ข้ามไปเนื้อหา

สมเด็จพระมหาสมณเจ้า กรมพระชินวรวิสุทธิเทวารยวงศ์

จากวิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี
สมเด็จพระมหาสมณเจ้า
กรมพระชินวรวิสุทธิเทวารยวงศ์
สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก
สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก
ดำรงพระยศ20 สิงหาคม พ.ศ. 2464 - 25 สิงหาคม พ.ศ. 2480 (16 ปี 5 วัน)
สถาปนา20 สิงหาคม พ.ศ. 2464
ก่อนหน้าสมเด็จพระมหาสมณเจ้า กรมพระยาวชิรญาณวโรรส
ถัดไปสมเด็จพระอริยวงศาคตญาณ (แพ ติสฺสเทโว)
สถิตวัดราชบพิธสถิตมหาสีมารามราชวรวิหาร
ราชวงศ์จักรี
ประสูติ16 ธันวาคม พ.ศ. 2402
หม่อมเจ้าภุชงค์ ชมพูนุท
สิ้นพระชนม์25 สิงหาคม พ.ศ. 2480 (77 ปี)
วัดราชบพิธสถิตมหาสีมารามราชวรวิหาร
พระบิดาพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมขุนเจริญผลภูลสวัสดิ์
พระมารดาหม่อมปุ่น

สมเด็จพระมหาสมณเจ้า กรมพระชินวรวิสุทธิเทวารยวงศ์ (16 ธันวาคม พ.ศ. 2402 – 25 สิงหาคม พ.ศ. 2480[1]) ทรงเป็นสมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก พระองค์ที่ 11 แห่งกรุงรัตนโกสินทร์ โดยเสด็จสถิต ณ วัดราชบพิธสถิตมหาสีมารามราชวรวิหาร ตลอดระยะเวลาแห่งการดำรงสมณศักดิ์ ทรงปฏิบัติพระกรณียกิจด้านการคณะสงฆ์ด้วยความมั่นคง เคร่งครัด และทรงได้รับความเคารพอย่างสูงจากทั้งบรรพชิตและคฤหัสถ์

พระเจ้าวรวงศ์เธอ กรมหลวงชินวรสิริวัฒน์ สมเด็จพระสังฆราชเจ้า ทรงดำรงตำแหน่งสมเด็จพระสังฆราชเจ้า ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2464 ตรงกับรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว ถึงปี พ.ศ. 2480 ตรงกับรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระปรเมนทรมหาอานันทมหิดล พระอัฐมรามาธิบดินทร เป็นเวลา 16 ปี ต่อมาในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระวชิรเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงพระกรุณาโปรดสถาปนาพระอิสริยยศเฉลิมพระนามพระอัฐิ ขึ้นเป็น สมเด็จพระมหาสมณเจ้า มีพระนามว่า สมเด็จพระมหาสมณเจ้า กรมพระชินวรวิสุทธิเทวารยวงศ์ เมื่อปี พ.ศ. 2568 โดยทรงเป็นสมเด็จพระมหาสมณเจ้าพระองค์เดียวที่มิได้ประกอบพระราชพิธีมหาสมณุตมาภิเษก

พระองค์ทรงมีบทบาทสำคัญในการดำเนินงานทางพระพุทธศาสนาและการปฏิรูปกิจการคณะสงฆ์ในช่วงต้นคริสต์ศตวรรษที่ 20 ซึ่งเป็นช่วงเวลาที่พระพุทธศาสนาเผชิญกับความเปลี่ยนแปลงทางสังคมอย่างมาก พระองค์ทรงมุ่งธำรงพระธรรมวินัย ส่งเสริมการศึกษาของสงฆ์ และสนับสนุนการประยุกต์หลักธรรมให้เหมาะสมกับสภาพสังคมสมัยใหม่

พระประวัติ

[แก้]

ประสูติกาล

[แก้]

