ลัทธิบูชาบุคคลเกาหลีเหนือ

ลัทธิบูชาบุคคลเกาหลีเหนือ ที่แวดล้อมตระกูลคิม[2] มีอยู่ในเกาหลีเหนือมานานหลายทศวรรษและสามารถพบเห็นได้ในตัวอย่างมากมายของวัฒนธรรมเกาหลีเหนือ[3] แม้รัฐบาลเกาหลีเหนือจะไม่ได้ยอมรับ แต่ผู้แปรพักตร์และชาวตะวันตกหลายคนระบุว่ามักมีการลงโทษอย่างรุนแรงสำหรับผู้วิพากษ์วิจารณ์หรือไม่แสดงความเคารพอย่าง "เหมาะสม" ต่ออดีตผู้นำของประเทศอย่างคิม อิล-ซ็องและคิม จ็อง-อิล[4][5] ซึ่งได้รับการเรียกขานอย่างเป็นทางการว่าเป็น"ผู้นำตลอดกาลของเกาหลี" ลัทธิบูชาบุคคลนี้เริ่มต้นขึ้นไม่นานหลังคิม อิล-ซ็องขึ้นสู่อำนาจใน ค.ศ. 1948 และขยายตัวอย่างมากหลังอสัญกรรมของเขาใน ค.ศ. 1994
ขณะที่ประเทศอื่น ๆ มีลัทธิบูชาบุคคลในระดับที่แตกต่างกันไป แต่ความครอบคลุมและสุดขั้วของลัทธิบูชาบุคคลของเกาหลีเหนือได้ก้าวข้ามอิทธิพลดั้งเดิมของมันอย่างโจเซฟ สตาลินและเหมา เจ๋อตง[6] ลัทธินี้ยังโดดเด่นด้วยความเข้มข้นของความรู้สึกและความจงรักภักดีที่ผู้คนมีต่อผู้นำของพวกเขา[7] รวมถึงบทบาทสำคัญที่อุดมการณ์ครอบครัวนิยมที่ได้รับอิทธิพลจากขงจื๊อมีส่วนในการรักษาลัทธินี้และด้วยเหตุนี้จึงช่วย ค้ำจุนระบอบไว้ด้วย ลัทธิบูชาบุคคลเกาหลีเหนือเป็นส่วนสำคัญของชูเช อุดมการณ์อย่างเป็นทางการของประเทศ
ภูมิหลัง
[แก้]ตามที่ซอ แด-ซุกระบุไว้ ลัทธิบูชาบุคคลที่แวดล้อมตระกูลคิมนั้นเรียกร้องความจงรักภักดีและการยอมจำนนอย่างสมบูรณ์ต่อตระกูลคิมและสร้างให้ประเทศเป็น เผด็จการคนเดียวสืบทอดกันไปหลายชั่วอายุ[8] รัฐธรรมนูญเกาหลีเหนือ ค.ศ. 1972 รวมเอาแนวคิดของคิม อิล-ซ็องเป็นหลักการชี้นำเดียวของรัฐและกิจกรรมของเขาเป็นมรดกทางวัฒนธรรมเดียวของประชาชน[9] จากข้อมูลของ นิวโฟกัสอินเตอร์เนชันแนล ลัทธิบูชาบุคคล โดยเฉพาะที่เกี่ยวกับคิม อิล-ซ็อง มีความสำคัญอย่างยิ่งต่อ การทำให้การสืบทอดอำนาจทางสายเลือดของตระกูลเป็นไปอย่างชอบธรรม[10] และพัก ยง-ซูกล่าวในวารสาร ออสเตรเลียนเจอร์นัลออฟอินเตอร์เนชันแนลแอฟแฟส์ ว่า "ศักดิ์ศรีของซูรย็อง [ผู้นำผู้ยิ่งใหญ่] ได้รับการให้ความสำคัญสูงสุดเหนือสิ่งอื่นใดในเกาหลีเหนือ"[11]
คิม อิล-ซ็องพัฒนาอุดมการณ์ทางการเมืองของแนวคิดชูเช โดยทั่วไปเข้าใจกันว่าคือการพึ่งพาตนเอง และพัฒนาแนวคิดนี้ให้ก้าวหน้ายิ่งขึ้นในช่วงทศวรรษ 1950 ถึง 1970 ชูเชกลายเป็นแนวทางหลักของความคิด การศึกษา วัฒนธรรมและชีวิตทุกรูปแบบทั่วทั้งประเทศ[12] กระทั่งคิม จ็อง-อิลนำนโยบายซ็อนกุน (ทหารมาก่อน) มาใช้ใน ค.ศ. 1995 ซึ่งเป็นการส่งเสริมปรัชญาชูเช[13] และมีผลกระทบอย่างมากต่อนโยบายเศรษฐกิจของชาติ[14]
ในการประชุมพรรคครั้งที่ 4 ที่จัดขึ้นในเดือนเมษายน ค.ศ. 2012 คิม จ็อง-อึนให้นิยามเพิ่มเติมเกี่ยวกับชูเชว่าเป็นแนวคิดที่ครอบคลุมของคิม อิล-ซ็อง ซึ่งได้รับการพัฒนาและทำให้ลึกซึ้งยิ่งขึ้นโดยคิม จ็อง-อิล ดังนั้นจึงเรียกมันว่า "ลัทธิคิมอิลซ็อง-คิมจ็องอิล" และระบุว่านี่คือ "แนวคิดชี้นำเดียวของพรรค" และของประเทศ[15][16][17]
ตามรายงานเมื่อ ค.ศ. 2013 โดย นิวโฟกัสอินเตอร์เนชันแนล สิ่งพิมพ์ข่าวหลักสองแห่งของเกาหลีเหนือ (โรดงชินมุน และสำนักข่าวกลางเกาหลี) ตีพิมพ์บทความที่เกี่ยวข้องกับ "ลัทธิบูชาคิม" ประมาณ 300 บทความต่อเดือน[18]รายงานยังระบุเพิ่มเติมว่าเมื่อคิม จ็อง-อิลถึงแก่อสัญกรรม พลเมืองเกาหลีเหนือโดยเฉลี่ยเริ่มเบื่อหน่ายกับโฆษณาชวนเชื่อจำนวนมหาศาลที่แวดล้อมตระกูลคิม[18] ในทำนองเดียวกัน เดลีเอ็นเค ก็ตีพิมพ์ใน ค.ศ. 2015 ว่าคนรุ่นใหม่มีความสนใจในโลกภายนอกมากขึ้นและรัฐบาลกำลังประสบปัญหาในการรักษาความภักดีของคนรุ่น "ชังมาดัง" (ตลาด) และส่งเสริมการบูชาคิม จ็อง-อึน[19]
รัฐบาลเกาหลีเหนืออ้างว่าไม่มีลัทธิบูชาบุคคล แต่กลับเป็นการสนับสนุนอย่างแท้จริง ไม่ใช่แค่ต่อผู้นำของประเทศเท่านั้น แต่ยังรวมถึงปรัชญาสังคมนิยมชูเชด้วย[20]
คิม อิล-ซ็อง
[แก้]


ลัทธิบูชาบุคคลที่แวดล้อมคิม อิล-ซ็องนั้นแพร่หลายที่สุดในหมู่ประชาชน[21] แม้จะมีความรักแท้ต่อคิม อิล-ซ็อง แต่สิ่งนี้ก็ถูกรัฐบาลบิดเบือนเพื่อวัตถุประสงค์ทางการเมือง[22]
การเคารพบูชาคิม อิล-ซ็องมีผลอย่างเต็มที่ภายหลังการกวาดล้างครั้งใหญ่ใน ค.ศ. 1953[23] ใน ค.ศ. 1967 คิม จ็อง-อิลได้รับแต่งตั้งให้ดูแลกรมโฆษณาชวนเชื่อและสารสนเทศแห่งรัฐ ที่ซึ่งเขาเริ่มทุ่มเทในการพัฒนาการเคารพบูชาบิดาของเขา[24] เป็นช่วงเวลานี้เองที่คำว่า วีแดฮันซูรย็อง ('ผู้นำผู้ยิ่งใหญ่') เริ่มถูกนำมาใช้เป็นปกติ[25] อย่างไรก็ตาม คิม อิล-ซ็องได้เริ่มเรียกตัวเองว่า "ผู้นำผู้ยิ่งใหญ่" มาตั้งแต่ ค.ศ. 1949 แล้ว[26]
ฮวัง จัง-ย็อบ ผู้แปรพักตร์ชาวเกาหลีเหนือที่มีตำแหน่งสูงสุดเป็นอันดับสอง ได้กล่าวว่าประเทศเกาหลีเหนือถูกปกครองโดยอุดมการณ์เดียวของ "ผู้นำผู้ยิ่งใหญ่" อย่างสมบูรณ์ เขายังกล่าวอีกว่าในช่วงการล้มล้างอิทธิพลสตาลินในสหภาพโซเวียต เมื่อลัทธิบูชาบุคคลของสตาลินถูกรื้อถอนใน ค.ศ. 1956 นักเรียนเกาหลีเหนือบางคนที่กำลังศึกษาอยู่ในสหภาพโซเวียตก็เริ่มวิพากษ์วิจารณ์ลัทธิบูชาบุคคลของคิม อิล-ซ็องที่กำลังเติบโตเช่นกันและเมื่อพวกเขากลับบ้าน พวกเขา "ถูกสอบสวนอย่างเข้มข้นนานหลายเดือน" และ "ผู้ที่ถูกพบว่าน่าสงสัยแม้แต่น้อยที่สุดก็ถูกสังหารอย่างลับ ๆ"[27]
ตามชีวประวัติอย่างเป็นทางการ คิม อิล-ซ็องมาจากตระกูลผู้นำที่สืบทอดกันมายาวนานและประวัติศาสตร์สมัยใหม่ของเกาหลีเหนืออย่างเป็นทางการก็มุ่งเน้นไปที่ชีวิตและกิจกรรมของเขา[23] เขาได้รับยกย่องว่าเป็นผู้เอาชนะญี่ปุ่นได้ด้วยตัวคนเดียวเมื่อสิ้นสุดการยึดครองเกาหลี (โดยไม่คำนึงถึงความพยายามของโซเวียตและอเมริกา)[28] และเป็นผู้สร้างชาติขึ้นใหม่หลังสงครามเกาหลี ตลอดช่วงชีวิตของเขา เขาได้รับตำแหน่งอันทรงเกียรติ เช่น "ดวงอาทิตย์", "ประธานาธิบดีผู้ยิ่งใหญ่", "ผู้นำแห่งสวรรค์" และอีกมากมาย รวมถึงรางวัลต่าง ๆ เช่น "เหรียญทองวีรบุรุษสองเท่า"[23][29][30] ตำแหน่งและรางวัลเหล่านี้มักตั้งขึ้นเองและธรรมเนียมปฏิบัตินี้ก็จะถูกทำซ้ำโดยบุตรชายของเขา[30] สำนักข่าวกลางเกาหลี (สำนักข่าวของรัฐบาลอย่างเป็นทางการ) รายงานอย่างต่อเนื่องเกี่ยวกับตำแหน่งและความชื่นชมที่ผู้นำระดับโลกรวมถึงเหมา เจ๋อตงของจีน ฟิเดล กัสโตรของคิวบา และจิมมี คาร์เตอร์ของสหรัฐมอบให้แก่คิม อิล-ซ็อง[29]

