ข้ามไปเนื้อหา

ลัทธิบูชาบุคคลเกาหลีเหนือ

จากวิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี
อนุสรณ์สถานใหญ่เขามันซูในเปียงยางเมื่อ ค.ศ. 2014 ที่แสดงรูปปั้นคิม อิล-ซ็อง (ซ้าย) และคิม จ็อง-อิล (ขวา) โดยมีผู้เยี่ยมชมแสดงความเคารพต่อรูปปั้น[1]

ลัทธิบูชาบุคคลเกาหลีเหนือ ที่แวดล้อมตระกูลคิม[2] มีอยู่ในเกาหลีเหนือมานานหลายทศวรรษและสามารถพบเห็นได้ในตัวอย่างมากมายของวัฒนธรรมเกาหลีเหนือ[3] แม้รัฐบาลเกาหลีเหนือจะไม่ได้ยอมรับ แต่ผู้แปรพักตร์และชาวตะวันตกหลายคนระบุว่ามักมีการลงโทษอย่างรุนแรงสำหรับผู้วิพากษ์วิจารณ์หรือไม่แสดงความเคารพอย่าง "เหมาะสม" ต่ออดีตผู้นำของประเทศอย่างคิม อิล-ซ็องและคิม จ็อง-อิล[4][5] ซึ่งได้รับการเรียกขานอย่างเป็นทางการว่าเป็น"ผู้นำตลอดกาลของเกาหลี" ลัทธิบูชาบุคคลนี้เริ่มต้นขึ้นไม่นานหลังคิม อิล-ซ็องขึ้นสู่อำนาจใน ค.ศ. 1948 และขยายตัวอย่างมากหลังอสัญกรรมของเขาใน ค.ศ. 1994

ขณะที่ประเทศอื่น ๆ มีลัทธิบูชาบุคคลในระดับที่แตกต่างกันไป แต่ความครอบคลุมและสุดขั้วของลัทธิบูชาบุคคลของเกาหลีเหนือได้ก้าวข้ามอิทธิพลดั้งเดิมของมันอย่างโจเซฟ สตาลินและเหมา เจ๋อตง[6] ลัทธินี้ยังโดดเด่นด้วยความเข้มข้นของความรู้สึกและความจงรักภักดีที่ผู้คนมีต่อผู้นำของพวกเขา[7] รวมถึงบทบาทสำคัญที่อุดมการณ์ครอบครัวนิยมที่ได้รับอิทธิพลจากขงจื๊อมีส่วนในการรักษาลัทธินี้และด้วยเหตุนี้จึงช่วย ค้ำจุนระบอบไว้ด้วย ลัทธิบูชาบุคคลเกาหลีเหนือเป็นส่วนสำคัญของชูเช อุดมการณ์อย่างเป็นทางการของประเทศ

ภูมิหลัง

[แก้]
จิตรกรรมฝาผนังของคิม อิล-ซ็องและคิม จ็อง-อิลที่เนินเขาชังแดในเปียงยาง

ตามที่ซอ แด-ซุกระบุไว้ ลัทธิบูชาบุคคลที่แวดล้อมตระกูลคิมนั้นเรียกร้องความจงรักภักดีและการยอมจำนนอย่างสมบูรณ์ต่อตระกูลคิมและสร้างให้ประเทศเป็น เผด็จการคนเดียวสืบทอดกันไปหลายชั่วอายุ[8] รัฐธรรมนูญเกาหลีเหนือ ค.ศ. 1972 รวมเอาแนวคิดของคิม อิล-ซ็องเป็นหลักการชี้นำเดียวของรัฐและกิจกรรมของเขาเป็นมรดกทางวัฒนธรรมเดียวของประชาชน[9] จากข้อมูลของ นิวโฟกัสอินเตอร์เนชันแนล ลัทธิบูชาบุคคล โดยเฉพาะที่เกี่ยวกับคิม อิล-ซ็อง มีความสำคัญอย่างยิ่งต่อ การทำให้การสืบทอดอำนาจทางสายเลือดของตระกูลเป็นไปอย่างชอบธรรม[10] และพัก ยง-ซูกล่าวในวารสาร ออสเตรเลียนเจอร์นัลออฟอินเตอร์เนชันแนลแอฟแฟส์ ว่า "ศักดิ์ศรีของซูรย็อง [ผู้นำผู้ยิ่งใหญ่] ได้รับการให้ความสำคัญสูงสุดเหนือสิ่งอื่นใดในเกาหลีเหนือ"[11]

คิม อิล-ซ็องพัฒนาอุดมการณ์ทางการเมืองของแนวคิดชูเช โดยทั่วไปเข้าใจกันว่าคือการพึ่งพาตนเอง และพัฒนาแนวคิดนี้ให้ก้าวหน้ายิ่งขึ้นในช่วงทศวรรษ 1950 ถึง 1970 ชูเชกลายเป็นแนวทางหลักของความคิด การศึกษา วัฒนธรรมและชีวิตทุกรูปแบบทั่วทั้งประเทศ[12] กระทั่งคิม จ็อง-อิลนำนโยบายซ็อนกุน (ทหารมาก่อน) มาใช้ใน ค.ศ. 1995 ซึ่งเป็นการส่งเสริมปรัชญาชูเช[13] และมีผลกระทบอย่างมากต่อนโยบายเศรษฐกิจของชาติ[14]

ในการประชุมพรรคครั้งที่ 4 ที่จัดขึ้นในเดือนเมษายน ค.ศ. 2012 คิม จ็อง-อึนให้นิยามเพิ่มเติมเกี่ยวกับชูเชว่าเป็นแนวคิดที่ครอบคลุมของคิม อิล-ซ็อง ซึ่งได้รับการพัฒนาและทำให้ลึกซึ้งยิ่งขึ้นโดยคิม จ็อง-อิล ดังนั้นจึงเรียกมันว่า "ลัทธิคิมอิลซ็อง-คิมจ็องอิล" และระบุว่านี่คือ "แนวคิดชี้นำเดียวของพรรค" และของประเทศ[15][16][17]

ตามรายงานเมื่อ ค.ศ. 2013 โดย นิวโฟกัสอินเตอร์เนชันแนล สิ่งพิมพ์ข่าวหลักสองแห่งของเกาหลีเหนือ (โรดงชินมุน และสำนักข่าวกลางเกาหลี) ตีพิมพ์บทความที่เกี่ยวข้องกับ "ลัทธิบูชาคิม" ประมาณ 300 บทความต่อเดือน[18]รายงานยังระบุเพิ่มเติมว่าเมื่อคิม จ็อง-อิลถึงแก่อสัญกรรม พลเมืองเกาหลีเหนือโดยเฉลี่ยเริ่มเบื่อหน่ายกับโฆษณาชวนเชื่อจำนวนมหาศาลที่แวดล้อมตระกูลคิม[18] ในทำนองเดียวกัน เดลีเอ็นเค ก็ตีพิมพ์ใน ค.ศ. 2015 ว่าคนรุ่นใหม่มีความสนใจในโลกภายนอกมากขึ้นและรัฐบาลกำลังประสบปัญหาในการรักษาความภักดีของคนรุ่น "ชังมาดัง" (ตลาด) และส่งเสริมการบูชาคิม จ็อง-อึน[19]

รัฐบาลเกาหลีเหนืออ้างว่าไม่มีลัทธิบูชาบุคคล แต่กลับเป็นการสนับสนุนอย่างแท้จริง ไม่ใช่แค่ต่อผู้นำของประเทศเท่านั้น แต่ยังรวมถึงปรัชญาสังคมนิยมชูเชด้วย[20]

คิม อิล-ซ็อง

[แก้]
ภาพที่แสดงในเทศกาลอารีรัง
Pyongyang Mural
จิตรกรรมฝาผนังของคิม อิล-ซ็องกำลังกล่าวสุนทรพจน์ในเปียงยาง
จิตรกรรมฝาผนังที่มีภาพอุดมคติของคิม อิล-ซ็องในเปียงยางและมีค้อน พู่กัน และเคียว (สัญลักษณ์ของพรรคแรงงานเกาหลี)

ลัทธิบูชาบุคคลที่แวดล้อมคิม อิล-ซ็องนั้นแพร่หลายที่สุดในหมู่ประชาชน[21] แม้จะมีความรักแท้ต่อคิม อิล-ซ็อง แต่สิ่งนี้ก็ถูกรัฐบาลบิดเบือนเพื่อวัตถุประสงค์ทางการเมือง[22]

การเคารพบูชาคิม อิล-ซ็องมีผลอย่างเต็มที่ภายหลังการกวาดล้างครั้งใหญ่ใน ค.ศ. 1953[23] ใน ค.ศ. 1967 คิม จ็อง-อิลได้รับแต่งตั้งให้ดูแลกรมโฆษณาชวนเชื่อและสารสนเทศแห่งรัฐ ที่ซึ่งเขาเริ่มทุ่มเทในการพัฒนาการเคารพบูชาบิดาของเขา[24] เป็นช่วงเวลานี้เองที่คำว่า วีแดฮันซูรย็อง ('ผู้นำผู้ยิ่งใหญ่') เริ่มถูกนำมาใช้เป็นปกติ[25] อย่างไรก็ตาม คิม อิล-ซ็องได้เริ่มเรียกตัวเองว่า "ผู้นำผู้ยิ่งใหญ่" มาตั้งแต่ ค.ศ. 1949 แล้ว[26]

ฮวัง จัง-ย็อบ ผู้แปรพักตร์ชาวเกาหลีเหนือที่มีตำแหน่งสูงสุดเป็นอันดับสอง ได้กล่าวว่าประเทศเกาหลีเหนือถูกปกครองโดยอุดมการณ์เดียวของ "ผู้นำผู้ยิ่งใหญ่" อย่างสมบูรณ์ เขายังกล่าวอีกว่าในช่วงการล้มล้างอิทธิพลสตาลินในสหภาพโซเวียต เมื่อลัทธิบูชาบุคคลของสตาลินถูกรื้อถอนใน ค.ศ. 1956 นักเรียนเกาหลีเหนือบางคนที่กำลังศึกษาอยู่ในสหภาพโซเวียตก็เริ่มวิพากษ์วิจารณ์ลัทธิบูชาบุคคลของคิม อิล-ซ็องที่กำลังเติบโตเช่นกันและเมื่อพวกเขากลับบ้าน พวกเขา "ถูกสอบสวนอย่างเข้มข้นนานหลายเดือน" และ "ผู้ที่ถูกพบว่าน่าสงสัยแม้แต่น้อยที่สุดก็ถูกสังหารอย่างลับ ๆ"[27]