สมเด็จพระมหาสมณเจ้า กรมพระชินวรวิสุทธิเทวารยวงศ์ มีพระนามเดิมว่า หม่อมเจ้าภุชงค์ เป็นพระโอรสพระองค์ใหญ่ในพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมขุนเจริญผลภูลสวัสดิ์ กับหม่อมปุ่น[2] ประสูติเมื่อวันศุกร์ที่ 16 ธันวาคม พ.ศ. 2402 แรม 7 ค่ำ เดือนอ้าย ที่วังหน้าวัดราชบพิธฯ มุมถนนราชบพิธกับถนนเฟื่องนคร ตรงกับรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว

การศึกษาขณะเป็นฆราวาส

[แก้]

เมื่อยังทรงพระเยาว์ได้ทรงศึกษาอักขรสมัยไทย ในสำนักเจ้าจอมมารดาสัมฤทธิ์ผู้เป็นย่า เมื่อเข้าพิธีเกศากันต์แล้ว พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวได้โปรดเกล้าฯ ให้ไปศึกษาที่โรงเรียน Raffles ประเทศสิงคโปร์เมื่อปี พ.ศ. 2414 เป็นเวลา 9 เดือน แล้วจึงเสด็จกลับพระนคร ต่อมาพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวโปรดให้ตั้งโรงเรียนสอนภาษาอังกฤษสำหรับเจ้านายขึ้นแล้ว จึงทรงเข้าศึกษาต่อที่นี่โดยไม่กลับไปประเทศสิงคโปร์อีกนอกจากนี้ยังทรงศึกษาอักษรขอมจากพระยาศรีสุนทรโวหาร (น้อย อาจารยางกูร) จนผนวชในปี พ.ศ. 2416[3]

ผนวช

[แก้]

พ.ศ. 2416 เมื่อพระชนมายุได้ 14 พรรษา ผนวชเป็นสามเณร ณ วัดพระศรีรัตนศาสดาราม โดยมีสมเด็จพระมหาสมณเจ้า กรมพระยาปวเรศวริยาลงกรณ์ เป็นพระอุปัชฌาย์ พระวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าพระอรุณนิภาคุณากร เป็นพระกรรมวาจาจารย์ ผนวชแล้วประทับ ณ วัดราชบพิธสถิตมหาสีมารามราชวรวิหาร

เมื่ออายุครบอุปสมบท เมื่อวันที่ 29 มิถุนายน พ.ศ. 2422 ได้โปรดให้อุปสมบทที่วัดพระศรีรัตนศาสดาราม มีสมเด็จพระวันรัตน์ (ทับ พุทฺธสิริ) เป็นพระอุปัชฌาย์ สมเด็จพระอริยวงศาคตญาณ (สา ปุสฺสเทโว) วัดราชประดิษฐสถิตมหาสีมารามราชวรวิหาร เป็นพระกรรมวาจาจารย์ พระวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าพระอรุณนิภาคุณากร เป็นพระบรรพชาจารย์[4] ได้รับพระนามฉายาว่า "สิริวฑฺฒโน" ผนวชแล้วกลับมาประทับที่วัดราชบพิธสถิตมหาสีมารามราชวรวิหารตามเดิม

การศึกษาขณะเป็นบรรพชิต

[แก้]

ขณะเป็นสามเณรได้ศึกษาภาษาบาลีกับพระครูบัณฑรธรรมสโมทาน (สด) ภาษาไทยกับพระยาโอวาทวรกิจ (แก่น) และภาษาสันสกฤตกับพราหมณ์ เมื่อผนวชเป็นพระภิกษุแล้วได้ศึกษาพระปริยัติธรรมกับสมเด็จพระอริยวงศาคตญาณ (สา ปุสฺสเทโว) ขณะทรงสมณศักดิ์เป็นพระธรรมวโรดม ทรงเข้าสอบเปรียญ 2 ครั้ง ครั้งแรกเมื่อปี พ.ศ. 2425 ได้เป็นเปรียญธรรม 4 ประโยค

ต่อมาในปี พ.ศ. 2430 ทรงเข้าแปลได้เพิ่มอีก 1 ประโยค รวมเป็นเปรียญธรรม 5 ประโยค พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวพระราชทานวัตถุจัตุปัจจัยมูลค่า 2 ชั่งเป็นรางวัล[5]

สิ้นพระชนม์

[แก้]
พระอนุสาวรีย์บรรจุพระอัฐิของสมเด็จพระมหาสมณเจ้า กรมพระชินวรวิสุทธิเทวารยวงศ์ ภายในวัดราชบพิธสถิตมหาสีมารามราชวรวิหาร

