เยื่อจมูกอักเสบจากภูมิแพ้
| เยื่อจมูกอักเสบจากภูมิแพ้ (Allergic rhinitis) | |
|---|---|
| ชื่ออื่น | โรคภูมิแพ้, ไข้ละอองฟาง, pollenosis |
| ภาพกล้องจุลทรรศน์อิเล็กตรอนชนิดส่องกราด แสดงละอองเกสรของพืชสามัญหลายชนิดรวมทั้งทานตะวัน (Helianthus annuus), มอร์นิงกลอรี (Ipomoea purpurea), ฮอลลีฮ็อคทุ่งหญ้า (Sidalcea malviflora), ลิลลี่ตะวันออก (Lilium auratum), อีฟนิงพริมโรส (Oenothera fruticosa) และละหุ่ง (Ricinus communis) | |
| สาขาวิชา | ภูมิแพ้และภูมิคุ้มกันวิทยา |
| อาการ | คัดจมูก คันจมูก จาม ตาแดง คันตา น้ำตาไหล บวมรอบดวงตา คันหู[1] |
| การตั้งต้น | อายุ 20–40 ปี[2] |
| สาเหตุ | ปัจจัยทางพันธุกรรมและสิ่งแวดล้อม[3] |
| ปัจจัยเสี่ยง | โรคหืด เยื่อบุตาอักเสบจากภูมิแพ้ ผิวหนังอักเสบจากภูมิแพ้[2] |
| วิธีวินิจฉัย | ตามอาการ, การทดสอบทางผิวหนัง และการตรวจเลือดหาสารภูมิต้านทานแบบจำเพาะ[4] |
| โรคอื่นที่คล้ายกัน | โรคหวัด[3] |
| การป้องกัน | การอยู่กับสัตว์ตั้งแต่วัยเด็ก[3] |
| ยา | สเตอรอยด์พ่นจมูก, สารต้านฮิสตามีนเช่นลอราตาดีน, โครโมลินโซเดียม[A], ยาต้านลิวโคไตรอีนเช่น montelukast, ภูมิคุ้มกันบำบัดสำหรับสารก่อภูมิแพ้[5][6] |
| ความชุก | ~20% (ประเทศตะวันตก)[2][7] 23–30% (ประเทศไทย)[8] |
เยื่อจมูกอักเสบจากภูมิแพ้ (อังกฤษ: allergic rhinitis) เป็นเยื่อจมูกอักเสบที่เกิดเมื่อระบบภูมิคุ้มกันมีปฏิกิริยาไวเกินกับสารก่อภูมิแพ้ในอากาศ[6] จัดเป็นปฏิกิริยาภูมิไวเกินชนิดที่ 1 (อังกฤษ: type I hypersensitivity reaction)[9] อาการรวมทั้งน้ำมูกไหล คัดจมูก จาม ตาแดง คันตา น้ำตาไหล และบวมรอบตา[1] น้ำมูกมักจะใส[2] อาการมักกำเริบภายในไม่กี่นาทีหลังสัมผัสกับสารก่อภูมิแพ้ และอาจส่งผลต่อการนอนหลับ การทำงาน หรือการเรียนได้[2][10] บางคนอาจมีอาการในช่วงเวลาเฉพาะของปี โดยมักเกิดจากการสัมผัสละอองเกสร[3] หลายคนมักมีโรคหืด เยื่อบุตาอักเสบจากภูมิแพ้ หรือผิวหนังอักเสบภูมิแพ้ร่วมด้วย[2]
โรคมักถูกกระตุ้นโดยสารก่อภูมิแพ้ในสิ่งแวดล้อม เช่น ละอองเกสร ขนสัตว์เลี้ยง ฝุ่น หรือเชื้อรา[3] พันธุกรรมและการสัมผัสกับสิ่งแวดล้อมมีส่วนให้เกิดภูมิแพ้[3] การเติบโตในไร่นาและการมีพี่หลายคนสัมพันธ์กับความเสี่ยงการเกิดโรคนี้ที่ลดลง[2] กลไกมูลฐานมาจากสารภูมิต้านทานไอจีอี (IgE) ที่จับกับสารก่อภูมิแพ้ มีผลให้ร่างกายหลั่งสารที่ก่อการอักเสบ เช่น ฮิสตามีนจากเม็ดเลือดขาวชนิดแมสต์เซลล์[2] ซึ่งทำให้เยื่อเมือกในจมูก ตา และลำคออักเสบและคัน เมื่อพยายามจะขับสารก่อภูมิแพ้ออกไป[11] การวินิจฉัยทำโดยการสอบประวัติผู้ป่วย ร่วมกับการทดสอบภูมิแพ้ทางผิวหนัง หรือการตรวจเลือดหาสารไอจีอีที่จำเพาะต่อสารก่อภูมิแพ้[4] แต่การทดสอบก็อาจให้ผลบวกลวงได้ (คือชี้ว่าเป็นโรค แต่จริง ๆ ไม่ได้เป็น)[4] อาการจะคล้ายกับไข้หวัดทั่วไป แต่ต่างกันตรงที่ภูมิแพ้จะเป็นนานกว่า 2 สัปดาห์และมักจะไม่มีไข้ (แม้จะมีชื่อบางอย่างที่เรียกว่าไข้)[3]
การได้สัมผัสกับสัตว์ตั้งแต่อายุยังน้อยอาจลดความเสี่ยงการเกิดอาการแพ้ได้[3] ยาหลายประเภทช่วยบรรเทาอาการแพ้ รวมถึงสเตอรอยด์พ่นจมูก สารต้านฮิสตามีนพ่นจมูก เช่น olopatadine หรืออะเซลาสทีน, สารต้านฮิสตามีนชนิดรับประทานรุ่นที่สอง เช่น ลอราตาดีน เดสลอร์อาตาดีน เซทิริซีน หรือเฟกโซเฟนาดีน, สารยับยั้งแมสต์เซลล์คือโครโมลินโซเดียม[A] และยาต้านลิวโคไตรอีน เช่น montelukast[12][5] โดยยามักจะไม่สามารถควบคุมอาการได้อย่างสมบูรณ์ และอาจมีผลข้างเคียง[2] การให้สัมผัสกับสารก่อภูมิแพ้ในปริมาณที่เพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ ตามแนวทางที่กำหนดซึ่งเรียกว่า ภูมิคุ้มกันบำบัดสำหรับสารก่อภูมิแพ้ (allergen immunotherapy) มักได้ผลดี โดยจะใช้เมื่อการรักษาขั้นต้นไม่สามารถควบคุมอาการได้[6] อาจฉีดเข้าใต้ผิวหนังหรือเป็นเม็ดยาอมใต้ลิ้น[6] การรักษามักใช้เวลา 3–5 ปี โดยหลังจากนั้นก็อาจมีผลต่อไปเรื่อย ๆ[6]
เยื่อจมูกอักเสบจากภูมิแพ้เป็นโรคภูมิแพ้ที่ส่งผลกระทบต่อคนจำนวนมากที่สุด[13] ในประเทศตะวันตก มีผู้ป่วยระหว่าง 10–30% ในแต่ละปี[2][7] ส่วนในไทยมี 23–30%[8] พบบ่อยที่สุดในคนอายุ 20–40 ปี[2] การอธิบายโรคอย่างถูกต้องเป็นครั้งแรกมาจากแพทย์ชาวเปอร์เซีย แอบู แบกร์ แอล-รอซี ในศตวรรษที่ 10[14] ต่อมาเมื่อ ค.ศ. 1859 แพทย์ชาวอังกฤษ ชาร์ลส์ แบล็กลีย์ ระบุละอองเกสรว่าเป็นสาเหตุ[15] เมื่อ ค.ศ. 1906 แพทย์ชาวออสเตรีย เคลเมินส์ ฟ็อน เพียร์เค ได้ระบุกลไกให้เกิดอาการของโรค[13] ชื่อโรคว่า ไข้ละอองฟาง (อังกฤษ: hay fever) มาจากทฤษฎีในยุคแรกที่ผิดพลาด ซึ่งระบุว่าอาการเกิดจากกลิ่นฟางใหม่[16][17]
อาการ
[แก้]