สิ่งพิมพ์สำคัญทั้งหมด (หนังสือพิมพ์ ตำราเรียน ฯลฯ) ต้องมีการอ้างถึง "คำสอน" จากคิม อิล-ซ็อง[23] นอกจากนี้ ชื่อของเขาต้องเขียนเป็นคำเดียวในบรรทัดเดียว ห้ามแบ่งเป็นสองส่วนหากมีการขึ้นหน้าใหม่หรือข้อความหมดบรรทัด (ตัวอย่างเช่น: คิม อิล-ซ็อง ไม่ใช่ คิม อิล...ซ็อง)[31]
เด็กชาวเกาหลีเหนือได้รับการสอนในโรงเรียนว่าพวกเขาได้รับอาหาร เครื่องนุ่งห่มและการเลี้ยงดูในทุก ๆ ด้านด้วย "พระคุณของท่านประธาน"[23] โรงเรียนประถมขนาดใหญ่ในประเทศมีห้องหนึ่งที่จัดไว้สำหรับการบรรยายเกี่ยวกับคิม อิล-ซ็องโดยเฉพาะ (เป็นที่รู้จักในชื่อสถาบันวิจัยคิม อิล-ซ็อง) ห้องเหล่านี้ได้รับการดูแลเป็นอย่างดี สร้างจากวัสดุคุณภาพสูง และมีแบบจำลองสถานที่เกิดของเขาที่มันกย็องแด[32] ขนาดภาพเหมือนของเขาที่ประดับอยู่บนอาคารสาธารณะได้รับการควบคุมให้ได้สัดส่วนกับขนาดของอาคารที่ภาพนั้นแขวนอยู่[33] สถานที่เกิดของเขาก็กลายเป็นที่แสวงบุญด้วยเช่นกัน[23]
คัง ช็อล-ฮวันเขียนถึงวัยเด็กของเขาในเกาหลีเหนือว่า:
ในสายตาของเด็กไร้เดียงสาอย่างผมและของเพื่อน ๆ ผมทุกคน คิม อิล-ซ็องและคิม จอง-อิลคือสิ่งมีชีวิตที่สมบูรณ์แบบ ไร้มลทินจากเรื่องพื้นฐานของมนุษย์ใด ๆ ผมเชื่อสนิทใจ เช่นเดียวกับพวกเราทุกคน ว่าทั้งสองท่านไม่เคยปัสสาวะหรืออุจจาระ ใครจะจินตนาการเรื่องแบบนั้นกับเทพเจ้าได้เล่า?"[34]
ในบันทึกความทรงจำของเขา กับศตวรรษ (With the Century) คิม อิล-ซ็องเล่าเกร็ดเล็กเกร็ดน้อยเกี่ยวกับบิดาและปู่ของเขาที่ให้เหตุผลเบื้องหลังการนำเสนอภาพลักษณ์ผู้นำเกาหลีเหนือที่บริสุทธิ์ไร้ที่ติแก่ผู้ติดตาม บันทึกความทรงจำกล่าวว่าเมื่อครั้งยังเป็นนักเรียนหนุ่ม บิดาของคิม อิล-ซ็องมักถูกใช้ให้ไปเอาเหล้าให้ครูคนหนึ่งที่ดื่มเหล้าเป็นประจำ กระทั่งวันหนึ่งบิดาของเขาเห็นครูที่เมามายล้มคว่ำหน้าลงไปในคูน้ำ สิ่งนี้นำไปสู่การเผชิญหน้าซึ่งนักเรียนหนุ่มได้ทำให้ครูผู้เขินอายเลิกดื่มเหล้าไปโดยสิ้นเชิง ปู่ของคิม อิล-ซ็องสรุปข้อคิดจากเรื่องราวนี้:
ความเห็นของปู่ของฉันเป็นแบบนี้: ถ้าลูกศิษย์แอบสอดแนมชีวิตส่วนตัวของครูบ่อย ๆ พวกเขาก็จะหมดความยำเกรงในตัวครู ครูจะต้องสร้างความเชื่อมั่นอย่างแน่วแน่ให้กับลูกศิษย์ว่าครูไม่กินข้าว ไม่ปัสสาวะ เมื่อนั้นเขาจึงจะสามารถรักษาอำนาจในโรงเรียนไว้ได้ ดังนั้นคุณครูจึงควรสร้างฉากกั้นและใช้ชีวิตอยู่เบื้องหลังฉากนั้น[35]
ซอ แด-ซุก นักเขียนชีวประวัติ ตั้งข้อสังเกตว่า:
ระดับการยกย่องสรรเสริญมักจะเข้าขั้นความคลั่งไคล้ รูปภาพของเขาจะถูกแสดงไว้ก่อนธงชาติและตราแผ่นดิน เพลงจอมพลคิม อิล-ซ็องจะถูกเปิดก่อนเพลงชาติ สถาบันอุดมศึกษาที่ดีที่สุดถูกตั้งชื่อตามเขา โรงเรียนพรรคที่สูงที่สุดก็ถูกตั้งชื่อตามเขาเช่นกัน และยังมีเพลง บทกวี เรียงความ เรื่องราว และแม้กระทั่งดอกไม้ที่ตั้งชื่อตามเขาด้วย[36]

คิมอิลซ็องเกีย (Kimilsungia) เป็นกล้วยไม้ที่ตั้งชื่อตามคิม อิล-ซ็องโดยอดีตประธานาธิบดีซูการ์โนของอินโดนีเซีย[37] กล้วยไม้ชนิดนี้ได้รับการตั้งชื่อใน ค.ศ. 1965 ระหว่างการเยือนสวนพฤกษศาสตร์โบกอร์ จากสุนทรพจน์ของคิม จ็อง-อิลใน ค.ศ. 2005 ซูการ์โนและผู้อำนวยการสวนต้องการตั้งชื่อดอกไม้ตามคิม อิล-ซ็อง แต่คิม อิล-ซ็องปฏิเสธ อย่างไรก็ตาม ซูการ์โนยังคงยืนกรานว่า "ไม่นะ ท่านได้สร้างคุณูปการอันใหญ่หลวงแก่มนุษยชาติ ดังนั้นท่านสมควรได้รับเกียรติอันสูงส่ง"[38] ภายในประเทศ ดอกไม้ชนิดนี้ (และคิมจ็องอิเลีย (Kimjongilia) ซึ่งจะกล่าวถึงด้านล่าง) ถูกนำมาใช้ในการยกย่องเชิดชูผู้นำ[39]
เมื่อคิม อิล-ซ็องถึงแก่อสัญกรรมใน ค.ศ. 1994 คิม จ็อง-อิลประกาศให้มีการไว้ทุกข์ทั่วประเทศเป็นเวลาสามปี[40] ผู้ที่พบว่าละเมิดกฎการไว้ทุกข์ (เช่น การดื่มเหล้า) จะถูกลงโทษ[41] หลังอสัญกรรมของเขา คิม อิล-ซ็องได้รับการเรียกขานว่า "ประธานาธิบดีตลอดกาล" ใน ค.ศ. 1998 รัฐธรรมนูญของชาติถูกเปลี่ยนแปลงเพื่อสะท้อนสิ่งนี้[42] เมื่อบิดาถึงแก่อสัญกรรม คิม จ็อง-อิลได้ขยายลัทธิบูชาบุคคลของประเทศให้ยิ่งใหญ่ขึ้นอย่างมาก[43]
ใน ค.ศ. 1997 เกาหลีเหนือนำระบบปฏิทินชูเชมาใช้ ซึ่งเริ่มต้นนับปีที่ 1 ตรงกับวันเกิดของคิม อิล-ซ็อง (15 เมษายน ค.ศ. 1912) และเข้ามาแทนที่ปฏิทินเกรกอรี[44][45] ปี 2025 จึงเท่ากับปีชูเช 114 (ไม่มีปีที่ 0 ในระบบนี้)
วันที่ 8 กรกฎาคม ค.ศ. 2014 ถือเป็นวันครบรอบ 20 ปีอสัญกรรมของคิม อิล-ซ็อง ทางการเกาหลีเหนือประกาศระยะเวลาไว้ทุกข์สิบวันตั้งแต่วันที่ 1 ถึง 10 กรกฎาคม[46] การรำลึกนี้มีการบรรยาย การจัดกลุ่มเรียน การแสดงของคณะนักร้องประสานเสียงท้องถิ่น ฯลฯ โดยมีการระดมเด็กและแรงงานเข้าร่วมกิจกรรมต่าง ๆ ตามคำกล่าวของชาวเมืองฮเยซันคนหนึ่ง "ทุกวันนี้ผู้คนลำบาก... เพราะกิจกรรมที่เกี่ยวข้องกับการอสัญกรรมของท่านผู้นำผู้ยิ่งใหญ่ (ซูรย็อง) จัดขึ้นทุกวันในสหภาพสตรีประชาธิปไตยและสถานที่ทำงาน" แต่ถึงอย่างไร ชาวเมืองคนนั้นกล่าวว่า "ไม่มีใครบ่นเกี่ยวกับเรื่องนี้เลย บางทีอาจเป็นเพราะนับตั้งแต่การกวาดล้างชัง ซ็อง-แท็กเมื่อปีที่แล้ว ถ้าคุณมีเรื่องกับพวกเขา พวกเขาก็จะลากตัวคุณไป[46]
คิม จ็อง-อิล
[แก้]
เพื่อให้สอดคล้องกับตำนานสมัยใหม่ที่แพร่หลายในประวัติศาสตร์ของเกาหลีเหนือ ซึ่งถูกมองว่ามีความสำคัญอย่างยิ่งต่อลัทธิบูชาบุคคลและการควบคุมทางการเมือง[47] มีการกล่าวอ้างว่าคิม จ็อง-อิลเกิดบนภูเขาแพ็กดู ณ ฐานทัพลับของบิดาใน ค.ศ. 1942 (แต่ความจริงแล้วเขาเกิดใน ค.ศ. 1941 ในสหภาพโซเวียต) และการกำเนิดของเขามีสัญญาณบอกเหตุด้วยนกนางแอ่น ทำให้ฤดูหนาวเปลี่ยนเป็นฤดูใบไม้ผลิ ดาวส่องสว่างบนท้องฟ้า และรุ้งกินน้ำสองชั้นก็ปรากฏขึ้นเอง[48] ข้อกล่าวอ้างเหล่านี้ เช่นเดียวกับที่เกี่ยวกับบิดาของเขา ยังคงดำเนินต่อไปตลอดชีวิตของคิม จ็อง-อิล[43][49]