สมเด็จพระมหาสมณเจ้า กรมพระชินวรวิสุทธิเทวารยวงศ์ ประชวรด้วยพระโรคเส้นพระโลหิตในกระเพาะพระบังคนเบาพิการ ทำให้บังคนเบาเป็นโลหิต สิ้นพระชนม์เมื่อวันพุธที่ 25 สิงหาคม พ.ศ. 2480[6] แรม 3 ค่ำ เดือน 9 สิริรวมพระชนมายุได้ 77 พรรษา ดำรงสมณเพศได้ 59 พรรษา[7] ได้รับพระราชทานเพลิงพระศพ เมื่อวันที่ 21 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2481 ณ พระเมรุ วัดเทพศิรินทราวาสราชวรวิหาร[8]

สถาปนาพระอิสริยยศเฉลิมพระนามพระอัฐิ

[แก้]

ต่อมาในปี พ.ศ. 2568 พระบาทสมเด็จพระวชิรเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงพระกรุณาโปรดสถาปนาพระอิสริยยศเฉลิมพระนามพระอัฐิ พระเจ้าวรวงศ์เธอ กรมหลวงชินวรสิริวัฒน์ สมเด็จพระสังฆราชเจ้า สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายกพระองค์ที่ 11 แห่งกรุงรัตนโกสินทร์ เป็น สมเด็จพระมหาสมณเจ้า กรมพระชินวรวิสุทธิเทวารยวงศ์ นับเป็นสมเด็จพระมหาสมณเจ้าพระองค์ที่ 4 แห่งกรุงรัตนโกสินทร์ เนื่องในโอกาสอภิลักขิตสมัย 100 ปี นับแต่วันสวรรคตของพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 6 ในวันที่ 25 พฤศจิกายน พ.ศ. 2568 และ 100 ปี วันเสด็จขึ้นทรงราชย์แห่งพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 7 ในวันที่ 26 พฤศจิกายน พ.ศ. 2568 ด้วยทรงสถิตในที่พระราชกรรมวาจาจารย์ในรัชกาลที่ 6 และในรัชกาลที่ 7 ดังที่ปรากฏในสร้อยพระนามตอนหนึ่งว่า “ไทวภราดรมหาราชาภินิษกรมณาจารย์” นอกจากนี้ ยังทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้เจ้าพนักงานจัดเบญจปฎลเศวตฉัตร ถวายกางกั้นพระรูปสมเด็จพระมหาสมณเจ้า กรมพระชินวรวิสุทธิเทวารยวงศ์ ซึ่งประดิษฐานในซุ้มคูหาพระเจดีย์ วัดราชบพิธสถิตมหาสีมาราม เพื่อเป็นเครื่องปรากฏแห่งพระมหาสมณคุณสืบไป[9] โดยทรงเป็นสมเด็จพระมหาสมณเจ้าพระองค์เดียวที่มิได้ประกอบพระราชพิธีมหาสมณุตมาภิเษก

สมณศักดิ์

[แก้]