ตามชีวประวัติอย่างเป็นทางการ คิม อิล-ซ็องมาจากตระกูลผู้นำที่สืบทอดกันมายาวนานและประวัติศาสตร์สมัยใหม่ของเกาหลีเหนืออย่างเป็นทางการก็มุ่งเน้นไปที่ชีวิตและกิจกรรมของเขา[23] เขาได้รับยกย่องว่าเป็นผู้เอาชนะญี่ปุ่นได้ด้วยตัวคนเดียวเมื่อสิ้นสุดการยึดครองเกาหลี (โดยไม่คำนึงถึงความพยายามของโซเวียตและอเมริกา)[28] และเป็นผู้สร้างชาติขึ้นใหม่หลังสงครามเกาหลี ตลอดช่วงชีวิตของเขา เขาได้รับตำแหน่งอันทรงเกียรติ เช่น "ดวงอาทิตย์", "ประธานาธิบดีผู้ยิ่งใหญ่", "ผู้นำแห่งสวรรค์" และอีกมากมาย รวมถึงรางวัลต่าง ๆ เช่น "เหรียญทองวีรบุรุษสองเท่า"[23][29][30] ตำแหน่งและรางวัลเหล่านี้มักตั้งขึ้นเองและธรรมเนียมปฏิบัตินี้ก็จะถูกทำซ้ำโดยบุตรชายของเขา[30] สำนักข่าวกลางเกาหลี (สำนักข่าวของรัฐบาลอย่างเป็นทางการ) รายงานอย่างต่อเนื่องเกี่ยวกับตำแหน่งและความชื่นชมที่ผู้นำระดับโลกรวมถึงเหมา เจ๋อตงของจีน ฟิเดล กัสโตรของคิวบา และจิมมี คาร์เตอร์ของสหรัฐมอบให้แก่คิม อิล-ซ็อง[29]

ภาพเหมือนขนาดใหญ่บนผนังของหอศึกษาใหญ่ประชาชน หันหน้าเข้าสู่จัตุรัสคิม อิล-ซ็อง ในเปียงยาง ประเทศเกาหลีเหนือ

สิ่งพิมพ์สำคัญทั้งหมด (หนังสือพิมพ์ ตำราเรียน ฯลฯ) ต้องมีการอ้างถึง "คำสอน" จากคิม อิล-ซ็อง[23] นอกจากนี้ ชื่อของเขาต้องเขียนเป็นคำเดียวในบรรทัดเดียว ห้ามแบ่งเป็นสองส่วนหากมีการขึ้นหน้าใหม่หรือข้อความหมดบรรทัด (ตัวอย่างเช่น: คิม อิล-ซ็อง ไม่ใช่ คิม อิล...ซ็อง)[31]

เด็กชาวเกาหลีเหนือได้รับการสอนในโรงเรียนว่าพวกเขาได้รับอาหาร เครื่องนุ่งห่มและการเลี้ยงดูในทุก ๆ ด้านด้วย "พระคุณของท่านประธาน"[23] โรงเรียนประถมขนาดใหญ่ในประเทศมีห้องหนึ่งที่จัดไว้สำหรับการบรรยายเกี่ยวกับคิม อิล-ซ็องโดยเฉพาะ (เป็นที่รู้จักในชื่อสถาบันวิจัยคิม อิล-ซ็อง) ห้องเหล่านี้ได้รับการดูแลเป็นอย่างดี สร้างจากวัสดุคุณภาพสูง และมีแบบจำลองสถานที่เกิดของเขาที่มันกย็องแด[32] ขนาดภาพเหมือนของเขาที่ประดับอยู่บนอาคารสาธารณะได้รับการควบคุมให้ได้สัดส่วนกับขนาดของอาคารที่ภาพนั้นแขวนอยู่[33] สถานที่เกิดของเขาก็กลายเป็นที่แสวงบุญด้วยเช่นกัน[23]

คัง ช็อล-ฮวันเขียนถึงวัยเด็กของเขาในเกาหลีเหนือว่า:

ในสายตาของเด็กไร้เดียงสาอย่างผมและของเพื่อน ๆ ผมทุกคน คิม อิล-ซ็องและคิม จอง-อิลคือสิ่งมีชีวิตที่สมบูรณ์แบบ ไร้มลทินจากเรื่องพื้นฐานของมนุษย์ใด ๆ ผมเชื่อสนิทใจ เช่นเดียวกับพวกเราทุกคน ว่าทั้งสองท่านไม่เคยปัสสาวะหรืออุจจาระ ใครจะจินตนาการเรื่องแบบนั้นกับเทพเจ้าได้เล่า?"[34]

ในบันทึกความทรงจำของเขา กับศตวรรษ (With the Century) คิม อิล-ซ็องเล่าเกร็ดเล็กเกร็ดน้อยเกี่ยวกับบิดาและปู่ของเขาที่ให้เหตุผลเบื้องหลังการนำเสนอภาพลักษณ์ผู้นำเกาหลีเหนือที่บริสุทธิ์ไร้ที่ติแก่ผู้ติดตาม บันทึกความทรงจำกล่าวว่าเมื่อครั้งยังเป็นนักเรียนหนุ่ม บิดาของคิม อิล-ซ็องมักถูกใช้ให้ไปเอาเหล้าให้ครูคนหนึ่งที่ดื่มเหล้าเป็นประจำ กระทั่งวันหนึ่งบิดาของเขาเห็นครูที่เมามายล้มคว่ำหน้าลงไปในคูน้ำ สิ่งนี้นำไปสู่การเผชิญหน้าซึ่งนักเรียนหนุ่มได้ทำให้ครูผู้เขินอายเลิกดื่มเหล้าไปโดยสิ้นเชิง ปู่ของคิม อิล-ซ็องสรุปข้อคิดจากเรื่องราวนี้:

ความเห็นของปู่ของฉันเป็นแบบนี้: ถ้าลูกศิษย์แอบสอดแนมชีวิตส่วนตัวของครูบ่อย ๆ พวกเขาก็จะหมดความยำเกรงในตัวครู ครูจะต้องสร้างความเชื่อมั่นอย่างแน่วแน่ให้กับลูกศิษย์ว่าครูไม่กินข้าว ไม่ปัสสาวะ เมื่อนั้นเขาจึงจะสามารถรักษาอำนาจในโรงเรียนไว้ได้ ดังนั้นคุณครูจึงควรสร้างฉากกั้นและใช้ชีวิตอยู่เบื้องหลังฉากนั้น[35]

ซอ แด-ซุก นักเขียนชีวประวัติ ตั้งข้อสังเกตว่า:

ระดับการยกย่องสรรเสริญมักจะเข้าขั้นความคลั่งไคล้ รูปภาพของเขาจะถูกแสดงไว้ก่อนธงชาติและตราแผ่นดิน เพลงจอมพลคิม อิล-ซ็องจะถูกเปิดก่อนเพลงชาติ สถาบันอุดมศึกษาที่ดีที่สุดถูกตั้งชื่อตามเขา โรงเรียนพรรคที่สูงที่สุดก็ถูกตั้งชื่อตามเขาเช่นกัน และยังมีเพลง บทกวี เรียงความ เรื่องราว และแม้กระทั่งดอกไม้ที่ตั้งชื่อตามเขาด้วย[36]

ภาพเหมือนอย่างเป็นทางการของประธานาธิบดีคิม อิล-ซ็องที่ติดตั้งอยู่บนอาคารกระทรวงหลักของจัตุรัสคิม อิล-ซ็อง

คิมอิลซ็องเกีย (Kimilsungia) เป็นกล้วยไม้ที่ตั้งชื่อตามคิม อิล-ซ็องโดยอดีตประธานาธิบดีซูการ์โนของอินโดนีเซีย[37] กล้วยไม้ชนิดนี้ได้รับการตั้งชื่อใน ค.ศ. 1965 ระหว่างการเยือนสวนพฤกษศาสตร์โบกอร์ จากสุนทรพจน์ของคิม จ็อง-อิลใน ค.ศ. 2005 ซูการ์โนและผู้อำนวยการสวนต้องการตั้งชื่อดอกไม้ตามคิม อิล-ซ็อง แต่คิม อิล-ซ็องปฏิเสธ อย่างไรก็ตาม ซูการ์โนยังคงยืนกรานว่า "ไม่นะ ท่านได้สร้างคุณูปการอันใหญ่หลวงแก่มนุษยชาติ ดังนั้นท่านสมควรได้รับเกียรติอันสูงส่ง"[38] ภายในประเทศ ดอกไม้ชนิดนี้ (และคิมจ็องอิเลีย (Kimjongilia) ซึ่งจะกล่าวถึงด้านล่าง) ถูกนำมาใช้ในการยกย่องเชิดชูผู้นำ[39]

เมื่อคิม อิล-ซ็องถึงแก่อสัญกรรมใน ค.ศ. 1994 คิม จ็อง-อิลประกาศให้มีการไว้ทุกข์ทั่วประเทศเป็นเวลาสามปี[40] ผู้ที่พบว่าละเมิดกฎการไว้ทุกข์ (เช่น การดื่มเหล้า) จะถูกลงโทษ[41] หลังอสัญกรรมของเขา คิม อิล-ซ็องได้รับการเรียกขานว่า "ประธานาธิบดีตลอดกาล" ใน ค.ศ. 1998 รัฐธรรมนูญของชาติถูกเปลี่ยนแปลงเพื่อสะท้อนสิ่งนี้[42] เมื่อบิดาถึงแก่อสัญกรรม คิม จ็อง-อิลได้ขยายลัทธิบูชาบุคคลของประเทศให้ยิ่งใหญ่ขึ้นอย่างมาก[43]

ใน ค.ศ. 1997 เกาหลีเหนือนำระบบปฏิทินชูเชมาใช้ ซึ่งเริ่มต้นนับปีที่ 1 ตรงกับวันเกิดของคิม อิล-ซ็อง (15 เมษายน ค.ศ. 1912) และเข้ามาแทนที่ปฏิทินเกรกอรี[44][45] ปี 2025 จึงเท่ากับปีชูเช 114 (ไม่มีปีที่ 0 ในระบบนี้)

วันที่ 8 กรกฎาคม ค.ศ. 2014 ถือเป็นวันครบรอบ 20 ปีอสัญกรรมของคิม อิล-ซ็อง ทางการเกาหลีเหนือประกาศระยะเวลาไว้ทุกข์สิบวันตั้งแต่วันที่ 1 ถึง 10 กรกฎาคม[46] การรำลึกนี้มีการบรรยาย การจัดกลุ่มเรียน การแสดงของคณะนักร้องประสานเสียงท้องถิ่น ฯลฯ โดยมีการระดมเด็กและแรงงานเข้าร่วมกิจกรรมต่าง ๆ ตามคำกล่าวของชาวเมืองฮเยซันคนหนึ่ง "ทุกวันนี้ผู้คนลำบาก... เพราะกิจกรรมที่เกี่ยวข้องกับการอสัญกรรมของท่านผู้นำผู้ยิ่งใหญ่ (ซูรย็อง) จัดขึ้นทุกวันในสหภาพสตรีประชาธิปไตยและสถานที่ทำงาน" แต่ถึงอย่างไร ชาวเมืองคนนั้นกล่าวว่า "ไม่มีใครบ่นเกี่ยวกับเรื่องนี้เลย บางทีอาจเป็นเพราะนับตั้งแต่การกวาดล้างชัง ซ็อง-แท็กเมื่อปีที่แล้ว ถ้าคุณมีเรื่องกับพวกเขา พวกเขาก็จะลากตัวคุณไป[46]

