ข้ามไปเนื้อหา

ปรีดี พนมยงค์

จากวิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี

ปรีดี พนมยงค์
ปรีดี ใน พ.ศ. 2489
ผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์
ดำรงตำแหน่ง
16 ธันวาคม พ.ศ. 2484  5 ธันวาคม พ.ศ. 2488
กษัตริย์พระบาทสมเด็จพระปรเมนทรมหาอานันทมหิดล พระอัฐมรามาธิบดินทร
นายกรัฐมนตรี
นายกรัฐมนตรีไทย คนที่ 7
ดำรงตำแหน่ง
24 มีนาคม พ.ศ. 2489  23 สิงหาคม พ.ศ. 2489
กษัตริย์พระบาทสมเด็จพระปรเมนทรมหาอานันทมหิดล พระอัฐมรามาธิบดินทร
พระบาทสมเด็จพระมหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร
ก่อนหน้าควง อภัยวงศ์
ถัดไปถวัลย์ ธำรงนาวาสวัสดิ์
ตำแหน่งรัฐมนตรี
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง
ดำรงตำแหน่ง
24 มีนาคม พ.ศ. 2489  23 สิงหาคม พ.ศ. 2489
นายกรัฐมนตรีตนเอง
ก่อนหน้าพระยาศรีวิสารวาจา
ถัดไปวิจิตร ลุลิตานนท์
ดำรงตำแหน่ง
20 ธันวาคม พ.ศ. 2481  16 ธันวาคม พ.ศ. 2484
นายกรัฐมนตรีแปลก พิบูลสงคราม
ก่อนหน้าพระยาไชยยศสมบัติ
ถัดไปเภา เพียรเลิศ บริภัณฑ์ยุทธกิจ
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ
ดำรงตำแหน่ง
12 กรกฎาคม พ.ศ. 2479  13 ธันวาคม พ.ศ. 2481
นายกรัฐมนตรีพระยาพหลพลพยุหเสนา
ก่อนหน้าพระยาศรีเสนา
ถัดไปเจ้าพระยาศรีธรรมาธิเบศ
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย
ดำรงตำแหน่ง
29 มีนาคม พ.ศ. 2477  12 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2478
นายกรัฐมนตรีพระยาพหลพลพยุหเสนา
ก่อนหน้าพระยาพหลพลพยุหเสนา
ถัดไปถวัลย์ ธำรงนาวาสวัสดิ์
สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรจังหวัดพระนครศรีอยุธยา
ดำรงตำแหน่ง
5 สิงหาคม พ.ศ. 2489  8 เมษายน พ.ศ. 2490
ก่อนหน้าเลือกตั้งเพิ่มเติม
ถัดไปหม่อมเจ้านิตยากร วรวรรณ
ผู้ประศาสน์การมหาวิทยาลัยวิชาธรรมศาสตร์และการเมือง
ดำรงตำแหน่ง
11 เมษายน พ.ศ. 2477  18 มีนาคม พ.ศ. 2495
ก่อนหน้าสถาปนามหาวิทยาลัย
ถัดไป
ข้อมูลส่วนบุคคล
เกิด
ปรีดี[a]

11 พฤษภาคม พ.ศ. 2443
อำเภอกรุงเก่า มณฑลกรุงเก่า ประเทศสยาม
เสียชีวิต2 พฤษภาคม พ.ศ. 2526 (82 ปี)
ปารีส ประเทศฝรั่งเศส
พรรคการเมืองคณะราษฎร
สหชีพ
การเข้าร่วม
พรรคการเมืองอื่น
เสรีไทย (2484–2488)
คู่สมรสพูนศุข ณ ป้อมเพชร์ (สมรส 2471)
บุตร6 คน รวมถึงปาล, ศุขปรีดา และดุษฎี
ญาติอรรถกิจ พนมยงค์ (น้องชายร่วมบิดา)
การศึกษา
อาชีพ
  • นักกฎหมาย
  • อาจารย์
  • นักวิชาการ
  • นักการทูต
  • นักเขียน
  • นักการเมือง
  • นักเคลื่อนไหว
ลายมือชื่อ

ศาสตราจารย์ ปรีดี พนมยงค์ (11 พฤษภาคม พ.ศ. 2443 – 2 พฤษภาคม พ.ศ. 2526) บรรดาศักดิ์ อำมาตย์ตรี หลวงประดิษฐ์มนูธรรม[b] เป็นนักกฎหมาย นักวิชาการ[1] นักการทูต นักปฏิวัติ และรัฐบุรุษอาวุโสชาวไทย[2] ดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีไทยคนที่ 7 ใน พ.ศ. 2489 และดำรงตำแหน่งผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ ระหว่าง พ.ศ. 2484 ถึง 2488 ปรีดีเป็นหนึ่งในผู้ก่อตั้งและหัวหน้าคณะราษฎรสายพลเรือน และมีบทบาทสำคัญในการปฏิวัติสยาม พ.ศ. 2475 อันนำไปสู่การเปลี่ยนแปลงการปกครองจากสมบูรณาญาสิทธิราชย์สู่ราชาธิปไตยภายใต้รัฐธรรมนูญ เขายังเป็นผู้ริเริ่มก่อตั้งมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ (เดิมคือมหาวิทยาลัยวิชาธรรมศาสตร์และการเมือง) และธนาคารแห่งประเทศไทย (เดิมคือธนาคารชาติไทย)

ปรีดีถือกำเนิดในครอบครัวชาวนา ณ อำเภอกรุงเก่า มณฑลกรุงเก่า (ปัจจุบันคืออำเภอพระนครศรีอยุธยา จังหวัดพระนครศรีอยุธยา) แต่ได้รับโอกาสทางการศึกษาอย่างกว้างขวาง สำเร็จการศึกษาจากเนติบัณฑิตยสภาเมื่ออายุเพียง 19 ปี และได้รับทุนไปศึกษาต่อที่ประเทศฝรั่งเศสจนสำเร็จนิติศาสตรดุษฎีบัณฑิตจากมหาวิทยาลัยปารีสใน พ.ศ. 2469 ระหว่างพำนักในฝรั่งเศส เขาเป็นหนึ่งในผู้ก่อตั้งคณะราษฎร และเมื่อกลับสู่ประเทศสยามได้เข้ารับราชการเป็นผู้พิพากษา ผู้ช่วยเลขานุการกรมร่างกฎหมาย และอาจารย์กฎหมายปกครอง ภายหลังการปฏิวัติสยาม พ.ศ. 2475 เขามีบทบาทสำคัญในการร่างรัฐธรรมนูญ และเสนอ "เค้าโครงการเศรษฐกิจ" อันสะท้อนแนวคิดสังคมนิยมประชาธิปไตย แม้แนวคิดนี้จะถูกต่อต้านอย่างรุนแรงจากฝ่ายอนุรักษนิยมจนต้องลี้ภัยในระยะหนึ่ง แต่เขาก็สามารถกลับมาดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีในรัฐบาลพระยาพหลพลพยุหเสนาและจอมพล แปลก พิบูลสงคราม โดยมีบทบาทในการปฏิรูประบบราชการ การบริหารท้องถิ่น และการเจรจาแก้ไขสนธิสัญญาไม่เสมอภาคกับชาติตะวันตกอย่างมีนัยสำคัญ

ในช่วงสงครามโลกครั้งที่สอง ปรีดีได้รับการแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่งผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ในรัชสมัยของพระบาทสมเด็จพระปรเมนทรมหาอานันทมหิดล พระอัฐมรามาธิบดินทร ระหว่าง พ.ศ. 2484–2488 และเป็นผู้นำขบวนการเสรีไทยภายในประเทศ โดยดำเนินกิจกรรมต่อต้านรัฐบาลภายใต้ระบอบเผด็จการทหารของนายกรัฐมนตรีแปลก ซึ่งเป็นพันธมิตรกับจักรวรรดิญี่ปุ่นและฝ่ายอักษะ รวมถึงมีท่าทีเป็นปฏิปักษ์และประกาศสงครามต่อฝ่ายสัมพันธมิตร รวมทั้งสหรัฐอเมริกาและสหราชอาณาจักร ปรีดีมีบทบาทสำคัญในการรักษาผลประโยชน์ของชาติ ไม่ให้ประเทศไทยถูกจัดอยู่ในสถานะประเทศผู้แพ้สงคราม หลังสงครามยุติ พระบาทสมเด็จพระปรเมนทรมหาอานันทมหิดล พระอัฐมรามาธิบดินทร โปรดเกล้าฯ ยกย่องเขาในฐานะรัฐบุรุษอาวุโส[3]

อย่างไรก็ดี ความขัดแย้งทางการเมืองทวีความรุนแรงยิ่งขึ้น โดยเฉพาะภายหลังการสวรรคตของพระบาทสมเด็จพระปรเมนทรมหาอานันทมหิดล พระอัฐมรามาธิบดินทรใน พ.ศ. 2489 ซึ่งทำให้ปรีดีตกเป็นเป้าของข้อกล่าวหาว่ามีส่วนเกี่ยวข้อง จนนำไปสู่การลาออกจากตำแหน่งนายกรัฐมนตรีถึงสองครั้ง กระทั่งเกิดรัฐประหารใน พ.ศ. 2490 เขาจึงต้องลี้ภัยทางการเมือง ใน พ.ศ. 2492 ปรีดีร่วมมือกับพันธมิตรทางการเมืองเพื่อพยายามโค่นล้มรัฐบาลแปลก ผ่านเหตุการณ์กบฏวังหลวง แต่ไม่ประสบผลสำเร็จ ทำให้สูญเสียอำนาจทางการเมืองอย่างถาวร เขาจึงลี้ภัยไปยังประเทศจีน และในเวลาต่อมาได้พำนักอยู่ในประเทศฝรั่งเศสโดยถาวร มิได้เดินทางกลับสู่ประเทศไทยอีกเลยจนถึงแก่อสัญกรรม ณ กรุงปารีส เมื่อ พ.ศ. 2526[4] ต่อมาใน พ.ศ. 2529 ได้มีการอัญเชิญอัฐิของเขากลับประเทศไทย พร้อมทั้งได้รับพระราชทานผ้าไตรในพิธีทักษิณานุประทานโดยพระบาทสมเด็จพระมหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร

ปรีดีได้รับการยกย่องเชิดชูเกียรติอย่างสูง โดยมีการจัดตั้งอนุสรณ์ต่าง ๆ เพื่อระลึกถึงคุณูปการของเขา อาทิ วันปรีดี พนมยงค์ สถาบันปรีดี พนมยงค์ ตลอดจนอนุสาวรีย์ รวมถึงสถานที่และสิ่งมีชีวิตหลากหลายชนิดที่ได้รับการตั้งชื่อเพื่อเป็นเกียรติแก่เขา แม้ว่าปรีดีจะเคยตกเป็นเป้าของข้อกล่าวหาเกี่ยวกับการมีส่วนเกี่ยวข้องในการสวรรคตของพระบาทสมเด็จพระปรเมนทรมหาอานันทมหิดล พระอัฐมรามาธิบดินทร แต่ศาลยุติธรรมได้มีคำพิพากษาให้เขาเป็นฝ่ายชนะในคดีหมิ่นประมาททุกคดีที่เขาเป็นโจทก์ฟ้องร้อง[c] ปรีดีจึงยังคงได้รับการยกย่องอย่างต่อเนื่องในฐานะสัญลักษณ์ของนักประชาธิปไตย และนักต่อสู้ต่อต้านเผด็จการทหารในความทรงจำร่วมของสังคมไทย และใน พ.ศ. 2542 องค์การเพื่อการศึกษา วิทยาศาสตร์ และวัฒนธรรมแห่งสหประชาชาติ (ยูเนสโก) ได้ประกาศยกย่องเขาให้เป็นบุคคลสำคัญของโลก เนื่องในโอกาสครบ 100 ปีชาตกาล[5]

ชีวิตช่วงต้น

[แก้]

ปรีดี เกิดเมื่อวันที่ 11 พฤษภาคม พ.ศ. 2443 ณ เรือนแพหน้าวัดพนมยงค์ ตำบลท่าวาสุกรี อำเภอกรุงเก่า มณฑลกรุงเก่า (ปัจจุบันคืออำเภอพระนครศรีอยุธยา จังหวัดพระนครศรีอยุธยา) ในครอบครัวชาวนาที่มีฐานะปานกลาง เป็นบุตรคนที่สองจากทั้งหมดห้าคนของเสียงและลูกจันทน์ ทั้งยังมีพี่น้องต่างมารดาอีกสองคน โดยหนึ่งในนั้นคือ อรรถกิจ สมาชิกคณะราษฎรซึ่งเคยดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ และอัครราชทูตไทยประจำกรุงสต็อกโฮล์ม บรรพบุรุษของปรีดีตั้งถิ่นฐานอยู่ใกล้วัดพนมยงค์มาอย่างยาวนาน โดยสืบเชื้อสายจากพระนมในราชสำนักกรุงศรีอยุธยานามว่า "ประยงค์" ผู้สร้างวัดในที่สวนของตนเอง ซึ่งภายหลังได้ชื่อตามผู้สร้างว่า "วัดพระนมยงค์" หรือ "วัดพนมยงค์" ครั้นเมื่อมีการประกาศใช้พระราชบัญญัติขนานนามสกุล พุทธศักราช 2456 ทายาทของตระกูลจึงได้รับนามสกุลว่า "พนมยงค์"[6][7]:11

บรรพบุรุษรุ่นปู่และย่าของปรีดีประกอบกิจการค้าขาย มีฐานะเป็นคหบดีใหญ่[7]:9[8]:2 แต่บิดาชอบชีวิตอิสระ ไม่ชอบประกอบอาชีพค้าขาย จึงหันไปยึดอาชีพกสิกรรม เริ่มต้นด้วยการทำป่าไม้ และต่อมาได้ไปบุกเบิกถางพงร้างเพื่อจับจองที่ทำนาบริเวณทุ่งหลวง อำเภอวังน้อย[8]:4–6 อย่างไรก็ตาม เขากลับประสบปัญหาภัยธรรมชาติและสัตว์รังควาน ทำให้ผลผลิตออกมาไม่ดี ซ้ำรัฐบาลยังให้สัมปทานแก่บริษัทเอกชนแห่งหนึ่งในการขุดคลองผ่านที่ดินของเขา พร้อมทั้งเรียกเก็บค่าขุดคลองโดยไม่ชดเชยความเสียหายที่เกิดขึ้น[8]:10 จึงทำให้บิดาของปรีดีต้องกู้เงินมาจ่ายเป็นค่ากรอกนา เป็นผลให้ฐานะทางเศรษฐกิจของครอบครัวตกต่ำลง และกลายเป็นหนี้สินอยู่หลายปี[8]:11–14

จากการเติบโตในครอบครัวชาวนาที่เคยประสบกับปัญหาภัยธรรมชาติ การสูญเสียที่ดิน และการเป็นหนี้สินสะสม ทำให้ปรีดีซึมซับถึงความทุกข์ยากของชนชั้นชาวนาโดยตรง เขาตระหนักถึงการถูกเอารัดเอาเปรียบจากเจ้าที่ดินศักดินา ซึ่งเป็นผู้ถือครองทรัพยากรแต่เพียงฝ่ายเดียว ขณะที่ประชาชนจำนวนมากต้องแบกรับความเหลื่อมล้ำโดยไม่มีสิทธิ์ต่อรองใด ๆ สิ่งเหล่านี้กลายเป็นแรงผลักดันอันสำคัญในวัยเยาว์ที่กระตุ้นให้เขาคิดถึงความจำเป็นในการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างทางสังคม เศรษฐกิจ และการเมืองของประเทศ ซึ่งต่อมาหล่อหลอมให้เขากลายเป็นนักคิดหัวก้าวหน้า ผู้ต้องการปรับเปลี่ยนระบบอันไม่เป็นธรรมที่ฝังรากลึกอยู่ในสยาม[8]:48–55

ปรีดีเริ่มสนใจในเรื่องการเมืองตั้งแต่อายุเพียง 11 ปี โดยได้รับอิทธิพลจากข่าวสารระดับนานาชาติในขณะนั้น โดยเฉพาะเหตุการณ์การปฏิวัติซินไฮ่ในประเทศจีน เมื่อ พ.ศ. 2454 ซึ่งเป็นการล้มล้างราชวงศ์ชิง และสถาปนาสาธารณรัฐจีน รวมถึงเหตุการณ์ในประเทศสยามเองคือกบฏ ร.ศ. 130 (พ.ศ. 2451) โดยเป็นความพยายามเปลี่ยนแปลงระบอบการปกครองสู่ระบอบสาธารณรัฐของกลุ่มนายทหารและพลเรือนปัญญาชน ซึ่งล้มเหลวและนำไปสู่การจับกุมและลงโทษอย่างรุนแรงต่อผู้เกี่ยวข้อง เหตุการณ์นี้กระทบใจปรีดีอย่างลึกซึ้ง แม้เขายังเป็นเพียงเด็ก แต่ก็แสดงความเห็นอกเห็นใจต่อกลุ่มผู้ถูกลงโทษ และตั้งคำถามกับระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์อย่างเงียบงันในใจ[9]

การศึกษา

[แก้]
ปรีดี สมัยเรียนมัธยมศึกษา ใน พ.ศ. 2458

แม้นเกิดในครอบครัวชาวนา แต่บิดาของเขาเป็นผู้ใฝ่รู้และเล็งเห็นประโยชน์ของการศึกษา และสนับสนุนให้บุตรได้รับการศึกษาที่ดีมาโดยตลอด[10]:6 ปรีดีเริ่มเรียนหนังสือที่บ้านครูแสง ตำบลท่าวาสุกรี[7]:13–4 และสำเร็จการศึกษาในระดับประถมที่โรงเรียนวัดศาลาปูน[7]:20 อำเภอกรุงเก่า จากนั้นไปศึกษาชั้นมัธยมเตรียมที่โรงเรียนมัธยมวัดเบญจมบพิตร[7]:23 แล้วย้ายไปศึกษาต่อที่โรงเรียนตัวอย่างประจำมณฑลกรุงเก่า (ปัจจุบันคือ โรงเรียนอยุธยาวิทยาลัย)[7]:25 จนสอบไล่ได้ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 6 ซึ่งเป็นชั้นสูงสุดสำหรับหัวเมือง แล้วไปศึกษาต่อที่โรงเรียนสวนกุหลาบวิทยาลัย ใน พ.ศ. 2460 อายุได้ 17 ปี เข้าศึกษาที่โรงเรียนกฎหมาย กระทรวงยุติธรรม และศึกษาภาษาฝรั่งเศสที่เนติบัณฑิตยสภา[11]:14 รู้สึกประทับใจกับอาจารย์ชาวฝรั่งเศสคนหนึ่งชื่อ เลเดแกร์ (Laydeker) ซึ่งเป็นที่ปรึกษากระทรวงยุติธรรมด้วย ต่อมาสอบไล่วิชากฎหมายชั้นเนติบัณฑิตได้ในขณะมีอายุ 19 ปี เขาเคยว่าความคดีเดียว โดยเป็นทนายความจำเลยในคดีที่จำเลยก่อให้เกิดความเสียหายต่อบริเวณสถานที่ของพระมหากษัตริย์ ซึ่งเขาให้เหตุผลจนชนะคดีว่าเป็นเหตุสุดวิสัย[12]:28 ต่อมาเขาทำงานเป็นเสมียนกรมราชทัณฑ์โดยได้รับการสนับสนุนจากอธิบดี พระยาชัยวิชิตวิศิษฏ์ธรรมธาดา (ขำ ณ ป้อมเพชร์) ซึ่งปรีดียกย่องว่าได้รับความรู้เรื่องการบริหารรัฐกิจจากเขา[12]:28–9

