ข้ามไปเนื้อหา

กองกำลังป้องกันตนเองญี่ปุ่น

จากวิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี
กองกำลังป้องกันตนเองญี่ปุ่น
日本国自衛隊
ธงกองกำลังป้องกันตนเองญี่ปุ่น
เหล่า กองกำลังป้องกันตนเองภาคพื้นดินญี่ปุ่น
ธงกองทัพเรือของประเทศญี่ปุ่น กองกำลังป้องกันตนเองทางทะเลญี่ปุ่น
ธงของกองกำลังป้องกันตนเองทางอากาศญี่ปุ่น กองกำลังป้องกันตนเองทางอากาศญี่ปุ่น
กองบัญชาการโตเกียว
ผู้บังคับบัญชา
นายกรัฐมนตรีฟูมิโอะ คิชิดะ
รมว.กลาโหมเก็น นากาทานิ
เสธ.สูงสุดพลเอก ฮิโรอากิ อูชิกูระ
กำลังพล
อายุเริ่มบรรจุ18–32 ปีคือคุณสมบัติรับราชการทหาร
ประชากร
วัยบรรจุ
27,301,443 ชาย, อายุ 18–49 (ปี 2010),
26,307,003 หญิง, อายุ 18–49 (ปี 2010)
ประชากร
ฉกรรจ์
22,390,431 ชาย, อายุ 18–49 (ปี 2010),
21,540,322 หญิง, อายุ 18–49 (ปี 2010)
ประชากรวัยถึงขั้น
ประจำการทุกปี
623,365 ชาย (ปี 2010),
591,253 หญิง (ปี 2010)
ยอดประจำการ223,511 นาย[1]
ยอดสำรอง47,900 นาย[2]
รายจ่าย
งบประมาณ47.3 พันล้านเหรียญสหรัฐ (2018)[3]
(อันดับที่ 8)
ร้อยละต่อจีดีพี0.9% (2020)
อุตสาหกรรม
แหล่งผลิตในประเทศ[4]
แหล่งผลิตนอกประเทศ ออสเตรเลีย
 ฝรั่งเศส
 เยอรมนี
 อิตาลี
 สวีเดน[5]
 สหราชอาณาจักร
 สหรัฐ
บทความที่เกี่ยวข้อง
ประวัติประวัติศาสตร์ทางทหารของญี่ปุ่น
กองทัพจักรวรรดิญี่ปุ่น
ยศยศทหาร
ลำดับเกียรติเครื่องอิสริยาภรณ์

กองกำลังป้องกันตนเองญี่ปุ่น (ญี่ปุ่น: 自衛隊; โรมาจิ: じえいたい; ทับศัพท์: Jieitai; จิเอไต) หรือ JSDF บางครั้งเรียกว่า JSF หรือ SDF เป็นบุคลากรจากประเทศญี่ปุ่นที่ถูกจัดตั้งขึ้นหลังสงครามโลกครั้งที่สองสิ้นสุดลงเพื่อแทนที่กองทัพจักรวรรดิญี่ปุ่นที่ถูกยุบ และฝ่ายสัมพันธมิตรยึดครองญี่ปุ่น ในเวลาหลังสงคราม กองกำลังป้องกันตนเองญี่ปุ่นถูกใช้งานในเฉพาะภายในประเทศมีหน้าที่ในการป้องกันประเทศอธิปไตยชาติเพียงอย่างเดียวและไม่ได้รับอนุญาตให้ปฏิบัติภารกิจในต่างประเทศ ยกเว้นในสถานการณ์ที่เป็นการป้องกันตนเองในขอบเขตที่จำกัดเท่านั้น แม้อาจมีภารกิจในต่างประเทศในปฏิบัติการรักษาสันติภาพ แต่ล่าสุดในวันที่ 1 กรกฎาคม พ.ศ. 2557 คณะรัฐมนตรีญี่ปุ่นได้ตีความมาตรา 9 ของรัฐธรรมนูญแห่งญี่ปุ่นใหม่สรุปได้ว่า กองกำลังป้องกันตนเองของญี่ปุ่นจะสามารถส่งทหารไปปฏิบัติภารกิจการป้องกันตนเองร่วมได้(Collectvie-Self Defence) ตามมติของคณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติเพื่อปกป้องชาติหนึ่งจากการถูกรุกราน โดยญี่ปุ่นจะสามารถไปช่วยเหลือชาติพันธมิตรใกล้ชิดที่ถูกโจมตีได้ หากการโจมตีนั้นเป็นภัยคุกคามต่อการดำรงอยู่ของญี่ปุ่นและไม่มีวิธีอื่นในการปกป้องชีวิตชาวญี่ปุ่น