ตั้งแต่ต้นทศวรรษ 1970 คิม อิล-ซ็องเริ่มพิจารณาประเด็นเรื่องการสืบทอดอำนาจ แม้ในตอนแรกจะทำอย่างลับ ๆ แต่พอถึง ค.ศ. 1975 คิม จ็อง-อิลก็ถูกเรียกว่าเป็น "ศูนย์กลางพรรค" หรือถูกกล่าวถึงร่วมกับบิดาด้วยคำว่า "ผู้นำผู้ยิ่งใหญ่ของเราและศูนย์กลางพรรค" ใน ค.ศ. 1977 การยืนยันการสืบทอดตำแหน่งของคิม จ็อง-อิลอย่างเป็นทางการด้วยชื่อถูกตีพิมพ์ในหนังสือเล่มเล็กเล่มหนึ่งซึ่งระบุว่าคิมผู้ลูกเป็นทายาทเพียงคนเดียวของคิม อิล-ซ็อง ว่าเขาเป็นผู้รับใช้ที่ซื่อสัตย์ของบิดาและได้สืบทอดคุณธรรมของบิดามาทั้งหมด และสมาชิกพรรคทุกคนต้องให้คำมั่นสัญญาว่าจะจงรักภักดีต่อคิม จ็อง-อิล นอกจากนี้ยังมีการกระตุ้นให้สนับสนุนอำนาจเด็ดขาดของเขาและเชื่อฟังเขาอย่างไม่มีเงื่อนไข[50]
ก่อน ค.ศ. 1996 คิม จ็อง-อิลสั่งห้ามการสร้างรูปปั้นของตนเองและไม่สนับสนุนให้มีภาพเหมือนของเขา[51] อย่างไรก็ตาม ใน ค.ศ. 1996 โรงเรียนต่าง ๆ ถูกกำหนดให้สร้างห้องแยกต่างหากสำหรับการบรรยายเกี่ยวกับคิม จ็อง-อิลโดยเฉพาะ ซึ่งรู้จักในชื่อ "สถาบันวิจัยคิม จ็อง-อิล" ห้องเหล่านี้มีแบบจำลองสถานที่เกิดของเขาด้วย[32] ปัจจุบันมี "สถาบันวิจัย" (รวมทั้งของคิม อิล-ซ็องและคิม จ็อง-อิล) ประมาณ 40,000 แห่งทั่วประเทศ ฝ[52]
ระหว่าง ค.ศ. 1973 ถึง 2012 คิม จ็อง-อิลได้รับตำแหน่งอย่างน้อย 54 ตำแหน่ง ส่วนใหญ่แทบไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับความสำเร็จทางการเมืองหรือการทหารที่แท้จริงเนื่องจากเขาไม่เคยได้รับการฝึกฝนทางทหาร[53][54] ตำแหน่งที่ใช้บ่อยที่สุดของเขาคือ "ผู้นำที่รัก"
ตลอดช่วงชีวิตของเขา รัฐบาลออกรายงานโฆษณาชวนเชื่อมากมายเกี่ยวกับความสำเร็จอันยิ่งใหญ่ที่คิม จ็อง-อิลทำได้ เช่น การที่เขาสามารถเดินและพูดได้ก่อนอายุหกเดือน[55] หนังสือพิมพ์ โรดงชินมุน ของเกาหลีเหนือรายงานว่า "ผู้เชี่ยวชาญด้านสมัยนิยมชาวฝรั่งเศสที่ไม่ปรากฏชื่อ" กล่าวถึงสมัยนิยมของคิมว่า "สมัยนิยมแบบคิม จ็อง-อิลที่กำลังแพร่หลายไปทั่วโลกอย่างรวดเร็วเป็นสิ่งที่ไม่มีใครเคยเห็นมาก่อนในประวัติศาสตร์โลก"[56] สำนักข่าวกลางเกาหลียังรายงานอีกด้วยว่าจากคำบอกเล่าของผู้เห็นเหตุการณ์ "ธรรมชาติและท้องฟ้าได้เผยความปิติยินดีอันลึกลับเพื่อเฉลิมฉลองวันเกิดของคิม จ็อง-อิล"[57]
เพื่อเป็นการรำลึกถึงวันคล้ายวันเกิดครบรอบ 46 ปีของคิม จ็อง-อิล คาโม โมโตเทรุ นักพฤกษศาสตร์ชาวญี่ปุ่นเพาะพันธุ์ต้นบีโกเนียยืนต้นสายพันธุ์ใหม่และตั้งชื่อว่า "คิมจ็องอิเลีย" (Kimjongilia - หมายถึง "ดอกไม้ของคิม จ็อง-อิล")[58]
หลังอสัญกรรมของคิม จ็อง-อิล
[แก้]
หลังอสัญกรรมของเขาในวันที่ 17 ธันวาคม ค.ศ. 2011 สำนักข่าวกลางเกาหลี (KCNA) รายงานว่าชั้นน้ำแข็งที่ทะเลสาบช็อนบนภูเขาแพ็กดูได้แตกออกด้วยเสียงดังสนั่นอย่างไม่เคยปรากฏมาก่อนและเกิดพายุหิมะพร้อมลมแรงพัดถล่มบริเวณนั้น[59] เอกสารทางการเมืองที่เขียนโดยคิม จ็อง-อึน ลูกชายของเขา พยายามจะยกสถานะบิดาให้เป็น "เลขาธิการพรรคตลอดกาลของเรา"[60]หลายคนถูกพบเห็นว่ากำลังร้องไห้ระหว่างช่วงเวลาไว้ทุกข์ 100 วัน ซึ่งเป็นเรื่องปกติของสังคมขงจื๊อในเกาหลี และนักวิเคราะห์จากสถาบันรวมชาติเกาหลีของเกาหลีใต้ได้สรุปว่าความโศกเศร้าที่ประชาชนแสดงออกในช่วงเวลาไว้ทุกข์นั้นเป็นการแสดงออกถึงความเสียใจอย่างแท้จริง[61] อย่างไรก็ตาม นักข่าวจากฝั่งตะวันตกตั้งคำถามถึงความจริงใจของการแสดงความโศกเศร้าดังกล่าว[62]
คล้ายกับช่วงเวลาไว้ทุกข์ของคิม อิล-ซ็อง บุคคลที่ไม่ปฏิบัติตามระเบียบการไว้ทุกข์ 100 วัน[63] หรือถูกมองว่าไม่จริงใจในความโศกเศร้า[64] อาจถูกลงโทษและในบางกรณีอาจถูกประหารชีวิต[65] ตัวอย่างที่โดดเด่นของเรื่องนี้คือการเสียชีวิตที่ถูกกล่าวอ้างของคิม ช็อลและเจ้าหน้าที่ระดับสูงคนอื่น ๆ[66] อย่างไรก็ตาม ในกรณีของคิม ช็อล มีข้อสงสัยเกิดขึ้นเกี่ยวกับความน่าเชื่อถือของเรื่องราวต้นฉบับ โดยนิตยสาร ฟอเรนโพลีซี ระบุว่าเรื่องราวเกี่ยวกับการเสียชีวิตอย่างรุนแรงของชนชั้นนำเกาหลีเหนือมัก "เกินจริง" และตั้งข้อสังเกตว่าข้อมูลที่เผยแพร่โดยสื่อเกาหลีใต้มีแนวโน้มว่าจะมาจาก "ข่าวลือ"[67]
มีการสร้างรูปปั้นสัมฤทธิ์ขนาดใหญ่หลายองค์ขึ้นเคียงข้างรูปปั้นของคิม อิล-ซ็อง รวมถึงรูปปั้นของคิม จ็อง-อิลและคิม อิล-ซ็องแต่ละองค์กำลังขี่ม้าสูง 5.7 เมตร (19 ฟุต) (เป็นอนุสรณ์ขนาดใหญ่แห่งแรกที่สร้างขึ้นหลังอสัญกรรมของคิม จ็อง-อิล)[68] และรูปปั้นสูง 23 เมตร (75 ฟุต) ที่มันซูแด เปียงยาง[69] รัฐบาลยังได้ปรับรูปปั้นของคิม อิล-ซ็องให้เป็นปัจจุบัน พร้อมทั้งสร้างรูปปั้นใหม่ของคิม จ็อง-อิลเคียงข้างรูปปั้นบิดาในเมืองหลวงของแต่ละจังหวัดและสถานที่อื่น ๆ[70]
หลังอสัญกรรมของเขา มีการจัดทำแสตมป์และเหรียญที่ระลึกจำนวนมากและมีการสลักคำขวัญตามข้างภูเขาเพื่อเป็นเกียรติแก่วันครบรอบวันเกิดปีที่ 70 ของเขา[68]
คิม จ็อง-อึน
[แก้]
คิม จ็อง-อึน หลานชายของผู้ก่อตั้งเกาหลีเหนือ ไม่ค่อยปรากฏตัวในที่สาธารณะและในรัฐบาลกระทั่งช่วงกลางทศวรรษ 2000 ใน ค.ศ. 2010 เขาเริ่มถูกกล่าวถึงในฐานะ "นายพลหนุ่ม" และภายในปลาย ค.ศ. 2011 ก็ถูกเรียกว่า "นายพลที่เคารพ"[71] เช่นเดียวกับบิดา คิม จ็อง-อึนไม่มีการฝึกฝนหรือรับราชการทหารอย่างเป็นทางการใด ๆ เมื่อบิดาถึงแก่อสัญกรรม สื่อของรัฐก็เริ่มเรียกเขาว่า "ผู้สืบทอดผู้ยิ่งใหญ่"[72] เขายังถูกเรียกว่า "ผู้เป็นที่รักและเคารพ"[73] หรือ "ผู้นำสูงสุด" ในช่วงที่เขายังเป็นผู้นำคนใหม่ การสร้างลัทธิบูชาบุคคลของเขาก็เริ่มต้นขึ้นแล้ว โดยมีโปสเตอร์ ป้าย และสื่อโฆษณาชวนเชื่อจำนวนมากถูกติดตั้งอยู่ทั่วประเทศ[74][75] นักข่าวจาก ดิอาซาฮิชิมบุน ของญี่ปุ่นกล่าวว่ารูปลักษณ์ที่คล้ายกับคิม อิล-ซ็องอย่างน่าทึ่งของเขาได้ช่วยเสริมสร้างให้เขาเป็นผู้นำที่ไม่มีข้อโต้แย้งในจิตใจของประชาชน[71]
คิม จ็อง-อึน ถือเป็นผู้นำรุ่นที่สามของราชวงศ์ตระกูลคิม ตามรายงานของ เดลีเอ็นเค ผู้ที่วิพากษ์วิจารณ์การสืบทอดอำนาจถูกส่งตัวไปยังค่ายปรับทัศนคติหรือถูกลงโทษในรูปแบบอื่น ๆ และหลังช่วงไว้ทุกข์แก่คิม จ็อง-อิล ทางการรัฐบาลก็เริ่มเพิ่มความพยายามสร้างลัทธิบูชาบุคคลของคิม จ็อง-อึน[64]
หลังอสัญกรรมของคิม จ็อง-อิล ประธานคณะผู้บริหารสูงสุดได้ประกาศว่า "สหายคิม จ็อง-อึนที่เคารพคือผู้นำสูงสุดของพรรค กองทัพ และประเทศของเรา ผู้ซึ่งสืบทอดอุดมการณ์ การนำ บุคลิก คุณธรรม ความมุ่งมั่น และความกล้าหาญของสหายคิม จ็อง-อิลผู้ยิ่งใหญ่'[76]