ขณะยังดำรงพระชนม์

[แก้]
ธรรมเนียมพระยศของ
สมเด็จพระมหาสมณเจ้า
กรมพระชินวรวิสุทธิเทวารยวงศ์
ตราประจำพระองค์
การทูลใต้ฝ่าพระบาท
การแทนตนข้าพระพุทธเจ้า
การขานรับพะย่ะค่ะ/เพคะ
  • พ.ศ. 2430 ได้รับสมณศักดิ์เป็นพระราชาคณะที่ หม่อมเจ้าพระสถาพรพิริยพรต[10]
  • พ.ศ. 2438 ได้เลื่อนสมณศักดิ์เป็นพระราชาคณะผู้ใหญ่เสมอชั้นเทพ ในราชทินนามเดิม[11]
  • 10 พฤศจิกายน พ.ศ. 2442 ได้เลื่อนสมณศักดิ์เป็นพระราชาคณะชั้นธรรมที่พระธรรมปาโมกข์ มีราชทินนามตามจารึกในสุพรรณบัฏว่า หม่อมเจ้าพระสถาพรพิริยพรต อังคีรสธรรมปาโมกข์ ยุตโยคยตินายก ไตรปิฎกธารี ธรรมวาทีคณฤศร บวรสังฆาราม คามวาสี[12]
  • พ.ศ. 2444 ได้เป็นเจ้าอาวาสวัดราชบพิธสถิตมหาสีมารามราชวรวิหาร เป็นพระองค์ที่ 2 สืบต่อจากพระวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าพระอรุณนิภาคุณากร
  • 1 พฤษภาคม พ.ศ. 2449 ได้เป็นพระราชาคณะเจ้าคณะรองในคณะกลาง มีสมณศักดิ์เสมอพระพรหมมุนี และมีพระอิสริยยศเป็นพระวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้า มีราชทินนามตามจารึกในพระสุพรรณบัฏว่า 'พระวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าพระสถาพรพิริยพรต อังคีรสสาสนธำรง ราชวรพงษ์ศักดิ์พิบุลย์ สุนทรอรรถปริยัติโกศล โสภณศีลสมาจารวัตร มัชฌิมคณานุนายก สาสนดิลกบพิตร"[13]
  • 22 มกราคม พ.ศ. 2453 ได้รับสถาปนาเป็นสมเด็จพระราชาคณะเจ้าคณะใหญ่คณะกลาง มีราชทินนามตามจารึกในพระสุพรรณบัฏว่า "พระวรวงศ์เธอ กรมหมื่นชินวรสิริวัฒน์ ขัตติยพงศ์พรหมจารี ประสาทนียคุณากร สถาพรพิริยพรต อังคีรสศาสนธำรง ราชวรวงศ์วิสุต วชิราวุธมหาราชอภินิษกรมณาจารย์ สุขุมญาณวิบุล สุนทรอรรถปริยัติโกศล โศภนศีลสมาจารวัตร มัชฌิมคณิศรมหาสังฆนายก พุทธศาสนดิลกสถาวีรบพิตร"[14]
  • 2 มกราคม พ.ศ. 2456 เป็นเจ้าคณะรองฝ่ายธรรมยุติกนิกายด้วยอีกตำแหน่งหนึ่ง[15]
  • 20 สิงหาคม พ.ศ. 2464 ได้รับสถาปนาเป็นสมเด็จพระสังฆราชเจ้า สกลมหาสังฆปริณายก นับเป็นสมเด็จพระสังฆราชเจ้า พระองค์แรก มีพระนามว่า "พระเจ้าวรวงศ์เธอ กรมหมื่นชินวรสิริวัฒน์ สมเด็จพระสังฆราชเจ้า"[16]
  • 20 เมษายน พ.ศ. 2469 พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว โปรดให้เลื่อนพระอิสริยยศเป็นกรมหลวง มีราชทินนามตามจารึกในพระสุพรรณบัฏว่า "พระเจ้าวรวงศ์เธอ กรมหลวงชินวรสิริวัฒน์ ขัติยมหาเจษฎานุพงศ อริยวงศาคตญาณวิมล สกลมหาสงฆปรินายก ตรีปิฎกกลาโกศล ภัทรผลพูลสวัสดิสัทธรรมทีปกร ไทวภราดรมหาราชาภินิษกรมณาจารย์ ภุชงคบุราภิธานครุฐานิยมมหาบัณฑิต สุขสิทธิหิตรรถเมตตาขันตยาศรัย ศรีรัตนตรัยศรณาภิรัต สยามาธิปัตยามหาสังฆปาโมกขประธานาธิบดี ศรีสมณุดมบรมบพิตร"[17]