คิม จ็อง-อิล

[แก้]
ภาพวาดของคิม จ็อง-อิลที่ภูเขาแพ็กดู ที่ซึ่งเชื่อกันว่าเป็นสถานที่เกิดของเขา

เพื่อให้สอดคล้องกับตำนานสมัยใหม่ที่แพร่หลายในประวัติศาสตร์ของเกาหลีเหนือ ซึ่งถูกมองว่ามีความสำคัญอย่างยิ่งต่อลัทธิบูชาบุคคลและการควบคุมทางการเมือง[47] มีการกล่าวอ้างว่าคิม จ็อง-อิลเกิดบนภูเขาแพ็กดูฐานทัพลับของบิดาใน ค.ศ. 1942 (แต่ความจริงแล้วเขาเกิดใน ค.ศ. 1941 ในสหภาพโซเวียต) และการกำเนิดของเขามีสัญญาณบอกเหตุด้วยนกนางแอ่น ทำให้ฤดูหนาวเปลี่ยนเป็นฤดูใบไม้ผลิ ดาวส่องสว่างบนท้องฟ้า และรุ้งกินน้ำสองชั้นก็ปรากฏขึ้นเอง[48] ข้อกล่าวอ้างเหล่านี้ เช่นเดียวกับที่เกี่ยวกับบิดาของเขา ยังคงดำเนินต่อไปตลอดชีวิตของคิม จ็อง-อิล[43][49]

ตั้งแต่ต้นทศวรรษ 1970 คิม อิล-ซ็องเริ่มพิจารณาประเด็นเรื่องการสืบทอดอำนาจ แม้ในตอนแรกจะทำอย่างลับ ๆ แต่พอถึง ค.ศ. 1975 คิม จ็อง-อิลก็ถูกเรียกว่าเป็น "ศูนย์กลางพรรค" หรือถูกกล่าวถึงร่วมกับบิดาด้วยคำว่า "ผู้นำผู้ยิ่งใหญ่ของเราและศูนย์กลางพรรค" ใน ค.ศ. 1977 การยืนยันการสืบทอดตำแหน่งของคิม จ็อง-อิลอย่างเป็นทางการด้วยชื่อถูกตีพิมพ์ในหนังสือเล่มเล็กเล่มหนึ่งซึ่งระบุว่าคิมผู้ลูกเป็นทายาทเพียงคนเดียวของคิม อิล-ซ็อง ว่าเขาเป็นผู้รับใช้ที่ซื่อสัตย์ของบิดาและได้สืบทอดคุณธรรมของบิดามาทั้งหมด และสมาชิกพรรคทุกคนต้องให้คำมั่นสัญญาว่าจะจงรักภักดีต่อคิม จ็อง-อิล นอกจากนี้ยังมีการกระตุ้นให้สนับสนุนอำนาจเด็ดขาดของเขาและเชื่อฟังเขาอย่างไม่มีเงื่อนไข[50]

ก่อน ค.ศ. 1996 คิม จ็อง-อิลสั่งห้ามการสร้างรูปปั้นของตนเองและไม่สนับสนุนให้มีภาพเหมือนของเขา[51] อย่างไรก็ตาม ใน ค.ศ. 1996 โรงเรียนต่าง ๆ ถูกกำหนดให้สร้างห้องแยกต่างหากสำหรับการบรรยายเกี่ยวกับคิม จ็อง-อิลโดยเฉพาะ ซึ่งรู้จักในชื่อ "สถาบันวิจัยคิม จ็อง-อิล" ห้องเหล่านี้มีแบบจำลองสถานที่เกิดของเขาด้วย[32] ปัจจุบันมี "สถาบันวิจัย" (รวมทั้งของคิม อิล-ซ็องและคิม จ็อง-อิล) ประมาณ 40,000 แห่งทั่วประเทศ ฝ[52]

ระหว่าง ค.ศ. 1973 ถึง 2012 คิม จ็อง-อิลได้รับตำแหน่งอย่างน้อย 54 ตำแหน่ง ส่วนใหญ่แทบไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับความสำเร็จทางการเมืองหรือการทหารที่แท้จริงเนื่องจากเขาไม่เคยได้รับการฝึกฝนทางทหาร[53][54] ตำแหน่งที่ใช้บ่อยที่สุดของเขาคือ "ผู้นำที่รัก"

ตลอดช่วงชีวิตของเขา รัฐบาลออกรายงานโฆษณาชวนเชื่อมากมายเกี่ยวกับความสำเร็จอันยิ่งใหญ่ที่คิม จ็อง-อิลทำได้ เช่น การที่เขาสามารถเดินและพูดได้ก่อนอายุหกเดือน[55] หนังสือพิมพ์ โรดงชินมุน ของเกาหลีเหนือรายงานว่า "ผู้เชี่ยวชาญด้านสมัยนิยมชาวฝรั่งเศสที่ไม่ปรากฏชื่อ" กล่าวถึงสมัยนิยมของคิมว่า "สมัยนิยมแบบคิม จ็อง-อิลที่กำลังแพร่หลายไปทั่วโลกอย่างรวดเร็วเป็นสิ่งที่ไม่มีใครเคยเห็นมาก่อนในประวัติศาสตร์โลก"[56] สำนักข่าวกลางเกาหลียังรายงานอีกด้วยว่าจากคำบอกเล่าของผู้เห็นเหตุการณ์ "ธรรมชาติและท้องฟ้าได้เผยความปิติยินดีอันลึกลับเพื่อเฉลิมฉลองวันเกิดของคิม จ็อง-อิล"[57]

เพื่อเป็นการรำลึกถึงวันคล้ายวันเกิดครบรอบ 46 ปีของคิม จ็อง-อิล คาโม โมโตเทรุ นักพฤกษศาสตร์ชาวญี่ปุ่นเพาะพันธุ์ต้นบีโกเนียยืนต้นสายพันธุ์ใหม่และตั้งชื่อว่า "คิมจ็องอิเลีย" (Kimjongilia - หมายถึง "ดอกไม้ของคิม จ็อง-อิล")[58]

หลังอสัญกรรมของคิม จ็อง-อิล

[แก้]
โรดงชินมุน ตีพิมพ์บทความว่าด้วยวีรกรรมการปฏิวัติของคิม จ็อง-อิล

หลังอสัญกรรมของเขาในวันที่ 17 ธันวาคม ค.ศ. 2011 สำนักข่าวกลางเกาหลี (KCNA) รายงานว่าชั้นน้ำแข็งที่ทะเลสาบช็อนบนภูเขาแพ็กดูได้แตกออกด้วยเสียงดังสนั่นอย่างไม่เคยปรากฏมาก่อนและเกิดพายุหิมะพร้อมลมแรงพัดถล่มบริเวณนั้น[59] เอกสารทางการเมืองที่เขียนโดยคิม จ็อง-อึน ลูกชายของเขา พยายามจะยกสถานะบิดาให้เป็น "เลขาธิการพรรคตลอดกาลของเรา"[60]หลายคนถูกพบเห็นว่ากำลังร้องไห้ระหว่างช่วงเวลาไว้ทุกข์ 100 วัน ซึ่งเป็นเรื่องปกติของสังคมขงจื๊อในเกาหลี และนักวิเคราะห์จากสถาบันรวมชาติเกาหลีของเกาหลีใต้ได้สรุปว่าความโศกเศร้าที่ประชาชนแสดงออกในช่วงเวลาไว้ทุกข์นั้นเป็นการแสดงออกถึงความเสียใจอย่างแท้จริง[61] อย่างไรก็ตาม นักข่าวจากฝั่งตะวันตกตั้งคำถามถึงความจริงใจของการแสดงความโศกเศร้าดังกล่าว[62]

คล้ายกับช่วงเวลาไว้ทุกข์ของคิม อิล-ซ็อง บุคคลที่ไม่ปฏิบัติตามระเบียบการไว้ทุกข์ 100 วัน[63] หรือถูกมองว่าไม่จริงใจในความโศกเศร้า[64] อาจถูกลงโทษและในบางกรณีอาจถูกประหารชีวิต[65] ตัวอย่างที่โดดเด่นของเรื่องนี้คือการเสียชีวิตที่ถูกกล่าวอ้างของคิม ช็อลและเจ้าหน้าที่ระดับสูงคนอื่น ๆ[66] อย่างไรก็ตาม ในกรณีของคิม ช็อล มีข้อสงสัยเกิดขึ้นเกี่ยวกับความน่าเชื่อถือของเรื่องราวต้นฉบับ โดยนิตยสาร ฟอเรนโพลีซี ระบุว่าเรื่องราวเกี่ยวกับการเสียชีวิตอย่างรุนแรงของชนชั้นนำเกาหลีเหนือมัก "เกินจริง" และตั้งข้อสังเกตว่าข้อมูลที่เผยแพร่โดยสื่อเกาหลีใต้มีแนวโน้มว่าจะมาจาก "ข่าวลือ"[67]

มีการสร้างรูปปั้นสัมฤทธิ์ขนาดใหญ่หลายองค์ขึ้นเคียงข้างรูปปั้นของคิม อิล-ซ็อง รวมถึงรูปปั้นของคิม จ็อง-อิลและคิม อิล-ซ็องแต่ละองค์กำลังขี่ม้าสูง 5.7 เมตร (19 ฟุต) (เป็นอนุสรณ์ขนาดใหญ่แห่งแรกที่สร้างขึ้นหลังอสัญกรรมของคิม จ็อง-อิล)[68] และรูปปั้นสูง 23 เมตร (75 ฟุต) ที่มันซูแด เปียงยาง[69] รัฐบาลยังได้ปรับรูปปั้นของคิม อิล-ซ็องให้เป็นปัจจุบัน พร้อมทั้งสร้างรูปปั้นใหม่ของคิม จ็อง-อิลเคียงข้างรูปปั้นบิดาในเมืองหลวงของแต่ละจังหวัดและสถานที่อื่น ๆ[70]

หลังอสัญกรรมของเขา มีการจัดทำแสตมป์และเหรียญที่ระลึกจำนวนมากและมีการสลักคำขวัญตามข้างภูเขาเพื่อเป็นเกียรติแก่วันครบรอบวันเกิดปีที่ 70 ของเขา[68]