ต่อมาได้รับการคัดเลือกจากกระทรวงยุติธรรมให้ทุนไปศึกษาต่อที่ประเทศฝรั่งเศสใน พ.ศ. 2463[11]:12 เขาใช้เวลาเรียนเตรียมภาษาฝรั่งเศส ภาษาละติน และภาษาอังกฤษก่อนหนึ่งปี[12]:29 แล้วสามารถสอบเข้าศึกษาวิชากฎหมายที่มหาวิทยาลัยก็อง (Université de Caen) จนสอบไล่ได้ปริญญารัฐเป็น "บาเชอลีเย" สาขากฎหมาย (bachelier en droit) และได้ปริญญารัฐเป็น "ลีซ็องซีเย" สาขากฎหมาย (Licencié en Droit) ตามลำดับ[11]:15–7 ทั้งนี้หลักสูตรลิซองซิเอของฝรั่งเศสได้รวบรวมความรู้หลายด้าน ทั้งการยุติธรรม ศาล มหาดไทย คลัง ต่างประเทศ[11]:16 เขาสำเร็จการศึกษาระดับปริญญาเอกสาขานิติศาสตร์ จากคณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยปารีสใน พ.ศ. 2469 โดยเขาเสนอวิทยานิพนธ์ชื่อ "ในกรณีที่หุ้นส่วนคนหนึ่งถึงแก่ความตาย ฐานะของห้างหุ้นส่วนส่วนบุคคลจะเป็นอย่างไร (ศึกษาตามกฎหมายฝรั่งเศสและกฎหมายเปรียบเทียบ)" (Du Sort des Sociétés de Personnes en cas de Décès d'un Associé (Étude de droit français et de droit comparé))[11]:17[12]:29 ซึ่งอุทิศให้แก่เลเดแกร์[11]:14 นับเป็นคนไทยคนแรกที่ได้ปริญญาเอกแห่งรัฐ (doctorat d'état) เป็น "ดุษฎีบัณฑิตกฎหมาย" (docteur en droit) ฝ่ายนิติศาสตร์ (sciences juridiques)[11]:19 นอกจากนี้เขายังสอบไล่ได้ประกาศนียบัตรการศึกษาชั้นสูงในสาขาเศรษฐศาสตร์การเมือง (diplôme d'études supérieures d'économie politique) อีกด้วย[12]:29[13]:13–7

ใน พ.ศ. 2467 ปรีดีก่อตั้งสมาคมนักเรียนไทยในกรุงปารีส ชื่อ "สามัคยานุเคราะห์สมาคม" และได้รับเลือกตั้งเป็นประธานสมาคม ต่อมาเขาเกิดพิพาทกับพระวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าจรูญศักดิ์กฤดากร อัครราชทูตสยามประจำกรุงปารีส เนื่องจากขัดคำสั่งพระองค์ที่ห้ามส่งตัวแทนสมาคมนักเรียนไปยังสหราชอาณาจักรใน พ.ศ. 2469[12]:30–1 ต่อมา บรรดาผู้บริหารสมาคมกำลังร่างคำร้องทุกข์ขอเพิ่มเงินเดือนเนื่องจากเงินบาทแข็งค่าขึ้นเมื่อเทียบกับสกุลฟรังก์ ทำให้อัครราชทูตหมดขันติ[12]:32 พระองค์ทำหนังสือกราบบังคมทูลว่า ปรีดีเป็นหัวหน้าชักชวนนักเรียนขัดคำสั่งเอกอัครราชทูตเห็นจะเป็นภัยต่อราชบัลลังก์และให้เรียกตัวกลับ ด้านพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงดำริว่าไม่ทรงถือปรีดีเป็นภัยคุกคามต่อราชบัลลังก์ แต่มีการกระทำที่อวดดีแบบคนหนุ่ม และให้ยุบสมาคม[12]:32–3 อย่างไรก็ดี บิดาของปรีดีถวายฎีกาขอให้ผ่อนผันการเรียกตัวปรีดีกลับประเทศจนกว่าจะสำเร็จปริญญาเอก[12]:33–4 กระทรวงยุติธรรมโดยเจ้าพระยาพิชัยญาติขอเอาตัวเองเป็นประกันขอให้ปรีดีศึกษาต่อจนสำเร็จการศึกษา[11]:19 อีกหลายปีถัดมา ปรีดีให้สัมภาษณ์ยอมรับว่าเขาตั้งใจปลุกปั่นนักเรียนให้เกิดสำนึกทางการเมืองจริงซึ่งจะนำไปสู่การเปลี่ยนแปลงทางการเมืองในอนาคต[12]:34 นอกจากนี้ ปรีดียังถูกเพ่งเล็งจากกรณีไปพบผู้แทนสาธารณรัฐจีนคนหนึ่งโดยไม่ทราบสาเหตุ

วิชาชีพกฎหมาย

[แก้]

เมื่อเดินทางกลับถึงจังหวัดพระนครในเดือนเมษายน พ.ศ. 2470[12]:34 ปรีดีได้เข้ารับราชการในตำแหน่งผู้พิพากษาประจำกระทรวงยุติธรรม จากนั้นจึงได้รับการแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่งผู้ช่วยเลขานุการกรมร่างกฎหมาย (ซึ่งต่อมาได้พัฒนาเป็นสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา) และได้รับพระราชทานบรรดาศักดิ์เป็น อำมาตย์ตรี หลวงประดิษฐ์มนูธรรม[14] (ต่อมาได้กราบถวายบังคมลาออกจากบรรดาศักดิ์ใน พ.ศ. 2485[15]) เขามีบทบาทสำคัญในการร่างและปรับปรุงกฎหมาย โดยเฉพาะในส่วนของประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ รวมถึงทำหน้าที่เป็นที่ปรึกษากฎหมายของรัฐ และมีบทบาทในลักษณะของศาลปกครองในการวินิจฉัยข้อพิพาทระหว่างข้าราชการกับประชาชน[11] :23 ใน พ.ศ. 2471 ขณะมีอายุ 28 ปี เขาได้รับแต่งตั้งเป็นกรรมการกรมร่างกฎหมาย และในช่วงเวลาดังกล่าว ปรีดีได้รวบรวมกฎหมายไทยตั้งแต่กฎหมายตราสามดวงจนถึงกฎหมายร่วมสมัยในขณะนั้นเป็นฉบับเดียว โดยใช้ชื่อว่า ประชุมกฎหมายไทย ซึ่งได้รับการตีพิมพ์เมื่อ พ.ศ. 2473 ที่โรงพิมพ์นิติสาสน์ อันเป็นกิจการส่วนตัวของเขา หนังสือเล่มนี้ได้รับความนิยมอย่างแพร่หลาย และสร้างรายได้ให้แก่เขาอย่างมาก[11] :22

ปรีดี สมัยเรียน จากต่างประเทศ

ควบคู่ไปกับงานในกรมร่างกฎหมาย ปรีดียังดำรงตำแหน่งอาจารย์ผู้สอนในโรงเรียนกฎหมาย กระทรวงยุติธรรม ในระยะแรก เขาสอนวิชากฎหมายแพ่งและพาณิชย์ บรรพ 3 ว่าด้วยลักษณะของหุ้นส่วน บริษัท และสมาคม ต่อมาใน พ.ศ. 2474 เขาเริ่มสอนวิชากฎหมายระหว่างประเทศ แผนกคดีบุคคล รวมถึงเป็นบุคคลแรกที่บุกเบิกการสอนวิชากฎหมายปกครอง (Droit Administratif)[11] :22 วิชานี้ถือเป็นเครื่องหมายแห่งชื่อเสียงของปรีดี[12]:35 เนื่องจากมีเนื้อหาเกี่ยวข้องกับแนวคิดกฎหมายมหาชน โดยเฉพาะหลักการแยกใช้อำนาจอธิปไตย ซึ่งเป็นแนวคิดตรงข้ามกับระบบสมบูรณาญาสิทธิราชย์[16] ซึ่งปลุกเร้าความตื่นตัวทางการเมืองในหมู่นักศึกษากฎหมายให้ตระหนักถึงสิทธิ หน้าที่ และความสำคัญของการมีส่วนร่วมในการปกครองตนเอง[11]:24 ในการบรรยาย ปรีดีได้อธิบายหลักรัฐธรรมนูญ พัฒนาการของการบริหารราชการแผ่นดิน รวมถึงแนวคิดทางเศรษฐกิจการเมืองและการคลังสาธารณะเบื้องต้น[12]:35 นอกจากนี้ หนังสือวิชากฎหมายปกครองที่เขาเรียบเรียงขึ้นยังกลายเป็นเครื่องมือสำคัญในการเผยแพร่แนวคิดประชาธิปไตย และจุดประกายความคิดทางการเมืองให้แก่ผู้คนในวงกว้าง โดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วงก่อนและระหว่างการปฏิวัติสยาม พ.ศ. 2475[17] :19

สมาชิกคณะราษฎรกับบทบาทการเมืองช่วงแรก

[แก้]

ส่วนร่วมในการปฏิวัติสยาม

[แก้]
ถนนซอเมอราร์ในกรุงปารีส ประเทศฝรั่งเศส เป็นที่ประชุมครั้งแรกของผู้ก่อตั้งคณะราษฎร

ระหว่างศึกษาอยู่ในประเทศฝรั่งเศส ปรีดีเริ่มแลกเปลี่ยนความคิดเห็นเกี่ยวกับแนวทางการเปลี่ยนแปลงการปกครองกับร้อยโท ประยูร ภมรมนตรี เมื่อเดือนสิงหาคม พ.ศ. 2467[12]:44 ต่อมาในเดือนกุมภาพันธ์ พ.ศ. 2469 เขาได้ร่วมกับผู้มีแนวคิดสอดคล้องกันอีก 5 คน จัดการประชุมอย่างเป็นทางการครั้งแรกเพื่อก่อตั้งคณะราษฎร ณ บ้านเลขที่ 5 ถนนซอเมอราร์ กรุงปารีส[12]:45 ผู้ร่วมประชุมประกอบด้วย ร้อยโท แปลก ขีตตะสังคะ (ต่อมาคือแปลก พิบูลสงคราม), ร้อยตรี ทัศนัย มิตรภักดี, ตั้ว ลพานุกรม, จรูญ สิงหเสนี และแนบ พหลโยธิน โดยมีเป้าหมายเพื่อให้สยามบรรลุ "หลัก 6 ประการของคณะราษฎร" ปรีดีได้รับมอบหมายให้เป็นผู้ร่างนโยบายและโครงการสำหรับการปกครองภายหลังการเปลี่ยนแปลง[12]:46

เมื่อเดินทางกลับประเทศ ปรีดีเข้ารับราชการเป็นอาจารย์สอนวิชากฎหมาย และมีศิษย์จำนวนมากที่เลื่อมใสในระบอบประชาธิปไตยและแนวคิดเศรษฐกิจแบบสังคมนิยม ซึ่งต่อมาได้เข้าร่วมกับคณะราษฎร อาทิ สงวน ตุลารักษ์, ดิเรก ชัยนาม ตลอดจนชักชวนผู้ที่มีจุดยืนร่วมกัน เช่น ประจวบ บุนนาค, จรูญ สืบแสง และวิลาศ โอสถานนท์[10] :69–70 ในการประชุมครั้งหนึ่ง ปรีดีได้เสนอ "แผนเศรษฐกิจแห่งชาติ" ซึ่งเน้นรูปแบบสหกรณ์ โดยที่ประชุมมีมติให้เขาเป็นผู้ดำเนินการแผนนี้[10] :71–2 สำหรับแนวทางในการเปลี่ยนแปลงการปกครอง ปรีดีเป็นผู้เสนอให้จับพระบรมวงศานุวงศ์และสมาชิกรัฐบาลที่สำคัญไว้เป็นตัวประกัน เพื่อหลีกเลี่ยงการสูญเสียชีวิตและความรุนแรงเช่นที่เกิดขึ้นในการปฏิวัติฝรั่งเศสและการปฏิวัติรัสเซีย[10] :72

กระทั่งวันที่ 24 มิถุนายน พ.ศ. 2475 ปรีดีพร้อมสมาชิกคณะราษฎรได้ก่อการเปลี่ยนแปลงการปกครองจากสมบูรณาญาสิทธิราชย์เป็นราชาธิปไตยภายใต้รัฐธรรมนูญได้สำเร็จโดยไม่เกิดการนองเลือด หลังจากนั้น คณะราษฎรในฐานะฝ่ายบริหารได้นัดประชุมร่วมกับเสนาบดีและปลัดทูลฉลอง ณ พระที่นั่งอนันตสมาคม ภายในพระราชวังดุสิต เพื่อแถลงจุดมุ่งหมาย หลักการของระบอบใหม่ และนำเสนอร่างพระธรรมนูญการปกครองแผ่นดินฉบับเบื้องต้น พร้อมขอความร่วมมือในการบริหารราชการแผ่นดินต่อไป[18]

การประนีประนอมกับอำนาจเก่า

[แก้]

ภายหลังการปฏิวัติ ปรีดีถือเป็นผู้มีบทบาทสำคัญในการจัดวางรูปแบบการปกครองในระบอบใหม่ เป็นผู้ร่างพระราชบัญญัติธรรมนูญการปกครองแผ่นดินสยามชั่วคราว เช่นเดียวกับรัฐธรรมนูญฉบับ 10 ธันวาคม พ.ศ. 2475 อันเป็นรัฐธรรมนูญถาวรฉบับแรกของสยาม สำหรับรัฐธรรมนูญฉบับหลังนี้ปรีดีได้ถวายแก้ข้อข้องใจของพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัวจนเป็นที่พอพระราชหฤทัย[17]:23–5 ที่ใช้เป็นบรรทัดฐานของการปกครองในระบอบใหม่ เขายังได้รับแต่งตั้งจากสภาผู้แทนราษฎรให้เป็นเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎรคนแรก ด้วยตำแหน่งดังกล่าว ทำให้เขามีบทบาทด้านนิติบัญญัติในการวางหลักสิทธิ เสรีภาพ และความเสมอภาคให้แก่ราษฎร โดยเป็นผู้ยกร่างพระราชบัญญัติการเลือกตั้งฉบับแรก และเป็นผู้ริเริ่มสิทธิออกเสียงเลือกตั้งทั่วไป[19]

เขาเป็นสมาชิกคณะกรรมการราษฎรและรัฐมนตรีไม่สังกัดกระทรวงในรัฐบาลพระยามโนปกรณ์นิติธาดา นายกรัฐมนตรีคนแรก พระยามโนปกรณ์นิติธาดาแสดงออกหลายครั้งว่าปรีดีเป็นผู้บงการรัฐบาลบ้าง เป็นผู้คุมเสียงในสภาบ้าง[17]:20 ในการร่างรัฐธรรมนูญถาวรฉบับแรก เขากับพระยามโนปกรณ์นิติธาดาเป็นปรปักษ์กันเพราะฝ่ายพระยามโนปกรณ์นิติธาดาพยายามร่างรัฐธรรมนูญให้คล้ายกับรัฐธรรมนูญเมจิที่พระมหากษัตริย์มีพระราชอำนาจอย่างกว้างขวาง[10]:108–9 นอกจากนี้ ปรีดียังเสนอให้ปรับปรุงภาษีอากรบางชนิดโดยเร็ว เช่น ยกเลิกอากรนาเกลือ ภาษีสมพัตสร ปรับปรุงภาษีการธนาคารและการประกันภัย ลดภาษีโรงเรือนที่ดิน ลดและเลิกอัตราเก็บเงินค่าที่สวน การเก็บเงินค่านา มีการออกพระราชบัญญัติว่าด้วยการยึดทรัพย์สินของกสิกรเพื่อให้ทรัพย์สินที่มีความจำเป็นต่อการสร้างตัวของกสิกรถูกเจ้าหนี้ยึดไปไม่ได้[10]:113–4 รัฐบาลยังออกกฎหมายหลายฉบับ เช่น พระราชบัญญัติห้ามเรียกดอกเบี้ยเกินอัตรา พระราชบัญญัติสำนักงานจัดหางาน พระราชบัญญัติภาษีเงินได้ซึ่งมีอัตราภาษีแบบก้าวหน้า[10]:114–8

ซ้าย: "สมุดปกเหลือง" ต้นฉบับเค้าโครงการเศรษฐกิจ
ขวา: "สมุดปกขาว" ฉบับชี้แจงและแก้ข้อเข้าใจผิดเกี่ยวกับเค้าโครงการเศรษฐกิจ
การคิดที่จะบำรุงความสุขสมบูรณ์ของราษฎรนี้ ข้าพเจ้าได้เพ่งเล็งถึงสภาพอันแท้จริง ตลอดจนนิสสัยใจคอของราษฎรส่วนมากว่า การที่จะส่งเสริมให้ราษฎรได้มีความสุขสมบูรณ์นั้น ก็มีอยู่ทางเดียว ซึ่งรัฐบาลจะต้องเป็นผู้จัดการเศรษฐกิจเสียเอง โดยแบ่งการเศรษฐกิจนั้นออกเป็นสหกรณ์ต่าง ๆ ความคิดที่ข้าพเจ้าได้มีอยู่เช่นนี้ ไม่ใช่เป็นด้วยข้าพเจ้าได้มีอุปาทานผูกมั่นอยู่ในลัทธิใด ๆ ข้าพเจ้าได้หยิบเอาส่วนที่ดีของลัทธิต่าง ๆ ที่เห็นว่าเหมาะสมแก่ประเทศสยามแล้ว จึงได้ปรับปรุงยกขึ้นเป็นเค้าโครงการ[20]:11

—ปรีดี พนมยงค์

ใน พ.ศ. 2476 ปรีดีได้เสนอเค้าโครงการเศรษฐกิจ ชื่อร่างว่า "พระราชบัญญัติว่าด้วยการประกันความสุขสมบูรณ์ของราษฎร" หรือ "สมุดปกเหลือง" ต่อรัฐบาลเพื่อใช้เป็นนโยบายเศรษฐกิจของประเทศ โดยดำเนินเศรษฐกิจแบบสหกรณ์ ทั้งยังมีวิสัยทัศน์เรื่องการตั้งหลักประกันสังคม[20]:16–7 เขาประสงค์ให้รัฐบาลเป็นเจ้าของที่ดินและแรงงาน ให้จัดสรรที่ดินที่ไม่ได้ใช้ประโยชน์มาใช้เพื่อการกสิกรรม และให้แบ่งปันกำไรอย่างเสมอภาค[21] ฐาปนันท์ นิพิฏฐกุล อาจารย์คณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ระบุว่าความคิดทางเศรษฐกิจของปรีดีมาจากปรัชญาภราดรภาพนิยม (solidaritism) ซึ่งผสานระหว่างความคิดแบบสังคมนิยมกับเสรีนิยมแบบรูโซ[21]

หม่อมเจ้าวัลภากร วรวรรณ ซึ่งถือเป็นผู้เชี่ยวชาญด้านเศรษฐกิจผู้หนึ่ง ทรงเห็นด้วยกับเค้าโครงของปรีดีเช่นกัน[10]:131 รายงานการประชุมกรรมการพิจารณาเค้าโครงเศรษฐกิจ เมื่อวันที่ 12 มีนาคม 2475 (นับแบบเก่า) ระบุว่าผู้เข้าร่วมประชุมส่วนใหญ่เห็นชอบกับแผนดังกล่าว[17]:33–54 รัฐมนตรีบางคนไม่เห็นชอบโดยอ้างว่าทำไม่ได้บ้าง หรือใช้เวลา 50–100 ปีบ้าง นอกจากนี้พระยามโนปกรณ์นิติธาดายังให้มีมติของที่ประชุมว่าที่ประชุมยังเห็นไม่ลงรอยกัน และหากรัฐบาลเห็นชอบและประกาศใช้แผนดังกล่าว ถือว่าปรีดีประกาศโครงการเศรษฐกิจในนามของตนแต่ผู้เดียว[10]:133–35

เค้าโครงเศรษฐกิจดังกล่าวถูกคัดค้านอย่างหนักจากกลุ่มอนุรักษนิยมและถูกกล่าวหาว่าเป็นคอมมิวนิสต์[22] พระยามโนปกรณ์นิติธาดายกพระบรมราชวินิจฉัยของพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัวที่ทรงไม่เห็นด้วยมาเป็นเครื่องชี้ขาดและตีตกไป สุพจน์ ด่านตระกูลเขียนว่าในสมุดปกเหลืองยังมีแผนตั้งสภาเศรษฐกิจแห่งชาติ หลักประกันสังคมหรือสังคมสงเคราะห์ และการตั้งธนาคารแห่งชาติซึ่งถูกล้มไปพร้อมกับแผนนั้น ในเวลาต่อมามีการจัดตั้งขึ้นทั้งสิ้น[17]:32

เกิดความขัดแย้งขึ้นตามมาจนนำไปสู่การปิดสภาผู้แทนราษฎรและงดใช้รัฐธรรมนูญบางมาตรา ซึ่งพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัวมีส่วนสนับสนุนด้วยเพราะทรงวิตกเรื่องการจัดสรรที่ดินใหม่[23]:19–20 พระยามโนปกรณ์นิติธาดาแถลงพาดพิงปรีดีว่า