ภายหลังการสิ้นพระชนม์

[แก้]
  • 17 กรกฎาคม พ.ศ. 2568 พระบาทสมเด็จพระวชิรเกล้าเจ้าอยู่หัว โปรดสถาปนาพระอิสริยยศทางพระบรมราชวงศ์และทางพระสมณฐานันดรศักดิ์ เฉลิมพระนามพระอัฐิ พระเจ้าวรวงศ์เธอ กรมหลวงชินวรสิริวัฒน์ สมเด็จพระสังฆราชเจ้า ขึ้นเป็น พระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระ เสด็จสถิตที่สมเด็จพระมหาสมณเจ้า นับเป็นสมเด็จพระมหาสมณเจ้าพระองค์ที่ 4 แห่งกรุงรัตนโกสินทร์ มีพระนามตามที่จารึกในพระสุพรรณบัฏว่า "สมเด็จพระมหาสมณเจ้า กรมพระชินวรวิสุทธิเทวารยวงศ์ มหาเจษฎานุพงศสิริวัฒน ภัทรผลพูลสวัสดิขัตติยพรหมจารี สังฆราชาธิบดีศรีสมณุตมปริณายก ตรีปิฎกกลาโกศล มงคลธรรมเจดีย์คัมภีรญาณยุตสุตสุนทร ไทวภราดรมหาราชาภินิษกรมณาจารย์ ศุภศีลศานติ์มหาอนาคาริยรัตน พุทธศาสนบริษัทนิปัตยคารวสถาน มโหฬารเมตตาขันตยาไศรย ศรีรัตนตรัยสรณคุณารักษ์ อุกฤษฏศักดิสกลสงฆปาโมกขคณิศราธิบดี มหาสถาวีรวโรดมบรมบพิตร"[18][19]

พระกรณียกิจ

[แก้]

การจัดพิมพ์พระไตรปิฎกฉบับสยามรัฐ

[แก้]

พ.ศ. 2468 พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้มีการจัดสร้างพระไตรปิฎกเพื่อเฉลิมพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว โดยทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้มีการชำระและจัดพิมพ์ขึ้นใหม่ เรียกว่า “พระไตรปิฎกฉบับสยามรัฐ” โดยใช้พระไตรปิฎกฉบับพิมพ์เมื่อ พ.ศ. 2436 ในรัชกาลพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว จำนวน 35 เล่ม เป็นต้นฉบับ พร้อมทั้งตรวจชำระและจัดพิมพ์เพิ่มเติม รวมเป็นพระไตรปิฎกที่จัดพิมพ์ขึ้นใหม่จำนวน 45 เล่มบริบูรณ์[20]

ในการตรวจชำระและจัดพิมพ์พระไตรปิฎกครั้งนี้ ได้ทรงพระกรุณาโปรดให้กราบทูลอาราธนาพระเจ้าวรวงศ์เธอ กรมหลวงชินวรสิริวัฒน์ สมเด็จพระสังฆราชเจ้า ทรงเป็นประธานในการตรวจชำระ พร้อมทั้งพระเถระผู้ชำนาญพระไตรปิฎกอีกหลายรูปเป็นกรรมการตรวจชำระ ในการตรวจชำระและจัดพิมพ์พระไตรปิฎกฉบับสยามรัฐนี้ พระเจ้าวรวงศ์เธอ กรมหลวงชินวรสิริวัฒน์ สมเด็จพระสังฆราชเจ้า นอกจากจะทรงเป็นประธานในการตรวจชำระแล้ว ยังได้ทรงตรวจชำระคัมภีร์อังคุตตรนิกายแห่งพระสุตตันตปิฎกด้วยพระองค์เอง รวมเป็นหนังสือ 5 เล่ม

พระไตรปิฎกฉบับสยามรัฐได้เริ่มดำเนินการตรวจชำระเมื่อ พ.ศ. 2468 และจัดพิมพ์เสร็จสมบูรณ์เมื่อ พ.ศ. 2473 เมื่อเสร็จสมบูรณ์แล้ว พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัวได้ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ พระราชทานกรรมสิทธิ์ในหนังสือพระไตรปิฎกฉบับสยามรัฐนี้แก่มหามกุฎราชวิทยาลัยในพระบรมราชูปถัมภ์ ในฐานะเป็นสำนักกลางแห่งการศึกษาพระปริยัติธรรม เพื่อประโยชน์แก่ความเจริญก้าวหน้าของการศึกษาทางพระพุทธศาสนาสืบไป

มูลนิธิมหามกุฏราชวิทยาลัย

[แก้]