คิม จ็อง-อึน

[แก้]
จารึกชื่อผู้นำทั้งสามคน

คิม จ็อง-อึน หลานชายของผู้ก่อตั้งเกาหลีเหนือ ไม่ค่อยปรากฏตัวในที่สาธารณะและในรัฐบาลกระทั่งช่วงกลางทศวรรษ 2000 ใน ค.ศ. 2010 เขาเริ่มถูกกล่าวถึงในฐานะ "นายพลหนุ่ม" และภายในปลาย ค.ศ. 2011 ก็ถูกเรียกว่า "นายพลที่เคารพ"[71] เช่นเดียวกับบิดา คิม จ็อง-อึนไม่มีการฝึกฝนหรือรับราชการทหารอย่างเป็นทางการใด ๆ เมื่อบิดาถึงแก่อสัญกรรม สื่อของรัฐก็เริ่มเรียกเขาว่า "ผู้สืบทอดผู้ยิ่งใหญ่"[72] เขายังถูกเรียกว่า "ผู้เป็นที่รักและเคารพ"[73] หรือ "ผู้นำสูงสุด" ในช่วงที่เขายังเป็นผู้นำคนใหม่ การสร้างลัทธิบูชาบุคคลของเขาก็เริ่มต้นขึ้นแล้ว โดยมีโปสเตอร์ ป้าย และสื่อโฆษณาชวนเชื่อจำนวนมากถูกติดตั้งอยู่ทั่วประเทศ[74][75] นักข่าวจาก ดิอาซาฮิชิมบุน ของญี่ปุ่นกล่าวว่ารูปลักษณ์ที่คล้ายกับคิม อิล-ซ็องอย่างน่าทึ่งของเขาได้ช่วยเสริมสร้างให้เขาเป็นผู้นำที่ไม่มีข้อโต้แย้งในจิตใจของประชาชน[71]

คิม จ็อง-อึน ถือเป็นผู้นำรุ่นที่สามของราชวงศ์ตระกูลคิม ตามรายงานของ เดลีเอ็นเค ผู้ที่วิพากษ์วิจารณ์การสืบทอดอำนาจถูกส่งตัวไปยังค่ายปรับทัศนคติหรือถูกลงโทษในรูปแบบอื่น ๆ และหลังช่วงไว้ทุกข์แก่คิม จ็อง-อิล ทางการรัฐบาลก็เริ่มเพิ่มความพยายามสร้างลัทธิบูชาบุคคลของคิม จ็อง-อึน[64]

หลังอสัญกรรมของคิม จ็อง-อิล ประธานคณะผู้บริหารสูงสุดได้ประกาศว่า "สหายคิม จ็อง-อึนที่เคารพคือผู้นำสูงสุดของพรรค กองทัพ และประเทศของเรา ผู้ซึ่งสืบทอดอุดมการณ์ การนำ บุคลิก คุณธรรม ความมุ่งมั่น และความกล้าหาญของสหายคิม จ็อง-อิลผู้ยิ่งใหญ่'[76]

หลังผู้นำคนใหม่ขึ้นสู่อำนาจได้ไม่นาน มีการสร้างป้ายโฆษณาชวนเชื่อขนาดยาว 560 เมตร (1,840 ฟุต) เพื่อเป็นเกียรติแก่เขาใกล้กับทะเลสาบแห่งหนึ่งในจังหวัดรยังกัง ป้ายดังกล่าวซึ่งเชื่อกันว่าสามารถมองเห็นได้จากอวกาศ มีข้อความว่า "ท่านนายพลคิม จ็อง-อึน, ดวงตะวันเจิดจรัส จงเจริญ!"[77]

ใน ค.ศ. 2013 พรรคแรงงานเกาหลีทำการแก้ไขสิบหลักการสำหรับการสถาปนาระบบอุดมการณ์เอกานุภาพ ซึ่งในทางปฏิบัติแล้วหลักการนี้ทำหน้าที่เป็นอำนาจทางกฎหมายและกรอบการทำงานหลักของประเทศ[78][79] เพื่อเรียกร้องให้มีการ "เชื่อฟังอย่างเด็ดขาด" ต่อคิม จ็อง-อึน[80]

ชัง ซ็อง-แท็ก ลุงของคิม จ็อง-อึน ถูกประหารชีวิตในวันที่ 12 ธันวาคม ค.ศ. 2013 สาเหตุการเสียชีวิตส่วนหนึ่งมาจากการบ่อนทำลายลัทธิบูชาบุคคลของตระกูลคิม[81] การเสียชีวิตของเขายังถูกมองว่าเป็นการเคลื่อนไหวของคิม จ็อง-อึนเพื่อรวมศูนย์ลัทธิบูชาบุคคลของตัวเอง[82]

ใน ค.ศ. 2015 เมื่อสิ้นสุดระยะเวลาไว้ทุกข์อย่างเป็นทางการสามปีสำหรับอสัญกรรมของคิม จ็อง-อิล คิม จ็อง-อึนสั่งให้มีการสร้างอนุสรณ์แห่งใหม่ในทุก ๆ เทศมณฑลของเกาหลีเหนือและยังสั่งให้มีการปรับปรุงวังอนุสรณ์คึมซูซันครั้งใหญ่ด้วย ตามรายงานของ เดอะเดลีเทลิกราฟ นักวิเคราะห์กล่าวว่า "คำสั่งให้สร้างรูปปั้นเพิ่มเติมเพื่อยกย่องตระกูลคิมจะเป็นภาระทางการเงินอย่างหนักต่อเศรษฐกิจที่กำลังประสบปัญหาอยู่แล้วเนื่องด้วยการบริหารจัดการที่ผิดพลาดมานานหลายปีและมาตรการคว่ำบาตรจากนานาชาติ"[83]

มีการประกาศอนุสรณ์แห่งแรกที่จะอุทิศให้แก่คิม จ็อง-อึนอย่างน้อยบางส่วนในเดือนมกราคม ค.ศ. 2017[84] อนุสรณ์นี้จะถูกสร้างขึ้นบนภูเขาแพ็กดูและยังรวมถึงอนุสรณ์ที่อุทิศให้แก่คิม อิล-ซ็องและคิม จ็อง-อิล นอกจากนี้ ยังมีการวางแผนสร้าง "จิตรกรรมฝาผนังโมเสก" ของคิม จ็อง-อึนแบบเดี่ยวในเมืองสำคัญของแต่ละจังหวัดอีกด้วย[85]

คนอื่น ๆ

[แก้]

ลัทธิบูชาบุคคลขยายไปถึงสมาชิกคนอื่น ๆ ในตระกูลคิม[9] แม้จะในระดับน้อยกว่าก็ตาม

คิม อึง-อู

[แก้]

ตามประวัติศาสตร์อย่างเป็นทางการของเกาหลีเหนือ คิม อึง-อู ทวดฝั่งพ่อของคิม อิล-ซ็อง ต่อสู้กับเรือใบของอเมริกาชื่อยูเอสเอส เจเนรัลเชอร์แมน (USS General Sherman) ในอุบัติการณ์ ค.ศ. 1866 และยังเป็นนักเคลื่อนไหวต่อต้านญี่ปุ่น เกาหลีเหนือชนะการต่อสู้และยึดเรือลำนั้นได้ซึ่งปัจจุบันจัดแสดงอยู่ในพิพิธภัณฑ์ อย่างไรก็ตาม ข้อกล่าวอ้างเหล่านี้ยังไม่ได้รับการยืนยันและนักประวัติศาสตร์นอกเกาหลีเหนือจำนวนมากต่างสงสัยในความชอบธรรมของเรื่องราวเหล่านี้[86]

คัง พัน-ซ็อก

[แก้]

คัง พัน-ซ็อก มารดาของคิม อิล-ซ็อง เป็นสมาชิกคนแรกในตระกูลคิมที่มีลัทธิบูชาบุคคลเป็นของตัวเอง เพื่อเสริมลัทธิบูชาบุคคลของบุตรชาย นับตั้งแต่ช่วงปลายทศวรรษ 1960 เป็นต้นมา[87] นอกจากจะมีพิพิธภัณฑ์และรูปปั้นที่ชิลกล สถานที่บ้านเกิดของเธอแล้ว เธอยังได้รับฉายาว่า "มารดาแห่งเกาหลี" และมีบทเพลงและบทความที่เขียนขึ้นเพื่อสรรเสริญเธอด้วย[25]

คิม ฮย็อง-จิก

[แก้]

คิม ฮย็อง-จิก บิดาของคิม อิล-ซ็อง ได้รับยกย่องจากประวัติศาสตร์อย่างเป็นทางการของเกาหลีเหนือว่าเป็นผู้นำคนสำคัญของขบวนการเรียกร้องเอกราชเกาหลีที่ต่อต้านอาณานิคม[88][89] ในความเป็นจริง แหล่งข้อมูลทางการอ้างว่าคิมไม่ได้เป็นเพียงผู้นำขบวนการ 1 มีนาคม ค.ศ. 1919 เท่านั้น แต่ยังอ้างว่าเหตุการณ์นี้เกิดขึ้นที่เปียงยางด้วย ทั้งสองอย่างนี้เป็นการสร้างเรื่องขึ้นมาอย่างชัดเจน ขณะที่ความเป็นจริงคิมเคยถูกควบคุมตัวชั่วคราวจากการทำกิจกรรมต่อต้านญี่ปุ่น[90] แต่ผู้เชี่ยวชาญส่วนใหญ่นอกเกาหลีเหนือไม่สนับสนุนข้อกล่าวอ้างใด ๆ ที่เกินไปกว่านั้น[91] อันที่จริง ตามคำกล่าวของซอ แด-ซุก นักเขียนชีวประวัติ ความพยายามจะบรรยายว่าคิม ฮย็อง-จิกมีบทบาทสำคัญในการต่อสู้กับญี่ปุ่น "ดูเหมือนจะมุ่งไปที่การยกระดับคุณสมบัติของคิม [อิล-ซ็อง] ในฐานะบุตรผู้กตัญญูเสียมากกว่า"[92] การกล่าวอ้างนี้มีความสำคัญเนื่องจากคิม อิล-ซ็องใช้เรื่องราวเหล่านี้เพื่อช่วยในการก้าวขึ้นสู่อำนาจของเขา[89]

ปัจจุบันคิม ฮย็อง-จิกมีพิพิธภัณฑ์และรูปปั้นที่สร้างขึ้นเพื่ออุทิศแก่เขาในบ้านเกิดของเขาที่พงฮวา[93][94]

คิม ฮย็อง-กว็อน

[แก้]

คิม ฮย็อง-กว็อน อาของคิม อิล-ซ็องและเป็นน้องชายของคิม ฮย็อง-จิก ได้รับยกย่องในเกาหลีเหนือว่าเป็นนักเคลื่อนไหวต่อต้านญี่ปุ่นเพราะเขาเคยปะทะกับตำรวจท้องถิ่น ทำให้เขาถูกจับกุมและเสียชีวิตในเวลาต่อมาในวันที่ 12 มกราคม ค.ศ. 1936 ระหว่างถูกคุมขังในโซล มีรูปปั้นเพื่อเป็นเกียรติแก่เขาในเมืองฮงว็อน ที่ซึ่งเป็นสถานที่เกิดเหตุปะทะ[86] ต่อมาคิม อิล-ซ็องเปลี่ยนชื่อเทศมณฑลหนึ่งทางตะวันออกเฉียงใต้ของจังหวัดรยังกังตามชื่ออาของเขา เรียกว่า "เทศมณฑลคิมฮย็องกว็อน"