ระหว่างเวลาที่หลวงประดิษฐ์ฯ [ปรีดี] เป็นรัฐมนตรีอยู่ในคณะรัฐบาลใหม่นั้นคราวใดที่มีการจับกุมลงโทษจีนที่เป็นคอมมิวนิสต์แล้ว หลวงประดิษฐ์ฯ มักจะท้วงว่า ผู้ซึ่งนับถือลัทธิคอมมิวนิสต์ไม่ควรมีความผิด ถ้าได้รับโทษต่อเมื่อใดที่เขายุยงหรือใช้กำลังกายก่อให้เกิดความไม่สงบขึ้นแล้วเมื่อนั้นจึงถือว่าผู้นั้นเป็นผู้ทำผิดกฎหมาย การที่ได้ยินหลวงประดิษฐ์ฯ กล่าวอยู่เช่นนี้เสมอ ๆ ทำให้ข้าพเจ้าและรัฐมนตรีบางท่านเกิดระแวงขึ้นมา ถึงโครงการเศรษฐกิจที่หลวงประดิษฐ์ฯ รับภาระไปนั้นว่าจะมีเข็มไปในทางคอมมิวนิสต์เสียกระมัง

การโฆษณาความเห็นต่อแผนเค้าโครงเศรษฐกิจของเขาโดยกลุ่มเจ้าและอนุรักษนิยมทำให้เกิดการต่อต้านและมีการแห่ถอนเงินจากธนาคาร การต่อต้านดังกล่าวทำให้ปรีดีเดินทางออกนอกประเทศชั่วคราวเพื่อลดความขัดแย้ง วันที่ 6 เมษายน พระยามโนปกรณ์นิติธาดาเข้าพบปรีดีและแจ้งเขาว่าการให้เขาออกนอกประเทศไปจะเป็นประโยชน์ต่อบ้านเมือง และรัฐบาลจะออกค่าใช้จ่ายให้ 1,000 ปอนด์ต่อปี[12]:68 ก่อนถึงวันเดินทาง กระทรวงการต่างประเทศออกหนังสือสำคัญให้แก่ปรีดีโดยระบุว่าเขาเดินทางไปเพื่อ "ศึกษาภาวะทางเศรษฐกิจอื่น ๆ"[10]:266–7

เขาเดินทางออกนอกประเทศโดยทางท่าเรือบีไอ ในวันที่ 12 เมษายน พ.ศ. 2476 หนังสือพิมพ์ ศรีกรุง ลงข่าวว่า มีคนไปส่งปรีดีที่ท่าเรือ 2,000 คน "ด้วยน้ำตาไหลพรากไปตาม ๆ กันเป็นส่วนมาก"[10]:268 พร้อมกับภรรยา และเพื่อนอีก 3 คน เดินทางถึงสิงคโปร์เมื่อวันที่ 15 เมษายน และได้รับการต้อนรับให้พักอยู่กับคหบดีชาวไทยที่พำนักอยู่ที่นั่น[10]:290 เขาและคณะเดินทางต่อไปยังเมืองท่ามาร์แซย์ ประเทศฝรั่งเศส แล้วนั่งรถไฟต่อไปยังกรุงปารีส เขาพำนักอยู่ที่ชานกรุงและพบปะกับนักเศรษฐศาสตร์และนักการเมือง บ้างก็เดินทางไปยังสหราชอาณาจักร[10]:293 หลังจากนั้นรัฐบาลใหม่ออกกฎหมายต่อต้านคอมมิวนิสต์ ซึ่งทำให้เข้าใจได้ว่าต้องการขัดขวางปรีดีมิให้เดินทางกลับประเทศไทยอีก[12]:71

รัฐบาลคณะราษฎร

[แก้]

ภายหลังรัฐประหารเมื่อวันที่ 20 มิถุนายน พ.ศ. 2476 ซึ่งเป็นเหตุการณ์สำคัญที่ส่งผลให้พระยาพหลพลพยุหเสนา หนึ่งในแกนนำสายทหารบกของคณะราษฎรขึ้นดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี คณะรัฐมนตรีชุดใหม่ได้มีมติเรียกตัวปรีดีให้กลับจากประเทศฝรั่งเศสในเดือนกันยายนปีเดียวกันนั้น โดยในช่วงเวลาดังกล่าว ปรีดีกำลังศึกษาต่อในระดับปริญญาด้านศาสนาและปรัชญา ณ มหาวิทยาลัยในฝรั่งเศส[17]:61 ขณะเดียวกัน ไสว สุทธิพิทักษ์ นักวิชาการ เล่าว่าปรีดีเคยแสดงความประสงค์จะเดินทางไปยังประเทศสเปนซึ่งกำลังอยู่ในระยะเปลี่ยนผ่านสู่ระบอบสาธารณรัฐภายหลังการปฏิวัติ เพื่อศึกษาระบบการเมืองการปกครองในเชิงเปรียบเทียบ[10]:300–1

อย่างไรก็ตาม ก่อนหน้านั้นรัฐบาลได้กราบบังคมทูลพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัวอย่างเป็นทางการว่า จะไม่รื้อฟื้นการผลักดัน "เค้าโครงการเศรษฐกิจ" ของปรีดีอีก เพื่อคลายความกังวลเกี่ยวกับแนวคิดที่เคยถูกวิจารณ์ว่าเป็น "สังคมนิยมสุดโต่ง"[24]:58–9 ปรีดีจึงตัดสินใจเดินทางออกจากเมืองท่ามาร์แซย์ ประเทศฝรั่งเศส เมื่อวันที่ 1 กันยายน พ.ศ. 2476 และเดินทางถึงสยามเมื่อวันที่ 29 กันยายนในปีเดียวกัน โดยมีเรือเอก ถวัลย์ ธำรงนาวาสวัสดิ์ ซึ่งดำรงตำแหน่งเลขาธิการคณะรัฐมนตรีในขณะนั้น เดินทางมารับด้วยตนเอง[10]:302–4 นับจากนั้นเป็นต้นมา ปรีดีได้กลับเข้าสู่เวทีการเมืองไทยอย่างเต็มตัวอีกครั้ง และดำรงตำแหน่งสำคัญในรัฐบาลของนายกรัฐมนตรีที่มาจากคณะราษฎร ได้แก่ พระยาพหลพลพยุหเสนา และต่อมาคือแปลก พิบูลสงคราม

รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย

[แก้]

ปรีดีได้รับการแต่งตั้งเป็นรัฐมนตรีลอยในวันที่ 1 ตุลาคม พ.ศ. 2476[17] :63 ทั้งนี้ แม้เขาจะมีตำแหน่งในรัฐบาลอย่างเป็นทางการ แต่ความไม่พอใจในตัวปรีดีจากกลุ่มอำนาจเก่า ยังคงดำรงอยู่และทวีความตึงเครียด จนกลายเป็นชนวนเหตุสำคัญที่นำไปสู่กบฏบวรเดชในที่สุด อย่างไรก็ดี เมื่อพระวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าบวรเดชพ่ายแพ้ กระแสต่อต้านปรีดีก็อ่อนกำลังลงอย่างเห็นได้ชัด[24] :60 ต่อมา เมื่อพระยาพหลพลพยุหเสนาเตรียมกราบบังคมทูลขอพระบรมราชโองการแต่งตั้งปรีดีเป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัวมีพระราชกระแสรับสั่งผ่านโทรเลขว่า "ว่าการมหาดไทยไม่ขัดข้อง แต่ถ้าว่าการศึกษา ขัดข้อง"[10] :327 ด้วยเหตุนี้ ปรีดีจึงยังไม่ยอมรับตำแหน่งในทันที เนื่องจากตนยังตกเป็นเป้าของข้อกล่าวหาเรื่องลัทธิคอมมิวนิสต์ จนกระทั่งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรได้เสนอญัตติเมื่อวันที่ 25 ธันวาคม พ.ศ. 2476 ให้มีการตั้งคณะกรรมการวิสามัญขึ้นสอบสวน โดยมีพระเจ้าวรวงศ์เธอ กรมหมื่นนราธิปพงศ์ประพันธ์เป็นประธาน ซึ่งในที่สุดคณะกรรมาธิการได้มีมติเอกฉันท์ว่า ปรีดีมิได้มีแนวคิดหรือพฤติการณ์ใดที่เข้าข่ายเป็นคอมมิวนิสต์[17] :120[10] :329[d] ภายหลังจากข้อกล่าวหานั้นถูกลบล้างโดยสมบูรณ์ เขาจึงได้รับการแต่งตั้งเป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทยอย่างเป็นทางการในวันที่ 24 มีนาคม พ.ศ. 2476 (ตามปฏิทินเก่า)[10] :437

ในตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย ปรีดีมีบทบาทสำคัญอย่างยิ่งในการปฏิรูประบบราชการ เขาเป็นผู้ร่างพระราชบัญญัติระเบียบบริหารราชการแผ่นดิน พุทธศักราช 2476 ซึ่งกำหนดรูปแบบการบริหารราชการออกเป็น 3 ส่วน ได้แก่ ราชการส่วนกลาง ราชการส่วนภูมิภาค และราชการส่วนท้องถิ่น เพื่อนำไปสู่การกระจายอำนาจการปกครองอย่างมีระบบตามแนวทางประชาธิปไตย นอกจากนี้ เขายังเป็นผู้ร่างพระราชบัญญัติจัดระเบียบเทศบาล พุทธศักราช 2476 ซึ่งถือเป็นจุดเริ่มต้นของระบบเทศบาลในประเทศไทย[17] :148 ในด้านการบริหาร เขาได้ดำเนินการซักซ้อมแนวทางกับข้าราชการกระทรวงมหาดไทยทุกระดับ ตั้งแต่ปลัดกระทรวงจนถึงนายอำเภอ เพื่อให้เกิดความเข้าใจในแนวนโยบายใหม่[17] :153 อย่างไรก็ตาม ความพยายามในการปฏิรูปของเขาถูกต่อต้านจากรัฐมนตรีบางราย โดยเฉพาะในเรื่องการแต่งตั้งข้าหลวงประจำจังหวัดและนายอำเภอในเขตชายแดน ซึ่งมีข้อเสนอจากฝ่ายหนึ่งให้แต่งตั้งจากนายทหาร ขณะที่ปรีดียืนกรานให้แต่งตั้งจากพลเรือนเท่านั้น[10] :439–41 ความขัดแย้งนี้ส่งผลให้เขาพิจารณาจะลาออกจากรัฐบาลเพื่อรักษาความสามัคคีในคณะราษฎร แต่พระยาพหลพลพยุหเสนาได้ร้องขอให้เขาอยู่ในตำแหน่งต่อไป[10] :442

เมื่อพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงสละราชสมบัติใน พ.ศ. 2477 (ตามปฏิทินเก่า) รัฐบาลซึ่งปรีดีมีบทบาทนำ ได้เสนอให้สภาผู้แทนราษฎรมีมติเห็นชอบให้อัญเชิญพระวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าอานันทมหิดลขึ้นทรงราชย์แทน[12] :106 ปรีดียังเป็นผู้มีบทบาทสำคัญในการเสนอรายชื่อและคัดเลือกคณะผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ในยุวกษัตริย์ด้วย[12] :106–8

ในช่วงเวลานั้น ปรีดีเห็นว่า "การพัฒนาคน" เป็นรากฐานสำคัญของชาติ จึงมีแนวคิดในการสถาปนาสถาบันการศึกษาระดับอุดมศึกษาที่สามารถเข้าถึงประชาชนโดยทั่วไป เขาเป็นผู้ริเริ่มและผลักดันการก่อตั้งมหาวิทยาลัยวิชาธรรมศาสตร์และการเมือง (มธก.) เมื่อวันที่ 27 มิถุนายน พ.ศ. 2477 โดยตั้งใจให้เป็นมหาวิทยาลัยตลาดวิชาที่เปิดโอกาสทางการศึกษาให้แก่ราษฎรทุกระดับอย่างเท่าเทียม[17] :126[25] มธก. เกิดจากการควบรวมโรงเรียนกฎหมาย กระทรวงยุติธรรม กับคณะนิติศาสตร์และรัฐศาสตร์ของจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย และปรีดีได้รับแต่งตั้งเป็นผู้ประศาสน์การ (อธิการบดี) คนแรกของมหาวิทยาลัย[12] :96 แหล่งทุนของมหาวิทยาลัยได้มาจากค่าสมัครของนักศึกษา และดอกผลจากธนาคารเอเชียซึ่งปรีดีเป็นผู้ก่อตั้ง โดยมหาวิทยาลัยถือหุ้นถึง 80%[26] :126 เขายังได้มอบกิจการโรงพิมพ์นิติสาส์นเพื่อใช้เป็นโรงพิมพ์ตำราเรียนอีกด้วย[11] :22 อย่างไรก็ตาม ภายหลังจากที่ปรีดีต้องลี้ภัยทางการเมือง รัฐบาลในเวลาต่อมาได้เปลี่ยนชื่อมหาวิทยาลัย โดยตัดคำว่า "วิชา" และ "การเมือง" ออก เหลือเพียง "มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์" เพื่อลดบทบาทด้านการเมืองของนักศึกษา[27] มธก. ยังถูกวิจารณ์ว่าเป็นฐานอำนาจของปรีดีที่ใช้คานอำนาจกับแปลก ซึ่งมีอำนาจในฝ่ายทหาร[12] :96

ปรีดียังมีบทบาทในการผลักดันให้หน่วยงานของรัฐมีความเป็นอิสระในการพิทักษ์ผลประโยชน์ของประชาชน โดยเขาเสนอให้ยกฐานะกรมร่างกฎหมายขึ้นเป็นคณะกรรมการกฤษฎีกาซึ่งเป็นองค์กรอิสระไม่ขึ้นกับกระทรวงยุติธรรม และต้องได้รับความเห็นชอบจากสภาผู้แทนราษฎรในการแต่งตั้ง[17] :149 หน้าที่ของคณะกรรมการนี้คือยกร่างกฎหมาย และทำหน้าที่ให้คำปรึกษาทางกฎหมายแก่รัฐบาล ปรีดียังพยายามผลักดันให้คณะกรรมการดังกล่าวทำหน้าที่เป็นศาลปกครอง แต่ไม่ประสบผลสำเร็จ เนื่องจากแนวคิดดังกล่าวถูกต่อต้านโดยขุนนางเก่าที่ถือแนวจารีตนิยม ไม่เห็นชอบให้ประชาชนมีสิทธิร้องเรียนต่อข้าราชการ[11] :23[17] :151 นอกจากนี้ เขายังเสนอให้ยกกรมตรวจเงินแผ่นดินขึ้นเป็นสำนักงานการตรวจเงินแผ่นดินซึ่งมีอิสระในการตรวจสอบโดยไม่ต้องฟังคำสั่งจากฝ่ายบริหาร[17] :151–2 รวมถึงออกพระราชบัญญัติสำคัญหลายฉบับ เช่น พระราชบัญญัติระเบียบข้าราชการพลเรือน ระเบียบข้าราชการตุลาการ และระเบียบการป้องกันราชอาณาจักร[17] :152

เขายังดำเนินการยกร่างกฎหมายด้านแพ่งและอาญา โดยเฉพาะกฎหมายครอบครัว มรดก วิธีพิจารณาความแพ่งและอาญา ตลอดจนพระธรรมนูญศาลยุติธรรม ซึ่งกลายเป็นพื้นฐานสำคัญของระบบกฎหมายไทยในยุคใหม่ และยังมีผลต่อการประกาศใช้ประมวลกฎหมายในเวลาต่อมา รวมถึงการเจรจาแก้ไขสนธิสัญญาไม่เสมอภาคกับชาติตะวันตกด้วย[17] :172–3

ในด้านการต่างประเทศ ปรีดีมีบทบาทสำคัญในการเจรจาแก้ไขสัญญากู้เงินและสนธิสัญญาไม่เสมอภาคจากยุคสมบูรณาญาสิทธิราชย์ โดยในที่ประชุมคณะรัฐมนตรีมีการเสนอว่าเงินกู้จากต่างประเทศในสมัยก่อนนั้นมีดอกเบี้ยสูงมาก ปรีดีจึงรับภารกิจเดินทางไปเจรจาขอลดดอกเบี้ย และเจริญสัมพันธไมตรีกับชาติต่าง ๆ[10] :442–4 เขาเดินทางถึงเมืองตรีเยสเต ประเทศอิตาลีในเดือนตุลาคม พ.ศ. 2479 และได้รับการต้อนรับจากนายกรัฐมนตรีเบนิโต มุสโสลินี ซึ่งสัญญาจะยกเลิกสนธิสัญญาไม่เสมอภาค[10] :446–7 ส่วนกับฝรั่งเศส เยอรมนี และสหราชอาณาจักร ได้รับคำตอบว่าจะพิจารณาแก้ไขในอนาคต โดยเฉพาะซามูเอล ฮอร์, ไวส์เคานต์เทมเพิลวูดที่ 1 ได้ตกลงลดอัตราดอกเบี้ยจากร้อยละ 6 เหลือร้อยละ 4 ช่วยประเทศประหยัดงบประมาณได้ปีละ 600,000–700,000 บาทต่อเนื่องเป็นเวลา 30 ปี[12] :127 รัฐสภาไทยได้แสดงความชื่นชมในความสำเร็จของเขาในโอกาสดังกล่าว[12] :127 เขายังเข้าเฝ้าสมเด็จพระจักรพรรดิฮิโรฮิโตะและสมเด็จพระจักรพรรดินีนางาโกะพระราชวังหลวงโตเกียว ประเทศญี่ปุ่น และพบกับเคซุเกะ โอกาดะ นายกรัฐมนตรีญี่ปุ่น โดยยืนยันว่าไทยจะไม่เข้าร่วมนโยบาย "ผิวเหลือง-ผิวขาว" และญี่ปุ่นก็ตกลงยกเลิกสนธิสัญญาไม่เสมอภาคตามที่ร้องขอ[10] :449–51

รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ

[แก้]
ปรีดีในคณะรัฐมนตรีแปลก พิบูลสงคราม

เมื่อจัดระเบียบวางแผนให้กระทรวงมหาดไทยแล้ว เขามอบหมายงานต่อให้พลเรือตรี ถวัลย์ ธำรงนาวาสวัสดิ์[17]:153 ส่วนตัวเขาหันมารับตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศในวันที่ 12 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2478 (นับแบบเก่า) ปรีดีมีนโยบายเป็นมิตรกับทุกประเทศ และดำริปลดเปลื้องพันธกรณีของประเทศจากสนธิสัญญาอันไม่เป็นธรรม ได้แก่ สิทธิถอนคดีของกงสุลต่างประเทศจนกว่าออกประมวลกฎหมายแล้ว 5 ปี ซึ่งเป็นการเสียเอกราชทางการศาล การถูกจำกัดด้านเอกราชทางเศรษฐกิจ เช่น การห้ามเก็บอากรศุลกากรสินค้าบางชนิด การให้สัญชาติบริติชและฝรั่งเศสแก่คนในบังคับบริติชและฝรั่งเศสที่เกิดในประเทศ และห้ามเก็บอากรศุลกากรในแม่น้ำโขง เป็นต้น[10]:471

ปรีดีเจรจาเรื่องสนธิสัญญาทางไมตรี พาณิชย์และการเดินเรือใหม่และสิ้นสุดลงในเดือนพฤศจิกายน พ.ศ. 2479 นานาประเทศลงนามในสนธิสัญญาฉบับใหม่ใน พ.ศ. 2480 ได้แก่ สวิตเซอร์แลนด์ เบลเยียม สวีเดน เดนมาร์ก สหรัฐอเมริกา นอร์เวย์ สหราชอาณาจักร อิตาลี ฝรั่งเศส (รวมการยกเลิกการห้ามเก็บภาษีศุลกากรในเขต 25 กิโลเมตรจากชายแดนด้วย) ญี่ปุ่นและเยอรมนี[10]:474–5 โดยเจรจาขอยกเลิกสิทธิถอนคดี[17]:158–60 ส่วนเรื่องอัตราศุลกากร ปรีดีเจรจาแก้ไขสนธิสัญญาจนเริ่มจากสหรัฐอเมริกาใน พ.ศ. 2463 แม้ยังมีการกำหนดเพดานสูงสุดของภาษีศุลกากรที่สยามสามารถเรียกเก็บได้อยู่เป็นเวลา 10 ปี จนในช่วงปี 2480–2481 สนธิสัญญาใหม่ทำให้ไทยมีอิสระเต็มที่ทางรัษฎากร[17]:162 ความชอบในการแก้ไขสนธิสัญญากับต่างประเทศทำให้รัฐบาลขอพระราชทานเหรียญดุษฎีมาลา เข็มราชการแผ่นดินให้เป็นบำเหน็จ[17]:170–1 เขายังมีส่วนเจรจาปักปันเขตแดนใหม่กับบริเตน ทำให้สยามได้ดินแดนเพิ่มขึ้นในแม่น้ำลายที่จังหวัดเชียงราย และดินแดนที่อยู่ในลุ่มแม่น้ำปากจั่นที่จังหวัดระนอง[17]:173