ขณะทรงดำรงตำแหน่งนายกกรรมการมหามกุฏราชวิทยาลัยนั้น ได้ทรงโปรดให้จัดตั้งมูลนิธิมหามกุฏราชวิทยาลัยขึ้น เพื่อนำดอกผลอันเกิดจากทรัพย์สินของมหามกุฎราชวิทยาลัยมาช่วยบำรุงอุดหนุนการศึกษาพระปริยัติธรรม และเผยแผ่พระพุทธศาสนาให้กว้างขวางยิ่งขึ้น และทรงเป็นนายกกรรมการมูลนิธิมหามกุฏราชวิทยาลัยในพระบรมราชูปถัมภ์เป็นพระองค์แรก

ด้านพระนิพนธ์

[แก้]

ทรงเป็นปราชญ์ทางพระพุทธศาสนาที่สำคัญพระองค์หนึ่งในกรุงรัตนโกสินทร์ ทรงนิพนธ์หนังสือและตำราทางพระพุทธศาสนาที่สำคัญไว้มาก เช่น พระคัมภีร์อภิธานัปปทีปิกา หรือพจนานุกรมภาษาบาลีแปลเป็นไทย มหานิบาตชาดก ต้นบัญญัติ สามเณรสิกขา เป็นต้น ซึ่งพระนิพนธ์เหล่านี้ยังได้ใช้เป็นคู่มือในการศึกษาภาษาบาลีและพระพุทธศาสนาของพระภิกษุ สามเณร และบุคคลทั่วไปอย่างแพร่หลาย

พระองค์มีพระปรีชาสามารถทางพุทธศาสนาเป็นอย่างยิ่ง นับว่าเป็นปราชญ์ทางพระพุทธศาสนาที่สำคัญพระองค์หนึ่งของกรุงรัตนโกสินทร์ ทรงนิพนธ์ตำรา และหนังสือสำคัญทางพระพุทธศาสนาไว้มากมาย เช่น คัมภีร์อภิธานัปปทีปิกา หรือพจนานุกรมภาษาบาลีแปลเป็นไทย มหานิบาตชาดก นิทานต้นบัญญัติ สามเณรสิกขา เป็นต้น พระนิพนธ์เหล่านี้ ยังใช้เป็นคู่มือในการศึกษาภาษาบาลี และศึกษาพระพุทธศาสนาของภิกษุสามเณรมาจนถึงปัจจุบัน ทรงเป็นเจ้าคณะใหญ่คณะธรรมยุตสืบต่อจากสมเด็จพระสังฆราชพระองค์ก่อน และทรงเป็นกรรมการชุดแรกของมหามกุฏราชวิทยาลัย ซึ่งตั้งขึ้นเมื่อปี พ.ศ. 2436 สุดท้ายได้เป็นนายกกรรมการมหามกุฏราชวิทยาลัยตั้งแต่ปี พ.ศ. 2464 ตราบจนสิ้นพระชนม์

ทรงเป็นองค์อุปถัมภ์โรงเรียนวัดราชบพิธ พระองค์ที่ 2 ประทานคาถาภาษาบาลีเพื่อเป็นเครื่องเตือนใจบรรดาครูและนักเรียนว่า "วิริเยน ทุกขมจฺเจติ" แปลว่า "คนล่วงทุกข์เสียได้ด้วยความเพียร" และได้ประทานตรา "ชส" ซึ่งเป็นพระนามย่อของพระองค์ให้แก่โรงเรียน ซึ่งปัจจุบัน ได้เป็นสัญลักษณ์บนเข็ม ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาตอนปลายของโรงเรียนแห่งนี้

ครบ 150 ปี วันประสูติ

[แก้]

16 ธันวาคม พ.ศ. 2552 ครบ 150 ปี วันประสูติ พระเจ้าวรวงศ์เธอ กรมหลวงชินวรสิริวัฒน์ สมเด็จพระสังฆราชเจ้า วัดราชบพิธสถิตมหาสีมารามราชวรวิหาร ซึ่งเคยเป็นที่ประทับของพระองค์จึงได้จัดงานเฉลิมพระเกียรติขึ้น โดยพระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร ทรงรับงานนี้ไว้ในพระบรมราชูปถัมภ์[21]

สัญลักษณ์ประจำพระองค์

[แก้]