คิม จ็อง-ซุก

[แก้]
ภาพวาดของทั้งคิม จ็อง-ซุก มารดาของคิม จ็อง-อิล และคิม อิล-ซ็อง

คิม จ็อง-ซุก มารดาของคิม จ็อง-อิล ได้รับยกย่องว่าเป็น "นักปฏิวัติอมตะ" และ "วีรสตรีสงครามต่อต้านญี่ปุ่น [ผู้] ยึดมั่นในแนวคิดและนโยบายดั้งเดิมของคิม อิล-ซ็องและสร้างผลงานอันโดดเด่นในการพัฒนาการเคลื่อนไหวเพื่อการปลดปล่อยสตรีในเกาหลี"[95] เธอถูกยกให้เป็นต้นแบบของนักปฏิวัติ ภรรยา และมารดา และสังคมเกาหลีเหนือใช้เรื่องราวของเธอเป็นตัวอย่างในการดำเนินชีวิต[96]

แม้เธอจะเป็นสุภาพสตรีหมายเลขหนึ่งของสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนเกาหลีในปีแรกของการก่อตั้งประเทศใน ค.ศ. 1948 แต่เธอเสียชีวิตใน ค.ศ. 1949 ด้วยวัย 31 ปี และตั้งแต่ ค.ศ. 1974 ควบคู่ไปกับการขึ้นสู่ตำแหน่งผู้สืบทอดอำนาจของคิม จ็อง-อิล บุตรชายของเธอ เธอได้รับยกย่องและมีการรำลึกถึงความสำเร็จของเธอทั่วประเทศมากขึ้นเรื่อย ๆ มีการสร้างพิพิธภัณฑ์และรูปปั้นขึ้นในบ้านเกิดของเธอเพื่อเป็นเกียรติแก่เธอและคิม ซ็อง-แอ ภรรยาคนปัจจุบันของคิม อิล-ซ็องในขณะนั้นเรียกเธอว่าเป็น "นักปฏิวัติคอมมิวนิสต์ผู้ไม่ย่อท้อ" แม้ก่อนหน้านี้เธอจะถูกละเลยอย่างมากก็ตาม[97] ดังนั้น เดิมทีเธอได้รับเกียรติในฐานะนักรบกองโจร แต่ไม่จำเป็นต้องเป็นมารดาหรือภรรยา[86] ในช่วงทศวรรษ 1990 ภาพเหมือนของคิม จ็อง-ซุกยังถูกเพิ่มเข้าไปในภาพของคิม อิล-ซ็องและคิม จ็อง-อิล ซึ่งถูกจัดแสดงในทุกครัวเรือนและอาคาร และได้รับการปฏิบัติเสมือนวัตถุศักดิ์สิทธิ์ที่ต้องเคารพและบูชา[90] ยิ่งไปกว่านั้น เมื่อกล่าวถึง "สามแม่ทัพผู้ยิ่งใหญ่แห่งภูเขาแพ็กดู" ภูเขาไฟศักดิ์สิทธิ์ที่สงบทางตอนเหนือของเกาหลีเหนือติดกับพรมแดนจีน ชาวเกาหลีเหนือเข้าใจว่าหมายถึงคิม อิล-ซ็อง คิม จ็อง-ซุก และคิม จ็อง-อิล บุตรชายของพวกเขา[90]

มีหุ่นขี้ผึ้งจำลองของเธอจัดแสดงอยู่ที่นิทรรศการสันถวไมตรีนานาชาติ[98]

โค ยง-ฮี

[แก้]

โค ยง-ฮี ภรรยาคนที่สามของคิม จ็อง-อิล และมารดาของคิม จ็อง-อึน มีความพยายามยกย่องเชิดชูเธอในลักษณะคล้ายกับการบูชาบุคคลของสมาชิกหญิงคนอื่น ๆ ในตระกูลถึงสามครั้ง[99] ความพยายามเหล่านี้ไม่สำเร็จหรือไม่ก็ถูกยุติลงหลัง ค.ศ. 2012 ใน ค.ศ. 2010 มีการผลิตภาพยนตร์โฆษณาชวนเชื่อภายในประเทศเกี่ยวกับตัวเธอและกิจกรรมของเธอกับคิม จ็อง-อิลในช่วงที่เขานำประเทศ ภาพยนตร์ยังกล่าวถึงบทบาทสำคัญของเธอในการเลี้ยงดูบุตรชายด้วย เธอได้รับการกล่าวถึงในชีวประวัติของคิม จ็อง-อึนของเกาหลีเหนือ และในอนุสรณ์และเอกสารบางอย่างของเกาหลีเหนือ[100] เธอถูกเรียกว่า "มารดาแห่งซ็อนกุนเกาหลีผู้ยิ่งใหญ่" หรือ "มารดาผู้ยิ่งใหญ่" โดยที่ชื่อของเธอไม่เป็นที่เปิดเผยต่อสาธารณะ[99]

การสร้างลัทธิบูชาบุคคลขึ้นรอบตัวโคเผชิญกับปัญหาเรื่องซงบุน (สถานะชนชั้นทางสังคม) ที่ไม่ดีของเธอ เนื่องจากมรดกทางเชื้อสายเกาหลี-ญี่ปุ่นของเธอจะทำให้เธอเป็นส่วนหนึ่งของชนชั้น "ปรปักษ์" ที่ต่ำที่สุด ซึ่งอาจเป็นปัญหาต่อตำนานตระกูลคิมที่บริสุทธิ์[101]

ใน ค.ศ. 2012 คิม จ็อง-อึนสร้างหลุมศพให้แก่โคบนภูเขาแทซ็อง[102][103]

ครอบครัวนิยมในลัทธิบูชาบุคคล

[แก้]

ครอบครัวนิยมเป็นรูปแบบหนึ่งของคติรวมหมู่ที่คาดหวังให้บุคคลให้ความสำคัญกับความต้องการของสังคมส่วนรวมหรือครอบครัวมากกว่าความต้องการของตนเอง

ครอบครัวนิยมในเกาหลีเหนือมีรากฐานมาจากการผสมผสานกันระหว่างค่านิยมขงจื๊อแบบเอเชียตะวันออกดั้งเดิมเรื่องความกตัญญู ระบบคอมมิวนิสต์แบบรวมหมู่ และลัทธิบูชาบุคคลตระกูลคิม ในฐานะค่านิยมเอเชียตะวันออกและขงจื๊อแบบดั้งเดิม ความสำคัญของครอบครัวได้สะท้อนผ่านทุกแง่มุมของชีวิตในเกาหลีเหนือ ตั้งแต่การเมืองไปจนถึงเศรษฐกิจ การศึกษา และแม้กระทั่งความสัมพันธ์ส่วนบุคคลระหว่างเพื่อนและศัตรู

เมื่อสหภาพโซเวียตเข้ายึดครองเกาหลีเหนือใน ค.ศ. 1945 พวกเขาต้องเริ่มสร้างฐานคอมมิวนิสต์ในเปียงยางแทบจะใหม่ทั้งหมด[104] แท้จริงแล้ว อุดมการณ์คอมมิวนิสต์และสังคมนิยมของโซเวียตน่าจะเป็นเรื่องแปลกใหม่สำหรับชาวเกาหลีในเปียงยางไม่ต่างจากตัวชาวโซเวียตเอง อย่างไรก็ตาม โดยการเน้นความสัมพันธ์แบบครอบครัวและแบบพ่อ-ลูกระหว่างสหภาพโซเวียตกับเกาหลีและต่อมาได้ขยายความสัมพันธ์นี้ระหว่างคิม อิล-ซ็องกับประชาชนเกาหลีเหนือ คิมไม่เพียงแต่สามารถนำลัทธิมากซ์แบบตะวันตกมาปรับใช้กับรัฐในเอเชียได้สำเร็จ แต่ยังสร้างลัทธิบูชาบุคคลของตนเองขึ้นมา เป็นการสร้างความจงรักภักดีอย่างไม่มีข้อกังขาต่อเขาในหมู่ประชาชนเกาหลีเหนือในช่วงเวลาที่เกาหลีเหนือเปราะบางต่ออิทธิพลไม่พึงประสงค์จากชาติตะวันตกมากที่สุด

ลัทธิบูชาบุคคลยังส่งเสริมแนวคิดของตระกูลคิมผู้ปกครองในฐานะครอบครัวต้นแบบ ในความโศกเศร้าจากการเสียชีวิตของคิม มัน-อิล บุตรชายคนที่สองใน ค.ศ. 1947 คิม อิล-ซ็องกลับไปยังสถานที่เดิมในอีกสิบปีต่อมาพร้อมกับหมอผีชาวเกาหลีเพื่อประกอบพิธีกรรม "บรรเทาความสูญเสียและเจ็บปวด" ของเขา[105] โดยมีการเน้นเป็นพิเศษถึงความรักของบึตรที่มีต่อบิดามารดาตามหลักขงจื๊อ หลังการเสียชีวิตของบิดามารดา คิมอุทิศอนุสรณ์ให้แก่บิดาและมารดาของเขาตามลำดับ

อย่างไรก็ตาม ซอ แด-ซุก นักเขียนชีวประวัติ ตั้งข้อสงสัยถึงความจริงใจในการแสดงความเคารพต่อบิดามารดาของคิม เมื่อพิจารณาถึงวัยเด็กที่ค่อนข้างเป็นอิสระของคิม ซอไม่เชื่อว่าคิมมีความรักพิเศษใด ๆ ต่อบิดามารดาที่จะต้องสร้างพิพิธภัณฑ์และรูปปั้นแยกกันสำหรับแต่ละคน ซอกล่าวว่า "จุดประสงค์ของเขากลับดูเหมือนจะเป็นประโยชน์ต่อตนเองมากกว่า กล่าวคือ ความพยายามสร้างภาพลักษณ์ของตนเองในฐานะลูกกตัญญูชาวเกาหลีจากครอบครัวปฏิวัติ"[86] ด้วยการแสดงออกต่อสาธารณะว่าเป็นบุตรที่ซื่อสัตย์ซึ่งรักมารดาและบิดา คิมจึงวางตำแหน่งตัวเองให้สามารถเรียกร้องความจงรักภักดีแบบลูกกตัญญูเช่นเดียวกันจากประชาชนของเขา