เมื่อพระยาพหลพลพยุหเสนาลาออกจากตำแหน่งนายกรัฐมนตรีและไม่ขอรับตำแหน่งอีกใน พ.ศ. 2481 คณะราษฎรเสนอชื่อบุคคลเพื่อรับตำแหน่งนายกรัฐมนตรีรวม 4 คน รวมทั้งปรีดีด้วย แต่ผลปรากฏว่าแพ้แปลก เชื่อว่าสาเหตุส่วนหนึ่งเป็นเพราะปรีดีมีความคิดก้าวหน้าและถูกมองว่านิยมระบอบสาธารณรัฐ[24]:70–1 อีกส่วนหนึ่งคือจำเป็นต้องเตรียมการป้องกันประเทศท่ามกลางสถานการณ์โลกที่ผันผวน[12]:124

รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง

[แก้]

เมื่อปรีดีได้รับแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่ง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ใน พ.ศ. 2481 เขาได้ดำเนินการปฏิรูประบบภาษีและโครงสร้างทางการคลังของประเทศอย่างเป็นระบบและครอบคลุม โดยมีเป้าหมายเพื่อส่งเสริมเศรษฐกิจภายในประเทศ ลดความเหลื่อมล้ำ และสร้างกลไกรายได้ที่ยั่งยืนให้แก่รัฐ เริ่มต้นจากการประกาศใช้พิกัดอัตราอากรศุลกากรใหม่ ภายหลังการเจรจายกเลิกพิกัดอัตราเดิมที่ใช้มาตั้งแต่รัชสมัยของพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ซึ่งล้าสมัยและขัดกับแนวทางการค้าเสรีสมัยใหม่[17]:179 ปรีดีได้ลดหรือยกเลิกการจัดเก็บอากรศุลกากรในสินค้าบางประเภท โดยเฉพาะสินค้าที่เกี่ยวเนื่องกับการพัฒนาเศรษฐกิจ เช่น วัสดุการเกษตร เครื่องมืออุตสาหกรรม เครื่องมือแพทย์ เครื่องมือวิทยาศาสตร์ และเครื่องมือการศึกษา อันเป็นการอุดหนุนกิจกรรมที่จำเป็นต่อการพัฒนาอย่างยั่งยืนของประเทศ พร้อมกันนี้เขายังได้เปลี่ยนการเก็บภาษีขาออกให้คิดตามราคาจริงของสินค้า (ad valorem) โดยยอมลดรายได้จากภาษีดังกล่าว เพื่อเอื้อให้เกษตรกร โดยเฉพาะชาวนา สามารถส่งออกข้าวได้ในราคาที่แข่งขันได้ในตลาดโลก[10]:486–7

ในด้านการปรับโครงสร้างภาษีภายในประเทศ ปรีดีได้ริเริ่มการปฏิรูปภาษีอย่างกว้างขวาง โดยยกเลิกภาษีที่จัดเก็บอย่างไม่เป็นธรรมและมีลักษณะเป็นภาษีอัตราถอยหลัง ซึ่งเป็นภาษีที่เก็บจากผู้มีรายได้น้อยในอัตราสูงกว่าผู้มีรายได้มาก อาทิ ภาษีรัชชูปการ อากรค่านา อากรสวน ภาษีไร่อ้อย และภาษีไร่ยาสูบ ทั้งนี้ แม้การยกเลิกภาษีเหล่านี้จะทำให้งบประมาณของรัฐขาดดุลปีละประมาณ 12 ล้านบาท[10]:491 แต่ปรีดีได้เพิ่มรายได้รัฐโดยการปรับปรุงภาษีที่มีอยู่เดิมให้มีความเป็นธรรมและประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น เช่น ภาษีเงินได้ ภาษีโรงค้า ภาษีธนาคาร และอากรแสตมป์ นอกจากนี้ยังจัดเก็บอากรใหม่เพิ่มเติม ได้แก่ อากรมหรสพ เงินช่วยบำรุงท้องที่ (เพื่อให้แก่ราชการท้องถิ่น) และเงินช่วยบำรุงการศึกษาชั้นประถมศึกษา การปฏิรูปภาษีอย่างเป็นระบบนี้ทำให้สามารถประมวลกฎหมายภาษีทั้งหมดเป็นประมวลรัษฎากรได้สำเร็จในวันที่ 1 เมษายน พ.ศ. 2482[10]:491–4 ส่งผลให้รายได้ภาครัฐเพิ่มขึ้นถึงร้อยละ 25 จาก 132 ล้านบาทใน พ.ศ. 2481 เป็น 194 ล้านบาทใน พ.ศ. 2484[12]:128

เพื่อลดการพึ่งพาภาษีขาออกและส่งเสริมเศรษฐกิจในประเทศ ปรีดีได้ใช้นโยบายภาษีเชิงยุทธศาสตร์ โดยเพิ่มอากรศุลกากรสำหรับสินค้าที่สามารถผลิตได้เองภายในประเทศเพื่อสนับสนุนอุตสาหกรรมท้องถิ่น และเพิ่มอัตราภาษีสรรพสามิต โดยเฉพาะสุราและฝิ่นซึ่งรัฐถือครองกิจการแต่เพียงผู้เดียว ทั้งนี้เพื่อควบคุมการบริโภคและเพิ่มรายได้[10]:500–1 ปรีดียังผลักดันการขยายระบบชลประทานในพื้นที่ชายฝั่งเพื่อส่งเสริมการผลิตเกลือ และให้รัฐรับซื้อเกลือสมุทรในราคาที่แน่นอน[17]:193[12]:129 นอกจากนี้ ปรีดียังส่งเสริมให้กรมสรรพสามิตเข้าซื้อกิจการของบริษัทบริติชอเมริกันทูแบโก พร้อมทั้งผลักดันกฎหมายให้รัฐผูกขาดกิจการยาสูบอย่างสมบูรณ์[10]:502–3 เขายังนำรัฐเข้าเป็นเจ้าของโรงงานสุรา เช่น โรงงานสุราบางยี่ขัน[17]:192 และมีบทบาทอย่างใกล้ชิดในการควบคุมการผลิตยาสูบ โดยถึงขั้นทดลองผสมยาสูบด้วยตนเองจนมีข่าวว่าเขามึนเมาจากการทดลอง[10]:503 ปรีดียังเป็นผู้ริเริ่มให้มีการตรวจสอบทรัพย์สินของทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์ จนนำไปสู่คดีแพ่งระหว่างสำนักงานทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์กับพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว[12]:133

ในด้านการเงินการธนาคาร ปรีดีได้รื้อฟื้นแนวคิดการจัดตั้งธนาคารกลางของประเทศขึ้นอย่างจริงจัง โดยเริ่มจากการก่อตั้งสำนักงานธนาคารชาติไทย ซึ่งมีสถานะเป็นธนาคารพาณิชย์ทั่วไป เพื่อใช้เป็นหน่วยงานต้นแบบและสถานที่ฝึกอบรมบุคลากรทางการเงิน ต่อมาใน พ.ศ. 2483 จึงมีการสถาปนาธนาคารชาติไทยขึ้นอย่างเป็นทางการ โดยมีหน้าที่เพิ่มขึ้นคือการออกธนบัตรและดูแลเสถียรภาพทางการเงินของประเทศ[10]:525–8

ในช่วงใกล้การปะทุของสงครามโลกครั้งที่สอง ปรีดีได้แสดงวิสัยทัศน์ทางการเงินโดยคาดการณ์ถึงความเสี่ยงจากการถือเงินทุนสำรองเป็นสกุลปอนด์สเตอร์ลิงซึ่งอาจสูญเสียมูลค่าหากสหราชอาณาจักรเข้าสู่ภาวะสงคราม เขาจึงดำเนินการเปลี่ยนทุนสำรองระหว่างประเทศจากปอนด์สเตอร์ลิงเป็นทองคำแท่งและดอลลาร์สหรัฐ[26]:144–5[10]:512–20 การดำเนินการครั้งนี้ส่งผลให้รัฐบาลมีกำไรถึง 5.05 ล้านบาท ซึ่งกลายเป็นทุนเริ่มต้นในการจัดตั้งสำนักงานธนาคารชาติไทย โดยไม่ต้องเบิกงบประมาณจากรัฐแม้แต่บาทเดียว[12]:131 ปรีดียังได้ฝากทองคำบางส่วนไว้ในต่างประเทศ เช่น สหราชอาณาจักร สหรัฐอเมริกา และญี่ปุ่น ซึ่งต่อมาได้กลายเป็นทุนสำคัญของขบวนการเสรีไทยในต่างประเทศ[17]:182 เขายังเป็นผู้ริเริ่มการจัดทำงบประมาณแผ่นดินให้เป็นระบบ และให้รัฐสภามีอำนาจพิจารณาให้ความเห็นชอบ อันเป็นหลักการของระบบรัฐสภาที่แท้จริง[17]:182

เมื่อถึง พ.ศ. 2482 เกิดกรณีพิพาทอินโดจีนระหว่างฝรั่งเศสกับไทย ปรีดีได้เสนอแนวทางให้ดำเนินการเรียกร้องดินแดนอินโดจีนซึ่งเคยตกเป็นของฝรั่งเศสกลับคืนแก่ประเทศไทย โดยใช้กระบวนการทางกฎหมายและการทูต อย่างไรก็ตาม แปลกในฐานะนายกรัฐมนตรี กลับเลือกใช้วิธีการทางทหารในการทวงคืนดินแดน ซึ่งเป็นแนวทางที่แตกต่างจากของปรีดีอย่างสิ้นเชิง[17]:193 นอกจากนี้ ปรีดียังได้ขัดขวางคำร้องขอกู้ยืมเงินจากรัฐบาลญี่ปุ่น โดยตั้งเงื่อนไขว่าญี่ปุ่นต้องชำระหนี้เป็นทองคำแท่ง ทำให้ญี่ปุ่นไม่พอใจและมองว่าปรีดีเป็นผู้ขัดขวางผลประโยชน์ของตน[12]:143

ในด้านศาสนา ปรีดีมีบทบาทสำคัญในการปฏิรูปการปกครองคณะสงฆ์ โดยเขาเป็นผู้ร่างพระราชบัญญัติสงฆ์ พุทธศักราช 2484 ซึ่งมีผลยกเลิกพระราชบัญญัติคณะสงฆ์ ร.ศ. 121 ที่กำหนดให้การปกครองคณะสงฆ์เป็นลักษณะรวมศูนย์เด็ดขาด พระราชบัญญัติฉบับใหม่ของปรีดีได้เปลี่ยนรูปแบบการปกครองของคณะสงฆ์ให้เป็นประชาธิปไตยยิ่งขึ้น[e]

บทบาทในช่วงสงครามโลกครั้งที่สอง

[แก้]
แถวหน้าจากซ้ายไปขวา: ถวัลย์ ธำรงนาวาสวัสดิ์, พระยาพหลพลพยุหเสนา และปรีดี พนมยงค์

ผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์

[แก้]

เมื่อญี่ปุ่นเคลื่อนพลเข้าสู่ประเทศไทยในวันที่ 8 ธันวาคม พ.ศ. 2484 ปรีดี พร้อมด้วยดิเรก ชัยนาม รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศในขณะนั้น ได้แสดงจุดยืนคัดค้านการอนุญาตให้กองทัพญี่ปุ่นผ่านเข้าประเทศ ตลอดจนปฏิเสธข้อเสนอการเข้าร่วมเป็นพันธมิตรกับญี่ปุ่นอย่างชัดเจน[17] :206–7 หลังเหตุการณ์ดังกล่าว ปรีดีพ้นจากตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง และได้รับการแต่งตั้งจากสภาผู้แทนราษฎรให้ดำรงตำแหน่งผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ ในวันที่ 16 ธันวาคม พ.ศ. 2484 แทนพระบาทสมเด็จพระปรเมนทรมหาอานันทมหิดล พระอัฐมรามาธิบดินทร ซึ่งขณะนั้นประทับอยู่ที่เมืองโลซาน ประเทศสวิตเซอร์แลนด์ การแต่งตั้งดังกล่าวแม้จะดูเหมือนเป็นตำแหน่งเชิงพิธี แต่ก็มีนัยทางการเมืองสำคัญ เนื่องจากสะท้อนถึงความขัดแย้งระหว่างปรีดีกับนายกรัฐมนตรีแปลก และความไม่พอใจของญี่ปุ่นต่อปรีดี ซึ่งในตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังได้ขัดขวางไม่ให้ญี่ปุ่นนำเงินเยนมาแลกเป็นเงินบาทเพื่อใช้ในการจัดซื้อเสบียง และปฏิเสธการกู้ยืมเงินเพื่อกิจการสงคราม[17] :204–5,208–9 [10] :537–8,540 อย่างไรก็ตาม ภายหลังจากที่ปรีดีพ้นจากคณะรัฐมนตรี รัฐบาลแปลกก็ได้ลงนามเป็นพันธมิตรทางทหารกับญี่ปุ่นเมื่อวันที่ 21 ธันวาคม และประกาศสงครามต่อสหราชอาณาจักรและสหรัฐอเมริกาในวันที่ 25 มกราคม พ.ศ. 2485 โดยปรีดีในฐานะผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ ได้หลีกเลี่ยงไม่ลงนามรับสนองพระบรมราชโองการในประกาศสงครามดังกล่าว ส่งผลให้การประกาศไม่สมบูรณ์ตามกฎหมาย[17] :212 นอกจากนี้ เขายังดำเนินมาตรการถวายความปลอดภัยให้กับพระบรมวงศานุวงศ์ ด้วยการจัดให้อพยพไปพำนักอยู่ที่พระราชวังบางปะอิน[10] :566

ในช่วงต้นปี พ.ศ. 2486 ปรีดีได้รับคำสั่งจากแปลกให้ไปรับหน้าที่ผู้เชี่ยวชาญด้านกฎหมายประจำกองบัญชาการทหารสูงสุด แต่เขาปฏิเสธโดยยืนยันว่าคำสั่งดังกล่าวเป็นโมฆะ เพราะขัดต่อกฎหมายเนื่องจากผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ไม่อยู่ภายใต้คำสั่งของฝ่ายบริหาร[10] :547–9 ต่อมาในเดือนกันยายน แปลกได้ตั้งกรรมการสอบสวนข้อกล่าวหาว่าปรีดีวางแผนจับกุมตนเพื่อขัดขวางญี่ปุ่น แต่ผลการสอบสวนไม่สามารถระบุความผิดได้ชัดเจน ปรีดีจึงรอดพ้นจากการถูกกล่าวหา[10] :553 เหตุการณ์เหล่านี้ตอกย้ำถึงความตึงเครียดทางการเมืองระหว่างปรีดีในฝ่ายที่ยึดมั่นในเอกราชและความเป็นกลาง กับแปลกซึ่งโน้มเอียงไปในแนวทางความร่วมมือกับญี่ปุ่นเพื่อคงอำนาจรัฐ

หลังรัฐบาลแปลกลาออกใน พ.ศ. 2487 เนื่องจากพ่ายแพ้ในการพิจารณาร่างพระราชบัญญัติสำคัญและเผชิญการต่อต้านหลังการทิ้งระเบิดกรุงเทพมหานครโดยฝ่ายสัมพันธมิตร ปรีดีเป็นผู้มีบทบาทสำคัญผลักดันให้พันตรี ควง อภัยวงศ์ ขึ้นดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี โดยมีความพยายามประสานกับพระเจ้าวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าอาทิตย์ทิพอาภา ซึ่งเป็นผู้สำเร็จราชการพระองค์อื่น แต่เมื่อพระองค์ไม่กล้าลงพระนามแต่งตั้งนายกรัฐมนตรี จึงลาออกจากตำแหน่ง เปิดทางให้การแต่งตั้งสำเร็จลุล่วง[17] :224 [f] ในการจัดโครงสร้างรัฐบาลใหม่ ปรีดีได้แต่งตั้งพระยาพหลพลพยุหเสนาให้ดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีลอย, แม่ทัพใหญ่ (แทนตำแหน่งผู้บัญชาการทหารสูงสุดที่ถูกยกเลิกไป) และผู้บัญชาการทหารบก เพื่อรักษาดุลอำนาจทางทหาร และแต่งตั้งแปลกให้ดำรงตำแหน่งที่ปรึกษาราชการแผ่นดิน ทั้งนี้เพื่อเป็นการป้องกันไม่ให้เกิดรัฐประหารในช่วงเปลี่ยนผ่านของรัฐบาล[17] :230–6

หัวหน้าขบวนการเสรีไทย

[แก้]
ตราสัญลักษณ์เสรีไทย

ในช่วงสงครามโลกครั้งที่สอง ปรีดีในฐานะผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ ได้เป็นผู้นำในการจัดตั้งองค์การต่อต้านการรุกรานของญี่ปุ่นหรือขบวนการเสรีไทยในประเทศ[26]:195–200 โดยได้ติดต่อกับฝ่ายสัมพันธมิตรและส่งบุคคลออกนอกประเทศในลักษณะสายลับ พร้อมทั้งวางแผนให้ ทวี บุณยเกตุ ได้รับเลือกเป็นประธานสภาผู้แทนราษฎรไทยเพื่อจัดตั้งรัฐบาลพลัดถิ่นในต่างประเทศ แต่แผนดังกล่าวถูกขัดขวางโดยแปลก[17]:215–7 เมื่อไม่สามารถจัดตั้งรัฐบาลพลัดถิ่นได้ ปรีดีจึงเปลี่ยนมาใช้แนวทางการจัดตั้งขบวนการเสรีไทยภายในประเทศ โดยได้รับการสนับสนุนจากสำนักงานบริการด้านยุทธศาสตร์ (OSS) ของสหรัฐอเมริกา และหน่วย 136 ของสหราชอาณาจักร ซึ่งตั้งรหัสนามให้ปรีดีว่า "รูธ" (Ruth) และทั้งสองฝ่ายได้ส่งตัวแทนเข้ามาในจังหวัดพระนครเพื่อดำเนินการลับ[17]:218–9

ต่อมาในเดือนพฤษภาคม พ.ศ. 2488 ปรีดีแจ้งต่อทวีในฐานะรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศว่าไทยจะใช้อุบายบอกเลิกสัญญาทางการทูตกับญี่ปุ่น[10]:556[17]:236–7 พร้อมทั้งเตรียมการให้สมาชิกเสรีไทยจำนวนกว่า 8 หมื่นคนทั่วประเทศพร้อมลุกขึ้นต่อต้านทหารญี่ปุ่นอย่างเปิดเผย แต่ฝ่ายสัมพันธมิตรได้ร้องขอให้ชะลอแผนนี้ไว้ก่อน[29] ขณะเดียวกัน ในด้านการเมืองระหว่างประเทศ รัฐบาลสหราชอาณาจักรยังปฏิเสธที่จะตอบรับการเจรจาเรื่องเอกราชของไทย จึงมีการกำหนดวันที่ 1 กันยายน พ.ศ. 2488 เป็นวันลุกฮือต่อต้านญี่ปุ่นทั่วประเทศ[10]:557–8 อย่างไรก็ดี ญี่ปุ่นได้ประกาศยอมจำนนต่อฝ่ายสัมพันธมิตรเมื่อวันที่ 15 สิงหาคม ก่อนถึงวันนัดหมายดังกล่าว

บทบาททางการเมืองหลังสงครามโลกครั้งที่สอง

[แก้]