หลังผู้นำคนใหม่ขึ้นสู่อำนาจได้ไม่นาน มีการสร้างป้ายโฆษณาชวนเชื่อขนาดยาว 560 เมตร (1,840 ฟุต) เพื่อเป็นเกียรติแก่เขาใกล้กับทะเลสาบแห่งหนึ่งในจังหวัดรยังกัง ป้ายดังกล่าวซึ่งเชื่อกันว่าสามารถมองเห็นได้จากอวกาศ มีข้อความว่า "ท่านนายพลคิม จ็อง-อึน, ดวงตะวันเจิดจรัส จงเจริญ!"[77]
ใน ค.ศ. 2013 พรรคแรงงานเกาหลีทำการแก้ไขสิบหลักการสำหรับการสถาปนาระบบอุดมการณ์เอกานุภาพ ซึ่งในทางปฏิบัติแล้วหลักการนี้ทำหน้าที่เป็นอำนาจทางกฎหมายและกรอบการทำงานหลักของประเทศ[78][79] เพื่อเรียกร้องให้มีการ "เชื่อฟังอย่างเด็ดขาด" ต่อคิม จ็อง-อึน[80]
ชัง ซ็อง-แท็ก ลุงของคิม จ็อง-อึน ถูกประหารชีวิตในวันที่ 12 ธันวาคม ค.ศ. 2013 สาเหตุการเสียชีวิตส่วนหนึ่งมาจากการบ่อนทำลายลัทธิบูชาบุคคลของตระกูลคิม[81] การเสียชีวิตของเขายังถูกมองว่าเป็นการเคลื่อนไหวของคิม จ็อง-อึนเพื่อรวมศูนย์ลัทธิบูชาบุคคลของตัวเอง[82]
ใน ค.ศ. 2015 เมื่อสิ้นสุดระยะเวลาไว้ทุกข์อย่างเป็นทางการสามปีสำหรับอสัญกรรมของคิม จ็อง-อิล คิม จ็อง-อึนสั่งให้มีการสร้างอนุสรณ์แห่งใหม่ในทุก ๆ เทศมณฑลของเกาหลีเหนือและยังสั่งให้มีการปรับปรุงวังอนุสรณ์คึมซูซันครั้งใหญ่ด้วย ตามรายงานของ เดอะเดลีเทลิกราฟ นักวิเคราะห์กล่าวว่า "คำสั่งให้สร้างรูปปั้นเพิ่มเติมเพื่อยกย่องตระกูลคิมจะเป็นภาระทางการเงินอย่างหนักต่อเศรษฐกิจที่กำลังประสบปัญหาอยู่แล้วเนื่องด้วยการบริหารจัดการที่ผิดพลาดมานานหลายปีและมาตรการคว่ำบาตรจากนานาชาติ"[83]
มีการประกาศอนุสรณ์แห่งแรกที่จะอุทิศให้แก่คิม จ็อง-อึนอย่างน้อยบางส่วนในเดือนมกราคม ค.ศ. 2017[84] อนุสรณ์นี้จะถูกสร้างขึ้นบนภูเขาแพ็กดูและยังรวมถึงอนุสรณ์ที่อุทิศให้แก่คิม อิล-ซ็องและคิม จ็อง-อิล นอกจากนี้ ยังมีการวางแผนสร้าง "จิตรกรรมฝาผนังโมเสก" ของคิม จ็อง-อึนแบบเดี่ยวในเมืองสำคัญของแต่ละจังหวัดอีกด้วย[85]
คนอื่น ๆ
[แก้]ลัทธิบูชาบุคคลขยายไปถึงสมาชิกคนอื่น ๆ ในตระกูลคิม[9] แม้จะในระดับน้อยกว่าก็ตาม
คิม อึง-อู
[แก้]ตามประวัติศาสตร์อย่างเป็นทางการของเกาหลีเหนือ คิม อึง-อู ทวดฝั่งพ่อของคิม อิล-ซ็อง ต่อสู้กับเรือใบของอเมริกาชื่อยูเอสเอส เจเนรัลเชอร์แมน (USS General Sherman) ในอุบัติการณ์ ค.ศ. 1866 และยังเป็นนักเคลื่อนไหวต่อต้านญี่ปุ่น เกาหลีเหนือชนะการต่อสู้และยึดเรือลำนั้นได้ซึ่งปัจจุบันจัดแสดงอยู่ในพิพิธภัณฑ์ อย่างไรก็ตาม ข้อกล่าวอ้างเหล่านี้ยังไม่ได้รับการยืนยันและนักประวัติศาสตร์นอกเกาหลีเหนือจำนวนมากต่างสงสัยในความชอบธรรมของเรื่องราวเหล่านี้[86]
คัง พัน-ซ็อก
[แก้]คัง พัน-ซ็อก มารดาของคิม อิล-ซ็อง เป็นสมาชิกคนแรกในตระกูลคิมที่มีลัทธิบูชาบุคคลเป็นของตัวเอง เพื่อเสริมลัทธิบูชาบุคคลของบุตรชาย นับตั้งแต่ช่วงปลายทศวรรษ 1960 เป็นต้นมา[87] นอกจากจะมีพิพิธภัณฑ์และรูปปั้นที่ชิลกล สถานที่บ้านเกิดของเธอแล้ว เธอยังได้รับฉายาว่า "มารดาแห่งเกาหลี" และมีบทเพลงและบทความที่เขียนขึ้นเพื่อสรรเสริญเธอด้วย[25]
คิม ฮย็อง-จิก
[แก้]คิม ฮย็อง-จิก บิดาของคิม อิล-ซ็อง ได้รับยกย่องจากประวัติศาสตร์อย่างเป็นทางการของเกาหลีเหนือว่าเป็นผู้นำคนสำคัญของขบวนการเรียกร้องเอกราชเกาหลีที่ต่อต้านอาณานิคม[88][89] ในความเป็นจริง แหล่งข้อมูลทางการอ้างว่าคิมไม่ได้เป็นเพียงผู้นำขบวนการ 1 มีนาคม ค.ศ. 1919 เท่านั้น แต่ยังอ้างว่าเหตุการณ์นี้เกิดขึ้นที่เปียงยางด้วย ทั้งสองอย่างนี้เป็นการสร้างเรื่องขึ้นมาอย่างชัดเจน ขณะที่ความเป็นจริงคิมเคยถูกควบคุมตัวชั่วคราวจากการทำกิจกรรมต่อต้านญี่ปุ่น[90] แต่ผู้เชี่ยวชาญส่วนใหญ่นอกเกาหลีเหนือไม่สนับสนุนข้อกล่าวอ้างใด ๆ ที่เกินไปกว่านั้น[91] อันที่จริง ตามคำกล่าวของซอ แด-ซุก นักเขียนชีวประวัติ ความพยายามจะบรรยายว่าคิม ฮย็อง-จิกมีบทบาทสำคัญในการต่อสู้กับญี่ปุ่น "ดูเหมือนจะมุ่งไปที่การยกระดับคุณสมบัติของคิม [อิล-ซ็อง] ในฐานะบุตรผู้กตัญญูเสียมากกว่า"[92] การกล่าวอ้างนี้มีความสำคัญเนื่องจากคิม อิล-ซ็องใช้เรื่องราวเหล่านี้เพื่อช่วยในการก้าวขึ้นสู่อำนาจของเขา[89]
ปัจจุบันคิม ฮย็อง-จิกมีพิพิธภัณฑ์และรูปปั้นที่สร้างขึ้นเพื่ออุทิศแก่เขาในบ้านเกิดของเขาที่พงฮวา[93][94]
คิม ฮย็อง-กว็อน
[แก้]คิม ฮย็อง-กว็อน อาของคิม อิล-ซ็องและเป็นน้องชายของคิม ฮย็อง-จิก ได้รับยกย่องในเกาหลีเหนือว่าเป็นนักเคลื่อนไหวต่อต้านญี่ปุ่นเพราะเขาเคยปะทะกับตำรวจท้องถิ่น ทำให้เขาถูกจับกุมและเสียชีวิตในเวลาต่อมาในวันที่ 12 มกราคม ค.ศ. 1936 ระหว่างถูกคุมขังในโซล มีรูปปั้นเพื่อเป็นเกียรติแก่เขาในเมืองฮงว็อน ที่ซึ่งเป็นสถานที่เกิดเหตุปะทะ[86] ต่อมาคิม อิล-ซ็องเปลี่ยนชื่อเทศมณฑลหนึ่งทางตะวันออกเฉียงใต้ของจังหวัดรยังกังตามชื่ออาของเขา เรียกว่า "เทศมณฑลคิมฮย็องกว็อน"
คิม จ็อง-ซุก
[แก้]
คิม จ็อง-ซุก มารดาของคิม จ็อง-อิล ได้รับยกย่องว่าเป็น "นักปฏิวัติอมตะ" และ "วีรสตรีสงครามต่อต้านญี่ปุ่น [ผู้] ยึดมั่นในแนวคิดและนโยบายดั้งเดิมของคิม อิล-ซ็องและสร้างผลงานอันโดดเด่นในการพัฒนาการเคลื่อนไหวเพื่อการปลดปล่อยสตรีในเกาหลี"[95] เธอถูกยกให้เป็นต้นแบบของนักปฏิวัติ ภรรยา และมารดา และสังคมเกาหลีเหนือใช้เรื่องราวของเธอเป็นตัวอย่างในการดำเนินชีวิต[96]
แม้เธอจะเป็นสุภาพสตรีหมายเลขหนึ่งของสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนเกาหลีในปีแรกของการก่อตั้งประเทศใน ค.ศ. 1948 แต่เธอเสียชีวิตใน ค.ศ. 1949 ด้วยวัย 31 ปี และตั้งแต่ ค.ศ. 1974 ควบคู่ไปกับการขึ้นสู่ตำแหน่งผู้สืบทอดอำนาจของคิม จ็อง-อิล บุตรชายของเธอ เธอได้รับยกย่องและมีการรำลึกถึงความสำเร็จของเธอทั่วประเทศมากขึ้นเรื่อย ๆ มีการสร้างพิพิธภัณฑ์และรูปปั้นขึ้นในบ้านเกิดของเธอเพื่อเป็นเกียรติแก่เธอและคิม ซ็อง-แอ ภรรยาคนปัจจุบันของคิม อิล-ซ็องในขณะนั้นเรียกเธอว่าเป็น "นักปฏิวัติคอมมิวนิสต์ผู้ไม่ย่อท้อ" แม้ก่อนหน้านี้เธอจะถูกละเลยอย่างมากก็ตาม[97] ดังนั้น เดิมทีเธอได้รับเกียรติในฐานะนักรบกองโจร แต่ไม่จำเป็นต้องเป็นมารดาหรือภรรยา[86] ในช่วงทศวรรษ 1990 ภาพเหมือนของคิม จ็อง-ซุกยังถูกเพิ่มเข้าไปในภาพของคิม อิล-ซ็องและคิม จ็อง-อิล ซึ่งถูกจัดแสดงในทุกครัวเรือนและอาคาร และได้รับการปฏิบัติเสมือนวัตถุศักดิ์สิทธิ์ที่ต้องเคารพและบูชา[90] ยิ่งไปกว่านั้น เมื่อกล่าวถึง "สามแม่ทัพผู้ยิ่งใหญ่แห่งภูเขาแพ็กดู" ภูเขาไฟศักดิ์สิทธิ์ที่สงบทางตอนเหนือของเกาหลีเหนือติดกับพรมแดนจีน ชาวเกาหลีเหนือเข้าใจว่าหมายถึงคิม อิล-ซ็อง คิม จ็อง-ซุก และคิม จ็อง-อิล บุตรชายของพวกเขา[90]
มีหุ่นขี้ผึ้งจำลองของเธอจัดแสดงอยู่ที่นิทรรศการสันถวไมตรีนานาชาติ[98]
โค ยง-ฮี
[แก้]โค ยง-ฮี ภรรยาคนที่สามของคิม จ็อง-อิล และมารดาของคิม จ็อง-อึน มีความพยายามยกย่องเชิดชูเธอในลักษณะคล้ายกับการบูชาบุคคลของสมาชิกหญิงคนอื่น ๆ ในตระกูลถึงสามครั้ง[99] ความพยายามเหล่านี้ไม่สำเร็จหรือไม่ก็ถูกยุติลงหลัง ค.ศ. 2012 ใน ค.ศ. 2010 มีการผลิตภาพยนตร์โฆษณาชวนเชื่อภายในประเทศเกี่ยวกับตัวเธอและกิจกรรมของเธอกับคิม จ็อง-อิลในช่วงที่เขานำประเทศ ภาพยนตร์ยังกล่าวถึงบทบาทสำคัญของเธอในการเลี้ยงดูบุตรชายด้วย เธอได้รับการกล่าวถึงในชีวประวัติของคิม จ็อง-อึนของเกาหลีเหนือ และในอนุสรณ์และเอกสารบางอย่างของเกาหลีเหนือ[100] เธอถูกเรียกว่า "มารดาแห่งซ็อนกุนเกาหลีผู้ยิ่งใหญ่" หรือ "มารดาผู้ยิ่งใหญ่" โดยที่ชื่อของเธอไม่เป็นที่เปิดเผยต่อสาธารณะ[99]
การสร้างลัทธิบูชาบุคคลขึ้นรอบตัวโคเผชิญกับปัญหาเรื่องซงบุน (สถานะชนชั้นทางสังคม) ที่ไม่ดีของเธอ เนื่องจากมรดกทางเชื้อสายเกาหลี-ญี่ปุ่นของเธอจะทำให้เธอเป็นส่วนหนึ่งของชนชั้น "ปรปักษ์" ที่ต่ำที่สุด ซึ่งอาจเป็นปัญหาต่อตำนานตระกูลคิมที่บริสุทธิ์[101]
ใน ค.ศ. 2012 คิม จ็อง-อึนสร้างหลุมศพให้แก่โคบนภูเขาแทซ็อง[102][103]
ครอบครัวนิยมในลัทธิบูชาบุคคล
[แก้]ครอบครัวนิยมเป็นรูปแบบหนึ่งของคติรวมหมู่ที่คาดหวังให้บุคคลให้ความสำคัญกับความต้องการของสังคมส่วนรวมหรือครอบครัวมากกว่าความต้องการของตนเอง
ครอบครัวนิยมในเกาหลีเหนือมีรากฐานมาจากการผสมผสานกันระหว่างค่านิยมขงจื๊อแบบเอเชียตะวันออกดั้งเดิมเรื่องความกตัญญู ระบบคอมมิวนิสต์แบบรวมหมู่ และลัทธิบูชาบุคคลตระกูลคิม ในฐานะค่านิยมเอเชียตะวันออกและขงจื๊อแบบดั้งเดิม ความสำคัญของครอบครัวได้สะท้อนผ่านทุกแง่มุมของชีวิตในเกาหลีเหนือ ตั้งแต่การเมืองไปจนถึงเศรษฐกิจ การศึกษา และแม้กระทั่งความสัมพันธ์ส่วนบุคคลระหว่างเพื่อนและศัตรู
เมื่อสหภาพโซเวียตเข้ายึดครองเกาหลีเหนือใน ค.ศ. 1945 พวกเขาต้องเริ่มสร้างฐานคอมมิวนิสต์ในเปียงยางแทบจะใหม่ทั้งหมด[104] แท้จริงแล้ว อุดมการณ์คอมมิวนิสต์และสังคมนิยมของโซเวียตน่าจะเป็นเรื่องแปลกใหม่สำหรับชาวเกาหลีในเปียงยางไม่ต่างจากตัวชาวโซเวียตเอง อย่างไรก็ตาม โดยการเน้นความสัมพันธ์แบบครอบครัวและแบบพ่อ-ลูกระหว่างสหภาพโซเวียตกับเกาหลีและต่อมาได้ขยายความสัมพันธ์นี้ระหว่างคิม อิล-ซ็องกับประชาชนเกาหลีเหนือ คิมไม่เพียงแต่สามารถนำลัทธิมากซ์แบบตะวันตกมาปรับใช้กับรัฐในเอเชียได้สำเร็จ แต่ยังสร้างลัทธิบูชาบุคคลของตนเองขึ้นมา เป็นการสร้างความจงรักภักดีอย่างไม่มีข้อกังขาต่อเขาในหมู่ประชาชนเกาหลีเหนือในช่วงเวลาที่เกาหลีเหนือเปราะบางต่ออิทธิพลไม่พึงประสงค์จากชาติตะวันตกมากที่สุด
ลัทธิบูชาบุคคลยังส่งเสริมแนวคิดของตระกูลคิมผู้ปกครองในฐานะครอบครัวต้นแบบ ในความโศกเศร้าจากการเสียชีวิตของคิม มัน-อิล บุตรชายคนที่สองใน ค.ศ. 1947 คิม อิล-ซ็องกลับไปยังสถานที่เดิมในอีกสิบปีต่อมาพร้อมกับหมอผีชาวเกาหลีเพื่อประกอบพิธีกรรม "บรรเทาความสูญเสียและเจ็บปวด" ของเขา[105] โดยมีการเน้นเป็นพิเศษถึงความรักของบึตรที่มีต่อบิดามารดาตามหลักขงจื๊อ หลังการเสียชีวิตของบิดามารดา คิมอุทิศอนุสรณ์ให้แก่บิดาและมารดาของเขาตามลำดับ
อย่างไรก็ตาม ซอ แด-ซุก นักเขียนชีวประวัติ ตั้งข้อสงสัยถึงความจริงใจในการแสดงความเคารพต่อบิดามารดาของคิม เมื่อพิจารณาถึงวัยเด็กที่ค่อนข้างเป็นอิสระของคิม ซอไม่เชื่อว่าคิมมีความรักพิเศษใด ๆ ต่อบิดามารดาที่จะต้องสร้างพิพิธภัณฑ์และรูปปั้นแยกกันสำหรับแต่ละคน ซอกล่าวว่า "จุดประสงค์ของเขากลับดูเหมือนจะเป็นประโยชน์ต่อตนเองมากกว่า กล่าวคือ ความพยายามสร้างภาพลักษณ์ของตนเองในฐานะลูกกตัญญูชาวเกาหลีจากครอบครัวปฏิวัติ"[86] ด้วยการแสดงออกต่อสาธารณะว่าเป็นบุตรที่ซื่อสัตย์ซึ่งรักมารดาและบิดา คิมจึงวางตำแหน่งตัวเองให้สามารถเรียกร้องความจงรักภักดีแบบลูกกตัญญูเช่นเดียวกันจากประชาชนของเขา
ทำนองเดียวกัน เพื่อเป็นการเฉลิมฉลองวันเกิดครบ 60 ปีของบิดา คิม จ็อง-อิลสร้างอุปรากรให้สามเรื่อง[ต้องการอ้างอิง] และยังสร้างอนุสรณ์สามแห่ง รวมถึงประตูชัยเกาหลีเหนือ เพื่อฉลองวันเกิดครบ 70 ปีของบิดาใน ค.ศ. 1982[106] และเมื่อคิม อิล-ซ็องถึงแก่อสัญกรรมใน ค.ศ. 1994 คิม จ็อง-อิลประกาศไว้ทุกข์เป็นเวลาสามปีก่อนจะขึ้นเป็นผู้นำเกาหลีเหนืออย่างเต็มตัว
อนุสรณ์ รูปภาพ และการใช้จ่าย
[แก้]
จากข้อมูลของวิกเตอร์ ชา ระบุว่า ภายใน ค.ศ. 1992 มีรูปปั้นคิม อิล-ซ็องเกือบ 40,000 แห่งถูกสร้างขึ้นทั่วประเทศ[107] และเมื่อเขาถึงแก่อสัญกรรมใน ค.ศ. 1994 รัฐบาลก็เริ่มสร้างโอเบลิสก์ 3,200 ต้นที่เรียกว่า "หอคอยแห่งชีวิตนิรันดร์" ในทุกเมืองและนคร[108] โอเบลิสก์เหล่านี้เชิดชูคุณธรรมของ "จอมพลผู้ยิ่งใหญ่" และเช่นเดียวกับอนุสรณ์อื่น ๆ พลเมือง (และนักท่องเที่ยว) จะต้องนำดอกไม้และสิ่งของแสดงความเคารพอื่น ๆ มามอบแก่รูปปั้นในช่วงวันหยุดสำคัญและเมื่อไปเยี่ยมชม[109][110] การตรวจสอบภาพถ่ายดาวเทียมใน ค.ศ. 2018 เปิดเผยว่ามีอนุสาวรีย์และจิตรกรรมฝาผนังกลางแจ้งไม่น้อยกว่า 11,200 แห่ง[111]
หลังอสัญกรรมของคิม จ็อง-อิล รัฐบาลเริ่มจารึกชื่อของเขาลงบนโอเบลิสก์แต่ละต้นและสร้างรูปปั้นใหม่ในภาพลักษณ์ของเขา[69]

ภาพของคิม อิล-ซ็องและคิม จ็อง-อิลเป็นสิ่งโดดเด่นในสถานที่ที่เกี่ยวข้องกับการขนส่งสาธารณะ โดยแขวนอยู่ที่สถานีรถไฟและสนามบินทุกแห่งในเกาหลีเหนือ[54][112] ทุกครัวเรือนในเกาหลีเหนือต้องมีภาพของคิมทั้งสองแขวนอยู่บนผนัง ไม่มีสิ่งอื่นใดแขวนบนผนังนั้นได้และพวกเขาจะได้รับผ้าพิเศษสำหรับทำความสะอาดภาพทุกวัน[113] สมาชิกพรรคในละแวกบ้านถูกมอบหมายให้ตรวจสอบบ้านเรือนเพื่อหาภาพที่มีฝุ่น หากพบฝุ่นจะต้องเสียค่าปรับ โดยจำนวนเงินขึ้นอยู่กับความหนาของชั้นฝุ่น รูปภาพจะต้องแขวนไว้สูง เพื่อไม่ให้ผู้คนในห้องยืนสูงกว่ารูปภาพได้[114] เจ้าหน้าที่พรรคและทหารต้องเก็บภาพสามภาพ ได้แก่ ภาพผู้นำผู้ล่วงลับทั้งสองคนและภาพของคิม จ็อง-ซุก ภรรยาคิม[54] ภาพเหล่านี้ได้รับอนุญาตให้สร้างสรรค์โดยศิลปินที่ได้รับอนุมัติจากรัฐบาลเท่านั้นที่ศูนย์ฝึกอบรมมันซูแดเฉพาะ[54] ภาพที่พบในหนังสือพิมพ์หรือสิ่งพิมพ์อื่น ๆ จะต้องได้รับการเคารพและต้องไม่ทิ้ง ทำลาย หรือใช้หน้ากระดาษที่มีรูปภาพในทางที่ผิด[31] ภาพเหล่านี้จะต้องถูกรวบรวมและส่งคืน ชาวเกาหลีเหนือที่เป็นผู้ใหญ่ทุกคนยังจำเป็นต้องติดเข็มกลัดที่หน้าอกด้านซ้าย เหนือหัวใจ ซึ่งมีภาพของผู้นำ[113]
มีเรื่องราวเป็นครั้งคราวที่ผู้คนเสี่ยงชีวิตเพื่อช่วยภาพเหมือนให้รอดพ้นจากภัยพิบัติต่าง ๆ แต่มีเพียงไม่กี่เรื่องเท่านั้นที่ได้รับการยืนยัน[115][116] ใน ค.ศ. 2012 เด็กหญิงอายุ 14 ปีคนหนึ่งจมน้ำเสียชีวิตขณะพยายามช่วยภาพเหล่านั้นจากบ้านของครอบครัวเธอระหว่างเกิดน้ำท่วมฉับพลัน รัฐบาลเกาหลีเหนือมอบ "รางวัลเกียรติยศเยาวชนคิม จ็อง-อิล" ให้แก่เธอหลังเสียชีวิตและโรงเรียนของเธอก็ได้รับการเปลี่ยนชื่อตามเธอ[117][118]
วังสุริยะคึมซูซันสร้างขึ้นใน ค.ศ. 1976 เพื่อเป็นที่พำนักอย่างเป็นทางการของคิม อิล-ซ็อง หลังอสัญกรรมของเขา วังแห่งนี้ก็ถูกดัดแปลงเป็นสุสานของเขา (และต่อมาก็บุตรชายของเขาด้วย)[119] มีรายงานว่าใช้เงินไปประมาณ 100 ล้านถึง 900 ล้านดอลลาร์[120][121] วังคึมซูซันเป็นสุสานขนาดใหญ่ที่สุดที่อุทิศแก่ผู้นำคอมมิวนิสต์[122]
ต้นทุนโดยประมาณโดยรวมในการบำรุงรักษาลัทธิบูชาบุคคลแตกต่างกันอย่างมากในแต่ละแหล่งข้อมูล รายงานสมุดปกขาวของสถาบันนโยบายเศรษฐกิจระหว่างประเทศเกาหลีระบุว่าค่าใช้จ่ายอยู่ที่ร้อยละ 38.5 ของงบประมาณเกาหลีเหนือใน ค.ศ. 2004 เพิ่มขึ้นจากร้อยละ 19 ใน ค.ศ. 1990[52][123] อย่างไรก็ตาม แหล่งข้อมูลอื่น ๆ เช่น โชซ็อนอิลโบ ของเกาหลีใต้และเดลีเทลิกราฟ ของสหราชอาณาจักรประเมินค่าใช้จ่ายใน ค.ศ. 2012 อยู่ระหว่าง 40 ล้านดอลลาร์[69] ถึง 100 ล้านดอลลาร์[124] โครงการก่อสร้างขนาดใหญ่สำหรับตระกูลคิมถูกตำหนิว่าเป็นสาเหตุของภาวะเศรษฐกิจตกต่ำของประเทศในช่วงทศวรรษ 1980[125]
วันหยุด
[แก้]ใน ค.ศ. 2013 มีการประกาศวันหยุดใหม่ให้เฉลิมฉลองในวันที่ 14 กุมภาพันธ์ ซึ่งเป็นวันครบรอบที่คิม จ็อง-อิล ได้รับตำแหน่ง "จอมพลสูงสุดแห่งสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนเกาหลี"[126] ต่างจากการเฉลิมฉลองบุคคลสำคัญอื่น ๆ ทั่วโลก การเฉลิมฉลองเหล่านี้เป็นภาคบังคับ โดยมีกิจกรรมมากมายที่วางแผนไว้ (เช่น การเต้นรำ กีฬา และขบวนแห่)[127][128] และประชาชนจะนำดอกไม้ไปวางที่ฐานอนุสาวรีย์[129][130] การเฉลิมฉลองวันเกิดของตระกูลคิมยังรวมถึงการออกอากาศภาพยนตร์เกี่ยวกับชีวิตและความสำเร็จของผู้นำโดยสื่อของรัฐในคืนก่อนวันหยุดจริงด้วย[131]
แรงบันดาลใจจากนานาชาติ
[แก้]ของขวัญระหว่าง 60,000 ถึง 220,000 ชิ้นที่มอบให้แก่คิม อิล-ซ็องและคิม จ็อง-อิลจากผู้นำต่างประเทศ นักธุรกิจและบุคคลอื่น ๆ ถูกจัดแสดงอยู่ที่นิทรรศการสันถวไมตรีนานาชาติ[132] พิพิธภัณฑ์นี้เป็นแหล่งความภาคภูมิใจของรัฐบาลเกาหลีเหนือและถูกใช้เป็นหลักฐานยืนยันความยิ่งใหญ่และความนิยมของผู้นำของพวกเขา[133][134] รัฐบาลเกาหลีเหนือให้ความสำคัญอย่างมากกับการยอมรับจากนานาชาติเพื่อสร้างความชอบธรรมให้กับการปกครองในสายตาประชาชน[135] มีการจัดทัวร์เยี่ยมชมหอนิทรรศการซึ่งเมื่อเข้าและออกจากอาคารผู้เยี่ยมชมจะต้องแสดงความเคารพด้วยการโค้งคำนับต่อภาพของคิม อิล-ซ็องและคิม จ็อง-อิล ตามธรรมเนียมและประเพณีของเกาหลี[136]
ดูเพิ่ม
[แก้]- การรายงานข่าวของเกาหลีเหนือ
- ชูเช
- ลัทธิบูชาจักรพรรดิ
- อำนาจอันมีเสน่ห์
- การโฆษณาชวนเชื่อในประเทศเกาหลีเหนือ
- ภูเขาแพ็กดู
- ชังกุนนิมชุกจีบ็อบซือชินดา
- อสัญกรรมและรัฐพิธีศพของคิม จ็อง-อิล
- ลัมธิบูชาบุคคลของสตาลิน
- คิมอิลซ็องชังกุนอึยโนแร
- ลัทธิบูชาบุคคลของเหมา เจ๋อตง
- ลัทธิบูชาบุคคลของสี จิ้นผิง
- ลัทธิบูชาบุคคลของนีกอลาเอ ชาวูเชสกู
- ลัทธิทรัมป์
- รายชื่อลัทธิบูชาบุคคล
อ้างอิง
[แก้]- ↑ "North Korea pays homage to the Kim dynasty, past, present (and future?)" Justin McCurry. The Guardian. London. 17 December 2012. Accessed 18 August 2017.
- ↑ Williamson, Lucy (December 27, 2011). "Delving into North Korea's mystical cult of personality". BBC News. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ February 2, 2013. สืบค้นเมื่อ January 9, 2013.
- ↑ Choe, Yong-ho., Lee, Peter H., and de Barry, Wm. Theodore., eds. Sources of Korean Tradition, Chichester, NY: Columbia University Press, p. 419, 2000.
- ↑ Ben Forer (January 12, 2012). "North Korea Reportedly Punishing Insincere Mourners". ABC News. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ April 14, 2012. สืบค้นเมื่อ January 9, 2013.
- ↑ "DPRK, Criminal Penalties". US State Dept. December 2, 2011. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ January 1, 2013. สืบค้นเมื่อ January 9, 2013.
- ↑ Armstrong, Charles K. (2013). The North Korean Revolution, 1945–1950. Ithaca: Cornell University Press. p. 222. ISBN 978-0801468797.
- ↑ Hunter, Helen-Louise (1999). Kim Il-song's North Korea. Greenwood Publishing Group. p. 25. ISBN 978-0275962968. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ January 11, 2014. สืบค้นเมื่อ August 31, 2013.
- ↑ Dae-Sook 1988, p. 314
- 1 2 Dae-Sook 1988, p. 315
- ↑ Staff (December 27, 2013). "We have just witnessed a coup in North Korea". New Focus International. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ January 26, 2014. สืบค้นเมื่อ January 22, 2014.
- ↑ Park, Yong-Soo (2009). "The political economy of economic reform in North Korea" (PDF). Australian Journal of International Affairs. Australian Institute of International Affairs. 63 (4): 542. doi:10.1080/10357710903312587. S2CID 154841975. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิม (PDF)เมื่อ February 19, 2014. สืบค้นเมื่อ January 22, 2014.
- ↑ Cumings, Bruce (2005). Korea's Place in the Sun: a Modern History. United States: W.W. Norton. pp. 414–446. ISBN 0393327027.
- ↑ "Juche". GlobalSecurity.org. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ January 23, 2013. สืบค้นเมื่อ January 11, 2013.
- ↑ Park, Han S (September 2007). "Military-First Politics (Songun)". Korea Economic Institute/Academic Paper Series. p. 6. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ July 23, 2012. สืบค้นเมื่อ January 11, 2013.
- ↑ Rüdiger 2013, p. 45.
- ↑ Alton & Chidley 2013, p. 109.
- ↑ Jong-un, Kim (2012). "Let us brilliantly accomplish the revolutionary cause of Juche". Naenara. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ January 15, 2013. สืบค้นเมื่อ January 8, 2013.
- 1 2 "North Koreans Losing Interest In Cult Of Kim?". New Focus International. May 20, 2013. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ August 2, 2013. สืบค้นเมื่อ May 24, 2013.
- ↑ Sang Yong, Lee (December 29, 2015). "'Jangmadang Generation' eschews regime idolization, pursues outside info". Daily NK. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ January 8, 2016. สืบค้นเมื่อ December 29, 2015.
- ↑ LaBouyer, Jason (May–June 2005). "When friends become enemies — Understanding left-wing hostility to the DPRK" (PDF). Korea-DPR.com. Lodestar. pp. 7–9. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิม (PDF)เมื่อ 19 March 2009. สืบค้นเมื่อ 18 December 2007.
- ↑ Nelson, Dean (December 23, 2011). "The stage management of the grief for Kim Jong-il". The Telegraph. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ March 14, 2012. สืบค้นเมื่อ January 9, 2013.
- ↑ Portal, Jane (2005). Art Under Control in North Korea. United Kingdom: Reaktion Books. p. 98. ISBN 978-1861898388. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ June 27, 2014. สืบค้นเมื่อ January 27, 2013.
- 1 2 3 4 5 6 "Kim Il-sung (1912~1994)". KBS World Radio. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ March 19, 2013. สืบค้นเมื่อ March 15, 2013.
- ↑ Cha, John (2012). Exit Emperor Kim Jong-il. United States: Abbott Press. p. 39. ISBN 978-1458202161.
- 1 2 Lim, Jae-Cheon (2008). Kim Jong-il's Leadership of North Korea. Routledge. p. 40. ISBN 978-0203884720.
- ↑ Becker, Jasper (2005). Rogue Regime: Kim Jong Il and the Looming Threat of North Korea. Oxford University Press. ISBN 978-0195170443.
- ↑ Hwang Jang-yop (2006). "The Problems of Human Rights in North Korea". Columbia Law School. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ January 4, 2013. สืบค้นเมื่อ January 22, 2014.
- ↑ Cumings, Bruce (1997). Korea's Place in the Sun: A Modern History. United States: W W. Norton & Co. p. 160. ISBN 0393040119.
- 1 2 "Humankind Awards Many Titles to Kim Il Sung". Korean Central News Agency. April 3, 2012. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ February 1, 2014. สืบค้นเมื่อ March 15, 2013.
- 1 2 Dae-Sook 1988, p. 320
- 1 2 "The Bewildering Cult of Kim". New Focus International. พฤษภาคม 27, 2013. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ เมษายน 7, 2014. สืบค้นเมื่อ พฤษภาคม 27, 2013.
- 1 2 Demick 2009, pp. 120–123
- ↑ Demick, Barbara. "Nothing to Envy Excerpt". Nothingtoenvy.com. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ November 5, 2012. สืบค้นเมื่อ January 8, 2013.
- ↑ Kang, Chol-hwan; Rigoulot, Pierre (2005). The Aquariums of Pyongyang: Ten Years in the North Korean Gulag. Basic Books. pp. 3. ISBN 0465011047.
- ↑ Il-sung, Kim (1992). With the Century. Vol. 1. Chapter 3.2. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2014-08-28. สืบค้นเมื่อ 2014-08-28.. Note that the version of With the Century available online (https://web.archive.org/web/20051231095503/http://www.korea-dpr.com/articles-ng/biography-kimilsung.htm) includes the anecdote and the grandfather's moral, but omits the detail about the necessity of screening eating/urinating from pupils.
- ↑ Dae-Sook 1988, p. 316
- ↑ Berger, Sebastien (April 13, 2018). "No bombs, just blooms at North Korean flower show". Yahoo! News. สืบค้นเมื่อ July 23, 2020.
- ↑ Arnott, David R. (April 6, 2011). "Flowers and North Korea". NBC News. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ May 26, 2013. สืบค้นเมื่อ July 25, 2013.
- ↑ Angélil, Marc; Hehl, Rainer (2013). Collectivize: Essays on the Political Economy of Territory, Vol. 2. Berlin: Ruby Press. p. 99. ISBN 978-3944074030.
- ↑ "Kim Jong Il publicly mourned by thousandsg". CBS News. December 21, 2011. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ October 19, 2013. สืบค้นเมื่อ August 31, 2013.
- ↑ Martin 2006, p. 508
- ↑ Constitution of North Korea (1988 amended) Wikisource
- 1 2 McNeill, David (December 20, 2011). "Kim Jong-Il: Leader of North Korea who deepened the cult of personality in his country following the death of his father". The Independent. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ December 14, 2013. สืบค้นเมื่อ February 14, 2013.
- ↑ Piven, Ben (April 10, 2012). "North Korea celebrates 'Juche 101'". Al Jazeera. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ May 23, 2013. สืบค้นเมื่อ August 22, 2013.
- ↑ Lee, Hy-Sang (2001). North Korea: A Strange Socialist Fortress. Greenwood Publishing Group. p. 220. ISBN 978-0275969172. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ January 11, 2014. สืบค้นเมื่อ August 22, 2013.
- 1 2 Mi Jin, Kang (July 5, 2014). "Kim's Death Sees Songs and Ten Days of Mourning". Daily NK. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ July 7, 2014. สืบค้นเมื่อ July 5, 2014.
- ↑ Woo, Jaeyeon & Gale, Alastair (December 23, 2011). "Pyongyang Myth-Builders Step It Up". The Wall Street Journal. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ February 22, 2014. สืบค้นเมื่อ February 8, 2014.
- ↑ Becker, Jasper (2005). Rogue Regime : Kim Jong Il and the Looming Threat of North Korea. Oxford University Press. p. 91. ISBN 978-0198038108. สืบค้นเมื่อ December 19, 2014.
- ↑ Dae-Sook 1988, p. 284
- ↑ Dae-Sook 1988, pp. 276–280
- ↑ Demick 2009, p. 123
- 1 2 Marquand, Robert (January 3, 2007). "N. Korea escalates 'cult of Kim' to counter West's influence". The Christian Science Monitor. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ January 8, 2012. สืบค้นเมื่อ May 24, 2013.
- ↑ Jeon, Yeongseon (2006). 다시 고쳐 쓴 북한의 사회와 문화 [A New View of North Korean Society and Culture] (ภาษาเกาหลี). 역락. ISBN 8955564910.
- 1 2 3 4 Lanʹkov, Andreĭ N. (2007). North of the DMZ: Essays on Daily Life in North Korea. US: McFarland and Company. pp. 26–27. ISBN 978-0786428397. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2014-01-11.
- ↑ Ryall, Julian (January 31, 2011). "The Incredible Kim Jong-il". The Telegraph. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ April 18, 2012. สืบค้นเมื่อ January 8, 2013.
- ↑ "N.Korea leader sets world fashion trend: Pyongyang". FRANCE 24. 7 April 2010. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 19 December 2011. สืบค้นเมื่อ 19 December 2011.
- ↑ "Unprecedented Natural Phenomena on Jong Il Peak". Korean Central News Agency. February 12, 2009. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ October 12, 2014. สืบค้นเมื่อ February 10, 2014.
- ↑ Bell, Melissa (December 20, 2011). "Kimjongilia: the flower of a fallen dictator". Washington Post. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ January 29, 2012. สืบค้นเมื่อ June 13, 2013.
- ↑ "Mother nature mourns Kim Jong-il death". The Telegraph. December 22, 2011. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ February 15, 2012. สืบค้นเมื่อ January 8, 2013.
- ↑ Jong-un, Kim (2012). "Let us brilliantly accomplish the revolutionary cause of Juche". Naenara. p. 1. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ January 15, 2013. สืบค้นเมื่อ January 8, 2013.
- ↑ Choe Sang-hun; Norimitsu Onishi (December 20, 2011). "North Korea's Tears: A Blend of Cult, Culture and Coercion". The New York Times. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ November 7, 2012. สืบค้นเมื่อ February 11, 2013.
- ↑ Geoghegan, Tom (December 20, 2011). "How genuine are the tears in North Korea?". BBC News. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ August 21, 2013. สืบค้นเมื่อ August 24, 2013.
- ↑ Ryall, Julian (January 26, 2012). "North Korea threatens to punish mobile-phone users as 'war criminals'". The Telegraph. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ August 25, 2013. สืบค้นเมื่อ September 1, 2013.
- 1 2 Song Min, Choi (January 11, 2012). "Harsh Punishments for Poor Mourning". Daily NK. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ August 24, 2013. สืบค้นเมื่อ September 1, 2013.
- ↑ "North Korean Official Executed With A Mortar Shell". Huffington Post UK. October 25, 2012. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ September 1, 2013. สืบค้นเมื่อ August 24, 2013.
- ↑ "N. Korean leader dismissed, purged 31 ranking officials after appointment as heir: lawmaker". Yonhap News Agency. October 23, 2010. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ March 5, 2016. สืบค้นเมื่อ August 29, 2013.
- ↑ "Was a North Korean General Really Executed by Mortar Fire?". Foreign Policy. October 31, 2012. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ September 1, 2013. สืบค้นเมื่อ September 1, 2013.
- 1 2 "Kim Jong-il statue unveiled in North Korea". The Telegraph. February 14, 2012. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ November 13, 2012. สืบค้นเมื่อ August 11, 2013.
- 1 2 3 "Kim Jong-il Personality Cult 'Cost $40 Million'". The Chosun Ilbo. August 25, 2012. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ September 21, 2013. สืบค้นเมื่อ August 11, 2013.
- ↑ Fifield, Anna (August 25, 2012). "In North Korea, there's a new growth industry: Statues of Kim Jong Il". Washington Post. สืบค้นเมื่อ July 29, 2015.
- 1 2 "THROWBACK/ Shades of North Korea's founder in its young new leader". The Asahi Shimbun. Associated Press. January 7, 2013. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ October 17, 2013. สืบค้นเมื่อ January 9, 2013.
- ↑ Chance, David; Kim, Jack (December 19, 2011). "North Korea mourns dead leader, son is Great Successor". Reuters. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ January 23, 2013. สืบค้นเมื่อ January 9, 2013.
- ↑ Wadhams, Nicholas (9 May 2016). "What you are not allowed to call Kim Jong-un when visiting North Korea". The Independent. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2022-06-21.
- ↑ "Slogan Hailing Kim Jong-un Carved into Hillside". The Chosun Ilbo. November 22, 2012. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ January 2, 2013. สืบค้นเมื่อ February 14, 2013.
- ↑ Ramzy, Austin (July 18, 2012). "Propaganda Campaign Grows in North Korea as Kim Jong Un Consolidates Power". Time Magazine. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ October 22, 2013. สืบค้นเมื่อ October 16, 2013.
- ↑ "Kim Jong Un Named N. Korea 'Supreme Leader'". CBN.com. December 29, 2011. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ March 9, 2014. สืบค้นเมื่อ January 9, 2013.
- ↑ "Half-kilometre long Kim Jong-un propaganda message visible from space". National Post. November 23, 2012. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ April 11, 2013. สืบค้นเมื่อ February 14, 2013.
- ↑ "Ten Principles for the Establishment of the One-Ideology System". Columbia Law School. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ May 16, 2013. สืบค้นเมื่อ October 16, 2013.
- ↑ Mi Jin, Kang (August 9, 2013). "NK Adds Kim Jong Il to 'Ten Principles'". Daily NK. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ October 17, 2013. สืบค้นเมื่อ October 16, 2013.
- ↑ "N.Korean Regime Consolidating Personality Cult". The Chosun Ilbo. October 10, 2013. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ October 12, 2013. สืบค้นเมื่อ October 16, 2013.
- ↑ Mansourov, Alexandre (December 13, 2013). "North Korea: What Jang's Execution Means for the Future". 38 North. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ December 19, 2013. สืบค้นเมื่อ December 21, 2013.
- ↑ Panda, Ankit (December 13, 2013). "What Jang Song-Thaek's Purge Tells Us About Kim Jong-Un's Ambitions". The Diplomat. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ December 22, 2013. สืบค้นเมื่อ December 21, 2013.
- ↑ Ryall, Julian (January 9, 2015). "Kim Jong-un orders new statues to strengthen family cult". เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ January 21, 2015. สืบค้นเมื่อ January 20, 2015.
- ↑ Macdonald, Hamish (January 12, 2017). "North Korea to erect first major monument to Kim Jong Un". NK News. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ March 2, 2017. สืบค้นเมื่อ March 1, 2017.
- ↑ Chae Hwan, Kim (January 26, 2017). "North Korean regime in search of suitable site for Kim Jong Un's mosaic mural". Daily NK. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ March 2, 2017. สืบค้นเมื่อ March 1, 2017.
- 1 2 3 4 Suh, D.-S. (1988). Kim Il Sung: The North Korean Leader. New York: Columbia University Press.
- ↑ Lim, Jae-Cheon (2015). Leader Symbols and Personality Cult in North Korea: The Leader State. Routledge. pp. 24–25. ISBN 978-1317567417.
- ↑ "Kim Il-sung Condensed Biography". Association for the Study of Songun Politics UK. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ June 20, 2012. สืบค้นเมื่อ June 14, 2013.
- 1 2 Martin 2004, p. 18
- 1 2 3 Lankov, A. N. "North Korea in 1945-8." From Stalin to Kim Il Sung: The Formation of North Korea, 1945-1960. New Brunswick, NJ: Rutgers UP, 2002. 1-48. Print.
- ↑ Martin 2004, p. 727.
- ↑ Dae-Sook 1988, p. 5
- ↑ "More Materials and Relics Added to Ponghwa-ri Revolutionary Museum". KCNA. 20 July 2007. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 12 October 2014.
- ↑ "Ponghwa Revolutionary Site". KCNA. 15 March 2011. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 12 October 2014.
- ↑ "National Meeting on International Women's Day Held". Korean Central News Agency. March 8, 2012. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ February 19, 2014. สืบค้นเมื่อ February 28, 2014.
- ↑ Jin I, Choi (February 25, 2005). "Unrevealed Story of Kim Jong Suk, Mother of Kim Jong Il". Daily NK. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ September 23, 2015. สืบค้นเมื่อ February 28, 2014.
- ↑ Dae-Sook 1988, p. 279
- ↑ "Wax Replica of Kim Jong Suk Displayed". Korean Central News Agency. April 26, 2012. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ February 28, 2014. สืบค้นเมื่อ February 28, 2014.
- 1 2 Cho Jong-ik (30 July 2012). ""Great Mother" revealed to World". Daily NK. สืบค้นเมื่อ 1 July 2012.
- ↑ "2019123001003568200281461.jpg".
- ↑ Young-ki, Ko (26 June 2012). "Happy Birthday, Koh Young Hee". Daily NK. สืบค้นเมื่อ 29 March 2013.
- ↑ "Ko Yong-hui Grave". Radio Free Asia. 30 March 2016. สืบค้นเมื่อ 16 October 2016.
- ↑ Melvin, Curtis (8 April 2016). "Kim Jong-un's mother's grave (Ko Yong-hui)". NK Economy Watch. สืบค้นเมื่อ 16 October 2016.
- ↑ Hwang, Kyung Moon. "Early North Korea." A History of Korea: An Episodic Narrative. Houndmills, Basingstoke, Hampshire: Palgrave Macmillan, 2010. 213-24. Print.
- ↑ Cumings, B. (2004). North Korea: Another Country. New York: The New Press.
- ↑ McCormack, Gavan, Target North Korea: Pushing North Korea to the Brink of Nuclear Catastrophe. Nation Books, 2004. 59.
- ↑ Cha, Victor (2013). The Impossible State: North Korea Past and Future. New York: ECCO, HarperCollins. p. 73. ISBN 978-0061998515.
- ↑ Demick 2009, pp. 99–100
- ↑ Adrian Brown (2011). "Satellites uncover North Korea". BBC News. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2013-09-03. สืบค้นเมื่อ 2013-09-01.
- ↑ Worden, Robert L (2009). North Korea: A Country Study. United States: Government Printing Office. p. 76. ISBN 978-0160814228. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2013-12-11.
- ↑ Bogle, Jacob (February 27, 2019). "The Monuments of North Korea". AccessDPRK. สืบค้นเมื่อ May 12, 2019.
- ↑ Lankov, Andrei (May 3, 2012). "Potent portraits in North Korea". Asia Times Online. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ November 6, 2018. สืบค้นเมื่อ 2013-09-01.
{{cite web}}: CS1 maint: unfit URL (ลิงก์) - 1 2 Demick 2009, p. 316
- ↑ Hotham, Oliver (4 September 2015). "Portraits to inspire and intimidate: North Korea's omnipresent leaders". The Guardian. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 5 September 2015. สืบค้นเมื่อ 4 September 2015.
- ↑ Jeffery, Simon (April 28, 2004). "Train blast victims died saving leaders' portraits". The Guardian. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ August 28, 2013. สืบค้นเมื่อ February 11, 2013.
- ↑ Glionna, John M. (January 23, 2010). "North Korea honors seamen who tried to save Kim portraits". LA Times. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ December 24, 2013. สืบค้นเมื่อ August 21, 2013.
- ↑ "DPRK honors schoolgirl who died saving Kim portraits". People's Daily Online. June 28, 2012. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ November 5, 2012. สืบค้นเมื่อ February 11, 2013.
- ↑ Taylor, Adam (June 27, 2012). "A 14-year-old girl died trying to save a portrait of Kim Jong Il and now she's being called a hero". Business Insider. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ April 26, 2013. สืบค้นเมื่อ February 11, 2013.
- ↑ Burdick 2010, p. 100
- ↑ Hassig 2009, p. 53
- ↑ Kim 2001, p. 20
- ↑ Johanson, Mark (January 23, 2013). "Kim Jong-il's Mausoleum, As Described By Its First Western Visitors". International Business Times. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ September 28, 2013. สืบค้นเมื่อ February 14, 2013.
- ↑ "Pyongyang: budget to deify Kim Jong-il increasing". AsiaNews C.F. January 10, 2007. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ October 16, 2013. สืบค้นเมื่อ October 13, 2013.
- ↑ Firn, Mike (December 5, 2012). "Kim Jong-il personality cult costs North Korea £62m". The Daily Telegraph. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ November 4, 2013. สืบค้นเมื่อ October 13, 2013.
- ↑ Martin 2006, p. 322-223
- ↑ Jong Ik, Cho (December 25, 2013). "2014 Calendar Reveals Few Surprises". Daily NK. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ December 28, 2013. สืบค้นเมื่อ December 28, 2013.
- ↑ Talmadge, Eric (April 16, 2013). "N Korea, Marking Leader's Birthday, Shows More Ir". Associated Press. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ December 24, 2013. สืบค้นเมื่อ August 23, 2013.
- ↑ "North Korea marks Kim Jong-il's birthday with parade and flowers". The Guardian. February 16, 2012. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ December 24, 2013. สืบค้นเมื่อ August 23, 2013.
- ↑ "North Koreans mark major national holiday amid missile launch fears". Fox News. April 15, 2013. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ August 26, 2013. สืบค้นเมื่อ August 23, 2013.
- ↑ MacLeod, Calum (April 15, 2013). "North Korea celebrates dictator's birth with flowers, no missiles". USA Today. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ August 20, 2013. สืบค้นเมื่อ August 23, 2013.
- ↑ Martin 2006, p. 328
- ↑ "North Korean museum shows off leaders' gifts". TheAge.com. Reuters. December 26, 2006. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ March 5, 2013. สืบค้นเมื่อ January 8, 2013.
- ↑ Kim, Byoung-lo Philo (1992). Two Koreas in development: a comparative study of principles and strategies of capitalist and communist Third World development. Transaction Publishers. p. 102. ISBN 978-0887384370.
- ↑ Vines, Stephen (August 14, 1997). "The Great Leader rules from beyond the grave". The Independent. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ January 22, 2014. สืบค้นเมื่อ August 25, 2013.
- ↑ "Chosun: North Korea's Love-Hate Relationship with History". New Focus International. พฤษภาคม 31, 2013. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ ธันวาคม 24, 2013. สืบค้นเมื่อ พฤษภาคม 31, 2013.
- ↑ Williams, Holly (December 19, 2011). "Inside North Korea: Cult Of The Kim Family". Sky News. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ December 24, 2013. สืบค้นเมื่อ August 25, 2013.