สมเด็จพระมหาสมณเจ้า กรมพระชินวรวิสุทธิเทวารยวงศ์ เมื่อครั้งดำรงพระอิสริยยศ พระเจ้าวรวงศ์เธอ กรมหลวงชินวรสิริวัฒน์ สมเด็จพระสังฆราชเจ้า ทรงใช้สัญลักษณ์ประจำพระองค์หลากหลายแบบ โดยมากจะเป็นรูปอักษรพระนามย่อ ช.ส. (ย่อมาจากพระนามทรงกรม "ชินวรสิริวัฒน์") ผูกเป็นลวดลายอักษรวิจิตรแบบต่าง ๆ บางแบบจะปรากฏภาพฉัตรตาดเหลือง 5 ชั้น อันเป็นเครื่องประกอบพระอิสริยยศสมเด็จพระสังฆราชเจ้ารวมอยู่ด้วย ภายหลังเมื่อพระองค์สิ้นพระชนม์แล้ว สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ เจ้าฟ้ากรมพระยานริศรานุวัดติวงศ์ ได้ทรงออกแบบตราถวายย้อนหลังขึ้นใหม่ เป็นรูปอักษรพระนามย่อ ช.ส. ภายใต้ฉัตรตาดเหลือง 5 ชั้น โดยมีพระภควัมหรือภาพพระพุทธเจ้าประดิษฐานบนระบายฉัตร เพื่อใช้ในการจัดทำพัดชินสิริ ซึ่งเป็นพัดรองที่ระลึกงานพระราชทานเพลิงพระศพในปี พ.ศ. 2481 เนื่องจากทรงมีพระปรารภว่าตราบางแบบอ่านได้ยาก[22]

พงศาวลี

[แก้]

อ้างอิง

[แก้]
  1. ศุภวัฒย์ เกษมศรี, พลตรี หม่อมราชวงศ์, และรัชนี ทรัพย์วิจิตร. พระอนุวงศ์ชั้นหม่อมเจ้าในพระราชวงศ์จักรี. กรุงเทพ : สำนักพิมพ์บรรณกิจ, พิมพ์ครั้งที่ 3 พ.ศ. 2549. ISBN 974-221-818-8
  2. ข่าวตาย (หน้า ๑๙๘๐)
  3. สมมติอมรพันธุ์, พระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระ, เรื่องตั้งพระราชาคณะผู้ใหญ่ในกรุงรัตนโกสินทร์ เล่ม ๑, กรมศิลปากร, 2545,
  4. ประวัติวัดราชบพิธสถิตมหาสีมาราม, พิมพ์ครั้งที่ 2, กรุงเทพฯ : อัมรินทร์ พริ้นติ้ง กรุ๊พ, 2531, หน้า 149
  5. ราชกิจจานุเบกษา, การตั้งพระราชาคณะแลเปรียญที่แปลพระปริยัติธรรม, เล่ม 4 , ตอนที่ 22, 8 กันยายน 2430, หน้า 174-5
  6. ราชกิจจานุเบกษา, ข่าวในพระราชสำนัก, เล่ม 54, ตอนที่ 0 ง, 30 สิงหาคม 2480, หน้า 1247
  7. ประวัติวัดราชบพิธสถิตมหาสีมาราม, พิมพ์ครั้งที่ 2, กรุงเทพฯ : อัมรินทร์ พริ้นติ้ง กรุ๊พ, 2531, หน้า 154
  8. ราชกิจจานุเบกษา, หมายกำหนดการพระราชทานเพลิงพระศพ พระเจ้าวรวงศ์เธอ กรมหลวงชินวรสิริวัฒน์ สมเด็จพระสังฆราชเจ้า, เล่ม 55, ตอนที่ 0 ง, 20 กุมภาพันธ์ 2481, หน้า 3901-3910
  9. "โปรดสถาปนา เลื่อนพระอิสริยยศ สมเด็จพระมหาสมณเจ้า กรมพระชินวรวิสุทธิเทวารยวงศ์". คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2025-07-01. สืบค้นเมื่อ 2025-07-01.
  10. ราชกิจจานุเบกษา, คำประกาศตั้งพระองค์เจ้าอรุณนิภาคุณากร, เล่ม 4 ,หน้า 257
  11. ราชกิจจานุเบกษา, พระสงฆ์ที่ได้รับพระราชทานสัญญาบัตรแลเลื่อนตำแหน่งยศ, เล่ม 13, หน้า 15
  12. ราชกิจจานุเบกษา, พระบรมราชโองการ ตั้งตำแหน่งพระสงฆ์, เล่ม 16, 19 พฤศจิกายน 2442, หน้า 486
  13. ราชกิจจานุเบกษา, ประกาศตั้งพระองค์เจ้าพระสถาพรพิริยพรต และเลื่อนตำแหน่งสมณศักดิ์, เล่ม ๒๓, ๖ พฤษภาคม ร.ศ. ๑๒๕, หน้า ๑๑๘-๑๒๐
  14. ราชกิจจานุเบกษา, ประกาศเฉลิมพระนาม พระวรวงษ์เธอ กรมหมื่นชินวรสิริวัฒน์, เล่ม ๒๗, ตอน ๐ง, ๒๙ มกราคม พ.ศ. ๒๔๕๓, หน้า ๒๖๒๓
  15. ราชกิจจานุเบกษา, พระบรมราชโองการ ประกาศ ตั้งเจ้าคณะและรองเจ้าคณะสงฆ์, เล่ม 30, ตอน ก, 25 มกราคม 2456, หน้า 397-398
  16. ราชกิจจานุเบกษา, ประกาศสถาปนาสมเด็จพระสังฆราชเจ้า, เล่ม ๓๘, ๒๗ สิงหาคม พ.ศ. ๒๔๖๔, หน้า ๒๐๐
  17. ราชกิจจานุเบกษา, พระบรมราชโองการ ประกาศ สถาปนากรมหมื่นชินวรสิริวัฒน ขึ้นเป็นกรมหลวง , เล่ม ๔๓, ตอน ๐ ก, ๒๕ เมษายน พ.ศ. ๒๔๖๙, หน้า ๑๐๘
  18. "โปรดสถาปนา เลื่อนพระอิสริยยศ สมเด็จพระมหาสมณเจ้า กรมพระชินวรวิสุทธิเทวารยวงศ์". คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2025-07-01. สืบค้นเมื่อ 2025-07-01.
  19. ราชกิจจานุเบกษา, พระบรมราชโองการ ประกาศสถาปนาสมเด็จพระมหาสมณเจ้า, เล่ม ๑๔๒, ตอน ๔๔ ข, ๒๒ กรกฎาคม พ.ศ. ๒๕๖๘, หน้า ๑
  20. https://www.xn--62cbck0cewhq9a2ac3acds9bc8bf9jxafv0bb4k1iwh.com/document/sangkaracha19/sangkaracha11.pdf
  21. "150 ปี สมเด็จพระสังฆราชเจ้า พระองค์แรกแห่งกรุงรัตนโกสินทร์ ชมงานศิลป์ในรั้ววัดราชบพิธ". คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2011-01-15. สืบค้นเมื่อ 2009-12-20.
  22. พัดชินสิริ. เฟซบุ๊กแฟนเพจ "สมเด็จครู" 27 มิถุนายน 2019

บรรณานุกรม

[แก้]
  • ร่มฉัตร หนังสือพิมพ์ ราชบพิธ ปีที่ 22 ฉบับที่ 71 ประจำเดือน กันยายน - มีนาคม 2548
ก่อนหน้า สมเด็จพระมหาสมณเจ้า กรมพระชินวรวิสุทธิเทวารยวงศ์ ถัดไป
สมเด็จพระมหาสมณเจ้า
กรมพระยาวชิรญาณวโรรส

สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก
(พ.ศ. 2465 - พ.ศ. 2480)
สมเด็จพระอริยวงศาคตญาณ
(แพ ติสฺสเทโว)
สมเด็จพระมหาสมณเจ้า กรมพระยาวชิรญาณวโรรส เจ้าคณะใหญ่คณะธรรมยุต
(พ.ศ. 2465 - พ.ศ. 2471)
สมเด็จพระสังฆราชเจ้า กรมหลวงวชิรญาณวงศ์
พระวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าพระอรุณนิภาคุณากร
เจ้าอาวาสวัดราชบพิธสถิตมหาสีมารามราชวรวิหาร
(พ.ศ. 2444 - พ.ศ. 2480)
พระศาสนโศภน (ภา ภาณโก)