ประกาศสันติภาพ

[แก้]
ปรีดีประกาศสันติภาพใน พ.ศ. 2488

วันที่ 16 สิงหาคม พ.ศ. 2488 ภายหลังที่ญี่ปุ่นประกาศยอมจำนนต่อฝ่ายสัมพันธมิตรอย่างไม่มีเงื่อนไข ปรีดีในฐานะผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ ได้ออกประกาศสันติภาพในนามรัฐบาล โดยระบุว่าการประกาศสงครามต่อสหรัฐอเมริกาและสหราชอาณาจักรเมื่อวันที่ 25 มกราคม พ.ศ. 2485 นั้นเป็นโมฆะ โดยให้เหตุผลว่า เป็นการกระทำที่เกิดจากรัฐบาลเผด็จการของแปลกซึ่งไม่ชอบด้วยรัฐธรรมนูญ และขัดต่อเจตจำนงของประชาชนชาวไทย ปรีดีในฐานะประมุขแห่งรัฐชั่วคราวจึงประกาศว่าสถานะของประเทศไทยต่อประเทศคู่สงครามนั้นอยู่ในภาวะสันติ และแสดงเจตจำนงพร้อมให้ความร่วมมือกับองค์การสหประชาชาติในการธำรงรักษาสันติภาพของโลก ประกาศฉบับนี้มีผลในเชิงการทูตอย่างสำคัญ เนื่องจากช่วยให้ประเทศไทยสามารถแยกตัวออกจากฐานะพันธมิตรกับญี่ปุ่น ที่ไม่มีความชอบธรรมทางกฎหมาย อีกทั้งยังถือเป็นการลบล้างผลของนโยบายเผด็จการของแปลกที่มีต่อบทบาทของประเทศในเวทีระหว่างประเทศ ต่อมา รัฐบาลไทยได้ประกาศให้วันที่ 16 สิงหาคมของทุกปีเป็น "วันสันติภาพไทย"[26]:202–9[30] หลังจากนั้น ปรีดีได้ประกาศยุบขบวนการเสรีไทย ซึ่งถือว่าประสบความสำเร็จในภารกิจทางประวัติศาสตร์ ในฐานะขบวนการต่อต้านญี่ปุ่นภายในประเทศ[29]

แม้ว่าสงครามจะยุติลง แต่อาณาบริเวณเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ยังคงตกอยู่ภายใต้แรงเสียดทานทางภูมิรัฐศาสตร์ โดยเฉพาะอย่างยิ่งประเด็นการปลดอาวุธทหารญี่ปุ่นในดินแดนที่ญี่ปุ่นยึดครองอยู่ เจียง ไคเชก ผู้นำรัฐบาลชาตินิยมจีน เสนอต่อฝ่ายสัมพันธมิตรว่า จีนประสงค์จะปลดอาวุธทหารญี่ปุ่นในพื้นที่ภาคเหนือของประเทศไทยเหนือเส้นขนานที่ 16 องศาเหนือ ซึ่งครอบคลุมพื้นที่มากกว่า 40% ของประเทศ ปรีดีซึ่งตระหนักถึงผลกระทบต่ออธิปไตยของชาติ ได้ดำเนินการทางการทูตอย่างเร่งด่วน โดยส่งสาส์นไปยังแฮร์รี เอส. ทรูแมน ประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกา เพื่อขอให้ระงับแผนของจีน และสามารถบรรลุผลตามที่เสนอ[10]:587–8 ขณะเดียวกัน ฝ่ายสัมพันธมิตรได้เสนอให้รัฐบาลไทยจับกุมผู้ที่ถูกกล่าวหาว่าเป็นอาชญากรสงคราม (รวมถึงแปลก) เพื่อส่งขึ้นศาลทหารระหว่างประเทศสำหรับตะวันออกไกลกรุงโตเกียว ประเทศญี่ปุ่น[10]:597 ปรีดีได้รับคำร้องขอจากแปลก ซึ่งในขณะนั้นเป็นอดีตนายกรัฐมนตรีที่มีบทบาทสำคัญในช่วงการประกาศสงคราม โดยมีจดหมายขอความช่วยเหลือให้หลีกเลี่ยงการส่งตัวไปต่างประเทศ[17]:139–40 ปรีดีจึงใช้ช่องทางการทูตและกฎหมายภายในประเทศผลักดันให้มีการออกกฎหมายอาชญากรสงคราม และจัดตั้งศาลพิเศษขึ้นในประเทศไทย เพื่อให้พิจารณาคดีในประเทศแทนการส่งตัวบุคคลเหล่านั้นขึ้นศาลต่างประเทศ[10]:598

ภายหลัง ฝ่ายสัมพันธมิตรได้แจ้งต่อปรีดีอย่างเป็นทางการว่า พวกเขาไม่ถือว่าประเทศไทยเป็นฝ่ายแพ้สงคราม เนื่องจากการเข้าสู่ภาวะสงครามของประเทศไทยใน พ.ศ. 2485 นั้นไม่มีสถานะที่ชอบด้วยกฎหมายและปราศจากความชอบธรรม ประเทศไทยจึงไม่ต้องถูกยึดครอง ไม่ต้องประกาศยอมจำนน และกองทัพไทยไม่จำเป็นต้องวางอาวุธ อีกทั้งฝ่ายสัมพันธมิตรยังแนะนำให้รัฐบาลไทยรีบออกแถลงการณ์ปฏิเสธการประกาศสงคราม เพื่อเป็นการลบล้างภาระผูกพันระหว่างประเทศที่รัฐบาลแปลกได้ทำไว้กับญี่ปุ่น[31][32] เมื่อสถานการณ์ภายในประเทศคลี่คลาย ปรีดีได้ดำเนินการอัญเชิญพระบาทสมเด็จพระปรเมนทรมหาอานันทมหิดล พระอัฐมรามาธิบดินทร เสด็จนิวัติประเทศไทยเมื่อวันที่ 5 ธันวาคม พ.ศ. 2488 โดยมีขบวนรับเสด็จอย่างสมพระเกียรติ ณ สถานีรถไฟกรุงเทพ (หัวลำโพง) พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงมีพระราชดำรัสขอบพระทัยปรีดีว่า "ข้าพเจ้าขอขอบใจท่านเป็นอันมากที่ได้ปฏิบัติกรณียกิจแทนข้าพเจ้า ด้วยความซื่อสัตย์สุจริตต่อข้าพเจ้าและประเทศชาติ ข้าพเจ้าขอถือโอกาสนี้ แสดงไมตรีจิตในคุณงามความดีของท่าน ที่ส่งเสริมความเจริญรุ่งเรืองให้แก่ประเทศชาติ และช่วยบำรุงรักษาความเป็นเอกราชของชาติไว้"[33]:33 พร้อมกันนี้ พระองค์ยังได้มีพระบรมราชโองการสถาปนาปรีดีขึ้นเป็นรัฐบุรุษอาวุโส เมื่อวันที่ 8 ธันวาคม พ.ศ. 2488 เพื่อเป็นเกียรติยศในฐานะผู้กอบกู้เอกราชของชาติ และเมื่อวันที่ 11 ธันวาคม พ.ศ. 2488 พระองค์ยังพระราชทานเครื่องราชอิสริยาภรณ์อันเป็นโบราณมงคลนพรัตนราชวราภรณ์ ซึ่งเป็นเครื่องราชอิสริยาภรณ์ชั้นสูงสุดในสามอันดับแรกที่สามารถพระราชทานแก่สามัญชน[34]

นายกรัฐมนตรีและทูตสันถวไมตรี

[แก้]
พระบาทสมเด็จพระปรเมนทรมหาอานันทมหิดล พระอัฐมรามาธิบดินทร ทรงลงพระปรมาภิไธยในรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2489พระที่นั่งอนันตสมาคม พระราชวังดุสิต
ปรีดีในฐานะนายกรัฐมนตรี ลงนามรับสนองพระราชโองการ

หลังสงครามโลกครั้งที่สองสิ้นสุดลง ปรีดีได้พยายามธำรงไว้ซึ่งอำนาจทางการเมืองของตนผ่านการควบคุมกำลังตำรวจ สารวัตรทหาร และเครือข่ายสมาชิกขบวนการเสรีไทย[35]:202 จนสถานเอกอัครราชทูตสหรัฐอเมริกาในประเทศไทยแสดงความกังวลถึงอาวุธของเสรีไทย โดยเปรียบเปรยว่าเสมือนเป็น "คลังแสงส่วนตัวของกองทัพส่วนตัว"[35]:202 ภายหลังการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรในเดือนมกราคม พ.ศ. 2489 ซึ่งจัดขึ้นแทนชุดเดิมที่ยุบหลังสงคราม ปรีดีเห็นว่าควง อภัยวงศ์มีแนวคิดทางการเมืองเปลี่ยนแปลงไปจากอุดมการณ์ของคณะราษฎร จึงหันไปสนับสนุนดิเรก ชัยนามให้ดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี ทว่าภายหลังพ่ายแพ้ในสภาผู้แทนราษฎร ควงได้รับการสนับสนุนจากพรรคประชาธิปัตย์ให้จัดตั้งรัฐบาลเฉพาะกาลระหว่างเดือนมกราคมถึงมีนาคม พ.ศ. 2489 ต่อมาเมื่อรัฐบาลไม่เห็นชอบกับร่างกฎหมายที่ผ่านสภา จึงลาออกจากตำแหน่ง เปิดทางให้พรรคสหชีพและพรรคแนวรัฐธรรมนูญเสนอชื่อปรีดีขึ้นดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี[17]:250 ในสมัยรัฐบาลของเขา มีการเจรจาแก้ไขความตกลงสมบูรณ์แบบกับสหราชอาณาจักร โดยเปลี่ยนจากการส่งมอบข้าวเปล่าให้เป็นการจำหน่ายแทน[17]:251 นอกจากนี้ เขายังเป็นผู้ริเริ่มก่อตั้งหอสมุดดำรงราชานุภาพ[36]:48 และประกาศใช้รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2489 ซึ่งเป็นรัฐธรรมนูญที่มีลักษณะเป็นประชาธิปไตยอย่างแท้จริง เนื่องจากกำหนดให้สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรและพฤฒสภามาจากการเลือกตั้งทั้งสองสภา เจ้าหน้าที่ทางการทูตของสหรัฐอเมริกาประเมินว่านโยบายของรัฐบาลในสมัยปรีดีไม่มีความโน้มเอียงสู่ลัทธิสังคมนิยม หากแต่ให้ความสำคัญกับการส่งเสริมสหกรณ์เกษตรกรและรัฐวิสาหกิจเท่านั้น[35]:188

เมื่อวันที่ 9 มิถุนายน พ.ศ. 2489 พระบาทสมเด็จพระปรเมนทรมหาอานันทมหิดล พระอัฐมรามาธิบดินทรเสด็จสวรรคต ปรีดีในฐานะผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์และนายกรัฐมนตรี ได้เสนอให้รัฐสภาอัญเชิญสมเด็จพระเจ้าน้องยาเธอ เจ้าฟ้าภูมิพลอดุลยเดชขึ้นทรงราชย์สืบราชสันตติวงศ์ ซึ่งภายหลังรัฐสภามีมติเห็นชอบ ปรีดีจึงลาออกจากตำแหน่งนายกรัฐมนตรีในวันที่ 11 มิถุนายน พ.ศ. 2489 แต่สภาผู้แทนราษฎรยังคงเสนอให้เขากลับเข้าดำรงตำแหน่งเดิม[37]:122–9 เขายังได้รับเลือกตั้งเป็นสมาชิกพฤฒสภา ก่อนตัดสินใจลาออกเพื่อสมัครรับเลือกตั้งเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรจังหวัดพระนครศรีอยุธยา เขต 2 ซึ่งเขาได้รับชัยชนะอย่างไม่มีคู่แข่ง[17]:259 ทว่าจากเหตุการณ์การสวรรคต ได้กลายเป็นช่องทางให้กลุ่มอำนาจเก่าทางการเมือง เช่น พรรคประชาธิปัตย์ กลุ่มทหารสายแปลก และผู้ที่เสียผลประโยชน์หลังสงครามโลกครั้งที่สอง ใช้เป็นเครื่องมือในการโจมตีปรีดี ด้วยการกล่าวหาว่าเขาเกี่ยวข้องกับเหตุการณ์ดังกล่าว ทั้งจากการปล่อยข่าวผ่านสื่อมวลชน การใส่ร้ายในที่สาธารณะ ไปจนถึงการตะโกนว่า "ปรีดีฆ่าในหลวง" ในโรงภาพยนตร์ศาลาเฉลิมกรุง[38]:54–55[39][10]:668 เหตุการณ์ดังกล่าวส่งผลให้เขาลาออกจากตำแหน่งนายกรัฐมนตรีในเดือนสิงหาคม พ.ศ. 2489 โดยถวัลย์ ธำรงนาวาสวัสดิ์ซึ่งได้รับการสนับสนุนจากกลุ่มปรีดีได้ขึ้นดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีแทน[37]:129–134

ปรีดีและเจ้าหน้าที่การทูตสหราชอาณาจักรในกรุงลอนดอนขณะเตรียมเข้าเฝ้าสมเด็จพระเจ้าจอร์จที่ 6 พ.ศ. 2490

ภายหลังการลาออก ปรีดีได้รับการเชิญจากรัฐบาลต่างประเทศให้เดินทางเยือนเป็นการส่วนตัว ซึ่งรัฐบาลไทยได้แต่งตั้งเขาเป็นทูตสันถวไมตรี โดยได้เยือนจีนเป็นประเทศแรก ต่อด้วยฟิลิปปินส์ สหรัฐอเมริกา สหราชอาณาจักร ฝรั่งเศส สวิตเซอร์แลนด์ เดนมาร์ก สวีเดน และนอร์เวย์ รวมทั้งสิ้น 9 ประเทศ ก่อนเดินทางกลับประเทศไทยเมื่อวันที่ 20 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2490[40][41] ในช่วงปลายปีนั้น ประเทศไทยได้รับการรับรองเป็นสมาชิกลำดับที่ 55 ขององค์การสหประชาชาติในวันที่ 16 ธันวาคม พ.ศ. 2489 ซึ่งปรีดีมีบทบาทสำคัญผ่านการใช้สายสัมพันธ์ส่วนตัวกับชาร์ล เดอ โกล ประธานรัฐบาลเฉพาะกาลแห่งสาธารณรัฐฝรั่งเศส และโจเซฟ สตาลิน ผู้นำสหภาพโซเวียต เพื่อมิให้ทั้งฝรั่งเศสและสหภาพโซเวียตใช้สิทธิยับยั้งในคณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติ[17]:260–1

ปรีดียังมีบทบาทเชิงนโยบายภายในประเทศ โดยเสนอแนะต่อรัฐบาลให้พัฒนาเกษตรกรรม เช่น การปรับปรุงสายพันธุ์ฝ้าย การใช้เครื่องจักรกลในการผลิต การปฏิรูปอุตสาหกรรมเลี้ยงสัตว์และการประมง รวมถึงการจัดตั้งโครงการอาคารสงเคราะห์ สวนสาธารณะ และการส่งเสริมการท่องเที่ยว[10]:747–50 เขายังเสนอให้มีการสร้างเขื่อนชัยนาท ซึ่งรัฐบาลให้ความเห็นชอบ[10]:756 นอกจากนี้ ปรีดียังเป็นผู้นำทางการเมืองคนแรกที่เจรจาขอรับความช่วยเหลือทางเศรษฐกิจและการทหารจากสหรัฐอเมริกา ทั้งยังพยายามเข้าสู่ความเป็นพันธมิตรทางทหารกับสหรัฐอเมริกา โดยขอให้จัดส่งที่ปรึกษาทางทหารเข้ามาปรับปรุงกองทัพไทย แต่สหรัฐอเมริกาปฏิเสธเนื่องจากยังไม่ได้รับอนุมัติจากรัฐสภา[35]:203–4 อย่างไรก็ดี ปรีดีมีความสัมพันธ์แน่นแฟ้นกับขบวนการเรียกร้องเอกราชในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ โดยเฉพาะเวียดนาม ซึ่งมีแนวคิดก่อตั้งสหพันธ์ชาติในภูมิภาค โดยเห็นว่าปรีดีเหมาะสมจะดำรงตำแหน่งผู้นำโดยธรรมชาติของสหพันธ์ดังกล่าว[35]:205

ชีวิตระหว่างการลี้ภัย

[แก้]
ทหารพร้อมรถถังตรึงกำลังหน้าพระบรมมหาราชวัง ระหว่างเหตุการณ์กบฏวังหลวง

ต่อมาในวันที่ 8 พฤศจิกายน พ.ศ. 2490 คณะทหารแห่งชาติซึ่งมีพลโท ผิน ชุณหะวัณ เป็นผู้นำ และมีแปลกเป็นผู้อยู่เบื้องหลังในฐานะหัวหน้าใหญ่ ได้ดำเนินการรัฐประหารเพื่อล้มล้างรัฐบาลของถวัลย์ โดยอ้างว่ารัฐบาลดังกล่าวไร้เสถียรภาพ และมีแนวโน้มจะโน้มเอียงไปทางฝ่ายซ้าย นอกจากนี้ คณะรัฐประหารยังหยิบยก ข้อกล่าวหาร้ายแรง โดยอ้างว่าปรีดีเป็นผู้บงการอยู่เบื้องหลังการลอบปลงพระชนม์ พระบาทสมเด็จพระปรเมนทรมหาอานันทมหิดล พระอัฐมรามาธิบดินทร การยึดอำนาจครั้งนี้สำเร็จอย่างราบคาบ และมีการนำกำลังทหารพร้อมรถถังเข้ายึด ทำเนียบท่าช้าง ซึ่งเป็นที่พำนักของปรีดี หวังจะควบคุมตัวเขา แต่เขาสามารถหลบหนีไปได้ด้วยการช่วยเหลือจากฝ่ายทหารเรือ โดยใช้ฐานทัพเรือสัตหีบเป็นที่หลบภัยชั่วคราว เมื่อพิจารณาแล้วเห็นว่ายังไม่อาจต่อสู้กับคณะรัฐประหารได้ จึงตัดสินใจลี้ภัยทางการเมืองโดยได้รับความช่วยเหลือจากสถานเอกอัครราชทูตสหราชอาณาจักรและสหรัฐอเมริกา เดินทางไปยังประเทศสิงคโปร์ และในเวลาต่อมาก็เดินทางต่อไปยังสาธารณรัฐจีน[42]:50–60 ระหว่างนี้ รัฐบาลไทยได้ออกหมายจับปรีดีในข้อหาลอบปลงพระชนม์ และยื่นคำร้องไปยังรัฐบาลสหราชอาณาจักรเพื่อขอให้ส่งตัวเขากลับไทยในฐานะผู้ร้ายข้ามแดน แต่ถูกรัฐบาลสหราชอาณาจักรปฏิเสธ[10]:784 เช่นเดียวกับรัฐบาลสหรัฐอเมริกาซึ่งปฏิเสธการออกวีซ่าแก่เขา เนื่องจากเกรงว่าการกระทำดังกล่าวจะส่งผลกระทบต่อความสัมพันธ์กับแปลก[35]:208

ปรีดีขณะเข้าร่วมพิธีสถาปนาสาธารณรัฐประชาชนจีนจัตุรัสเทียนอันเหมิน กรุงปักกิ่ง เมื่อวันที่ 1 ตุลาคม พ.ศ. 2492

หลังจากพำนักอยู่ในสาธารณรัฐจีนได้ราว 7 เดือน ปรีดีได้ลักลอบเดินทางกลับเข้าสู่ประเทศไทย เพื่อดำเนินการจัดตั้ง "ขบวนการประชาธิปไตย 26 กุมภาพันธ์" ซึ่งเป็นความพยายามในการกู้คืนอำนาจโดยอาศัยกำลังจากนายทหารเรือและอดีตสมาชิกขบวนการเสรีไทยหลายราย การก่อการดังกล่าวซึ่งเกิดขึ้นเมื่อวันที่ 26 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2492 เป็นที่รู้จักในเวลาต่อมาว่า "กบฏวังหลวง" อย่างไรก็ดี การยึดอำนาจล้มเหลว และภายหลังเหตุการณ์ปรีดีต้องลอบซ่อนตัวอยู่ในประเทศไทยเป็นเวลาราว 6 เดือน ก่อนลักลอบออกนอกประเทศอีกครั้งโดยใช้เรือจำปลาขนาดเล็กหลบหนีไปยังประเทศสิงคโปร์ และมุ่งหน้าต่อไปยังฮ่องกง ปรีดีได้บันทึกไว้ว่า ขณะที่เปลี่ยนเรือเพื่อเดินทางต่อไปยังเมืองชิงเต่า มณฑลชานตง เขาได้รับการต้อนรับจากสมาชิกพรรคคอมมิวนิสต์จีนในฐานะผู้ลี้ภัยทางการเมือง พร้อมทั้งได้รับเชิญให้เข้าร่วมในพิธีสถาปนาสาธารณรัฐประชาชนจีนด้วย[10]:792–3 ในช่วงเวลานั้น รัฐบาลจีนได้มอบความช่วยเหลือโดยออกค่าใช้จ่ายทุกประการ และยังเสนอที่จะให้การสนับสนุนทางทหาร หากปรีดีประสงค์จะกลับมาใช้อำนาจในประเทศไทยอีกครั้ง แต่ปรีดีปฏิเสธข้อเสนอดังกล่าว[10]:797–801 ระหว่างการพำนักในประเทศจีน เขาได้พบปะผู้นำระดับสูงหลายคน เช่น ประธานเหมา เจ๋อตง นายกรัฐมนตรีโจว เอินไหล และเติ้ง เสี่ยวผิง อีกทั้งยังได้รับเชิญให้เข้าร่วมพิธีศพของโฮจิมินห์ ประธานาธิบดีเวียดนามเหนือ และมีโอกาสพูดคุยกับเจ้าสุวรรณภูมา นายกรัฐมนตรีพระราชอาณาจักรลาว[10]:806–7 ภายหลังใน พ.ศ. 2499 มีความพยายามจากฝ่ายแปลกและพลตำรวจเอก เผ่า ศรียานนท์ ในการชักชวนให้ปรีดีกลับประเทศเพื่อดำเนินคดีสวรรคตอีกครั้ง หวังจะใช้ปรีดีเป็นกลไกถ่วงดุลกับอำนาจของจอมพล สฤษดิ์ ธนะรัชต์ ซึ่งกำลังขยายอำนาจในเวลานั้น แต่รัฐบาลสหรัฐอเมริกาได้เตือนว่าการกระทำดังกล่าวอาจนำไปสู่ความไม่สงบในประเทศไทย[43] ต่อมาใน พ.ศ. 2501 ปรีดีได้เสนอแนวคิดแก่รัฐบาลจอมพล ถนอม กิตติขจร ให้มีการขุดคลองบริเวณคอคอดกระ เพื่อวัตถุประสงค์ด้านเศรษฐกิจและยุทธศาสตร์[17]:8–9