ทำนองเดียวกัน เพื่อเป็นการเฉลิมฉลองวันเกิดครบ 60 ปีของบิดา คิม จ็อง-อิลสร้างอุปรากรให้สามเรื่อง[ต้องการอ้างอิง] และยังสร้างอนุสรณ์สามแห่ง รวมถึงประตูชัยเกาหลีเหนือ เพื่อฉลองวันเกิดครบ 70 ปีของบิดาใน ค.ศ. 1982[106] และเมื่อคิม อิล-ซ็องถึงแก่อสัญกรรมใน ค.ศ. 1994 คิม จ็อง-อิลประกาศไว้ทุกข์เป็นเวลาสามปีก่อนจะขึ้นเป็นผู้นำเกาหลีเหนืออย่างเต็มตัว

อนุสรณ์ รูปภาพ และการใช้จ่าย

[แก้]
หนึ่งในหอคอยแห่งชีวิตนิรันดร์

จากข้อมูลของวิกเตอร์ ชา ระบุว่า ภายใน ค.ศ. 1992 มีรูปปั้นคิม อิล-ซ็องเกือบ 40,000 แห่งถูกสร้างขึ้นทั่วประเทศ[107] และเมื่อเขาถึงแก่อสัญกรรมใน ค.ศ. 1994 รัฐบาลก็เริ่มสร้างโอเบลิสก์ 3,200 ต้นที่เรียกว่า "หอคอยแห่งชีวิตนิรันดร์" ในทุกเมืองและนคร[108] โอเบลิสก์เหล่านี้เชิดชูคุณธรรมของ "จอมพลผู้ยิ่งใหญ่" และเช่นเดียวกับอนุสรณ์อื่น ๆ พลเมือง (และนักท่องเที่ยว) จะต้องนำดอกไม้และสิ่งของแสดงความเคารพอื่น ๆ มามอบแก่รูปปั้นในช่วงวันหยุดสำคัญและเมื่อไปเยี่ยมชม[109][110] การตรวจสอบภาพถ่ายดาวเทียมใน ค.ศ. 2018 เปิดเผยว่ามีอนุสาวรีย์และจิตรกรรมฝาผนังกลางแจ้งไม่น้อยกว่า 11,200 แห่ง[111]

หลังอสัญกรรมของคิม จ็อง-อิล รัฐบาลเริ่มจารึกชื่อของเขาลงบนโอเบลิสก์แต่ละต้นและสร้างรูปปั้นใหม่ในภาพลักษณ์ของเขา[69]

ภาพเหมือนบนวังเด็กมันกย็องแด
เข็มกลัดปกเสื้อคิม อิล-ซ็อง

ภาพของคิม อิล-ซ็องและคิม จ็อง-อิลเป็นสิ่งโดดเด่นในสถานที่ที่เกี่ยวข้องกับการขนส่งสาธารณะ โดยแขวนอยู่ที่สถานีรถไฟและสนามบินทุกแห่งในเกาหลีเหนือ[54][112] ทุกครัวเรือนในเกาหลีเหนือต้องมีภาพของคิมทั้งสองแขวนอยู่บนผนัง ไม่มีสิ่งอื่นใดแขวนบนผนังนั้นได้และพวกเขาจะได้รับผ้าพิเศษสำหรับทำความสะอาดภาพทุกวัน[113] สมาชิกพรรคในละแวกบ้านถูกมอบหมายให้ตรวจสอบบ้านเรือนเพื่อหาภาพที่มีฝุ่น หากพบฝุ่นจะต้องเสียค่าปรับ โดยจำนวนเงินขึ้นอยู่กับความหนาของชั้นฝุ่น รูปภาพจะต้องแขวนไว้สูง เพื่อไม่ให้ผู้คนในห้องยืนสูงกว่ารูปภาพได้[114] เจ้าหน้าที่พรรคและทหารต้องเก็บภาพสามภาพ ได้แก่ ภาพผู้นำผู้ล่วงลับทั้งสองคนและภาพของคิม จ็อง-ซุก ภรรยาคิม[54] ภาพเหล่านี้ได้รับอนุญาตให้สร้างสรรค์โดยศิลปินที่ได้รับอนุมัติจากรัฐบาลเท่านั้นที่ศูนย์ฝึกอบรมมันซูแดเฉพาะ[54] ภาพที่พบในหนังสือพิมพ์หรือสิ่งพิมพ์อื่น ๆ จะต้องได้รับการเคารพและต้องไม่ทิ้ง ทำลาย หรือใช้หน้ากระดาษที่มีรูปภาพในทางที่ผิด[31] ภาพเหล่านี้จะต้องถูกรวบรวมและส่งคืน ชาวเกาหลีเหนือที่เป็นผู้ใหญ่ทุกคนยังจำเป็นต้องติดเข็มกลัดที่หน้าอกด้านซ้าย เหนือหัวใจ ซึ่งมีภาพของผู้นำ[113]

มีเรื่องราวเป็นครั้งคราวที่ผู้คนเสี่ยงชีวิตเพื่อช่วยภาพเหมือนให้รอดพ้นจากภัยพิบัติต่าง ๆ แต่มีเพียงไม่กี่เรื่องเท่านั้นที่ได้รับการยืนยัน[115][116] ใน ค.ศ. 2012 เด็กหญิงอายุ 14 ปีคนหนึ่งจมน้ำเสียชีวิตขณะพยายามช่วยภาพเหล่านั้นจากบ้านของครอบครัวเธอระหว่างเกิดน้ำท่วมฉับพลัน รัฐบาลเกาหลีเหนือมอบ "รางวัลเกียรติยศเยาวชนคิม จ็อง-อิล" ให้แก่เธอหลังเสียชีวิตและโรงเรียนของเธอก็ได้รับการเปลี่ยนชื่อตามเธอ[117][118]

วังสุริยะคึมซูซันสร้างขึ้นใน ค.ศ. 1976 เพื่อเป็นที่พำนักอย่างเป็นทางการของคิม อิล-ซ็อง หลังอสัญกรรมของเขา วังแห่งนี้ก็ถูกดัดแปลงเป็นสุสานของเขา (และต่อมาก็บุตรชายของเขาด้วย)[119] มีรายงานว่าใช้เงินไปประมาณ 100 ล้านถึง 900 ล้านดอลลาร์[120][121] วังคึมซูซันเป็นสุสานขนาดใหญ่ที่สุดที่อุทิศแก่ผู้นำคอมมิวนิสต์[122]

ต้นทุนโดยประมาณโดยรวมในการบำรุงรักษาลัทธิบูชาบุคคลแตกต่างกันอย่างมากในแต่ละแหล่งข้อมูล รายงานสมุดปกขาวของสถาบันนโยบายเศรษฐกิจระหว่างประเทศเกาหลีระบุว่าค่าใช้จ่ายอยู่ที่ร้อยละ 38.5 ของงบประมาณเกาหลีเหนือใน ค.ศ. 2004 เพิ่มขึ้นจากร้อยละ 19 ใน ค.ศ. 1990[52][123] อย่างไรก็ตาม แหล่งข้อมูลอื่น ๆ เช่น โชซ็อนอิลโบ ของเกาหลีใต้และเดลีเทลิกราฟ ของสหราชอาณาจักรประเมินค่าใช้จ่ายใน ค.ศ. 2012 อยู่ระหว่าง 40 ล้านดอลลาร์[69] ถึง 100 ล้านดอลลาร์[124] โครงการก่อสร้างขนาดใหญ่สำหรับตระกูลคิมถูกตำหนิว่าเป็นสาเหตุของภาวะเศรษฐกิจตกต่ำของประเทศในช่วงทศวรรษ 1980[125]

วันหยุด

[แก้]

ใน ค.ศ. 2013 มีการประกาศวันหยุดใหม่ให้เฉลิมฉลองในวันที่ 14 กุมภาพันธ์ ซึ่งเป็นวันครบรอบที่คิม จ็อง-อิล ได้รับตำแหน่ง "จอมพลสูงสุดแห่งสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนเกาหลี"[126] ต่างจากการเฉลิมฉลองบุคคลสำคัญอื่น ๆ ทั่วโลก การเฉลิมฉลองเหล่านี้เป็นภาคบังคับ โดยมีกิจกรรมมากมายที่วางแผนไว้ (เช่น การเต้นรำ กีฬา และขบวนแห่)[127][128] และประชาชนจะนำดอกไม้ไปวางที่ฐานอนุสาวรีย์[129][130] การเฉลิมฉลองวันเกิดของตระกูลคิมยังรวมถึงการออกอากาศภาพยนตร์เกี่ยวกับชีวิตและความสำเร็จของผู้นำโดยสื่อของรัฐในคืนก่อนวันหยุดจริงด้วย[131]

แรงบันดาลใจจากนานาชาติ

[แก้]

ของขวัญระหว่าง 60,000 ถึง 220,000 ชิ้นที่มอบให้แก่คิม อิล-ซ็องและคิม จ็อง-อิลจากผู้นำต่างประเทศ นักธุรกิจและบุคคลอื่น ๆ ถูกจัดแสดงอยู่ที่นิทรรศการสันถวไมตรีนานาชาติ[132] พิพิธภัณฑ์นี้เป็นแหล่งความภาคภูมิใจของรัฐบาลเกาหลีเหนือและถูกใช้เป็นหลักฐานยืนยันความยิ่งใหญ่และความนิยมของผู้นำของพวกเขา[133][134] รัฐบาลเกาหลีเหนือให้ความสำคัญอย่างมากกับการยอมรับจากนานาชาติเพื่อสร้างความชอบธรรมให้กับการปกครองในสายตาประชาชน[135] มีการจัดทัวร์เยี่ยมชมหอนิทรรศการซึ่งเมื่อเข้าและออกจากอาคารผู้เยี่ยมชมจะต้องแสดงความเคารพด้วยการโค้งคำนับต่อภาพของคิม อิล-ซ็องและคิม จ็อง-อิล ตามธรรมเนียมและประเพณีของเกาหลี[136]

ดูเพิ่ม

[แก้]

