนาเป็นเจ้าจอมมารดาทอง ประสูติพระธิดาพระองค์หนึ่ง พระนามว่า พระเจ้าบรมวงศ์เธอ พระองค์เจ้าหญิงอุบล เมื่อพ.ศ. 2334

ระหว่างที่คุณหญิงจันและครอบครัสทำการค้าที่เมืองถลางนั้น คุณเทียน ผู้เป็นบุตรได้ค้นพบแหล่งดีบุกขนาดใหญ่ในบริเวญป่าดงดิบอันอุดมด้วยแม่น้ำลำธาร บริเวณนี้อยู่ที่ บ้านตะปำ (สะปำ) พระยาพิมลขันเห็นว่าเป็น ผลประโยชน์แก่แผ่นดินอย่างที่ไม่เคยมีปรากฏมาก่อนจึงนำความขึ้นกราบบังคมทูลสมเด็จพระเจ้ากรุงธนบุรีตามประเพณี ส่งผลให้คุณเทียนได้รับการแต่งตั้งเป็น เจ้าเมืองภูเก็จ มีราชทินนามว่า เมืองภูเก็ต ส่วนคุณหญิงจันเมื่อบุตรทำความดีความชอบ จึงได้รับการเลื่อนขึ้นเป็น ท่านผู้หญิงจัน

บรรดาศักดิ์และการค้าดีบุก

[แก้]

ครั้นล่วงถึงปี พ.ศ. 2319 เจ้านราสุริยวงศ์ ผู้ครองนครศรีธรรมราชถึงแก่พิราลัย สมเด็จพระเจ้าตากสินทรงเห็นว่าเจ้านครที่ถูกนำตัวไปธนบุรีประพฤติดีตลอดด้วยความจงรักภัคดี พระองค์จึงสถาปนาเจ้านครขึ้นเป็นเจ้าประเทศราชครองเมืองนครศรีธรรมราช โปรดเกล้าฯให้เจ้าพระยาอินทวงศา อัครมหาเสนาบดี ออกมาพระราชทานมอบเมืองให้เจ้านคร เสร็จแล้วโปรดให้อยู่ชำระว่ากล่าวเร่งรัดส่วยอากรในเมืองนครและทั่วแคว้น

เจ้พระยาอินทวงศา มาตั้งวังอยู่ที่ปากพระฝั่งเมืองตะกั่วทุ่ง เพื่ออดูแลเร่งรัดภาษีดีบุก อันเป็นภาษีสำคัญของหัวเมืองฝั่งตะวันตก พระยาพิมลขันซึ่งเคยภักดีต่อเจ้านครแต่เดิม ได้รับพระราชทานบรรดาศักดิ์ใหม่ตามตำแหน่งเจ้าเมืองถลางว่า "พระยาสุรินทราชา (พระยาพิมลขัน) " ในการกลับมาของพระยาสุรินทราชา (พระยาพิมลขัน) นั้น ได้แต่งตั้งกรมการเมืองถลางขึ้นใหม่หลายคนและมีตำแหน่ง "พระยาทุกขราช" หรือตำแหน่งที่ปรึกษาหรือปลัดเมือง ในสมัยนั้นคือ พระยาทุกขราช (ทองพูน) บุตรจอมเฒ่าผู้มีอำนาจเสมอเมืองถลางที่บ้านดอน พระยาทุกขราช (ทองพูน) เป็นปลัดเมืองถลางอยู่ระหว่างพ.ศ. 2319 จนถึง พ.ศ. 2327 ซึ่งต่อมาได้รับการแต่งตั้งจากเจ้าพระยาฦๅราชนิกูลธรรมไตรโลก ข้าหลวงผู้มีอำนาจสำเร็จราชการหัวเมืองฝั่งตะวันตกในสมัยรัตนโกสินทร์ ให้ขึ้นเป็น ผู้ว่าราชการเมืองถลางแทนพระยาสุรินทราชา (พระยาพิมลขัน) ซึ่งถูกถอนจากการเปลี่ยนแปลงทางการเมือง

เมืองถลางปีพ.ศ. 2320 ถึง พ.ศ. 2325 มีการค้าขายดีบุกเป็นอันมาก การซื้อหาอาวุธปืนจากต่างประเทศ โดยใช้ดีบุกเป็นสินค้าแลกเปลี่ยน

สมัยกรุงรัตนโกสินทร์

[แก้]

กบฏอั้งยี่

[แก้]

1 มูลเหตุที่ผลักดันให้กรรมกรจีนก่อการกบฏขึ้นที่เมืองภูเก็ตเมื่อปี พ.ศ. 2419 นั้นมีอยู่หลายประการเช่น ราคาดีบุกตกต่ำ นโยบายการคลังที่ตึงตัวของรัฐบาล ราคาประมูลภาษีอากรสูงเกินไปและ กรรมกรจีนไม่ได้รับความเป็นธรรม เป็นต้น

อ้างอิง

[แก้]
  1. 1 2 3 4 5 6 7 8 9 10 11 12 13 14 15 16 17 18 19 20 21 22 23 24 G.E. Gerini. Historical Retrospect of Junkceylon Island. Journal of Siam Society, พ.ศ. ๒๕๒๙.
  2. 1 2 3 4 5 6 7 8 9 10 11 12 13 14 15 16 17 18 19 20 21 22 23 24 25 26 27 28 29 30 31 32 ธีรวัต ณ ป้อมเพชร. Toward an Autonomous History of Seventeenth-century Phuket. ใน Abu Talib Ahmad, Liok Ee Tan. New Terrains in Southeast Asian History. Ohio University Press, พ.ศ. ๒๕๔๖
  3. 1 2 ชื่อบ้าน-นามเมือง ในภูเก็จ. สภาวัฒนธรรมจังหวัดภูเก็ต, พ.ศ. ๒๕๖๒
  4. 1 2 3 4 ตำนานพระธาตุและตำนานเมืองนครศรีธรรมราช. กรมศิลปากร; พ.ศ. ๒๕๖๐.
  5. หม่อมเจ้าจันทร์จิรายุ รัชนี. Background to the Sri Vijaya Story Part V. Journal of Siam Society. https://thesiamsociety.org/wp-content/uploads/1976/03/JSS_064_2l_ChandChirayuRajani_ReviewArticleBackgroundToSriVijayaV.pdf
  6. พระราชพงศาวดารกรุงศรีอยุธยาฉบับ เยเรเมียส ฟาน ฟลีต และผลงานคัดสรร พลตรี หม่อมราชวงศ์ ศุภวัฒย์ เกษมศรี นักประวัติศาสตร์อาวุโสดีเด่น. กรุงเทพ:สมาคมนักประวัติศาสตร์ในพระราชูปถัมป์สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯสยามบรมราชกุมารี, พ.ศ. ๒๕๕๒.
  7. 1 2 Michael Smithies. THE SIAM OF MENDES PINTO'S TRAVELS. Journal of Siam Society, พ.ศ. ๒๕๔๐. https://thesiamsociety.org/wp-content/uploads/1997/03/JSS_085_0e_Smithies_SiamOfMendesPintoTravels.pdf
  8. 1 2 Markus Vink. Encounters on the Opposite Coast: The Dutch East India Company and the Nayaka State of Madurai in the Seventeenth Century. พ.ศ. ๒๕๕๘.
  9. 1 2 3 Christopher John Baker, สุเนตร ชุตินธรานนท์. Recalling Local Pasts: Autonomous History in Southeast Asia. Silkworm Books; พ.ศ. ๒๕๔๕.
  10. Gwyn Campbell, Martha Chaiklin, Philip Gooding. Animal Trade Histories in the Indian Ocean World. Springer International Publishing; พ.ศ. ๒๕๖๓.
  11. 1 2 3 4 5 6 7 8 9 10 ภาวรรณ เรืองศิลป์, ดร. Dutch East India Company Merchants at the Court of Ayutthaya: Dutch Perceptions of the Thai Kingdom, Ca. 1604-1765. BRILL, พ.ศ. 2550.
  12. 1 2 3 4 5 6 7 8 9 10 11 Thomas Bowrey. A Geographical Account of Countries Round the Bay of Bengal, 1669 to 1679. University of Texas, พ.ศ. ๒๔๔๘.
  13. 1 2 3 4 5 Barbara Watson Andaya, Leonard Y. Andaya. A History of Malaysia. Bloomsbury Publishing, พ.ศ. ๒๕๖๐.
  14. 1 2 3 4 https://www.ayutthaya-history.com/Historical_Events16.html
  15. Maziar Mozaffari Falarti. Malay Kingship in Kedah: Religion, Trade, and Society. Lexington Books; พ.ศ. ๒๕๕๖.
  16. 1 2 3 4 5 ฐานข้อมูลจารึกในประเทศไทย สัญญาไทย-ฝรั่งเศส ครั้งสมเด็จพระนารายณ์ฯ https://db.sac.or.th/inscriptions/inscribe/detail/1204
  17. 1 2 3 4 Leonard Blussé, Femme S Gaastra. On the Eighteenth Century as a Category of Asian History. Taylor & Francis, พ.ศ. ๒๕๕๙
  18. ประชุมพงษาวดารภาคที่ ๘. พระราชพงษาวดารกรุงเก่า ฉบับพระจักรพรรดิพงษ์เจ้ากรม.
  19. Eric Tagliacozzo, Chang Wen-chin. Chinese Circulations: Capital, Commodities, and Networks in Southeast Asia. Duke University Press, พ.ศ. ๒๕๕๔.
  20. 1 2 3 4 5 6 7 Michael W. Charney. Account of Pegu and the Voyage to Cambodia and Siam in 1718 by Alexander Hamilton. https://www.researchgate.net/publication/277993194_Account_of_Pegu_and_the_Voyage_to_Cambodia_and_Siam_in_1718_by_Alexander_Hamilton_edited_by_Michael_W_Charney
  21. D.K. Bassett. The British in South-East Asia During the Seventeenth and Eighteenth Centuries. University of Hull, Centre for South-East Asian Studies, พ.ศ. ๒๕๓๓.
  22. 1 2 3 4 5 6 7 8 9 10 11 David Bassett. Anglo-Kedah Relations 1688–1765. Journal of the Malaysian Branch of the Royal Asiatic Society, พ.ศ. ๒๕๓๒.
  23. ประชุมพงศาวดารภาคที่ ๓๙: เรื่อง จดหมายเหตุของคณะบาดหลวงฝรั่งเศส ซึ่งเข้ามาตั้งครั้งกรุงศรีอยุธยาตอนแผ่นดินพระเจ้าเอกทัศกับ ครั้งกรุงธนบุรีแลกรุงรัตนโกสินทรตอนต้น ภาคที่ ๖. มหาอำมาตย์โท หม่อมเจ้าธำรงศิริ พิมพ์ในการบำเพ็ญกุศล อายุครบ ๕๐ ปี พิมพ์ที่โรงพิมพ์ศรีหงส์
  24. 1 2 ประชุมพงศาวดารภาคที่ ๓๙: เรื่อง จดหมายเหตุของคณะบาดหลวงฝรั่งเศส ซึ่งเข้ามาตั้งครั้งกรุงศรีอยุธยาตอนแผ่นดินพระเจ้าเอกทัศกับ ครั้งกรุงธนบุรีแลกรุงรัตนโกสินทรตอนต้น ภาคที่ ๖. มหาอำมาตย์โท หม่อมเจ้าธำรงศิริ พิมพ์ในการบำเพ็ญกุศล อายุครบ ๕๐ ปี พิมพ์ที่โรงพิมพ์ศรีหงส์
  • ประสิทธิ ชิณการณ์, ถลาง ภูเก็ต และภูเก็ต, ISBN 974-92938-7-8

แหล่งข้อมูลอื่น

[แก้]