ปรีดีและท่านผู้หญิงพูนศุข พนมยงค์ ภริยา ขณะเข้าเยี่ยมคำนับโจว เอินไหล นายกรัฐมนตรีจีน ณ กรุงปักกิ่ง เมื่อ พ.ศ. 2506

ต้นเดือนพฤษภาคม พ.ศ. 2513 โจว เอินไหล นายกรัฐมนตรีจีน ทราบถึงความประสงค์ของปรีดีที่ต้องการเดินทางไปพำนักยังกรุงปารีส เพื่ออยู่ร่วมกับครอบครัว จึงได้ออกหนังสือเดินทางสำหรับคนต่างด้าวให้ปรีดีใช้ในการเดินทาง โดยมีกีโยม จอร์จ-ปีโก อดีตอุปทูตฝรั่งเศสประจำประเทศไทย ซึ่งเป็นมิตรเก่าของปรีดี ช่วยประสานงาน จนกระทั่งปรีดีเดินทางถึงปารีสเมื่อวันที่ 8 พฤศจิกายน พ.ศ. 2513 และพำนักอยู่ในประเทศฝรั่งเศสนับแต่นั้นเป็นต้นมา[10]:839–40 อย่างไรก็ดี ในระยะแรกเขาต้องเผชิญปัญหาจากรัฐบาลไทยซึ่งไม่ออกหนังสือรับรองการมีชีวิตอยู่ และไม่จ่ายเงินบำนาญ ทำให้ต้องยื่นฟ้องร้องในศาล จนในที่สุดก็ได้รับสิทธิทั้งสองอย่างโดยชอบธรรม[10]:841 ส่งผลให้เขาได้รับการยอมรับในสถานะพลเมืองไทยอย่างสมบูรณ์ตามกฎหมาย ได้รับเงินบำนาญและหนังสือเดินทางไทยอีกครั้ง[44]

เสียชีวิต

[แก้]
ช่องเก็บอัฐิของปรีดีและพูนศุข พนมยงค์ ภริยา ภายในพระเจดีย์ วัดพระศรีมหาธาตุวรมหาวิหาร

เวลา 11 นาฬิกาเศษของวันที่ 2 พฤษภาคม พ.ศ. 2526 ณ บ้านพักในย่านอ็องโตนี ชานกรุงปารีส ปรีดีถึงแก่อสัญกรรม ด้วยภาวะหัวใจวายเฉียบพลัน ขณะกำลังนั่งเขียนหนังสืออยู่ที่โต๊ะทำงานของตน ต่อมาครอบครัวได้อัญเชิญอัฐิของเขากลับสู่ประเทศไทยเมื่อวันที่ 7 พฤษภาคม พ.ศ. 2529 และในวันที่ 8 พฤษภาคม พระบาทสมเด็จพระมหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร ได้พระราชทานไตรจีวร 10 ไตร เพื่อใช้ในพิธีบำเพ็ญกุศลทักษิณานุปทานอัฐิ ซึ่งสื่อความหมายได้ว่าเป็นการแสดงออกถึงพระราชไมตรี หรืออาจถือเป็นการพระราชทานอภัยโทษโดยพฤตินัย[24]:336–337

ชีวิตส่วนตัว

[แก้]

ครอบครัว

[แก้]
ปรีดีและท่านผู้หญิงพูนศุข พนมยงค์ เมื่อวันที่ 6 กรกฎาคม พ.ศ. 2476
ปรีดีพร้อมครอบครัวที่อำเภอหัวหิน จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ พ.ศ. 2475

ปรีดีสมรสกับท่านผู้หญิงพูนศุข ณ ป้อมเพชร์ ธิดาของมหาอำมาตย์ตรี พระยาชัยวิชิตวิศิษฏ์ธรรมธาดา (ขำ ณ ป้อมเพชร์) อดีตข้าราชการตุลาการผู้ทรงคุณวุฒิแห่งราชสำนักและอธิบดีกรมราชทัณฑ์คนแรก และคุณหญิงเพ็ง ชัยวิชิตวิศิษฏ์ธรรมธาดา (สกุลเดิม: สุวรรณศร) ซึ่งเป็นสตรีผู้มีชาติกำเนิดในตระกูลขุนนางฝ่ายกฎหมาย การสมรสระหว่างปรีดีกับพูนศุขมีขึ้นเมื่อวันที่ 16 พฤศจิกายน พ.ศ. 2471[45] ซึ่งในขณะนั้นปรีดีมีอายุ 29 ปี ขณะที่พูนศุขมีอายุเพียง 17 ปี จึงมีอายุอ่อนกว่าปรีดีถึง 12 ปี[12]:36

ปรีดีพร้อมครอบครัวที่ถนนสีลม จังหวัดพระนคร พ.ศ. 2474

ปรีดีและพูนศุขมีบุตร-ธิดาร่วมกัน 6 คน ได้แก่ ลลิตา, ปาล, สุดา, ศุขปรีดา, ดุษฎี และวาณี พนมยงค์ หลายคนในบรรดาบุตรธิดาเหล่านี้ต่อมาได้มีบทบาทสำคัญในสังคมไทย โดยเฉพาะด้านการศึกษา การต่างประเทศ และการเมือง สะท้อนการสืบทอดอุดมการณ์ประชาธิปไตยและจิตวิญญาณแห่งความยุติธรรมที่บิดามารดาวางรากฐานไว้ ตระกูลพนมยงค์จึงกลายเป็นสัญลักษณ์ของความมุ่งมั่นในการธำรงระบอบประชาธิปไตยและหลักนิติธรรมในสังคมไทย

ภาพยนตร์

[แก้]

ก่อนที่สงครามโลกครั้งที่สองจะปะทุเต็มรูปแบบ ปรีดีได้เล็งเห็นถึงภัยจากการขยายตัวของลัทธิเผด็จการทหารในยุโรปและเอเชีย โดยเฉพาะอิทธิพลของลัทธิฟาสซิสต์ในประเทศอิตาลี ลัทธินาซีในประเทศเยอรมนี และลัทธิแสนยนิยมในประเทศญี่ปุ่น ซึ่งล้วนกำลังนำโลกเข้าสู่สงคราม ด้วยสำนึกของปัญญาชนผู้รักสันติ ปรีดีจึงริเริ่มโครงการสร้างภาพยนตร์แนวอุดมคติ ถ่ายทอดแนวคิดสันติวิธีให้สังคมโลกผ่านสื่อภาพยนตร์ และอำนวยการสร้างเรื่อง พระเจ้าช้างเผือก[46] ซึ่งถือเป็นผลงานวัฒนธรรมระดับชาติที่สะท้อนอุดมการณ์ทางการเมืองของเขาอย่างชัดเจน

ภาพยนตร์เรื่องนี้มีจุดประสงค์ส่งสารสันติภาพไปยังนานาอารยประเทศ โดยใช้การเล่าเรื่องเชิงอุปมา ผสมอุดมคติทางพระพุทธศาสนาและหลักสันติวิธี ข้อความพุทธภาษิต "นตฺถิ สนฺติปรํ สุขํ" ('ไม่มีสุขใดเสมอด้วยความสงบสันติ') ปรากฏเด่นในภาพยนตร์ แสดงจุดยืนมั่นคงของปรีดีต่อการคัดค้านสงครามทุกประเภท พร้อมสื่อว่าชาวไทยแม้รักสันติ แต่พร้อมต่อสู้ปกป้องประเทศจากภัยภายนอกด้วยความกล้าหาญและศักดิ์ศรี ไม่ยอมจำนนต่อจักรวรรดินิยมทั้งทางทหารและแนวคิดกดขี่[47]

งานเขียน

[แก้]

ปรีดีเป็นผู้ใฝ่หาความรู้ทางสังคมศาสตร์และปรัชญาการเมืองอย่างลึกซึ้ง โดยเฉพาะช่วงลี้ภัยการเมืองในประเทศจีน เขามุ่งศึกษาความคิดของนักปรัชญาและนักปฏิวัติฝ่ายคอมมิวนิสต์ เช่น คาร์ล มาคส์, ฟรีดริช เอ็งเงิลส์, วลาดีมีร์ เลนิน, โจเซฟ สตาลิน และเหมา เจ๋อตง เพื่อนำมาเปรียบเทียบกับสังคมไทยทั้งด้านเศรษฐกิจ การเมือง ศาสนา และวัฒนธรรม ผลงานวิเคราะห์เหล่านี้ต่อมากลายเป็นบทความทางวิชาการที่มีคุณค่า

งานเขียนสำคัญที่ได้รับการยกย่องคือ "ความเป็นอนิจจังของสังคม" ซึ่งบูรณาการแนวคิดพุทธปรัชญาเข้ากับการวิเคราะห์วิวัฒนาการของสังคมมนุษย์ โดยชี้ว่าสังคมไม่หยุดนิ่ง หากเปลี่ยนแปลงอยู่เสมอ บทความนี้ได้รับการตีพิมพ์ซ้ำหลายครั้งและเป็นที่ศึกษาค้นคว้าในแวดวงสังคมศาสตร์และมนุษยศาสตร์อย่างต่อเนื่อง

สิ่งทั้งหลายในโลกนี้เป็นอนิจจัง ไม่มีสิ่งใดนิ่งคงอยู่กับที่ ทุกสิ่งที่มีอาการเคลื่อนไหวเปลี่ยนแปลงไปอย่างไม่หยุดยั้ง…พืชพันธุ์ รุกขชาติ และสัตวชาติทั้งปวง รวมทั้งมนุษยชาติที่มีชีวิตนั้น เมื่อได้เกิดมาแล้วก็เคลื่อนไหวเปลี่ยนแปลงโดยเจริญเติบโตขึ้นตามลำดับ จนถึงขีดที่ไม่อาจเติบโตได้อีกต่อไป แล้วก็ดำเนินสู่ความเสื่อมและสลายในที่สุด

จากความสนใจในศาสตร์แขนงต่าง ๆ และความห่วงใยต่ออนาคตของประเทศ ปรีดีจึงสร้างสรรค์งานเขียนจำนวนมาก ซึ่งสะท้อนทั้งวิสัยทัศน์ทางปัญญา ความเข้าใจบริบทประวัติศาสตร์ และความมุ่งมั่นผลักดันประชาชนให้มีส่วนร่วมในระบอบประชาธิปไตยอย่างแท้จริง ผลงานของเขาครอบคลุมด้านเศรษฐกิจ การเมือง ปรัชญา ประวัติศาสตร์ และนิติศาสตร์ ตั้งแต่งานนโยบายเศรษฐกิจ การอธิบายรัฐธรรมนูญเบื้องต้น งานเชิงปรัชญา การสะท้อนเหตุการณ์ร่วมสมัย ไปจนถึงการวิเคราะห์ปัญหาชาติพันธุ์และเอกภาพของชาติ อันแสดงถึงความเป็นนักคิดเชิงระบบที่รอบด้าน[48]

  • คำชี้แจงเค้าโครงการเศรษฐกิจและเค้าร่างพระราชบัญญัติว่าด้วยการประกันความสุขสมบูรณ์ของราษฎรกับเค้าร่างพระราชบัญญัติว่าด้วยการประกอบเศรษฐกิจ, โรงพิมพ์ลหุโทษ, 2476
  • บันทึกข้อเสนอเรื่อง ขุดคอคอดกระ, กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2502
  • ชีวิตผันผวนของข้าพเจ้าและ 21 ปีที่ลี้ภัยในสาธารณรัฐราษฎรจีน (Ma vie mouvementee et mes 21 ans d' exil en Chine Populaire)
  • ความเป็นมาของชื่อ "ประเทศสยาม" กับ "ประเทศไทย"
  • จงพิทักษ์เจตนารมณ์ประชาธิปไตยสมบูรณ์ของวีรชน 14 ตุลาคม
  • ประชาธิปไตย เบื้องต้นสำหรับสามัญชน
  • ประชาธิปไตยและรัฐธรรมนูญเบื้องต้นกับการร่างรัฐธรรมนูญ
  • ปรัชญาคืออะไร
  • "ความเป็นไปบางประการในคณะผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์” ใน บางเรื่องเกี่ยวกับพระบรมวงศานุวงศ์
  • บางเรื่องเกี่ยวกับการก่อตั้งคณะราษฎรและระบบประชาธิปไตย
  • ข้อสังเกตบางประการเกี่ยวกับเอกภาพของชาติและประชาธิปไตย
  • สำเนาจดหมายของนายปรีดีตอบบรรณาธิการสามัคคีสารเรื่อง ขอทราบความเห็นเกี่ยวกับเหตุการณ์ ๑๔-๑๕ ตุลาคม ๒๕๑๖ และสังคมสัญญาอันศักดิ์สิทธิ์แห่งรัฐธรรมนูญประชาธิปไตย, ปราโมทย์ พึ่งสุนทร, 2516
  • ความเป็นเอกภาพกับปัญหาสามจังหวัดภาคใต้, สหพันธ์นิสิตนักศึกษาชาวปักษ์ใต้แห่งประเทศไทย, 2517
  • อนาคตของเมืองไทยกับสถานการณ์ของประเทศเพื่อนบ้าน, ประจักษ์การพิมพ์, 2518

ความคิดทางการเมืองและเศรษฐกิจ

[แก้]

หน่วยข่าวกรองของฝรั่งเศสในช่วงก่อนและระหว่างสงครามโลกครั้งที่สองได้จัดทำรายงานลับเกี่ยวกับแนวโน้มทางการเมืองของปรีดี โดยระบุว่าในช่วงวัยหนุ่ม เขา "เป็นตัวการได้รับค่าจ้างของพวกโซเวียต ... เป็นสาวกลัทธิคอมมิวนิสต์"[35]:198 รายงานดังกล่าวสะท้อนให้เห็นถึงความหวาดระแวงของชาติตะวันตกในยุคที่กำลังเริ่มเข้าสู่สงครามเย็น ต่อบุคคลที่มีแนวคิดทางเลือกซึ่งท้าทายอำนาจของลัทธิเสรีนิยมแบบตะวันตก อย่างไรก็ดี ความเห็นนี้น่าจะเกิดจากการตีความอุดมการณ์ก้าวหน้าของปรีดี ซึ่งมุ่งเน้นไปที่การปฏิรูปสังคมให้มีความเป็นธรรมและส่งเสริมสิทธิเสรีภาพของประชาชน มากกว่าการยึดมั่นในระบอบคอมมิวนิสต์แบบเคร่งครัดตามแบบสหภาพโซเวียต

หลังสิ้นสุดสงครามโลกครั้งที่สอง ภาพลักษณ์ของปรีดีในสายตาชาติตะวันตก โดยเฉพาะกระทรวงการสงครามสหรัฐอเมริกาและสำนักอำนวยการยุทธศาสตร์ (OSS) ได้เปลี่ยนแปลงไปอย่างมีนัยสำคัญ รายงานสหรัฐอเมริกาในช่วงปลายทศวรรษ 2480 ถึงต้น 2490 ระบุชัดเจนว่าปรีดีเป็นผู้นิยมประชาธิปไตยอย่างแท้จริง และได้รับการยกย่องว่าเป็น "นักเสรีนิยมและรูปเคารพของเหล่าปัญญาชนหนุ่มชาวสยาม"[35]:198 การประเมินนี้สะท้อนถึงการปรับทัศนะของชาติตะวันตกต่อผู้นำเอเชียที่มีแนวคิดปฏิรูปสังคมและไม่สังกัดอุดมการณ์คอมมิวนิสต์โดยตรง แม้ว่าจะมีแนวโน้มใกล้เคียงสังคมนิยมประชาธิปไตยในรูปแบบอิสระ

คณะผู้แทนทางทูตสหรัฐอเมริกาในประเทศไทย ณ เวลานั้นก็มีท่าทีสอดคล้องกัน โดยสรุปว่าปรีดีอาจเคยโน้มเอียงไปทางลัทธิคอมมิวนิสต์ในช่วงก่อนหน้านี้ แต่เมื่อถึง พ.ศ. 2488 เขาเป็นเพียง "นักสังคมนิยมอ่อน ๆ เท่านั้น"[35]:198 บริบทนี้สะท้อนความพยายามของสหรัฐอเมริกาในการแยกแยะนักการเมืองสายปฏิรูปที่มุ่งสร้างความยุติธรรมและประชาธิปไตย ออกจากคอมมิวนิสต์หัวรุนแรง ทำให้ปรีดีกลายเป็นบุคคลที่ได้รับความสนใจและจับตามองจากทั้งฝ่ายอนุรักษนิยมและฝ่ายเสรีนิยมในระดับนานาชาติ ในฐานะผู้นำปัญญาชนที่มีอุดมการณ์อิสระ สามารถวิพากษ์และปฏิรูปสังคมได้โดยไม่ตกอยู่ภายใต้อิทธิพลของขั้วอำนาจใดอย่างสมบูรณ์

ความสนใจ

[แก้]

ปรีดีได้รับอิทธิพลทางความคิดเกี่ยวกับระบอบประชาธิปไตยตั้งแต่ช่วงวัยเยาว์ โดยเฉพาะจากอาจารย์เทียนวรรณ และ ก.ศ.ร. กุหลาบ ซึ่งเป็นนักคิดหัวก้าวหน้าในสมัยนั้น ทั้งสองมีบทบาทสำคัญในการเผยแพร่แนวคิดประชาธิปไตยเสรีนิยมผ่านงานเขียนและการสอน ทำให้ปรีดีเริ่มซึมซับแนวคิดประชาธิปไตยตั้งแต่ยังศึกษาในระดับมัธยมศึกษา และกลายเป็นแรงผลักดันเบื้องต้นให้เขายึดมั่นในหลักสิทธิ เสรีภาพ และความเสมอภาคทางสังคมตลอดชีวิตการทำงานทางการเมืองของเขา[49]

นอกจากความสนใจในด้านการเมืองและกฎหมายแล้ว ปรีดียังมีความผูกพันอย่างลึกซึ้งกับพระพุทธศาสนา เขาศรัทธาในคำสอนของพุทธทาสภิกขุเป็นพิเศษ และได้รับหนังสือ "กฎบัตรของพุทธบริษัท" จากพุทธทาสภิกขุ ซึ่งปรีดีเก็บรักษาไว้อย่างหวงแหนโดยใส่ไว้ในกระเป๋าเสื้อนอกอยู่ตลอดเวลา แม้ในช่วงสุดท้ายของชีวิตก็ตาม[50][51]

ภาพลักษณ์

[แก้]

พ่อนำชาติด้วยสมองและสองแขน
พ่อสร้างแคว้นธรรมศาสตร์ประกาศศรี
พ่อของข้านามระบือชื่อ 'ปรีดี'
แต่คนดีเมืองไทยไม่ต้องการ