อ้างอิง

[แก้]
  1. "North Korea pays homage to the Kim dynasty, past, present (and future?)" Justin McCurry. The Guardian. London. 17 December 2012. Accessed 18 August 2017.
  2. Williamson, Lucy (December 27, 2011). "Delving into North Korea's mystical cult of personality". BBC News. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ February 2, 2013. สืบค้นเมื่อ January 9, 2013.
  3. Choe, Yong-ho., Lee, Peter H., and de Barry, Wm. Theodore., eds. Sources of Korean Tradition, Chichester, NY: Columbia University Press, p. 419, 2000.
  4. Ben Forer (January 12, 2012). "North Korea Reportedly Punishing Insincere Mourners". ABC News. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ April 14, 2012. สืบค้นเมื่อ January 9, 2013.
  5. "DPRK, Criminal Penalties". US State Dept. December 2, 2011. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ January 1, 2013. สืบค้นเมื่อ January 9, 2013.
  6. Armstrong, Charles K. (2013). The North Korean Revolution, 1945–1950. Ithaca: Cornell University Press. p. 222. ISBN 978-0801468797.
  7. Hunter, Helen-Louise (1999). Kim Il-song's North Korea. Greenwood Publishing Group. p. 25. ISBN 978-0275962968. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ January 11, 2014. สืบค้นเมื่อ August 31, 2013.
  8. Dae-Sook 1988, p. 314
  9. 1 2 Dae-Sook 1988, p. 315
  10. Staff (December 27, 2013). "We have just witnessed a coup in North Korea". New Focus International. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ January 26, 2014. สืบค้นเมื่อ January 22, 2014.
  11. Park, Yong-Soo (2009). "The political economy of economic reform in North Korea" (PDF). Australian Journal of International Affairs. Australian Institute of International Affairs. 63 (4): 542. doi:10.1080/10357710903312587. S2CID 154841975. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิม (PDF)เมื่อ February 19, 2014. สืบค้นเมื่อ January 22, 2014.
  12. Cumings, Bruce (2005). Korea's Place in the Sun: a Modern History. United States: W.W. Norton. pp. 414–446. ISBN 0393327027.
  13. "Juche". GlobalSecurity.org. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ January 23, 2013. สืบค้นเมื่อ January 11, 2013.
  14. Park, Han S (September 2007). "Military-First Politics (Songun)". Korea Economic Institute/Academic Paper Series. p. 6. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ July 23, 2012. สืบค้นเมื่อ January 11, 2013.
  15. Rüdiger 2013, p. 45.
  16. Alton & Chidley 2013, p. 109.
  17. Jong-un, Kim (2012). "Let us brilliantly accomplish the revolutionary cause of Juche". Naenara. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ January 15, 2013. สืบค้นเมื่อ January 8, 2013.
  18. 1 2 "North Koreans Losing Interest In Cult Of Kim?". New Focus International. May 20, 2013. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ August 2, 2013. สืบค้นเมื่อ May 24, 2013.
  19. Sang Yong, Lee (December 29, 2015). "'Jangmadang Generation' eschews regime idolization, pursues outside info". Daily NK. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ January 8, 2016. สืบค้นเมื่อ December 29, 2015.
  20. LaBouyer, Jason (May–June 2005). "When friends become enemies — Understanding left-wing hostility to the DPRK" (PDF). Korea-DPR.com. Lodestar. pp. 7–9. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิม (PDF)เมื่อ 19 March 2009. สืบค้นเมื่อ 18 December 2007.
  21. Nelson, Dean (December 23, 2011). "The stage management of the grief for Kim Jong-il". The Telegraph. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ March 14, 2012. สืบค้นเมื่อ January 9, 2013.
  22. Portal, Jane (2005). Art Under Control in North Korea. United Kingdom: Reaktion Books. p. 98. ISBN 978-1861898388. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ June 27, 2014. สืบค้นเมื่อ January 27, 2013.
  23. 1 2 3 4 5 6 "Kim Il-sung (1912~1994)". KBS World Radio. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ March 19, 2013. สืบค้นเมื่อ March 15, 2013.
  24. Cha, John (2012). Exit Emperor Kim Jong-il. United States: Abbott Press. p. 39. ISBN 978-1458202161.
  25. 1 2 Lim, Jae-Cheon (2008). Kim Jong-il's Leadership of North Korea. Routledge. p. 40. ISBN 978-0203884720.
  26. Becker, Jasper (2005). Rogue Regime: Kim Jong Il and the Looming Threat of North Korea. Oxford University Press. ISBN 978-0195170443.
  27. Hwang Jang-yop (2006). "The Problems of Human Rights in North Korea". Columbia Law School. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ January 4, 2013. สืบค้นเมื่อ January 22, 2014.
  28. Cumings, Bruce (1997). Korea's Place in the Sun: A Modern History. United States: W W. Norton & Co. p. 160. ISBN 0393040119.
  29. 1 2 "Humankind Awards Many Titles to Kim Il Sung". Korean Central News Agency. April 3, 2012. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ February 1, 2014. สืบค้นเมื่อ March 15, 2013.
  30. 1 2 Dae-Sook 1988, p. 320
  31. 1 2 "The Bewildering Cult of Kim". New Focus International. พฤษภาคม 27, 2013. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ เมษายน 7, 2014. สืบค้นเมื่อ พฤษภาคม 27, 2013.
  32. 1 2 Demick 2009, pp. 120–123
  33. Demick, Barbara. "Nothing to Envy Excerpt". Nothingtoenvy.com. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ November 5, 2012. สืบค้นเมื่อ January 8, 2013.
  34. Kang, Chol-hwan; Rigoulot, Pierre (2005). The Aquariums of Pyongyang: Ten Years in the North Korean Gulag. Basic Books. pp. 3. ISBN 0465011047.
  35. Il-sung, Kim (1992). With the Century. Vol. 1. Chapter 3.2. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2014-08-28. สืบค้นเมื่อ 2014-08-28.. Note that the version of With the Century available online (https://web.archive.org/web/20051231095503/http://www.korea-dpr.com/articles-ng/biography-kimilsung.htm) includes the anecdote and the grandfather's moral, but omits the detail about the necessity of screening eating/urinating from pupils.
  36. Dae-Sook 1988, p. 316
  37. Berger, Sebastien (April 13, 2018). "No bombs, just blooms at North Korean flower show". Yahoo! News. สืบค้นเมื่อ July 23, 2020.
  38. Arnott, David R. (April 6, 2011). "Flowers and North Korea". NBC News. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ May 26, 2013. สืบค้นเมื่อ July 25, 2013.
  39. Angélil, Marc; Hehl, Rainer (2013). Collectivize: Essays on the Political Economy of Territory, Vol. 2. Berlin: Ruby Press. p. 99. ISBN 978-3944074030.
  40. "Kim Jong Il publicly mourned by thousandsg". CBS News. December 21, 2011. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ October 19, 2013. สืบค้นเมื่อ August 31, 2013.
  41. Martin 2006, p. 508
  42. Constitution of North Korea (1988 amended) Wikisource
  43. 1 2 McNeill, David (December 20, 2011). "Kim Jong-Il: Leader of North Korea who deepened the cult of personality in his country following the death of his father". The Independent. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ December 14, 2013. สืบค้นเมื่อ February 14, 2013.
  44. Piven, Ben (April 10, 2012). "North Korea celebrates 'Juche 101'". Al Jazeera. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ May 23, 2013. สืบค้นเมื่อ August 22, 2013.
  45. Lee, Hy-Sang (2001). North Korea: A Strange Socialist Fortress. Greenwood Publishing Group. p. 220. ISBN 978-0275969172. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ January 11, 2014. สืบค้นเมื่อ August 22, 2013.
  46. 1 2 Mi Jin, Kang (July 5, 2014). "Kim's Death Sees Songs and Ten Days of Mourning". Daily NK. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ July 7, 2014. สืบค้นเมื่อ July 5, 2014.
  47. Woo, Jaeyeon & Gale, Alastair (December 23, 2011). "Pyongyang Myth-Builders Step It Up". The Wall Street Journal. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ February 22, 2014. สืบค้นเมื่อ February 8, 2014.
  48. Becker, Jasper (2005). Rogue Regime : Kim Jong Il and the Looming Threat of North Korea. Oxford University Press. p. 91. ISBN 978-0198038108. สืบค้นเมื่อ December 19, 2014.
  49. Dae-Sook 1988, p. 284
  50. Dae-Sook 1988, pp. 276–280
  51. Demick 2009, p. 123
  52. 1 2 Marquand, Robert (January 3, 2007). "N. Korea escalates 'cult of Kim' to counter West's influence". The Christian Science Monitor. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ January 8, 2012. สืบค้นเมื่อ May 24, 2013.
  53. Jeon, Yeongseon (2006). 다시 고쳐 쓴 북한의 사회와 문화 [A New View of North Korean Society and Culture] (ภาษาเกาหลี). 역락. ISBN 8955564910.
  54. 1 2 3 4 Lanʹkov, Andreĭ N. (2007). North of the DMZ: Essays on Daily Life in North Korea. US: McFarland and Company. pp. 26–27. ISBN 978-0786428397. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2014-01-11.
  55. Ryall, Julian (January 31, 2011). "The Incredible Kim Jong-il". The Telegraph. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ April 18, 2012. สืบค้นเมื่อ January 8, 2013.
  56. "N.Korea leader sets world fashion trend: Pyongyang". FRANCE 24. 7 April 2010. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 19 December 2011. สืบค้นเมื่อ 19 December 2011.
  57. "Unprecedented Natural Phenomena on Jong Il Peak". Korean Central News Agency. February 12, 2009. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ October 12, 2014. สืบค้นเมื่อ February 10, 2014.
  58. Bell, Melissa (December 20, 2011). "Kimjongilia: the flower of a fallen dictator". Washington Post. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ January 29, 2012. สืบค้นเมื่อ June 13, 2013.
  59. "Mother nature mourns Kim Jong-il death". The Telegraph. December 22, 2011. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ February 15, 2012. สืบค้นเมื่อ January 8, 2013.
  60. Jong-un, Kim (2012). "Let us brilliantly accomplish the revolutionary cause of Juche". Naenara. p. 1. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ January 15, 2013. สืบค้นเมื่อ January 8, 2013.
  61. Choe Sang-hun; Norimitsu Onishi (December 20, 2011). "North Korea's Tears: A Blend of Cult, Culture and Coercion". The New York Times. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ November 7, 2012. สืบค้นเมื่อ February 11, 2013.
  62. Geoghegan, Tom (December 20, 2011). "How genuine are the tears in North Korea?". BBC News. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ August 21, 2013. สืบค้นเมื่อ August 24, 2013.
  63. Ryall, Julian (January 26, 2012). "North Korea threatens to punish mobile-phone users as 'war criminals'". The Telegraph. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ August 25, 2013. สืบค้นเมื่อ September 1, 2013.
  64. 1 2 Song Min, Choi (January 11, 2012). "Harsh Punishments for Poor Mourning". Daily NK. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ August 24, 2013. สืบค้นเมื่อ September 1, 2013.
  65. "North Korean Official Executed With A Mortar Shell". Huffington Post UK. October 25, 2012. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ September 1, 2013. สืบค้นเมื่อ August 24, 2013.
  66. "N. Korean leader dismissed, purged 31 ranking officials after appointment as heir: lawmaker". Yonhap News Agency. October 23, 2010. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ March 5, 2016. สืบค้นเมื่อ August 29, 2013.
  67. "Was a North Korean General Really Executed by Mortar Fire?". Foreign Policy. October 31, 2012. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ September 1, 2013. สืบค้นเมื่อ September 1, 2013.
  68. 1 2 "Kim Jong-il statue unveiled in North Korea". The Telegraph. February 14, 2012. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ November 13, 2012. สืบค้นเมื่อ August 11, 2013.
  69. 1 2 3 "Kim Jong-il Personality Cult 'Cost $40 Million'". The Chosun Ilbo. August 25, 2012. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ September 21, 2013. สืบค้นเมื่อ August 11, 2013.
  70. Fifield, Anna (August 25, 2012). "In North Korea, there's a new growth industry: Statues of Kim Jong Il". Washington Post. สืบค้นเมื่อ July 29, 2015.
  71. 1 2 "THROWBACK/ Shades of North Korea's founder in its young new leader". The Asahi Shimbun. Associated Press. January 7, 2013. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ October 17, 2013. สืบค้นเมื่อ January 9, 2013.
  72. Chance, David; Kim, Jack (December 19, 2011). "North Korea mourns dead leader, son is Great Successor". Reuters. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ January 23, 2013. สืบค้นเมื่อ January 9, 2013.
  73. Wadhams, Nicholas (9 May 2016). "What you are not allowed to call Kim Jong-un when visiting North Korea". The Independent. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2022-06-21.
  74. "Slogan Hailing Kim Jong-un Carved into Hillside". The Chosun Ilbo. November 22, 2012. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ January 2, 2013. สืบค้นเมื่อ February 14, 2013.
  75. Ramzy, Austin (July 18, 2012). "Propaganda Campaign Grows in North Korea as Kim Jong Un Consolidates Power". Time Magazine. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ October 22, 2013. สืบค้นเมื่อ October 16, 2013.
  76. "Kim Jong Un Named N. Korea 'Supreme Leader'". CBN.com. December 29, 2011. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ March 9, 2014. สืบค้นเมื่อ January 9, 2013.
  77. "Half-kilometre long Kim Jong-un propaganda message visible from space". National Post. November 23, 2012. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ April 11, 2013. สืบค้นเมื่อ February 14, 2013.
  78. "Ten Principles for the Establishment of the One-Ideology System". Columbia Law School. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ May 16, 2013. สืบค้นเมื่อ October 16, 2013.
  79. Mi Jin, Kang (August 9, 2013). "NK Adds Kim Jong Il to 'Ten Principles'". Daily NK. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ October 17, 2013. สืบค้นเมื่อ October 16, 2013.
  80. "N.Korean Regime Consolidating Personality Cult". The Chosun Ilbo. October 10, 2013. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ October 12, 2013. สืบค้นเมื่อ October 16, 2013.
  81. Mansourov, Alexandre (December 13, 2013). "North Korea: What Jang's Execution Means for the Future". 38 North. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ December 19, 2013. สืบค้นเมื่อ December 21, 2013.
  82. Panda, Ankit (December 13, 2013). "What Jang Song-Thaek's Purge Tells Us About Kim Jong-Un's Ambitions". The Diplomat. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ December 22, 2013. สืบค้นเมื่อ December 21, 2013.
  83. Ryall, Julian (January 9, 2015). "Kim Jong-un orders new statues to strengthen family cult". เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ January 21, 2015. สืบค้นเมื่อ January 20, 2015.
  84. Macdonald, Hamish (January 12, 2017). "North Korea to erect first major monument to Kim Jong Un". NK News. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ March 2, 2017. สืบค้นเมื่อ March 1, 2017.
  85. Chae Hwan, Kim (January 26, 2017). "North Korean regime in search of suitable site for Kim Jong Un's mosaic mural". Daily NK. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ March 2, 2017. สืบค้นเมื่อ March 1, 2017.
  86. 1 2 3 4 Suh, D.-S. (1988). Kim Il Sung: The North Korean Leader. New York: Columbia University Press.
  87. Lim, Jae-Cheon (2015). Leader Symbols and Personality Cult in North Korea: The Leader State. Routledge. pp. 24–25. ISBN 978-1317567417.
  88. "Kim Il-sung Condensed Biography". Association for the Study of Songun Politics UK. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ June 20, 2012. สืบค้นเมื่อ June 14, 2013.
  89. 1 2 Martin 2004, p. 18
  90. 1 2 3 Lankov, A. N. "North Korea in 1945-8." From Stalin to Kim Il Sung: The Formation of North Korea, 1945-1960. New Brunswick, NJ: Rutgers UP, 2002. 1-48. Print.
  91. Martin 2004, p. 727.
  92. Dae-Sook 1988, p. 5
  93. "More Materials and Relics Added to Ponghwa-ri Revolutionary Museum". KCNA. 20 July 2007. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 12 October 2014.
  94. "Ponghwa Revolutionary Site". KCNA. 15 March 2011. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 12 October 2014.
  95. "National Meeting on International Women's Day Held". Korean Central News Agency. March 8, 2012. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ February 19, 2014. สืบค้นเมื่อ February 28, 2014.
  96. Jin I, Choi (February 25, 2005). "Unrevealed Story of Kim Jong Suk, Mother of Kim Jong Il". Daily NK. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ September 23, 2015. สืบค้นเมื่อ February 28, 2014.
  97. Dae-Sook 1988, p. 279
  98. "Wax Replica of Kim Jong Suk Displayed". Korean Central News Agency. April 26, 2012. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ February 28, 2014. สืบค้นเมื่อ February 28, 2014.
  99. 1 2 Cho Jong-ik (30 July 2012). ""Great Mother" revealed to World". Daily NK. สืบค้นเมื่อ 1 July 2012.
  100. "2019123001003568200281461.jpg".
  101. Young-ki, Ko (26 June 2012). "Happy Birthday, Koh Young Hee". Daily NK. สืบค้นเมื่อ 29 March 2013.
  102. "Ko Yong-hui Grave". Radio Free Asia. 30 March 2016. สืบค้นเมื่อ 16 October 2016.
  103. Melvin, Curtis (8 April 2016). "Kim Jong-un's mother's grave (Ko Yong-hui)". NK Economy Watch. สืบค้นเมื่อ 16 October 2016.
  104. Hwang, Kyung Moon. "Early North Korea." A History of Korea: An Episodic Narrative. Houndmills, Basingstoke, Hampshire: Palgrave Macmillan, 2010. 213-24. Print.
  105. Cumings, B. (2004). North Korea: Another Country. New York: The New Press.
  106. McCormack, Gavan, Target North Korea: Pushing North Korea to the Brink of Nuclear Catastrophe. Nation Books, 2004. 59.
  107. Cha, Victor (2013). The Impossible State: North Korea Past and Future. New York: ECCO, HarperCollins. p. 73. ISBN 978-0061998515.
  108. Demick 2009, pp. 99–100
  109. Adrian Brown (2011). "Satellites uncover North Korea". BBC News. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2013-09-03. สืบค้นเมื่อ 2013-09-01.
  110. Worden, Robert L (2009). North Korea: A Country Study. United States: Government Printing Office. p. 76. ISBN 978-0160814228. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2013-12-11.
  111. Bogle, Jacob (February 27, 2019). "The Monuments of North Korea". AccessDPRK. สืบค้นเมื่อ May 12, 2019.
  112. Lankov, Andrei (May 3, 2012). "Potent portraits in North Korea". Asia Times Online. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ November 6, 2018. สืบค้นเมื่อ 2013-09-01.{{cite web}}: CS1 maint: unfit URL (ลิงก์)
  113. 1 2 Demick 2009, p. 316
  114. Hotham, Oliver (4 September 2015). "Portraits to inspire and intimidate: North Korea's omnipresent leaders". The Guardian. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 5 September 2015. สืบค้นเมื่อ 4 September 2015.
  115. Jeffery, Simon (April 28, 2004). "Train blast victims died saving leaders' portraits". The Guardian. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ August 28, 2013. สืบค้นเมื่อ February 11, 2013.
  116. Glionna, John M. (January 23, 2010). "North Korea honors seamen who tried to save Kim portraits". LA Times. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ December 24, 2013. สืบค้นเมื่อ August 21, 2013.
  117. "DPRK honors schoolgirl who died saving Kim portraits". People's Daily Online. June 28, 2012. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ November 5, 2012. สืบค้นเมื่อ February 11, 2013.
  118. Taylor, Adam (June 27, 2012). "A 14-year-old girl died trying to save a portrait of Kim Jong Il and now she's being called a hero". Business Insider. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ April 26, 2013. สืบค้นเมื่อ February 11, 2013.
  119. Burdick 2010, p. 100
  120. Hassig 2009, p. 53
  121. Kim 2001, p. 20
  122. Johanson, Mark (January 23, 2013). "Kim Jong-il's Mausoleum, As Described By Its First Western Visitors". International Business Times. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ September 28, 2013. สืบค้นเมื่อ February 14, 2013.
  123. "Pyongyang: budget to deify Kim Jong-il increasing". AsiaNews C.F. January 10, 2007. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ October 16, 2013. สืบค้นเมื่อ October 13, 2013.
  124. Firn, Mike (December 5, 2012). "Kim Jong-il personality cult costs North Korea £62m". The Daily Telegraph. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ November 4, 2013. สืบค้นเมื่อ October 13, 2013.
  125. Martin 2006, p. 322-223
  126. Jong Ik, Cho (December 25, 2013). "2014 Calendar Reveals Few Surprises". Daily NK. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ December 28, 2013. สืบค้นเมื่อ December 28, 2013.
  127. Talmadge, Eric (April 16, 2013). "N Korea, Marking Leader's Birthday, Shows More Ir". Associated Press. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ December 24, 2013. สืบค้นเมื่อ August 23, 2013.
  128. "North Korea marks Kim Jong-il's birthday with parade and flowers". The Guardian. February 16, 2012. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ December 24, 2013. สืบค้นเมื่อ August 23, 2013.
  129. "North Koreans mark major national holiday amid missile launch fears". Fox News. April 15, 2013. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ August 26, 2013. สืบค้นเมื่อ August 23, 2013.
  130. MacLeod, Calum (April 15, 2013). "North Korea celebrates dictator's birth with flowers, no missiles". USA Today. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ August 20, 2013. สืบค้นเมื่อ August 23, 2013.
  131. Martin 2006, p. 328
  132. "North Korean museum shows off leaders' gifts". TheAge.com. Reuters. December 26, 2006. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ March 5, 2013. สืบค้นเมื่อ January 8, 2013.
  133. Kim, Byoung-lo Philo (1992). Two Koreas in development: a comparative study of principles and strategies of capitalist and communist Third World development. Transaction Publishers. p. 102. ISBN 978-0887384370.
  134. Vines, Stephen (August 14, 1997). "The Great Leader rules from beyond the grave". The Independent. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ January 22, 2014. สืบค้นเมื่อ August 25, 2013.
  135. "Chosun: North Korea's Love-Hate Relationship with History". New Focus International. พฤษภาคม 31, 2013. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ ธันวาคม 24, 2013. สืบค้นเมื่อ พฤษภาคม 31, 2013.
  136. Williams, Holly (December 19, 2011). "Inside North Korea: Cult Of The Kim Family". Sky News. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ December 24, 2013. สืบค้นเมื่อ August 25, 2013.