อาการตามแบบฉบับของเยื่อจมูกอักเสบจากภูมิแพ้ได้แก่ น้ำมูกไหล คัน จามเป็นชุด และคัดจมูก[18] อาการที่ปรากฏรวมทั้งเยื่อตาบวมและแดง หนังตาบวมร่วมกับมีรอยพับเดนนี-มอร์แกน[B] ภาวะเลือดดำไหลช้าที่เปลือกตาล่าง/ขอบตาดำ (ที่รู้จักในชื่อ allergic shiner [รอยคล้ำจากภูมิแพ้]) เยื่อบุโพรงจมูกบนกระดูกเทอร์บิเนตบวม และมีน้ำขังในหูชั้นกลาง[19] การส่องกล้องตรวจจมูกอาจพบเยื่อบุโพรงจมูกซีดและเปียกชุ่มจากภาวะบวมน้ำของเยื่อเมือก พบเมือกเหนียวทั่วโพรงจมูก โดยมีผิวไม่เรียบเป็นรูปกลม ๆ คล้ายก้อนหิน[20][21]
อาจมีอาการเป็นพฤติกรรมเกิดร่วมด้วย เพื่อบรรเทาความระคายเคืองหรือน้ำมูกไหล บางคนอาจเอามือดันสันจมูก ปาดหรือถูจมูกขึ้นด้านบนด้วยฝ่ามือ ซึ่งอาจก่อรอยย่นพาดผ่านจมูก (หรืออาจเกิดต่างกันที่จมูกแต่ละข้างถ้าเช็ดจมูกขึ้นทีละข้าง) และหากทำซ้ำบ่อยครั้งพอ รอยนี้ก็อาจคงอยู่ถาวรได้[22]
บางคนอาจมีการแพ้ข้ามชนิดเกิดขึ้น[23] เช่น ผู้ที่แพ้ละอองเกสรต้นเบิร์ชอาจมีอาการแพ้เมื่อสัมผัสกับเปลือกลูกแอปเปิลหรือมันฝรั่ง[24] อาการที่ชัดเจนคือมีการคันคอหลังจากกินแอปเปิล หรือจามขณะปอกเปลือกมันฝรั่งหรือแอปเปิล นี่เกิดเพราะโปรตีนในละอองเกสรกับในอาหารคล้ายคลึงกัน[25] มีสารที่ก่อการแพ้ข้ามชนิดหลายอย่าง ไข้ละอองฟางไม่ใช่ไข้จริง กล่าวคือไม่ได้ทำให้อุณหภูมิแกนกลางของร่างกายสูงเกิน 37.5–38.3 องศาเซลเซียส[ต้องการอ้างอิง]
เหตุ
[แก้]ปัจจัยเสี่ยงของเยื่อจมูกอักเสบจากภูมิแพ้รวมทั้งโรคผิวหนังอักเสบภูมิแพ้และโรคหืด ทั้งสามภาวะนี้อาจเกิดร่วมกัน ซึ่งเรียกกันว่า "atopic triad" (กลุ่มอาการภูมิแพ้สามประการ)[26] นอกจากนี้ การสัมผัสสิ่งแวดล้อม เช่น มลพิษทางอากาศและการสูบบุหรี่ของมารดา สามารถเพิ่มโอกาสเป็นภูมิแพ้ได้[26]
ละอองเกสร
[แก้]เยื่อจมูกอักเสบจากภูมิแพ้ที่เกิดจากละอองเกสรของพืชตามฤดูกาลมักรู้จักกันในชื่อ "ไข้ละอองฟาง" (hay fever) เนื่องจากพบมากที่สุดในช่วงฤดูเก็บฟาง แต่จริง ๆ อาจเกิดขึ้นได้ทั้งปี ละอองเกสรที่ทำให้แพ้จะแตกต่างกันไปในแต่ละบุคคลและในแต่ละภูมิภาค โดยทั่วไป ละอองเกสรขนาดเล็กที่แทบมองไม่เห็นของพืชที่ผสมเกสรโดยลม เป็นสาเหตุหลัก มีสาขาการศึกษาการกระจายของละอองชีวภาพเหล่านี้ ซึ่งเรียกว่า aerobiology (ชีววิทยาอากาศ) ส่วนละอองเกสรของพืชที่ผสมเกสรโดยแมลง มีขนาดใหญ่เกินกว่าจะลอยอยู่ในอากาศได้ จึงไม่ก่อความเสี่ยง ตัวอย่างของพืชที่มักเป็นสาเหตุของไข้ละอองฟาง ได้แก่
- ต้นไม้: เช่น สนเขา (Pinus), หม่อน (Morus), เบิร์ช (Betula), ออล์เดอร์ (Alnus), ซีดาร์ (Cedrus), เฮเซล (Corylus), ฮอร์นบีม (Carpinus), เกาลัดม้า (Aesculus), วิลโลว์ (Salix), พอปลาร์ (Populus), เพลน (Platanus), ลินเดน/ไลม์ (Tilia) และมะกอกออลิฟ (Olea) ในเขตละติจูดกลางและสูง เบิร์ชถือเป็นต้นไม้ที่ปล่อยละอองเกสรซึ่งก่อภูมิแพ้มากที่สุด โดยคนไข้ประมาณ 15–20% แพ้ละอองเกสรของเบิร์ช แอนติเจนหลักในละอองเกสรคือโปรตีนที่ชื่อว่า Bet V I ละอองเกสรต้นมะกอกพบมากในบริเวณเมดิเตอร์เรเนียน ส่วนไข้ละอองฟางในญี่ปุ่นมีสาเหตุหลักจากละอองเกสรของต้นซูกิ (Cryptomeria japonica) และฮิโนกิ (Chamaecyparis obtusa)
- หญ้า (วงศ์ Poaceae) โดยเฉพาะหญ้าไรย์ (Lolium sp.) และหญ้าทิโมธี (Phleum pratense) ประมาณ 90% ของผู้ที่เป็นไข้ละอองฟางแพ้ละอองเกสรจากหญ้า
- วัชพืชรวมทั้งแร็กวีด (Ambrosia), แพลนเทน (Plantago), กะลังตังช้าง (Urticaceae), มักเวิร์ต (Artemisia vulgaris), แฟตเฮน (Chenopodium) และซอเรล/ด็อก (Rumex)
เยื่อจมูกอักเสบจากภูมิแพ้อาจเกิดจากการแพ้บัลซัมแห่งเปรู ซึ่งมีอยู่ในน้ำหอมและผลิตภัณฑ์อื่น ๆ อีกหลายชนิด[27][28][29]
ปัจจัยทางพันธุกรรม
[แก้]สาเหตุและกลไกของเยื่อจมูกอักเสบจากภูมิแพ้เชื่อว่าได้รับอิทธิพลจากทั้งปัจจัยทางพันธุกรรมและสิ่งแวดล้อม มีงานวิจัยจำนวนมากในระยะหลังที่มุ่งเน้นไปที่ตำแหน่งยีนโดยเฉพาะ ๆ ที่อาจเป็นเป้าการรักษาโรค การศึกษาความสัมพันธ์ (ของยีนกับลักษณะปรากฏ) ทั่วทั้งจีโนม (GWAS) ได้ระบุตำแหน่งยีนและวิถีการทำงานของยีนหลายอย่าง ที่ดูเหมือนจะมีบทบาทในการตอบสนองของร่างกายต่อสารก่อภูมิแพ้ และส่งเสริมให้เกิดอาการ
ผลลัพธ์ที่น่าสนใจที่สุดมาจากการศึกษาเกี่ยวกับซิงเกิลนิวคลีโอไทด์โพลีมอร์ฟิซึม (SNPs) ของยีนอินเตอร์ลิวคิน-33 (IL-33)[30][31] โปรตีน IL-33 ที่เข้ารหัสโดยยีน IL-33 เป็นไซโตไคน์ในกลุ่มอินเตอร์ลิวคินที่มีปฏิสัมพันธ์กับเซลล์ทีเฮลเปอร์ชนิด 2 (Th2) ซึ่งเป็นเซลล์ทีชนิดหนึ่ง เซลล์ Th2 มีบทบาทในการตอบสนองแบบอักเสบของร่างกายต่อสารก่อภูมิแพ้โดยมีตัวรับ ST2 โดยเฉพาะ หรือที่รู้จักในชื่อ IL1RL1 บนเซลล์ที่จับกับลิแกนด์ IL-33 วิถีการส่งสัญญาณของเซลล์ IL-33/ST2 พบว่า เป็นตัวกำหนดหลักทางพันธุกรรมอย่างหนึ่งของการเกิดโรคหืดหลอดลม และเพราะโรคหืดสัมพันธ์ทางพยาธิสภาพกับเยื่อจมูกอักเสบ การทดลองกับ IL-33 จึงได้หันมามุ่งเน้นว่ามีบทบาทให้เกิดเยื่อจมูกอักเสบจากภูมิแพ้ทั้งในมนุษย์และในสัตว์โมเดลคือหนูอย่างไร[32]
งานศึกษาเมื่อ ค.ศ. 2020 พบว่าผู้ป่วยเยื่อจมูกอักเสบจากภูมิแพ้มีการแสดงออกของยีน IL-33 สูงขึ้นในเยื่อบุจมูก และมีความเข้มข้นของ ST2 ในซีรัมโพรงจมูกสูงขึ้นหลังจากสัมผัสกับละอองเกสรและสารก่อภูมิแพ้อื่น ๆ ซึ่งแสดงว่ายีนนี้และตัวรับที่เกี่ยวข้องมีการแสดงออกในอัตราที่สูงขึ้นในคนไข้[33] ในงานศึกษาอีกงานหนึ่งปีเดียวกันเกี่ยวกับภาวะพหุสัณฐานของยีน IL-33 และความสัมพันธ์กับเยื่อจมูกอักเสบจากภูมิแพ้ในคนจีนชาวฮั่น นักวิจัยพบว่ามี SNPs 5 ชนิดที่มีส่วนในการเกิดโรค โดยมี ⅗ ชนิดที่ได้ระบุแล้วว่าเป็นตัวกำหนดทางพันธุกรรมสำหรับโรคหืด[34]
งานศึกษาเมื่อ ค.ศ. 2016 กับเด็กจีนชาวฮั่นพบว่า SNPs บางชนิดในยีนโปรตีน tyrosine phosphatase non-receptor 22 (PTPN22) และ cytotoxic T-lymphocyte-associated antigen 4 (CTLA-4) อาจสัมพันธ์กับเยื่อจมูกอักเสบจากภูมิแพ้และโรคหืดจากภูมิแพ้ในวัยเด็ก[35] โปรตีน PTPN22 ซึ่งพบโดยหลักในเนื้อเยื่อน้ำเหลือง ทำหน้าที่เป็นตัวควบคุมหลังการแปลรหัส (post-translational regulator) โดยกำจัดหมู่ฟอสเฟตออกจากโปรตีนเป้าหมาย ที่สำคัญ PTPN22 ยังสามารถส่งผลต่อปฏิกิริยาฟอสฟอรีเลชันในการตอบสนองของเซลล์ทีและการเพิ่มจำนวนเซลล์ทีที่ตามมา ดังที่กล่าวไปแล้ว เซลล์ทีมีบทบาทในกลไกการอักเสบของร่างกายหลายทาง ดังนั้นการเปลี่ยนแปลงใด ๆ ต่อโครงสร้างและการทำงานของเซลล์ อาจมีผลเสียต่อการตอบสนองแบบอักเสบของร่างกายต่อสารก่อภูมิแพ้ มี SNP หนึ่งชนิดในยีน PTPN22 ที่พบว่าสัมพันธ์อย่างมีนัยสำคัญกับการเกิดเยื่อจมูกอักเสบจากภูมิแพ้ในเด็ก
ในทางตรงกันข้าม CTLA-4 เป็นโปรตีนในกระบวนการ immune-checkpoint ที่ช่วยอำนวยและควบคุมการตอบสนองภูมิคุ้มกันของร่างกายเพื่อป้องกันการตอบสนองมากเกินไป ซึ่งแสดงออกเฉพาะในเซลล์ที เป็นไกลโคโปรตีนสำหรับกลุ่มโปรตีนอิมมูโนกลอบูลิน (Ig) ที่รู้จักว่า สารภูมิต้านทาน มี SNPs สองชนิดในยีน CTLA-4 ที่พบว่าสัมพันธ์อย่างมีนัยสำคัญกับเยื่อจมูกอักเสบจากภูมิแพ้ในเด็ก ทั้งสองน่าจะมีผลต่อรูปร่างและการทำงานของโปรตีนที่เกี่ยวข้อง ทำให้ร่างกายตอบสนองทางภูมิคุ้มกันต่อสารก่อภูมิแพ้มากเกินไป ภาวะพหุสัณฐานของยีนทั้งสองยังเพิ่งเริ่มตรวจสอบ จึงต้องวิจัยเพิ่มเติมเพื่อกำหนดผลของภาวะพหุสัณฐานต่อยีนที่เกี่ยวข้อง[ต้องการอ้างอิง]
การเปลี่ยนแปลงทางอีพีเจเนติกส์กับสิ่งที่สัมพันธ์กัน ถือเป็นประเด็นที่น่าสนใจอย่างยิ่งในการศึกษาและการรักษาเยื่อจมูกอักเสบจากภูมิแพ้ โดยเฉพาะคือ ไมโครอาร์เอ็นเอ (miRNA) ได้ตั้งสมมติฐานว่ามีบทบาทสำคัญต่อการเกิดโรค เพราะควบคุมและยับยั้งกลไกการแปลรหัสของเอ็มอาร์เอ็นเอให้เป็นโปรตีน ทั้ง miRNA และถุงพาหะขนาดเล็กที่บรรจุ miRNA ซึ่งเรียกว่า เอกโซโซม (exosome) พบว่ามีบทบาทในการตอบสนองทางภูมิคุ้มกันและการอักเสบของร่างกายต่อสารก่อภูมิแพ้ เอกโซโซมจะบรรจุและเก็บ miRNA ไว้จนกว่าจะพร้อมปล่อยออกไปยังส่วนของเซลล์ที่ miRNA มีการเข้ารหัสให้อยู่และทำหน้าที่ การยับยั้งการแปลรห้สให้เป็นโปรตีนสามารถยับยั้งบางส่วนของการตอบสนองทางภูมิคุ้มกันและการอักเสบของร่างกาย จึงมีส่วนให้เกิดเยื่อจมูกอักเสบจากภูมิแพ้และโรคภูมิต้านตนเองอื่น ๆ มี miRNA หลายชนิดที่ระบุว่าอาจเป็นเป้าหมายการรักษา ชนิดที่มีการศึกษามากที่สุดคือ miR-133, miR-155, miR-205, miR-498 และ let-7e[31][36][37][38]
พยาธิสรีรวิทยา
[แก้]พยาธิสรีรวิทยาของเยื่อจมูกอักเสบจากภูมิแพ้เกี่ยวข้องกับเซลล์ทีเฮลเปอร์ Th2 และการอักเสบที่อำนวยโดยสารภูมิต้านทาน IgE ร่วมกับการทำงานมากเกินไปของระบบภูมิคุ้มกันแบบจำเพาะและแบบมีมาแต่กำเนิด[12] กระบวนการเริ่มต้นเมื่อสารก่อภูมิแพ้ในอากาศผ่านเข้าไปในเยื่อบุโพรงจมูก ซึ่งอาจผ่านได้ง่ายขึ้นสำหรับผู้ไวต่อการเกิดโรค จากนั้นเซลล์ antigen-presenting cell (APC) เช่น เซลล์เดนไดรต์ ก็จะกลืนสารก่อภูมิแพ้เข้าไป[12] แล้วนำไปเสนอแก่เซลล์ทีเฮลเปอร์แบบ Naive CD4+ ซึ่งจะกระตุ้นให้เซลล์เปลี่ยนเป็นเซลล์ทีเฮลเปอร์ชนิด Th2 ซึ่งจากนั้นก็จะหลั่งไซโตไคน์ที่ก่อการอักเสบรวมทั้ง IL-4, IL-5, IL-13, IL-14 และ IL-31 ไซโตไคน์ก่อการอังเสบเหล่านี้จะกระตุ้นเซลล์บีให้เปลี่ยนเป็นพลาสมาเซลล์แล้วหลั่งอิมมูโนโกลบูลิน IgE ที่จำเพาะต่อสารก่อภูมิแพ้[12] IgE ก็จะไปจับกับแมสต์เซลล์ ไซโตไคน์ที่ก่อการอักเสบยังดึงดูดให้เซลล์อักเสบอื่น ๆ เช่น เบโซฟิล อีโอซิโนฟิล และไฟโบรบลาสต์ให้เข้ามาสู่บริเวณนั้น[12]
ด้วยกระบวนการเช่นนี้ บุคคลนี้ก็จะไวต่อการเกิดอาการ เมื่อได้รับสารก่อภูมิแพ้อีกครั้ง เซลล์แมสต์ที่มี IgE จำเพาะจะจับกับสารก่อภูมิแพ้และปล่อยโมเลกุลก่อการอักเสบ รวมทั้งฮิสตามีน, leukotrienes, platelet activating factor, โพรสตาแกลนดิน และ thromboxane สารเหล่านี้จะส่งผลเฉพาะที่ต่อหลอดเลือด (ขยายตัว) ต่อมเมือก (หลั่งเมือก) และเส้นประสาทรับความรู้สึก (รู้สึกระคายเคือง) ทำให้เกิดอาการทางคลินิกของเยื่อจมูกอักเสบจากภูมิแพ้[12]
เยื่อบุจมูกที่ถูกรบกวนอาจปล่อย alarmins ซึ่งเป็นกลุ่มโมเลกุลที่เกี่ยวข้องกับความเสียหายของเซลล์ (DAMP) โมเลกุลเช่น thymic stromal lymphopoietin, IL-25 และ IL-33[12] ซึ่งจะกระตุ้น innate lymphoid cell กลุ่ม 2 คือ ILC2 ให้ทำการ โดย ILC2 ก็จะหลั่งไซโตไคน์ที่ก่อการอักเสบ ซึ่งกระตุ้นเซลล์ภูมิคุ้มกันอื่น ๆ ต่อไป
การวินิจฉัย
[แก้]
การทดสอบภูมิแพ้อาจช่วยระบุสารก่อภูมิแพ้โดยเฉพาะ ๆ ที่แพ้ การทดสอบทางผิวหนังเป็นวิธีที่ใช้บ่อยที่สุด วิธีทดสอบด้วยแผ่นแปะ (patch test) สามารถระบุสารที่ก่อเยื่อจมูกอักเสบ วิธีอื่น ๆ รวมทั้งการฉีดเข้าใต้ผิวหนัง การขีดข่วน เป็นต้น ในกรณีที่พบน้อยกว่า สารที่สงสัยว่าทำให้แพ้จะละลายแล้วหยดลงบนเปลือกตาล่างเพื่อทดสอบ แต่นี้ควรทำโดยแพทย์เท่านั้น เพราะหากทำผิดวิธีอาจเป็นอันตรายได้ ในบางคนที่ไม่สามารถทดสอบทางผิวหนังได้ (ตามที่แพทย์ประเมิน) การตรวจเลือดแบบ RAST อาจช่วยระบุความไวต่อสารก่อภูมิแพ้ได้
การทดสอบภูมิแพ้ไม่แน่นอนเสมอไป บางครั้งอาจให้ผลบวกกับสารก่อภูมิแพ้บางชนิดที่ไม่ได้เป็นสาเหตุของอาการ และอาจไม่สามารถตรวจพบสารที่เป็นสาเหตุได้ การทดสอบแบบฉีดใต้ผิวหนังมีความไวมากกว่าการทดสอบแบบสะกิดผิวหนัง แต่ก็มักให้ผลบวกลวงยิ่งกว่า[39]
แม้ว่าผลการทดสอบภูมิแพ้ตามที่ว่าจะเป็นลบ ก็ยังอาจมีภูมิแพ้เฉพาะที่จมูก ซึ่งเรียกว่า เยื่อจมูกอักเสบจากภูมิแพ้เฉพาะที่ (local allergic rhinitis)[40] ซึ่งจะระบุได้ก็ด้วยการตรวจเฉพาะที่[41]
การจำแนกประเภท
[แก้]- เยื่อจมูกอักเสบจากภูมิแพ้ตามฤดูกาล (ไข้ละอองฟาง) เกิดจากปริมาณละอองเกสรในอากาศที่เพิ่มขึ้นตามฤดูกาล
- เยื่อจมูกอักเสบจากภูมิแพ้ตลอดปี (เยื่อจมูกอักเสบจากภูมิแพ้ที่ไม่ขึ้นกับฤดูกาล) เกิดจากสารก่อภูมิแพ้ที่มีอยู่ตลอดทั้งปี (เช่น ขนสัตว์ สะเก็ดผิวหนัง)
เยื่อจมูกอักเสบจากภูมิแพ้ อาจเป็นแบบตามฤดูกาล แบบตลอดปี หรือแบบเป็นครั้งคราว[10] แบบตามฤดูกาลเกิดขึ้นในช่วงที่มีละอองเกสร โดยทั่วไปจะไม่เกิดขึ้นก่อนอายุ 6 ปี แบบตลอดปีเกิดได้ทั้งปี ชนิดนี้เกิดในเด็กเล็กอย่างสามัญ[42]
เยื่อจมูกอักเสบจากภูมิแพ้อาจแบ่งเป็นแบบเบาไม่ต่อเนื่อง แบบปานกลาง–รุนแรงไม่ต่อเนื่อง แบบเบาแต่ต่อเนื่อง แบบปานกลาง–รุนแรงและต่อเนื่อง แบบไม่ต่อเนื่องคือเมื่อเกิดขึ้นน้อยกว่า 4 วันต่อสัปดาห์ หรือเกิดน้อยกว่า 4 สัปดาห์ต่อ ๆ กัน แบบต่อเนื่องคือเมื่ออาการเกิดมากกว่า 4 วันต่อสัปดาห์ และเกิน 4 สัปดาห์ต่อ ๆ กัน อาการจะถือว่าเบาหากนอนหลับปกติ ไม่รบกวนกิจวัตรประจำวัน ไม่รบกวนการงานหรือการเรียน และไม่มีอาการที่สร้างปัญหา อาการจะถือว่ารุนแรงเมื่อรบกวนการนอนหลับ การใช้ชีวิตประจำวัน และประสิทธิภาพในการเรียนหรือการทำงาน[43]
เยื่อจมูกอักเสบจากภูมิแพ้เฉพาะที่
[แก้]เยื่อจมูกอักเสบจากภูมิแพ้เฉพาะที่ (อังกฤษ: local allergic rhinitis) เป็นปฏิกิริยาภูมิแพ้ในจมูกต่อสารก่อภูมิแพ้ แต่ไม่เกิดทั่วร่างกาย การทดสอบภูมิแพ้ทางผิวหนังและทางเลือดจึงให้ผลลบ แต่มีการสร้างสารภูมิต้านทาน IgE ในจมูกที่ตอบสนองต่อสารก่อภูมิแพ้ การทดสอบแบบฉีดเข้าใต้ผิวหนังก็อาจให้ผลลบเช่นกัน[41]
อาการของเยื่อจมูกอักเสบจากภูมิแพ้เฉพาะที่เหมือนกับแบบธรรมดา รวมถึงอาการทางตา อาจเป็นแบบตามฤดูกาลหรือแบบตลอดปีก็ได้ อาจจัดเป็นระดับเบา ปานกลาง หรือรุนแรง โดยสัมพันธ์กับเยื่อบุตาอักเสบจากภูมิแพ้และโรคหืดด้วย[41]
การศึกษาหนึ่งพบว่าประมาณ 25% ของผู้ที่มีเยื่อจมูกอักเสบมาจากภูมิแพ้เฉพาะที่[44] การศึกษาหลายชิ้นพบว่า กว่า 40% ของผู้ที่ได้รับการวินิจฉัยว่าเป็นเยื่อจมูกอักเสบที่ไม่เกิดจากภูมิแพ้ จริง ๆ เป็นเยื่อจมูกอักเสบจากภูมิแพ้เฉพาะที่[40] สเตอรอยด์พ่นจมูกและยาทานต้านฮิสตามีนพบว่ามีประสิทธิภาพในการรักษาโรคแบบนี้[41]
จนถึง ค.ศ. 2014 โรคแบบนี้โดยมากจะมีการศึกษาในยุโรป ส่วนในสหรัฐอเมริกา การทดสอบที่โพรงจมูกซึ่งจำเป็นในการวินิจฉัยโรคแบบนี้ยังไม่มีใช้อย่างทั่วไป[45]: 617
การป้องกัน
[แก้]การป้องกันมักเน้นการหลีกเลี่ยงสารก่อภูมิแพ้ที่เป็นสาเหตุของอาการ รวมทั้งการไม่เลี้ยงสัตว์ ไม่ใช้พรมหรือเฟอร์นิเจอร์ที่ประกอบด้วยสิ่งที่แพ้ และการรักษาบ้านให้แห้ง[46] ปลอกคลุมกันภูมิแพ้มีซิปสำหรับของใช้ในบ้านต่าง ๆ เช่น หมอนและที่นอน พิสูจน์แล้วว่ามีประสิทธิภาพในการป้องกันภูมิแพ้ไรฝุ่น[47]
มีงานวิจัยหลายชิ้นที่แสดงว่าการเติบโตในไร่นาและการมีพี่หลายคนสัมพันธ์กับความเสี่ยงการเกิดเยื่อจมูกอักเสบจากภูมิแพ้ที่ลดลง[2] การศึกษาในเด็กเล็กพบว่า ความเสี่ยงเยื่อจมูกอักเสบจากภูมิแพ้จะสูงขึ้นในเด็กที่ได้อาหารหรือนมสูตรทารกตั้งแต่เนิ่น ๆ หรือได้รับควันบุหรี่จำนวนมากในช่วงปีแรกของชีวิต[48][49]
การรักษา
[แก้]เป้าหมายของการรักษาคือการป้องกันหรือบรรเทาอาการที่เกิดจากการอักเสบของเนื้อเยื่อที่ได้รับผลกระทบ วิธีที่มีประสิทธิภาพรวมถึงการหลีกเลี่ยงสารก่อภูมิแพ้[18] คอร์ติโคสเตอรอยด์พ่นจมูกเป็นการรักษาที่แนะนำสำหรับอาการเรื้อรัง โดยหากไม่ได้ผล ยังมีทางเลือกอื่นในการรักษา[18] การรักษารองรวมถึงยาต้านฮิสตามีน, ยาลดอาการคัดจมูก, โครโมลิน[A], ยาต้านลิวโคไตรอีน และการล้างจมูก[18]
ยาต้านฮิสตามีนชนิดรับประทานเหมาะสำหรับใช้เป็นครั้งคราวกับอาการที่ไม่รุนแรงและเกิดขึ้นเป็นช่วง ๆ[18] ปลอกหุ้มกันไรฝุ่น เครื่องกรองอากาศ และการหลีกเลี่ยงอาหารบางชนิดในวัยเด็ก ยังไม่มีหลักฐานยืนยันว่ามีประสิทธิภาพ[18]
ยาต้านฮิสตามีน
[แก้]ยาต้านฮิสตามีนสามารถรับประทานหรือพ่นทางจมูกเพื่อควบคุมอาการต่าง ๆ เช่น จาม น้ำมูกไหล คัน และตาแดง[50] ควรรับประทานยาก่อนจะสัมผัสกับสารก่อภูมิแพ้ โดยเฉพาะภูมิแพ้แบบตามฤดูกาล สำหรับยาพ่นจมูก เช่น สเปรย์พ่นจมูกอะเซลาสทีน จะเริ่มบรรเทาอาการได้ภายใน 15 นาที จึงใช้ตามความจำเป็นได้ ยังไม่มีหลักฐานเพียงพอของประสิทธิภาพยาต้านฮิสตามีนเพื่อต่อยอดยาสเตอรอยด์พ่นจมูกในการรักษาเด็กทั้งแบบเป็น ๆ หาย ๆ และแบบต่อเนื่อง จึงควรพิจารณาผลข้างเคียงและค่าใช้จ่ายเพิ่มด้วย[51]
ยาต้านฮิสตามีนชนิดหยอดตา เช่น อะเซลาสทีนและคีโตติเฟน ใช้รักษาเยื่อตาอักเสบ ในขณะที่แบบพ่นจมูกมักใช้รักษาอาการจาม น้ำมูกไหล และคันจมูก[52]
ยาต้านฮิสตามีนอาจมีผลข้างเคียงที่ไม่พึงประสงค์ โดยเฉพาะความง่วงจากยาที่รับประทาน ยารุ่นแรก เช่น ไดเฟนไฮดรามีน มักทำให้ง่วงนอน ในขณะที่ยารุ่นที่สองและสาม เช่น เฟกโซเฟนาดีน และลอราตาดีน มีโอกาสน้อยกว่า[52][53]
ซูโดอีเฟดรีนมีข้อบ่งใช้สำหรับโรคเยื่อจมูกอักเสบเหตุหลอดเลือด (vasomotor rhinitis) จะใช้เฉพาะเมื่อมีอาการคัดจมูก โดยสามารถใช้ร่วมกับยาต้านฮิสตามีนได้ ในสหรัฐอเมริกา ยาลดอาการคัดจมูกชนิดรับประทานที่มีซูโดอีเฟดรีน ต้องซื้อจากเภสัชกรเพื่อป้องกันการนำไปผลิตเมทแอมเฟตามีน[52] ยาผสม เดสลอร์อาตาดีน+ซูโดอีเฟดรีนก็ใช้รักษาภาวะนี้ได้เช่นกัน[ต้องการอ้างอิง]
สเตอรอยด์
[แก้]คอร์ติโคสเตอรอยด์พ่นจมูกใช้ควบคุมอาการจาม น้ำมูกไหล คัน และคัดจมูก[26] มีประสิทธิภาพและปลอดภัย อาจใช้ได้ผลโดยไม่ต้องใช้ยาต้านฮิสตามีนชนิดรับประทานร่วมด้วย ยานี้ต้องใช้เวลาออกฤทธิ์หลายวัน จึงควรใช้ต่อเนื่องเป็นเวลาหลายสัปดาห์เพื่อให้ได้ผลเต็มที่[ต้องการอ้างอิง]
เมื่อ ค.ศ. 2013 มีการศึกษาเปรียบเทียบประสิทธิภาพของยาพ่นจมูกโมเมทาโซนฟูโรเอต กับยาเม็ดเบตาเมทาโซนชนิดรับประทานในการรักษาเยื่อจมูกอักเสบจากภูมิแพ้ตามฤดูกาล[54] แล้วพบว่ายาทั้งสองชนิดให้ผลใกล้เคียงกันในการบรรเทาอาการทางจมูก
สเตอรอยด์ชนิดออกฤทธิ์ทั่วร่างกาย เช่น ยาเม็ดเพรดนิโซน และยาฉีดเข้ากล้ามเนื้อ triamcinolone acetonide หรือยาฉีดกลูโคคอร์ติคอยด์ (เช่น เบตาเมทาโซน) มีประสิทธิภาพลดการอักเสบของเยื่อจมูก[ต้องการอ้างอิง] แต่มีข้อจำกัดเพราะมีฤทธิ์สั้นและมีผลข้างเคียงจากการรักษาด้วยสเตอรอยด์เป็นเวลานาน[55]
อื่น ๆ
[แก้]วิธีการรักษาอันดับรองอื่น ๆ รวมทั้งยาลดอาการคัดจมูก โครโมลิน[A] ยาต้านลิวโคไตรอีน และการรักษาแบบไม่ใช้ยา เช่น การล้างจมูก[18] ยาลดคัดจมูกชนิดพ่น (ใช้เฉพาะที่) อาจช่วยบรรเทาอาการต่าง ๆ เช่น คัดจมูกได้ แต่ไม่ควรใช้เป็นเวลานาน เพราะการหยุดใช้ยาหลังการใช้เป็นเวลานานอาจทำให้กลับคัดจมูกอีกที่เรียกว่า เยื่อจมูกอักเสบจากยา (rhinitis medicamentosa)[ต้องการอ้างอิง]
สำหรับอาการที่เกิดในเวลากลางคืน คอร์ติโคสเตอรอยด์พ่นจมูกอาจใช้ร่วมกับ oxymetazoline ซึ่งเป็นยาประเภท adrenergic alpha-agonist หรืออะเซลาสทีนซึ่งเป็นยาต้านฮิสตามีนสำหรับพ่นจมูก โดยไม่เสี่ยงให้เกิดเยื่อจมูกอักเสบจากยา[56]
การล้างจมูกด้วยน้ำเกลือ คือการเทน้ำเกลือเข้าไปในรูจมูก อาจช่วยบรรเทาอาการได้ทั้งในผู้ใหญ่และเด็ก โดยไม่น่าจะมีผลข้างเคียงที่ไม่พึงประสงค์[57]
การบำบัดภูมิคุ้มกันด้วยสารก่อภูมิแพ้
[แก้]การรักษาโรคภูมิแพ้ด้วยการฉีดวัคซีน หรือการขจัดภูมิไว[58] (desensitization) คือการให้สารก่อภูมิแพ้ เพื่อให้ร่างกายชินต่อสารที่ปกติไม่เป็นอันตราย เช่น ละอองเกสร หรือไรฝุ่น จึงทำให้สามารถทนรับสารได้ในระยะยาว[59] เป็นการรักษาเพียงแบบเดียวที่เปลี่ยนกลไกของโรคได้[60]
การบำบัดสามารถทำทางปากโดยเป็นยาเม็ดหรือยาหยดใต้ลิ้น หรือทางการฉีดใต้ผิวหนัง การฉีดใต้ผิวหนังเป็นวิธีที่ใช้กันมากที่สุด และมีหลักฐานมากที่สุดซึ่งแสดงประสิทธิภาพ[61]
การแพทย์ทางเลือก
[แก้]สำหรับเยื่อจมูกอักเสบจากภูมิแพ้ ยังไม่มีการแพทย์ทางเลือก/ผสมผสานใดที่ได้หลักฐานสนับสนุน[47] ประสิทธิภาพของการรักษาต่าง ๆ เช่น การฝังเข็ม หรือโฮมีโอพาธี ไม่มีหลักฐานสนับสนุน[62][63] มีหลักฐานบ้างว่า การฝังเข็มที่จุดเส้นประสาท sphenopalatine ganglion (อยู่ในแอ่ง Pterygopalatine fossa บนใบหน้า) มีผลสำหรับเยื่อจมูกอักเสบ แต่การทดลองก็ยังมีข้อจำกัด[64] โดยรวมแล้วคุณภาพหลักฐานของการแพทย์ผสมผสาน-ทางเลือกไม่ดีพอที่จะได้การแนะนำจากบัณฑิตยสถานโรคภูมิแพ้ โรคหืด และภูมิคุ้มกันวิทยาอเมริกัน (AAAAI)[47][65]
ระบาดวิทยา
[แก้]เยื่อจมูกอักเสบจากภูมิแพ้เป็นภูมิแพ้ที่มีผลกระทบต่อคนจำนวนมากที่สุด[13] ในประเทศตะวันตก มีประชากรระหว่าง 10–30% ที่ได้รับผลกระทบในแต่ละปี[2] ส่วนในไทยมี 23–30%[8] พบมากที่สุดในคนอายุ 20–40 ปี[2]
ประวัติ
[แก้]คำบรรยายโรคที่แม่นยำแรกสุดมาจากแพทย์ชาวเปอร์เชียในคริสต์ศตวรรษที่ 10 คือ แอบู แบกร์ แอล-รอซี [14] เมื่อ ค.ศ. 1859 แพทย์ชาวอังกฤษ ชาร์ลส์ แบล็คลีย์ ระบุว่าละอองเกสรพืชเป็นสาเหตุของโรค[15] เมื่อ ค.ศ. 1906 แพทย์ชาวออสเตรีย เคลเมินส์ ฟ็อน เพียร์เค ได้ระบุกลไกของโรค[13] ความเชื่อมโยงกับฟางเกิดจากทฤษฎียุคแรกที่เข้าใจผิดว่ากลิ่นฟางใหม่เป็นสาเหตุของอาการ[16][17] แม้ว่ากลิ่นจะไม่เกี่ยวข้องโดยตรง แต่ความสัมพันธ์กับฟางนั้นมีมูล เพราะฤดูเก็บเกี่ยวฟางตรงกับฤดูที่มีละอองเกสรสูงสุด และการทำงานเก็บฟางทำให้ได้สัมผัสกับสารก่อภูมิแพ้มากขึ้น
เชิงอรรถ
[แก้]- 1 2 3 4 กรดโครโมกลิซิก (cromoglicic acid) หรือที่รู้จักกันในชื่อ โครโมลิน (USAN) หรือโครโมไกลเคต เป็นยาที่มักใช้คุมเสถียรภาพของแมสต์เซลล์ มักจำหน่ายในรูปแบบเกลือโซเดียม เช่น โซเดียมโครโมไกลเคต หรือโครโมลินโซเดียม ยามีฤทธิ์ป้องกันไม่ให้แมสต์เซลล์ปล่อยสารที่ก่อการอักเสบ เช่น ฮิสตามีน
- ↑ รอยพับเดนนี-มอร์แกน (อังกฤษ: Dennie–Morgan fold) หรือรอยเดนนี-มอร์แกน หรือรอยพับใต้ตา เป็นรอยพับหรือเส้นบนผิวหนังใต้เปลือกตาล่าง อาจเป็นเพียงลักษณะทางพันธุกรรมหรือเชื้อชาติ แต่การศึกษาหนึ่งพบว่ารอยพับนี้เกิดขึ้นในผู้ป่วยผิวหนังอักเสบเหตุภูมิแพ้ 25% การมีรอยพับเดนนี-มอร์แกนสามารถเป็นตัวบ่งชี้ในการวินิจฉัยภูมิแพ้ได้ การศึกษาหนึ่งรายงานว่ามีความไว 78% และความจำเพาะ 76% สำหรับผิวหนังอักเสบเหตุภูมิแพ้ แพทย์ผิวหนังชาวอเมริกัน ชาร์ลส์ เคลย์ตัน เดนนี และเดวิด บี. มอร์แกน ได้ระบุลักษณะนี้เมื่อ ค.ศ. 1948
อ้างอิง
[แก้]- 1 2 "Environmental Allergies: Symptoms". NIAID. 2015-04-22. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2015-06-18. สืบค้นเมื่อ 2015-06-19.
- 1 2 3 4 5 6 7 8 9 10 11 12 13 14 Wheatley, LM; Togias, A (January 2015). "Clinical practice. Allergic rhinitis". The New England Journal of Medicine. 372 (5): 456–63. doi:10.1056/NEJMcp1412282. PMC 4324099. PMID 25629743.
- 1 2 3 4 5 6 7 8 "Cause of Environmental Allergies". NIAID. 2015-04-22. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2015-06-17. สืบค้นเมื่อ 2015-06-17.
- 1 2 3 "Environmental Allergies: Diagnosis". NIAID. 2015-05-12. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2015-06-17. สืบค้นเมื่อ 2015-06-19.
- 1 2 "Environmental Allergies: Treatments". NIAID. 2015-04-22. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2015-06-17. สืบค้นเมื่อ 2015-06-17.
- 1 2 3 4 5 "Immunotherapy for Environmental Allergies". NIAID. 2015-05-12. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2015-06-17. สืบค้นเมื่อ 2015-06-19.
- 1 2 Dykewicz, MS; Hamilos, DL (February 2010). "Rhinitis and sinusitis". The Journal of Allergy and Clinical Immunology. 125 (2 Suppl 2): S103-15. doi:10.1016/j.jaci.2009.12.989. PMID 20176255.
- 1 2 3 รศ.นพ.สุวัฒน์ เบญจพลพิทักษ์ (2011-02-17). "โรคภูมิแพ้ในเด็ก ตอนที่ 1". สมาคมโรคภูมิแพ้ โรคหืด และวิทยาภูมิคุ้มกันแห่งประเทศไทย. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2017-02-07.
{{cite web}}: CS1 maint: uses authors parameter (ลิงก์) - ↑ "Types of Allergic Diseases". web.archive.org. 2015-06-17. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2015-06-17. สืบค้นเมื่อ 2024-11-09.
{{cite web}}: CS1 maint: bot: original URL status unknown (ลิงก์) - 1 2 Covar, R (2018). "Allergic Disorders". Current Diagnosis & Treatment: Pediatrics (24th ed.). NY: McGraw-Hill. ISBN 978-1-259-86290-8.
- ↑ "Allergic Rhinitis (Hay Fever): Symptoms, Diagnosis & Treatment". Cleveland Clinic. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2022-03-23. สืบค้นเมื่อ 2022-03-23.
- 1 2 3 4 5 6 7 Bernstein, Jonathan A.; Bernstein, Joshua S.; Makol, Richika; Ward, Stephanie (2024-03-12). "Allergic Rhinitis: A Review". JAMA. 331 (10): 866–877. doi:10.1001/jama.2024.0530. PMID 38470381.
- 1 2 3 4 Fireman, P (2002). Pediatric otolaryngology vol 2 (4th ed.). Philadelphia, Pa.: W. B. Saunders. p. 1065. ISBN 9789997619846. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2020-07-25. สืบค้นเมื่อ 2016-09-23.
- 1 2 Colgan, R (2009). Advice to the young physician on the art of medicine. New York: Springer. p. 31. ISBN 9781441910349. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2017-09-08.
- 1 2 Justin Parkinson (2014-07-01). "John Bostock: The man who 'discovered' hay fever". BBC News Magazine. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2015-07-31. สืบค้นเมื่อ 2015-06-19.
- 1 2
Hall, M (1838-05-19). "Dr. Marshall Hall on Diseases of the Respiratory System; III. Hay Asthma". The Lancet. 30 (768): 245. doi:10.1016/S0140-6736(02)95895-2. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2020-07-25. สืบค้นเมื่อ 2016-09-23.
With respect to what is termed the exciting cause of the disease, since the attention of the public has been turned to the subject an idea has very generally prevailed, that it is produced by the effluvium from new hay, and it has hence obtained the popular name of hay fever. [...] the effluvium from hay has no connection with the disease.
- 1 2 History of Allergy. Karger Medical and Scientific Publishers. 2014. p. 62. ISBN 9783318021950. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2016-06-10.
- 1 2 3 4 5 6 7 Sur, DK; Plesa, ML (December 2015). "Treatment of Allergic Rhinitis". American Family Physician. 92 (11): 985–92. PMID 26760413. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2018-04-22. สืบค้นเมื่อ 2018-04-21.
- ↑ Valet, RS; Fahrenholz, JM (2009). "Allergic rhinitis: update on diagnosis". Consultant. 49: 610–3. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2010-01-14.
- ↑ Ziade, Georges K.; Karami, Reem A.; Fakhri, Ghina B.; Alam, Elie S.; Hamdan, Abdul latif; Mourad, Marc M.; Hadi, Usama M. (2016). "Reliability assessment of the endoscopic examination in patients with allergic rhinitis". Allergy & Rhinology. 7 (3): e135–e138. doi:10.2500/ar.2016.7.0176. ISSN 2152-6575. PMC 5244268. PMID 28107144.
- ↑ La Mantia, Ignazio; Andaloro, Claudio (October 2017). "Cobblestone Appearance of the Nasopharyngeal Mucosa". The Eurasian Journal of Medicine. 49 (3): 220–221. doi:10.5152/eurasianjmed.2017.17257. ISSN 1308-8734. PMC 5665636. PMID 29123450.
- ↑ Pray, WS (2005). Nonprescription Product Therapeutics. Lippincott Williams & Wilkins. p. 221. ISBN 978-0781734981.
- ↑ Czaja-Bulsa, G; Bachórska, J (December 1998). "[Food allergy in children with pollinosis in the Western sea coast region]" [Food allergy in children with pollinosis in the Western sea coast region]. Polski Merkuriusz Lekarski (ภาษาโปแลนด์). 5 (30): 338–40. PMID 10101519.
- ↑ Yamamoto, T; Asakura, K; Shirasaki, H; Himi, T; Ogasawara, H; Narita, S; Kataura, A (October 2005). "[Relationship between pollen allergy and oral allergy syndrome]" [Relationship between Pollen Allergy and Oral Allergy Syndrome]. Nihon Jibiinkoka Gakkai Kaiho (ภาษาญี่ปุ่น). 108 (10): 971–9. doi:10.3950/jibiinkoka.108.971. PMID 16285612.
- ↑ Malandain, H (September 2003). "[Allergies associated with both food and pollen]" [Allergies associated with both food and pollen]. European Annals of Allergy and Clinical Immunology (ภาษาฝรั่งเศส). 35 (7): 253–6. PMID 14626714. INIST:15195402.
- 1 2 3 Cahill, K (2018). "Urticaria, Angioedema, and Allergic Rhinitis." 'Harrison's Principles of Internal Medicine (20th ed.). NY: McGraw-Hill. pp. Chapter 345. ISBN 978-1-259-64403-0.
- ↑ Brooks, Pamela (2012). The Daily Telegraph: Complete Guide to Allergies. Little, Brown Book. ISBN 9781472103949.
- ↑ Denver Medical Times: Utah Medical Journal. Nevada Medicine. 2010-01-01. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2017-09-08. สืบค้นเมื่อ 2014-04-27.
- ↑ George Clinton Andrews; Anthony Nicholas Domonkos (1998-07-01). Diseases of the Skin: For Practitioners and Students. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2017-09-08. สืบค้นเมื่อ 2014-04-27.
- ↑ Kamekura, R; Kojima, T; Takano, K; Go, M; Sawada, N; Himi, T (2012). "The Role of IL-33 and Its Receptor ST2 in Human Nasal Epithelium with Allergic Rhinitis". Clin Exp Allergy. 42 (2): 218–228. doi:10.1111/j.1365-2222.2011.03867.x. PMID 22233535. S2CID 21799632.
- 1 2 Zhang, XH; Zhang, YN; Liu, Z (2014). "MicroRNA in Chronic Rhinosinusitis and Allergic Rhinitis". Curr Allergy Asthma Rep. 14 (2): 415. doi:10.1007/s11882-013-0415-3. PMID 24408538. S2CID 39239208.
- ↑ Baumann, R; Rabaszowski, M; Stenin, I; Tilgner, L; Gaertner-Akerboom, M; Scheckenbach, K; Wiltfang, J; Chaker, A; Schipper, J; Wagenmann, M (2013). "Nasal Levels of Soluble IL-33R ST2 and IL-16 in Allergic Rhinitis: Inverse Correlation Trends with Disease Severity". Clin Exp Allergy. 43 (10): 1134–1143. doi:10.1111/cea.12148. PMID 24074331. S2CID 32689683.
- ↑ Ran, H; Xiao, H; Zhou, X; Guo, L; Lu, S (2020). "Single-Nucleotide Polymorphisms and Haplotypes in the Interleukin-33 Gene Are Associated with a Risk of Allergic Rhinitis in the Chinese Population". Exp Ther Med. 20 (5): 102. doi:10.3892/etm.2020.9232. PMC 7506885. PMID 32973951.
- ↑ Ran, He; Xiao, Hua; Zhou, Xing; Guo, Lijun; Lu, Shuang (November 2020). "Single-nucleotide polymorphisms and haplotypes in the interleukin-33 gene are associated with a risk of allergic rhinitis in the Chinese population". Experimental and Therapeutic Medicine. 20 (5): 102. doi:10.3892/etm.2020.9232. ISSN 1792-0981. PMC 7506885. PMID 32973951.
- ↑ Song, SH; Wang, XQ; Shen, Y; Hong, SL; Ke, undefined; X, undefined. "Association between PTPN22/CTLA-4 Gene Polymorphism and Allergic Rhinitis with Asthma in Children". Iranian Journal of Allergy, Asthma and Immunology: 413–419.
- ↑ Suojalehto, H; Toskala, E; Kilpeläinen, M; Majuri, ML; Mitts, C; Lindström, I; Puustinen, A; Plosila, T; Sipilä, J; Wolff, H; Alenius, H (2013). "MicroRNA Profiles in Nasal Mucosa of Patients with Allergic and Nonallergic Rhinitis and Asthma". International Forum of Allergy and Rhinology. 3 (8): 612–620. doi:10.1002/alr.21179. PMID 23704072. S2CID 29759402.
- ↑ Sastre, B; Cañas, JA; Rodrigo-Muñoz, JM; del Pozo, V (2017). "Novel Modulators of Asthma and Allergy: Exosomes and MicroRNAs". Front Immunol. 8: 826. doi:10.3389/fimmu.2017.00826. PMC 5519536. PMID 28785260.
- ↑ Xiao, L; Jiang, L; Hu, Q; Li, Y. "MicroRNA-133b Ameliorates Allergic Inflammation and Symptom in Murine Model of Allergic Rhinitis by Targeting NIrp3". CPB. 42 (3): 901–912.
- ↑ "Allergy Tests". เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2012-01-14.
- 1 2 Rondón, C; Canto, G; Blanca, M (February 2010). "Local allergic rhinitis: a new entity, characterization and further studies". Current Opinion in Allergy and Clinical Immunology. 10 (1): 1–7. doi:10.1097/ACI.0b013e328334f5fb. PMID 20010094. S2CID 3472235.
- 1 2 3 4 Rondón, C; Fernandez, J; Canto, G; Blanca, M (2010). "Local allergic rhinitis: concept, clinical manifestations, and diagnostic approach". Journal of Investigational Allergology & Clinical Immunology. 20 (5): 364–71, quiz 2 p following 371. PMID 20945601. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2022-02-02. สืบค้นเมื่อ 2020-12-27.
- ↑ "Rush University Medical Center". เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2015-02-19. สืบค้นเมื่อ 2008-03-05.
- ↑ Bousquet, J; Reid, J; van Weel, C; C, Baena Cagnani; Canonica, GW; Demoly, P; และคณะ (August 2008). "Allergic rhinitis management pocket reference 2008". Allergy. 63 (8): 990–6. doi:10.1111/j.1398-9995.2008.01642.x. PMID 18691301. S2CID 11933433.
- ↑ Rondón, C; Campo, P; Galindo, L; Blanca-López, N; Cassinello, MS; Rodriguez-Bada, JL; และคณะ (October 2012). "Prevalence and clinical relevance of local allergic rhinitis". Allergy. 67 (10): 1282–8. doi:10.1111/all.12002. PMID 22913574. S2CID 22470654.
- ↑ Flint, PW; Haughey, BH; Robbins, KT; Thomas, JR; Niparko, JK; Lund, VJ; Lesperance, MM (2014-11-28). Cummings Otolaryngology–Head and Neck Surgery E-Book (ภาษาอังกฤษ). Elsevier Health Sciences. ISBN 9780323278201. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2020-07-25. สืบค้นเมื่อ 2019-04-20.
- ↑ "Prevention". nhs.uk (ภาษาอังกฤษ). 2018-10-03. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2019-02-18. สืบค้นเมื่อ 2019-02-17.
- 1 2 3 "American Academy of Allergy Asthma and Immunology". เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2020-07-25. สืบค้นเมื่อ 2019-11-25.
- ↑ Akhouri S, House SA. Allergic Rhinitis. [Updated 2020 Nov 18]. In: StatPearls [Internet]. Treasure Island (FL): StatPearls Publishing; 2020 Jan-. Available from: https://www.ncbi.nlm.nih.gov/books/NBK538186/ เก็บถาวร 2022-03-18 ที่ เวย์แบ็กแมชชีน
- ↑ Skoner, DP (July 2001). "Allergic rhinitis: definition, epidemiology, pathophysiology, detection, and diagnosis". The Journal of Allergy and Clinical Immunology. 108 (1 Suppl): S2-8. doi:10.1067/mai.2001.115569. PMID 11449200.
- ↑ "Antihistamines for Allergies". MedlinePlus.gov. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2023-03-19. สืบค้นเมื่อ 2023-03-18.
- ↑ Nasser, M; Fedorowicz, Z; Aljufairi, H; McKerrow, W (July 2010). "Antihistamines used in addition to topical nasal steroids for intermittent and persistent allergic rhinitis in children". The Cochrane Database of Systematic Reviews. 2010 (7): CD006989. doi:10.1002/14651858.CD006989.pub2. PMC 7388927. PMID 20614452.
- 1 2 3 May, JR; Smith, PH (2008). "Allergic Rhinitis". ใน DiPiro, JT; Talbert, RL; Yee, GC; Matzke, G; Wells, B; Posey, LM (บ.ก.). Pharmacotherapy: A Pathophysiologic Approach (7th ed.). New York: McGraw-Hill. pp. 1565–75. ISBN 978-0071478991.
- ↑ Craun, Kari L.; Patel, Preeti; Schury, Mark P. (2024), "Fexofenadine", StatPearls, Treasure Island (FL): StatPearls Publishing, PMID 32310564, สืบค้นเมื่อ 2024-08-16
- ↑ Karaki, M; Akiyama, K; Mori, N (June 2013). "Efficacy of intranasal steroid spray (mometasone furoate) on treatment of patients with seasonal allergic rhinitis: comparison with oral corticosteroids". Auris, Nasus, Larynx. 40 (3): 277–81. doi:10.1016/j.anl.2012.09.004. PMID 23127728.
- ↑ Ohlander, BO; Hansson, RE; Karlsson, KE (1980). "A comparison of three injectable corticosteroids for the treatment of patients with seasonal hay fever". The Journal of International Medical Research. 8 (1): 63–9. doi:10.1177/030006058000800111. PMID 7358206. S2CID 24169670.
- ↑ Baroody, FM; Brown, D; Gavanescu, L; DeTineo, M; Naclerio, RM (April 2011). "Oxymetazoline adds to the effectiveness of fluticasone furoate in the treatment of perennial allergic rhinitis". The Journal of Allergy and Clinical Immunology. 127 (4): 927–34. doi:10.1016/j.jaci.2011.01.037. PMID 21377716.
- ↑ Head, K; Snidvongs, K; Glew, S; Scadding, G; Schilder, AG; Philpott, C; Hopkins, C (June 2018). "Saline irrigation for allergic rhinitis". The Cochrane Database of Systematic Reviews. 2018 (6): CD012597. doi:10.1002/14651858.CD012597.pub2. PMC 6513421. PMID 29932206.
- ↑ "desensitization", Longdo Dict, อังกฤษ-ไทย: ศัพท์บัญญัติราชบัณฑิตยสถาน, สืบค้นเมื่อ 2025-04-11,
๑. การขจัดภูมิไว๒. การลดความรู้สึก (กลัว, เกลียด ฯลฯ) [แพทยศาสตร์ ๖ ส.ค. ๒๕๔๔]
- ↑ Van Overtvelt, L; Batard, T; Fadel, R; Moingeon, P (December 2006). "Mécanismes immunologiques de l'immunothérapie sublinguale spécifique des allergènes". Revue Française d'Allergologie et d'Immunologie Clinique. 46 (8): 713–720. doi:10.1016/j.allerg.2006.10.006.
- ↑ Creticos, P. "Subcutaneous immunotherapy for allergic disease: Indications and efficacy". UpToDate. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2020-07-25. สืบค้นเมื่อ 2019-12-02.
- ↑ Calderon, MA; Alves, B; Jacobson, M; Hurwitz, B; Sheikh, A; Durham, S (January 2007). "Allergen injection immunotherapy for seasonal allergic rhinitis". The Cochrane Database of Systematic Reviews. 2007 (1): CD001936. doi:10.1002/14651858.CD001936.pub2. PMC 7017974. PMID 17253469.
- ↑ Passalacqua, G; Bousquet, PJ; Carlsen, KH; Kemp, J; Lockey, RF; Niggemann, B; และคณะ (May 2006). "ARIA update: I—Systematic review of complementary and alternative medicine for rhinitis and asthma". The Journal of Allergy and Clinical Immunology. 117 (5): 1054–62. doi:10.1016/j.jaci.2005.12.1308. PMID 16675332.
- ↑ Terr, AI (2004). "Unproven and controversial forms of immunotherapy". Clinical Allergy and Immunology. 18: 703–10. PMID 15042943.
- ↑ Fu, Q; Zhang, L; Liu, Y; Li, X; Yang, Y; Dai, M; Zhang, Q (2019-03-12). "Effectiveness of Acupuncturing at the Sphenopalatine Ganglion Acupoint Alone for Treatment of Allergic Rhinitis: A Systematic Review and Meta-Analysis". Evidence-Based Complementary and Alternative Medicine. 2019: 6478102. doi:10.1155/2019/6478102. PMC 6434301. PMID 30992709.
- ↑ Witt, CM; Brinkhaus, B (October 2010). "Efficacy, effectiveness and cost-effectiveness of acupuncture for allergic rhinitis – An overview about previous and ongoing studies". Autonomic Neuroscience. 157 (1–2): 42–5. doi:10.1016/j.autneu.2010.06.006. PMID 20609633. S2CID 31349218.
แหล่งข้อมูลอื่น
[แก้]- "Sublingual Immunotherapy (SLIT) Allergy Tablets - American Academy of Allergy, Asthma & Immunology". เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2022-03-03. สืบค้นเมื่อ 2022-04-28.
แหล่งข้อมูลอื่น
[แก้]| การจำแนกโรค | |
|---|---|
| ทรัพยากรภายนอก |
- CS1 maint: uses authors parameter
- บทความที่ขาดแหล่งอ้างอิงเฉพาะส่วนตั้งแต่มีนาคม 2023
- บทความที่ขาดแหล่งอ้างอิงเฉพาะส่วนตั้งแต่กรกฎาคม 2022
- บทความที่ขาดแหล่งอ้างอิงเฉพาะส่วนตั้งแต่มีนาคม 2020
- บทความที่ขาดแหล่งอ้างอิงเฉพาะส่วนตั้งแต่พฤษภาคม 2015
- วิทยาโรคภูมิแพ้
- Steroid-responsive inflammatory conditions
- การอักเสบ
- สเตอรอยด์
- ภาวะภูมิไวเกินประเภทที่ 1