—พรรคแสงธรรม มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์[52]:7

ปรีดี ผู้ประศาสน์การมหาวิทยาลัยวิชาธรรมศาสตร์และการเมือง

ภาพลักษณ์ของปรีดี ถูกสร้างขึ้นทั้งด้านบวกและลบ โดยมีนัยสำคัญทางการเมืองและสังคม สะท้อนการต่อสู้ระหว่างระบอบเผด็จการทหาร อนุรักษนิยม และกษัตริย์นิยม กับอุดมการณ์เสรีนิยมและสังคมนิยม ฝ่ายทหารสร้างภาพลักษณ์ด้านลบเพื่อธำรงอำนาจ ขณะที่กลุ่มอนุรักษนิยมและกษัตริย์นิยมเน้นย้ำบทบาทสถาบันพระมหากษัตริย์ ส่วนฝ่ายเสรีนิยมและสังคมนิยมเชิดชูปรีดีในฐานะสัญลักษณ์ต่อต้านเผด็จการ[24]:22–3 สุลักษณ์ ศิวรักษ์ นักเขียน ยกย่องปรีดีว่ามีความสำคัญเทียบได้กับผู้นำระดับโลก เช่น เหมา เจ๋อตง, โฮจิมินห์ และชวาหะร์ลาล เนห์รู นายกรัฐมนตรีอินเดีย[38]:1 อีกทั้งยังถูกเปรียบเทียบกับสมเด็จพระนเรศวรมหาราชแห่งกรุงศรีอยุธยาและสมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราชแห่งกรุงธนบุรี[38]:12 สุลักษณ์ยังมีบทบาทในการจัดตั้งกองทุน 100 ปี ชาตกาล ศาสตราจารย์ ดร.ปรีดี พนมยงค์ โดยให้เหตุผลว่าต้องการไถ่โทษที่ตนเคยเข้าใจเขาผิดในอดีต

ปรีดีได้รับการยกย่องว่าเป็น "มันสมองของคณะราษฎร" มีความซื่อสัตย์ มีอุดมการณ์ และความคิดก้าวหน้า แต่จุดยืนทางการเมืองสร้างความขัดแย้งต่อเนื่อง จากประกาศคณะราษฎร ฉบับที่ 1 เขาถูกมองว่าเป็นผู้ไม่นิยมราชาธิปไตย จนถูกตีความว่าเป็นสาธารณรัฐนิยม ภาพลักษณ์ดีขึ้นภายหลังกบฏบวรเดช โดยเฉพาะช่วงสงครามโลกครั้งที่สองเมื่อดำรงตำแหน่งหัวหน้าขบวนการเสรีไทยและนายกรัฐมนตรี อย่างไรก็ดี ฝ่ายอนุรักษนิยมยังไม่ไว้วางใจ แม้เขาแสดงเจตจำนงฟื้นฟูบทบาทสถาบันพระมหากษัตริย์

หลังการสวรรคตของพระบาทสมเด็จพระปรเมนทรมหาอานันทมหิดล พระอัฐมรามาธิบดินทร เกิดข่าวลือการลอบปลงพระชนม์ โดยพลโท ผิน ชุณหะวัณ และหลวงกาจสงคราม (เทียน เก่งระดมยิง) มีบทบาทในการกล่าวหาปรีดี ต่อมา กลุ่มทหารนอกราชการที่ดำเนินการรัฐประหารใน พ.ศ. 2490 ได้ออกหมายจับปรีดีในข้อหาลอบปลงพระชนม์ และกล่าวหาเพิ่มเติมว่าเป็นคอมมิวนิสต์และมีเป้าหมายตั้งตนเป็นประธานาธิบดี เพื่อทำลายความน่าเชื่อถือ และสร้างภาพลักษณ์เชิงลบ ฝ่ายอนุรักษนิยมสร้างภาพเขาเป็น "ปีศาจทางการเมือง" โดยพระพินิจชนคดี (พินิจ อินทรทูต) สรุปผลสอบสวนโยงถึงปรีดี หม่อมราชวงศ์เสนีย์ ปราโมช ยังลดบทบาทเขาในขบวนการเสรีไทย

ฝ่ายสนับสนุนพยายามแก้ต่าง ทั้งศิษย์ พันธมิตรทางการเมือง และปัญญาชน เช่น เดือน บุนนาค ไสว สุทธิพิทักษ์ รวมถึงนักเขียนอย่างอัศนี พลจันทร อิศรา อมันตกุล ดาวหาง และ อ. อุดากร แต่ไม่อาจลบล้างกระแสปีศาจการเมืองที่ครอบงำการเมืองไทยช่วงพุทธทศวรรษ 2490 ได้

กระแสดังกล่าวเริ่มอ่อนแรงเมื่อกลุ่มทหารหันไปจับตาการเคลื่อนไหวนักศึกษา ปรีดีชนะคดีหมิ่นประมาทกับสยามรัฐรายวัน และหม่อมราชวงศ์คึกฤทธิ์ ปราโมช ต่อมา เขาปฏิเสธการเป็นผู้แทนเจรจาผู้ลี้ภัยอินโดจีนในสมัยรัฐบาลจอมพล ถนอม กิตติขจร ภายหลังเหตุการณ์วันมหาวิปโยค เมื่อวันที่ 14 ตุลาคม พ.ศ. 2516 เขาใช้สื่อสิ่งพิมพ์และการสัมภาษณ์ตอบโต้กระแสโจมตี ชีวประวัติของปราโมทย์ พึ่งสุนทร และสุพจน์ ด่านตระกูล ก็ช่วยเผยแพร่แนวคิดของเขา กระแสนักศึกษาเพิ่มสูงสุดช่วงต้นทศวรรษ 2510 แต่ลดลงอย่างรวดเร็วจากความแตกต่างเชิงยุทธศาสตร์และสถานการณ์การเมือง

ภายหลังเหตุการณ์การสังหารหมู่ที่มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์เมื่อวันที่ 6 ตุลาคม พ.ศ. 2519 ปรีดียังถูกวิจารณ์เชิงลบ แต่สามารถชนะคดีหมิ่นประมาท กลุ่มปัญญาชนหันมายกย่องเขาเป็นสัญลักษณ์เสรีนิยม ใน พ.ศ. 2527 มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์พยายามฟื้นฟูภาพลักษณ์ของเขาในฐานะสัญลักษณ์ของมหาวิทยาลัย พร้อมสร้างอนุสาวรีย์ปรีดี พนมยงค์ พรรคประชาธิปัตย์ยังนำภาพลักษณ์นี้ไปใช้หาเสียงเลือกตั้งใน พ.ศ. 2535 ต่อมายูเนสโกยกย่องเขาเป็นบุคคลสำคัญของโลกใน พ.ศ. 2543 ช่วยลบภาพลักษณ์ด้านลบ รัฐยังสะท้อนการยอมรับโดยการเปลี่ยนชื่อถนนและสถานที่ เช่น ถนนเสรีไทย และเขายังได้รับการเสนอชื่อเป็นหนึ่งในบุคคลผู้ทรงอิทธิพลที่สุดในเอเชียแห่งศตวรรษ[53]

มรดก

[แก้]
อนุสาวรีย์ปรีดี พนมยงค์ ณ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์
ถนนสุขุมวิท 71 (ปรีดี พนมยงค์)

วันสำคัญ

[แก้]

ทุกวันที่ 11 พฤษภาคมของทุกปี ได้รับการกำหนดให้เป็น "วันปรีดี พนมยงค์" เพื่อระลึกถึงวันคล้ายวันเกิดของปรีดี วาระสำคัญที่มีการรำลึกอย่างกว้างขวางคือ โอกาสครบรอบ 100 ปีชาตกาล ของเขาใน พ.ศ. 2543 ซึ่งยูเนสโกได้ประกาศยกย่องให้ปรีดีเป็นหนึ่งในบุคคลสำคัญของโลก และบรรจุชื่อของเขาไว้ในปฏิทินเฉลิมฉลองบุคคลสำคัญของยูเนสโก เพื่อเชิดชูผลงานในด้านการส่งเสริมสันติภาพ การศึกษา และสิทธิมนุษยชนอย่างโดดเด่น[54]

ในการเฉลิมฉลองโอกาสดังกล่าว มีการจัดกิจกรรมหลากหลายทั้งในและต่างประเทศเพื่อยกย่องเกียรติคุณของปรีดี หนึ่งในกิจกรรมที่มีความโดดเด่น คือการประพันธ์ซิมโฟนีชื่อ "ปรีดีคีตานุสรณ์" โดยสมเถา สุจริตกุล ซึ่งแต่งขึ้นเพื่อถวายเป็นราชสดุดีและเกียรติประวัติของปรีดี ซิมโฟนีชิ้นนี้ได้รับการแสดงอย่างเป็นทางการในหลายเวที เป็นสัญลักษณ์ของการผสานระหว่างดนตรี ศิลปะ และประวัติศาสตร์ เพื่อสืบทอดเจตนารมณ์ของปรีดีไปยังคนรุ่นหลัง[55]

พันธุ์สัตว์

[แก้]

เมื่อ พ.ศ. 2546 ได้มีการค้นพบสัตว์น้ำชนิดใหม่ของโลกในประเทศไทย คือ ปลาปล้องทองปรีดี (Schistura pridii) ภายในพื้นที่ของเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าเชียงดาว อำเภอเชียงดาว จังหวัดเชียงใหม่ โดยผู้ค้นพบคือชวลิต วิทยานนท์ ซึ่งได้ตั้งชื่อปลาดังกล่าวเพื่อเป็นเกียรติแก่ปรีดี[56] การตั้งชื่อวิทยาศาสตร์เช่นนี้นับเป็นการเชิดชูคุณูปการของปรีดีผ่านมรดกทางธรรมชาติของประเทศ

ในอดีต เมื่อ พ.ศ. 2487 เอช. จี. ไดแนน (H. G. Deignan) นักปักษีวิทยาจากสถาบันสมิทโซเนียน สหรัฐอเมริกา ได้ค้นพบชนิดย่อยใหม่ของนกเขียวก้านตองหน้าผากสีทอง บริเวณดอยอ่างขางและดอยอินทนนท์ ซึ่งต่อมาได้รับการตั้งชื่อว่า นกปรีดี (Chloropsis aurifrons pridii) เพื่อสดุดีชื่อของปรีดี

นอกจากนี้ ไดแนนยังตั้งชื่อนกเขียวก้านตองปีกสีฟ้าชนิดย่อยอีกชนิดหนึ่งที่พบทางภาคใต้ของประเทศไทยว่า Chloropsis cochinchinensis seri-thai หรือชื่อสามัญว่า "นกเขียวก้านตองปีกสีฟ้า" หรือนิยมเรียกสั้น ๆ ว่า "นกเสรีไทย" เพื่ออุทิศเกียรติแด่ขบวนการเสรีไทย ซึ่งสะท้อนให้เห็นถึงการจดจำคุณูปการทางประวัติศาสตร์และอุดมการณ์ของปรีดีในระดับสากลผ่านการตั้งชื่อทางชีววิทยา[57]

สถานที่

[แก้]
  • อนุสรณ์สถานปรีดี พนมยงค์ มีอยู่ 2 ที่คือ บริเวณที่ดินถิ่นกำเนิดของปรีดี จังหวัดพระนครศรีอยุธยา เป็นอนุสรณ์สถานรำลึกปรีดี ตั้งอยู่ริมแม่น้ำเมือง ตรงข้ามวัดพนมยงค์ อนุสาวรีย์เป็นรูปสัญลักษณ์ที่แสดงถึงอุดมการณ์อันสำคัญยิ่งของปรีดี 3 ประการคือ สันติภาพ เสรีไทยและประชาธิปไตย[58] และห้องอนุสรณ์สถานบนตึกโดม มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ เป็นอนุสรณ์แห่งแรกที่ก่อสร้างขึ้นเพื่อรำลึกถึงปรีดี[59]
  • สถาบันปรีดี พนมยงค์ มูลนิธิปรีดี พนมยงค์ ได้จัดสร้างอาคารสถาบันปรีดี พนมยงค์ ขึ้น ณ ซอยทองหล่อ ถนนสุขุมวิท 55 สำหรับใช้ดำเนินกิจกรรมอันเป็นประโยชน์ต่อสังคมและราษฎรไทย เปิดอย่างเป็นทางการเมื่อวันที่ 24 มิถุนายน 2538[60]
  • ห้องประชุมเฉลิมพระเกียรติฯ 6-1 (ปรีดี พนมยงค์) ชั้น 6 อาคารเฉลิมพระเกียรติฯ ใช้เป็นห้องประชุมสำหรับพิธีปฐมนิเทศนักศึกษาใหม่ และพิธีประสาทปริญญาบัตรสำหรับผู้สำเร็จการศึกษา และกิจกรรมอื่นๆ ตั้งอยู่ภายในมหาวิทยาลัยธุรกิจบัณฑิตย์

อื่น ๆ

[แก้]

ในวัฒนธรรมสมัยนิยม

[แก้]

ใน พ.ศ. 2567 มีการสร้างแอนิเมชันแนวประวัติศาสตร์เรื่อง ๒๔๗๕ รุ่งอรุณแห่งการปฏิวัติ โดยนคราสตูดิโอ กำกับโดยวิวัธน์ จิโรจน์กุล เขียนบทโดยปัณฑา สิริกุล, วิวัธน์ จิโรจน์กุล และปราชญ์ สามสี เนื้อหานำเสนอเหตุการณ์การปฏิวัติสยาม พ.ศ. 2475 โดยหนึ่งในตัวละครสำคัญคือปรีดี พนมยงค์ ซึ่งได้รับการพากย์เสียงโดยสุเมธ องอาจ

ลำดับสาแหรก

[แก้]

เครื่องราชอิสริยาภรณ์

[แก้]

ปรีดี พนมยงค์ ได้รับพระราชทานเครื่องราชอิสริยาภรณ์ทั้งไทยและต่างประเทศ ดังนี้

เครื่องราชอิสริยาภรณ์ไทย

[แก้]

ต่างประเทศ

[แก้]

เชิงอรรถ

[แก้]
  1. ไม่มีนามสกุล เนื่องจากพระราชบัญญัติขนานนามสกุลเริ่มมีใน พ.ศ. 2456
  2. ต่อมาได้กราบถวายบังคมลาออกจากบรรดาศักดิ์ใน พ.ศ. 2485
  3. โปรดดู: ดคีดำหมายเลขที่ 7236/2513 คดีหมายเลขที่ 113/2514 คดีหมายเลขที่ 4226/2521
  4. โปรดดูเอกสารต้นฉบับ เช่น รายงานคณะกรรมการวิสามัญฯ ลงวันที่ 27 กุมภาพันธ์ 2476 ที่จัดทำโดยสำนักงานเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎร
  5. พระราชบัญญัติสงฆ์ พุทธศักราช 2484 ใช้ได้เพียง 20 ปี ก็มีเหตุการณ์ไม่ราบรื่นเกิดขึ้นในสังฆมณฑล จนนำคณะสงฆ์กลับไปสู่การปกครองระบอบเผด็จการโดยคณะเดียวภายใต้พระราชบัญญัติสงฆ์ พุทธศักราช 2505[28]
  6. ควง อภัยวงศ์เล่าว่า พระเจ้าวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าอาทิตย์ทิพอาภาไม่กล้าลงพระนามแต่งตั้งเขาเป็นนายกรัฐมนตรี จึงลาออกจากตำแหน่งผู้สำเร็จราชการ[17] :227–8