ในด้านการพัฒนาอาวุธ ในรัฐธรรมนูญญี่ปุ่นถูกกำหนดห้ามพัฒนาอาวุธในเชิงรุก ส่วนในด้านการห้ามส่งออกอาวุธนั้น แม้ญี่ปุ่นจะเป็นผู้กำหนดขึ้นเองเมื่อปี พ.ศ. 2510 แต่ในวันที่ 1 เมษายน พ.ศ. 2557 ญี่ปุ่นได้ผ่อนคลายกฎห้ามส่งออกอาวุธ โดยสามารถส่งออกอาวุธและมีส่วนร่วมในการผลิตอาวุธกับนานาชาติได้ แต่ญี่ปุ่นจะไม่ส่งออกอาวุธให้แก่ประเทศที่ตกอยู่ท่ามกลางความขัดแย้ง หรืออาจเป็นภัยคุกคามต่อสันติภาพและความมั่นคงของนานาชาติ นอกจากนี้ การจำหน่ายอาวุธก็จะต้องเป็นไปเพื่อส่งเสริมสันติภาพสากลคือต้องเป็นยุทโธปกรณ์ที่ไม่ใช่เพื่อสังหาร และเป็นประโยชน์ต่อความมั่นคงของญี่ปุ่นเอง[6][7]

ส่วนในด้านการสนันสนุนกองกำลังต่างชาติ ในวันที่ 10 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2558 รัฐบาลญี่ปุ่นประกาศแก้ไขกฎบัตรว่าด้วยการสนับสนุนต่างชาติ โดยสามารถมอบทุนสนับสนุนภารกิจของกองกำลังต่างชาติที่มิใช่การสู้รบ[8]

ประวัติ

[แก้]

หลังจากสงครามโลกครั้งที่สองที่ญี่ปุ่นพ่ายแพ้สงครามต่อสหรัฐอเมริกา ทำให้สหรัฐเข้ามาควบคุมกำลังทหารของญี่ปุ่น และทำให้ญี่ปุ่นต้องร่างรัฐธรรมนูญขึ้นมาใหม่โดยมีข้อห้ามว่า ไม่อนุญาตให้ญี่ปุ่นทำสงครามกับประเทศใด ๆ เลยเว้นแต่กระทำเพื่อป้องกันประเทศตนเอง ที่สำคัญคือไม่มีศาลทหารและกระทรวงกลาโหม

บุคคลที่เข้ามาทำงานในกองกำลังป้องตนเองพวกเขาจะเรียกตนเองว่าเจ้าหน้าที่กองกำลังป้องกันตนเอง ซึ่งทั้งหมดเป็นพลเรือนมิใช่ทหาร ถึงแม้ว่าญี่ปุ่นจะจัดตั้งกระทรวงกลาโหมขึ้นมาเมื่อปี พ.ศ. 2550 แต่ว่าก็ยังคงชื่อไว้ว่า กองกำลังป้องกันตนเอง

ในวันที่ 1 กรกฎาคม พ.ศ. 2557 ครม.ญี่ปุ่นได้ตีความรัฐธรรมนูญมาตรา 9 ของรัฐธรรมนูญแห่งญี่ปุ่นใหม่ โดยญี่ปุ่นมีสิทธิส่งกำลังทหารไปร่วมรบเพื่อปกป้องชาติพันธมิตร

การศึกษา

[แก้]

วิทยาลัยป้องกันประเทศญี่ปุ่น (National Defense Academy of Japan หรือ "โบเอได") เป็นสถาบันการศึกษาหลักที่ผลิตนายทหารแก่กองกำลังป้องกันตนเองของญี่ปุ่นทั้งสามเหล่า นอกจากการเรียนภาษาญี่ปุ่น 1 ปีแล้ว นักเรียนนายร้อยจะศึกษาที่ NDA 4 ปี โดยจะรวมนักเรียนทั้งสามเหล่าทัพ (JGSDF, JMSDF และ JASDF) ไว้ร่วมกันในที่แห่งเดียว ซึ่งเปิดรับผู้หญิงเข้าศึกษาเช่นเดียวกับผู้ชายตั้งแต่ปี ค.ศ. 1992 โดยมีจำนวนราวร้อยละ 10 ของนักเรียนทั้งหมด การฝึกศึกษาไม่ต่างกัน พักที่ตึกนอนตึกเดียวกัน (แต่คนละชั้น) แต่เกณฑ์บางอย่างเช่นการทดสอบร่างกายต่างกัน

โครงสร้าง

[แก้]
พลเอกฮิโรอากิ อูชิกูระ เสนาธิการทหารสูงสุด (2025-ปัจจุบัน)
พลเอกเค็นอิชิโร นางูโมะ ผู้บัญชาการการยุทธผสม (2025-ปัจจุบัน)

มาตรา 9 ของรัฐธรรมนูญญี่ปุ่น บัญญัติให้กองกำลังป้องกันตนเองยึดหลัก “การป้องกันตนเองเท่านั้น” และมีหลักการพื้นฐานว่า “เพื่อปกป้องสันติภาพและเอกราชของประเทศ และรักษาความมั่นคงของชาติ จะต้องป้องกันประเทศแห่งเรา” โดยมีนายกรัฐมนตรีเป็นผู้บังคับบัญชาสูงสุดของกองกำลังทั้งหมด มีอำนาจสั่งใช้กำลังในภาวะฉุกเฉินหรืออนุมัติปฏิบัติการทางทหารขนาดใหญ่ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมเป็นผู้มีอำนาจควบคุมการบริหารงานของกองกำลังทั้งหมดตามคำแนะนำของเสนาธิการทหารสูงสุด และเสนาธิการแต่ละกองกำลังย่อย

เสนาธิการทหารสูงสุด (統合幕僚長) เป็นตำแหน่งนายทหารอาวุโสลำดับหนึ่งของกองกำลังทั้งหมด แต่ตำแหน่งนี้ไม่มีอำนาจคุมกำลังรบ มีทำหน้าที่วางแผนยุทธศาสตร์ ให้คำแนะนำต่อรัฐบาล และประสานงานระหว่างกองกำลังย่อย ในขณะที่ ผู้บัญชาการการยุทธผสม (統合作戦司令官) มีความอาวุโสลำดับสองรองจากเสนาธิการทหารสูงสุด ถือเป็นตำแหน่งคุมกำลังรบ โดยเป็นผู้รับคำสั่งจากรัฐมนตรีผ่านเสนาธิการทหารสูงสุด ถือเป็นผู้บังคับบัญชาภารกิจการยุทธผสม โดยใช้กองกำลังผสมที่ประกอบขึ้นจากกองกำลังทางบก-ทางทะเล-ทางอากาศ

นายกรัฐมนตรี (内閣総理大臣)
กระทรวงกลาโหม (防衛省)
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม (防衛大臣)
รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงกลาโหม (防衛副大臣)
ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำกระทรวงกลาโหม (防衛大臣政務官) (สองคน)
สำนักงานเสนาธิการทหารสูงสุด (統合幕僚監部)
เสนาธิการทหารสูงสุด (統合幕僚長)
ศูนย์บัญชาการการยุทธผสม (統合作戦司令部)
ผู้บัญชาการการยุทธผสม (統合作戦司令官)
กองกำลังทางบก
(陸上幕僚監部)
กองกำลังทางทะเล
(海上幕僚監部)
กองกำลังทางอากาศ
(航空幕僚監部)
เสนาธิการทหารบก
(陸上幕僚長)
เสนาธิการทหารเรือ
(海上幕僚長)
เสนาธิการทหารอากาศ
(航空幕僚長)

ยุทธภัณฑ์

[แก้]

อาวุธประจำกาย

[แก้]

อาวุธประจำหน่วย

[แก้]

ศาลทหาร

[แก้]

ความสัมพันธ์ทางทหาร

[แก้]

อ้างอิง

[แก้]
  1. 防衛省・自衛隊の人員構成. 防衛省・自衛隊. สืบค้นเมื่อ 21 พฤศจิกายน 2023.
  2. "予備自衛官等に必要な経費" (PDF). 防衛省. สืบค้นเมื่อ 19 กุมภาพันธ์ 2024.
  3. IISS 2019, p. 276.
  4. "Procurement equipment and services". Equipment Procurement and Construction Office, Ministry of Defence. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 14 มกราคม 2011. สืบค้นเมื่อ 25 เมษายน 2012.
  5. "6. Israel" (PDF). The Institute for National Security Studies. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิม (PDF)เมื่อ 13 สิงหาคม 2008. สืบค้นเมื่อ 11 สิงหาคม 2008.
  6. "ญี่ปุ่นผ่อนคลายกฎห้ามส่งออกอาวุธครั้งแรกใน 50 ปี". ไทยรัฐ. 2 เมษายน 2014.
  7. "รบ.ญี่ปุ่นผ่อนคลายกฎ "ห้ามส่งออกอาวุธ" แต่ยังเน้นพัฒนายุทโธปกรณ์ที่ไม่ใช่เพื่อสังหาร". ผู้จัดการออนไลน์. 1 เมษายน 2014. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 5 มีนาคม 2016. สืบค้นเมื่อ 2 กรกฎาคม 2014.
  8. ""ญี่ปุ่น" แก้ กม.เปิดทางอุดหนุนภารกิจกองกำลังต่างชาติ "ที่มิใช่การสู้รบ"". I-News. 11 กุมภาพันธ์ 2015.

บรรณานุกรม

[แก้]