อ้างอิง

[แก้]
  1. Banomyong, Pridi (2000). Baker, Chris; Phongpaichit, Pasuk (บ.ก.). Pridi by Pridi: Selected Writing on Life, Politics, and Economy. Bangkok: Silkworm Books. ISBN 9747551357.
  2. "พระบรมราชโองการ ประกาศ ยกย่องนายปรีดี พนมยงค์ เป็นรัฐบุรุษอาวุโส" (PDF). ราชกิจจานุเบกษา. 11 December 1945. สืบค้นเมื่อ 4 April 2023.
  3. "พระบรมราชโองการ ประกาศ ยกย่องนายปรีดี พนมยงค์ เป็นรัฐบุรุษอาวุโส" (PDF). Royal Thai Government Gazette. 11 December 1945. สืบค้นเมื่อ 4 April 2023.
  4. พนมยงค์, สถาบันปรีดี. "2 พฤษภาคม 2526 : 40 ปี อสัญกรรม รัฐบุรุษอาวุโส ศาสตราจารย์ ดร.ปรีดี พนมยงค์". สถาบันปรีดี พนมยงค์ PRIDI BANOMYONG INSTITUTE : Pridi.or.th. สืบค้นเมื่อ 2025-09-18.
  5. UNESCO: MS Data Thailand เก็บถาวร 2009-07-28 ที่ เวย์แบ็กแมชชีน, UNESCO
  6. ชีวประวัติย่อของปรีดี พนมยงค์ สกุล พนมยงค์ และ สกุล ณ ป้อมเพชร์ เก็บถาวร 2011-08-19 ที่ เวย์แบ็กแมชชีน, โครงการปรีดีพนมยงค์กับสังคมไทย, 2526, หน้า 163
  7. 1 2 3 4 5 6 วิชัย ภู่โยธิน. (2538). ก้าวแรกแห่งความสำเร็จ ดร.ปรีดี พนมยงค์ เก็บถาวร 2012-10-19 ที่ เวย์แบ็กแมชชีน, ไทยวัฒนาพานิช, ISBN 974-08-2445-5
  8. 1 2 3 4 5 นาวี รังสิวรารักษ์. (2544). รัฐบุรุษผู้ยิ่งใหญ่ ปรีดี พนมยงค์ เก็บถาวร 2011-08-19 ที่ เวย์แบ็กแมชชีน, สำนักพิมพ์ดับเบิ้ลนายน์, ISBN 974-604-957-7
  9. ปรีดี พนมยงค์, เรื่องการมีจิตสำนึกอภิวัฒน์ของข้าพเจ้า ชีวิตผันผวนของข้าพเจ้าและ 21 ปีที่ลี้ภัยในสาธารณรัฐราษฎรจีน เก็บถาวร 2011-08-19 ที่ เวย์แบ็กแมชชีน, สำนักพิมพ์เทียนวรรณ, 2529, หน้า 14
  10. 1 2 3 4 5 6 7 8 9 10 11 12 13 14 15 16 17 18 19 20 21 22 23 24 25 26 27 28 29 30 31 32 33 34 35 36 37 38 39 40 41 42 43 44 45 46 47 48 49 50 51 52 ไสว สุทธิพิทักษ์, ดร.ปรีดี พนมยงค์ เก็บถาวร 2021-07-21 ที่ เวย์แบ็กแมชชีน, บพิธการพิมพ์, 2493
  11. 1 2 3 4 5 6 7 8 9 10 11 12 13 14 บุนนาค, เดือน (1999). "ท่านปรีดีนักกฎหมาย". ใน โสภณศิริ, สันติสุข (บ.ก.). ปรีดีปริทัศน์: รวมทัศนะนักวิชาการต่อปรีดี พนมยงค์ (PDF) (1 ed.). คณะกรรมการดำเนินงานฉลอง 100 ปี ชาตกาลนายปรีดี พนมยงค์ รัฐบุรุษอาวุโส ภาคเอกชน. ISBN 9747833441. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิม (PDF)เมื่อ 2011-08-19. สืบค้นเมื่อ 2009-11-19.
  12. 1 2 3 4 5 6 7 8 9 10 11 12 13 14 15 16 17 18 19 20 21 22 23 24 25 26 27 28 29 30 31 Na Pombhejara, Vichitvong (1983). Pridi Banomyong And The Making Of Thailand's Modern History (PDF). ISBN 9742601755.
  13. 1 2 3 ปรีดี พนมยงค์, ชีวประวัติย่อของปรีดี พนมยงค์, สำนักพิมพ์มูลนิธิเด็ก, 2544, ISBN 974-7834-15-4
  14. ราชกิจจานุเบกษา, พระราชทานบรรดาศักดิ์ เก็บถาวร 2016-03-04 ที่ เวย์แบ็กแมชชีน, เล่ม 45, วันที่ 2 ธันวาคม พ.ศ. 2471, หน้า 2718
  15. ราชกิจจานุเบกษา ประกาศสำนักนายกรัฐมนตรี เรื่อง พระราชทานพระบรมราชานุญาตให้ข้าราชการกราบถวายบังคมลาออกจากบรรดาศักดิ์ เก็บถาวร 2014-09-01 ที่ เวย์แบ็กแมชชีน
  16. ทิพวรรณ (บุญทวี) เจียมธีรสกุล, วิทยานิพนธ์เรื่องความคิดทางการเมืองของปรีดี พนมยงค์ : ระยะเริ่มแรก เก็บถาวร 2011-08-19 ที่ เวย์แบ็กแมชชีน, 2528, หน้า 409–421, 423–424
  17. 1 2 3 4 5 6 7 8 9 10 11 12 13 14 15 16 17 18 19 20 21 22 23 24 25 26 27 28 29 30 31 32 33 34 35 36 37 38 39 40 41 42 ด่านตระกูล, สุพจน์ (1971). ชีวิตและงานของ ดร.ปรีดี พนมยงค์. พระนคร: ประจักษ์การพิมพ์.
  18. ชัยพงษ์ สำเนียง เล่าเรื่องอภิวัฒน์ 2475, ประชาไท, 20 มิ.ย. 2552, เรียกข้อมูลวันที่ 10 พ.ย. 2552
  19. ประมาณ อดิเรกสาร, Unseen ราชครู, สื่อวัฏสาร, 2547, หน้า 186, ISBN 974-92685-3-9
  20. 1 2 สถาบันวิทยาศาสตร์สังคม (ประเทศไทย), เค้าโครงการเศรษฐกิจของหลวงประดิษฐ์มนูธรรม, ศิษย์อาจารย์ฉบับที่ 3, สำนักพิมพ์สุขภาพใจ, 2541
  21. 1 2 Ashayagachat, Achara (11 May 2013). "Father of Thai democracy, forever misunderstood". Bangkok Post. สืบค้นเมื่อ 2020-06-21.
  22. เฉลิมเกียรติ ผิวนวล, ความคิดทางการเมืองของปรีดี พนมยงค์ เก็บถาวร 2011-08-19 ที่ เวย์แบ็กแมชชีน, สำนักพิมพ์มูลนิธิโกมลคีมทอง, 2529, หน้า 146-147
  23. ใจจริง, ณัฐพล (2013). ขอฝันใฝ่ในฝันอันเหลือเชื่อ: ความเคลื่อนไหวของขบวนการปฏิปักษ์ปฏิวัติสยาม (พ.ศ. 2475-2500) (1 ed.). ฟ้าเดียวกัน. ISBN 9786167667188.
  24. 1 2 3 4 5 อ้างอิงผิดพลาด: ป้ายระบุ <ref> ไม่ถูกต้อง ไม่มีการกำหนดข้อความสำหรับอ้างอิงชื่อ มรกต
  25. ปรีดี พนมยงค์ : ชีวิต งาน และธรรมศาสตร์
  26. 1 2 3 4 อ้างอิงผิดพลาด: ป้ายระบุ <ref> ไม่ถูกต้อง ไม่มีการกำหนดข้อความสำหรับอ้างอิงชื่อ ปรีดี-เปรม
  27. อ้างอิงผิดพลาด: ป้ายระบุ <ref> ไม่ถูกต้อง ไม่มีการกำหนดข้อความสำหรับอ้างอิงชื่อ ปรีดีกับธรรมศาสตร์
  28. "ปรีดี พนมยงค์ กับพระพุทธศาสนา". คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2016-06-13. สืบค้นเมื่อ 2016-06-19.
  29. 1 2 วิชิตวงศ์ ณ ป้อมเพชร, ปรีดี พนมยงค์ กับปฏิบัติการเสรีไทย เก็บถาวร 2011-08-19 ที่ เวย์แบ็กแมชชีน, คณะกรรมการดำเนินงานฉลอง 100 ปี ชาตกาล ปรีดี พนมยงค์ รัฐบุรุษอาวุโส ภาคเอกชน, 2543, ISBN 974-7833-69-7, หน้า 47–56
  30. ชาญวิทย์ เกษตรศิริ, 16 สิงหาคม 2488 ประวัติศาสตร์ที่ "ให้จำ" กับ "ให้ลืม", ประชาไท, เรียกข้อมูลวันที่ 17 พ.ย. 2552
  31. จดหมายของปรีดี พนมยงค์ ถึง พระพิศาลสุขุมวิท เรื่องหนังสือจดหมายเหตุของเสรีไทยเกี่ยวกับปฏิบัติการในแคนดี นิวเดลฮี และ สหรัฐอเมริกา เก็บถาวร 2011-08-19 ที่ เวย์แบ็กแมชชีน, อมรินทร์การพิมพ์, 2522
  32. United States Department of State, Foreign relations of the United States : diplomatic papers, 1945 เก็บถาวร 2011-07-16 ที่ เวย์แบ็กแมชชีน, Volume VI, 1945, pp.1278-1279
  33. สุพจน์ ด่านตระกูล, ปรีดี พนมยงค์ กับ ในหลวงอานันท์ และกรณีสวรรคต เก็บถาวร 2011-08-19 ที่ เวย์แบ็กแมชชีน, สถาบันวิทยาศาสตร์สังคม (ประเทศไทย), 2541
  34. "พล.อ. เปรม กับเครื่องราชฯ โบราณมงคลนพรัตนราชวราภรณ์ ซึ่งสามัญชนน้อยคนได้รับพระราชทาน". ศิลปวัฒนธรรม. 28 May 2019. สืบค้นเมื่อ 12 May 2021.
  35. 1 2 3 4 5 6 7 8 9 อ้างอิงผิดพลาด: ป้ายระบุ <ref> ไม่ถูกต้อง ไม่มีการกำหนดข้อความสำหรับอ้างอิงชื่อ JSS
  36. ศิวรักษ์, ส. (2012). "ชีวิตและงานของสมเด็จฯกรมพระยาดำรงราชานุภาพ ในฐานะที่เป็นพยานทางประวัติศาสตร์ในเรื่องการสร้างสรรค์สติปัญญาอย่างของไทยเราเอง" (PDF). วารสารดำรงราชานุภาพ. 12 (43). ISSN 1513-6884. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิม (PDF)เมื่อ 2020-06-29. สืบค้นเมื่อ 2020-06-02.
  37. 1 2 อ้างอิงผิดพลาด: ป้ายระบุ <ref> ไม่ถูกต้อง ไม่มีการกำหนดข้อความสำหรับอ้างอิงชื่อ สุพจน์43
  38. 1 2 3 อ้างอิงผิดพลาด: ป้ายระบุ <ref> ไม่ถูกต้อง ไม่มีการกำหนดข้อความสำหรับอ้างอิงชื่อ สศิวรักษ์
  39. ประสิทธิ์ ลุลิตานนท์, ลายพระหัตถ์ ม.จ.ศุภสวัสดิ์ฯ เก็บถาวร 2012-10-19 ที่ เวย์แบ็กแมชชีน, แผนกงานจ้าง อัลลายด์พริ้นเตอรส์, โรงพิมพ์โพสต์พับลิชชิ่ง จำกัด, วันที่ 30 ตุลาคม พ.ศ. 2517, หน้า 3–4
  40. วิชิตวงศ์ ณ ป้อมเพชร, บางหน้าในประวัติศาสตร์ไทย อัตชีวประวัติของรัฐบุรุษอาวุโส ปรีดี พนมยงค์ เก็บถาวร 2011-08-19 ที่ เวย์แบ็กแมชชีน, แสงดาว, 2549, ISBN 974-9818-83-0, หน้า 409–416
  41. วันชัย ตันติวิทยาพิทักษ์, 100 ปี ของ สามัญชนนาม ปรีดี พนมยงค์, นิตยสารสารคดี, เรียกข้อมูลวันที่ 28 ม.ค. 53
  42. ประทีป สายเสน, กบฏวังหลวงกับสถานะของปรีดี พนมยงค์ เก็บถาวร 2011-08-19 ที่ เวย์แบ็กแมชชีน, สำนักพิมพ์อักษรสาส์น, 2532, ISBN 974-7248-22-7
  43. สมศักดิ์ เจียมธีรสกุล: พูนศุข พนมยงค์ ให้สัมภาษณ์กรณีสวรรคต พฤษภาคม 2500
  44. สุพจน์ ด่านตระกูล, ม.จ. ศุภสวัสดิ์ฯ รับสั่งว่า ในหลวงและสมเด็จพระราชชนนีไม่ทรงเชื่อว่า...ปรีดีฯ สมคบปลงพระชนม์ ร.8 เก็บถาวร 2011-08-19 ที่ เวย์แบ็กแมชชีน, สำนักพิมพ์สันติธรรม, 2529, หน้า 46, 69
  45. นรุตม์, หลากบทชีวิต ท่านผู้หญิงพูนศุข พนมยงค์ เก็บถาวร 2012-10-19 ที่ เวย์แบ็กแมชชีน, แพรวสำนักพิมพ์, อมรินทร์พริ้นติ้งกรุ๊พ, หน้า, 2535, ISBN 974-8359-86-7
  46. พระเจ้าช้างเผือก ถ่ายช้างได้ดีที่สุดในโลก เก็บถาวร 2010-02-06 ที่ เวย์แบ็กแมชชีน, มูลนิธิหนังไทย, เรียกข้อมูลวันที่ 11 พ.ย. 2552
  47. สุรัยยา (เบ็ญโส๊ะ) สุไลมาน, [http://www.openbase.in.th/files/pridibook008.pdf กระบวนทัศน์สันติวิธีของปรีดี พนมยงค์ กรณีศึกษา
  48. บรรณานุกรมงานของปรีดี พนมยงค์ เก็บถาวร 2009-12-19 ที่ เวย์แบ็กแมชชีน, ห้องสมุดอิเล็กทรอนิกส์ ปรีดี-พูนศุข, สืบค้นเมื่อ 11 พฤศจิกายน 2552
  49. ปรีดีเคยเจอเขาทั้งสอง ! ก.ศ.ร. กุหลาบ และ เทียนวรรณ สถาบันปรีดี สืบค้นเมื่อ 19 ตุลาคม 2563
  50. สัมพันธ์ ก้องสมุทร, ดอกโมกข์ ดอกไม้แห่งพุทธะและธรรมมาตา เก็บถาวร 2012-10-19 ที่ เวย์แบ็กแมชชีน, ปีที่ 2 ไตรมาสที่ 1 ฉบับที่ 5, หน้า 93
  51. ข่าวสด, เปิดหนังสือกฎบัตรพุทธบริษัท, วันที่ 12 กันยายน พ.ศ. 2553 ปีที่ 20 ฉบับที่ 7227 ข่าวสดรายวัน
  52. คณะกรรมการโครงการ "ปรีดี พนมยงค์กับสังคมไทย". มิตรกำสรวล เนื่องในมรณกรรมของรัฐบุรุษอาวุโส ปรีดี พนมยงค์ (PDF). กรุงเทพฯ : อมรินทร์การพิมพ์: โครงการ "ปรีดี พนมยงค์กับสังคมไทย". คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิม (PDF)เมื่อ 2020-10-27. สืบค้นเมื่อ 2020-06-20.
  53. Asia Week, Asian of the century เก็บถาวร 2010-01-27 ที่ เวย์แบ็กแมชชีน
  54. This system is currently under maintenance
  55. กฤษณา อโศกสิน, หน้าต่างบานใหม่ เก็บถาวร 2011-07-28 ที่ เวย์แบ็กแมชชีน, สกุลไทย, ฉบับที่ 2387 ปีที่ 46 ประจำวันอังคารที่ 18 กรกฎาคม 2543
  56. ชวลิต วิทยานนท์, ปลาปล้องทองปรีดี ปลาชนิดใหม่ของโลก, นิตยสารสารคดี ปีที่ 19 ฉบับที่ 222, หน้า 38
  57. "นกสวยงามกับเสรีไทย". คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2016-07-31. สืบค้นเมื่อ 2016-07-17.
  58. อนุสรณ์สถานปรีดีพนมยงค์[ลิงก์เสีย]
  59. ลานปรีดี พนมยงค์ จาก es.foursquare.com
  60. ประวัติสถาบันปรีดี พนมยงค์, เว็บไซต์สถาบันปรีดี พนมยงค์
  61. "ประวัติหอสมุดปรีดี พนมยงค์". คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2017-05-06. สืบค้นเมื่อ 2016-06-19. {{cite web}}: ระบุ |accessdate= และ |access-date= มากกว่าหนึ่งรายการ (help); ระบุ |archivedate= และ |archive-date= มากกว่าหนึ่งรายการ (help); ระบุ |archiveurl= และ |archive-url= มากกว่าหนึ่งรายการ (help)
  62. "Pridi Banomyong International College". คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2018-07-08. สืบค้นเมื่อ 2016-06-19. {{cite web}}: ระบุ |accessdate= และ |access-date= มากกว่าหนึ่งรายการ (help); ระบุ |archivedate= และ |archive-date= มากกว่าหนึ่งรายการ (help); ระบุ |archiveurl= และ |archive-url= มากกว่าหนึ่งรายการ (help)
  63. DMNEWS บล็อกข่าวส่งเสริมคนดี. (11 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2552). วิทยาลัยนานาชาติ"ปรีดี พนมยงค์" มิติใหม่ธรรมศาสตร์ สร้างนักศึกษาสู่ตลาดโลก. [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก . (เข้าถึงเมื่อ: 21 กรกฎาคม 2553).
  64. เกี่ยวกับคณะ–คณะนิติศาสตร์ ปรีดี พนมยงค์[ลิงก์เสีย]
  65. เกื้อกูล ยืนยงอนันต์. (2527). ความเปลี่ยนแปลงภายในเกาะเมืองพระนครศรีอยุธยาระหว่าง พ.ศ. 2438-2500. พระนครศรีอยุธยา : ภาควิชาประวัติศาสตร์ คณะวิชามนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ วิทยาลัยครูพระนครศรีอยุธยา. ถ่ายเอกสาร.
  66. ปณท ออกแสตมป์100ปี หลวงพ่อปัญญา-ปรีดี พนมยงค์ 
  67. ราชกิจจานุเบกษา, แจ้งความสำนักนายกรัฐมนตรี เรื่อง พระราชทานเครื่องราชอิสริยาภรณ์, เล่ม ๕๘ ตอนที่ ๐ ง หน้า ๑๙๔๕, ๑๙ มิถุนายน ๒๔๘๔
  68. ราชกิจจานุเบกษา, ประกาศ พระราชทานเครื่องราชอิสริยาภรณ์, เล่ม ๕๔ ตอนที่ ๐ ง หน้า ๒๒๑๓, ๑๓ ธันวาคม ๒๔๘๐
  69. ราชกิจจานุเบกษา, แจ้งความ พระราชทานเหรียญพิทักษ์รัฐธรรมนูญ, เล่ม ๕๒ ตอนที่ ๐ ง หน้า ๑๓๙, ๒๑ เมษายน ๒๔๗๘
  70. ราชกิจจานุเบกษา, แจ้งความสำนักนายกรัฐมนตรี เรื่อง พระราชทานเหรียญดุษฎีมาลา เข็มราชการแผ่นดิน, เล่ม ๕๕ ตอนที่ ๐ ง หน้า ๔๐๓๒, ๒๗ กุมภาพันธ์ ๒๔๘๑
  71. ราชกิจจานุเบกษา, แจ้งความสำนักนายกรัฐมนตรี เรื่อง พระราชทานเหรียญช่วยราชการเขตภายใน, เล่ม ๕๘ ตอนที่ ๐ ง หน้า ๑๙๔๗, ๒๓ มิถุนายน ๒๔๘๔
  72. ราชกิจจานุเบกษา, แจ้งความสำนักนายกรัฐมนตรี เรื่อง พระราชทานเหรียญรัตนาภรณ์, เล่ม ๕๕ ตอนที่ ๐ ง หน้า ๒๙๕๙, ๒๘ พฤศจิกายน ๒๔๘๑
  73. ราชกิจจานุเบกษา, แจ้งความ เรื่อง ให้ประดับตราต่างประเทศ, เล่ม ๕๒ ตอนที่ ๐ ง หน้า ๓๓๗๔, ๑๖ กุมภาพันธ์ ๒๔๗๘
  74. ปรีดี พนมยงค์. Ma Vie Movementee et mes 21 Ans D' Exil en Chine Populaire, แปลและเรียบเรียงโดย วิชิตวงศ์ ณ ป้อมเพชร จากหนังสือ บางหน้าของประวัติศาสตร์ ประสบการณ์ของบุคคลสำคัญต่าง ๆ ในอดีต -- กรุงเทพฯ : สำนักพิมพ์พิทยาคาร, พ.ศ. 2522
  75. ราชกิจจานุเบกษา, แจ้งความสำนักนายกรัฐมนตรี เรื่อง ให้ประดับเครื่องราชอิสริยาภรณ์ต่างประเทศ, เล่ม ๕๕ ตอนที่ ๐ ง หน้า ๑๖๒, ๑๘ เมษายน ๒๔๘๑
  76. ปรีดี พนมยงค์, ชีวิตผันผวนของข้าพเจ้า และ 21 ปีที่ลี้ภัยในสาธารณรัฐราษฎรจีน เก็บถาวร 2011-08-19 ที่ เวย์แบ็กแมชชีน, บทที่ 3 การเข้าพบมุสโสลินีฯ, สำนักพิมพ์เทียนวรรณ, 2529, หน้า 43
  77. ราชกิจจานุเบกษา, พระราชทานพระบรมราชานุญาตประดับตราต่างประเทศ, เล่ม ๔๗ ตอนที่ ๐ ง หน้า ๔๑๖๔, ๘ กุมภาพันธ์ ๒๔๗๓
  78. ราชกิจจานุเบกษา, แจ้งความสำนักนายกรัฐมนตรี เรื่อง ให้ประดับเครื่องอิสริยาภรณ์ต่างประเทศ, เล่ม ๕๖ ตอนที่ ๐ ง หน้า ๙๒๘, ๒๖ มิถุนายน ๒๔๘๒
  79. ปรีดี พนมยงค์ ชีวิตผันผวนของข้าพเจ้า และ 21 ปีที่ลี้ภัยในสาธารณรัฐราษฎรจีน เก็บถาวร 2011-08-19 ที่ เวย์แบ็กแมชชีน, สำนักพิมพ์เทียนวรรณ, 2529, หน้า 9
  80. ราชกิจจานุเบกษา, แจ้งความสำนักนายกรัฐมนตรี เรื่อง ให้ประดับเครื่องราชอิสริยาภรณ์ต่างประเทศ, เล่ม ๕๖ ตอนที่ ๐ ง หน้า ๑๗๙๘, ๒๕ กันยายน ๒๔๘๒
  81. ราชกิจจานุเบกษา, แจ้งความสำนักนายกรัฐมนตรี เรื่อง ให้ประดับเครื่องราชอิสริยาภรณ์ต่างประเทศ, เล่ม ๕๖ ตอนที่ ๐ ง หน้า ๒๕๕๖, ๒๐ พฤศจิกายน ๒๔๘๒
  82. ราชกิจจานุเบกษา, แจ้งความสำนักนายกรัฐมนตรี เรื่อง ให้ประดับเครื่องราชอิสริยาภรณ์ต่างประเทศ, เล่ม ๕๖ ตอนที่ ๐ ง หน้า ๒๖๕๐, ๔ ธันวาคม ๒๔๘๒

บรรณานุกรม

[แก้]

แหล่งข้อมูลอื่น

[แก้]
ก่อนหน้า ปรีดี พนมยงค์ ถัดไป
ควง อภัยวงศ์
นายกรัฐมนตรีไทย คนที่ 7 (ครม. 15)
(24 มีนาคม พ.ศ. 2489 – 23 สิงหาคม พ.ศ. 2489)
ถวัลย์ ธำรงนาวาสวัสดิ์
พระยาไชยยศสมบัติ
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง
สมัยที่ 1

(20 ธันวาคม พ.ศ. 2481 – 16 ธันวาคม พ.ศ. 2484)
เภา เพียรเลิศ บริภัณฑ์ยุทธกิจ
พระยาศรีวิสารวาจา
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง
สมัยที่ 2

(24 มีนาคม พ.ศ. 2489 – 23 สิงหาคม พ.ศ. 2489)
วิจิตร ลุลิตานนท์
พระยาศรีเสนา
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ
(12 กรกฎาคม พ.ศ. 2479 – 21 ธันวาคม พ.ศ. 2481)
เจ้าพระยาศรีธรรมาธิเบศ
พระยาพหลพลพยุหเสนา
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย
(29 มีนาคม พ.ศ. 2477 – 12 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2478)
ถวัลย์ ธำรงนาวาสวัสดิ์
สถาปนาตำแหน่ง
ผู้ประศาสน์การมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์
(11 เมษายน พ.ศ. 2477 – 18 มีนาคม พ.ศ. 2495)
เดือน บุนนาค
(รักษาการ)
เจ้าพระยาพิชเยนทรโยธิน
ผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์
(16 ธันวาคม พ.ศ. 2484 – 20 กันยายน พ.ศ. 2488)
สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระยาชัยนาทนเรนทร