ปรีดี พนมยงค์
ปรีดี พนมยงค์ | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
ปรีดี ใน พ.ศ. 2489 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| ผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| ดำรงตำแหน่ง 16 ธันวาคม พ.ศ. 2484 – 5 ธันวาคม พ.ศ. 2488 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| กษัตริย์ | พระบาทสมเด็จพระปรเมนทรมหาอานันทมหิดล พระอัฐมรามาธิบดินทร | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| นายกรัฐมนตรี | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| นายกรัฐมนตรีไทย คนที่ 7 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| ดำรงตำแหน่ง 24 มีนาคม พ.ศ. 2489 – 23 สิงหาคม พ.ศ. 2489 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| กษัตริย์ | พระบาทสมเด็จพระปรเมนทรมหาอานันทมหิดล พระอัฐมรามาธิบดินทร พระบาทสมเด็จพระมหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| ก่อนหน้า | ควง อภัยวงศ์ | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| ถัดไป | ถวัลย์ ธำรงนาวาสวัสดิ์ | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรจังหวัดพระนครศรีอยุธยา | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| ดำรงตำแหน่ง 5 สิงหาคม พ.ศ. 2489 – 8 เมษายน พ.ศ. 2490 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| ก่อนหน้า | เลือกตั้งเพิ่มเติม | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| ถัดไป | หม่อมเจ้านิตยากร วรวรรณ | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| ผู้ประศาสน์การมหาวิทยาลัยวิชาธรรมศาสตร์และการเมือง | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| ดำรงตำแหน่ง 11 เมษายน พ.ศ. 2477 – 18 มีนาคม พ.ศ. 2495 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| ก่อนหน้า | สถาปนามหาวิทยาลัย | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| ถัดไป |
| ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| ข้อมูลส่วนบุคคล | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| เกิด | ปรีดี[a] 11 พฤษภาคม พ.ศ. 2443 อำเภอกรุงเก่า มณฑลกรุงเก่า ประเทศสยาม | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| เสียชีวิต | 2 พฤษภาคม พ.ศ. 2526 (82 ปี) ปารีส ประเทศฝรั่งเศส | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| พรรคการเมือง | คณะราษฎร สหชีพ | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| การเข้าร่วม พรรคการเมืองอื่น | เสรีไทย (2484–2488) | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| คู่สมรส | พูนศุข ณ ป้อมเพชร์ (สมรส 2471) | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| บุตร | 6 คน รวมถึงปาล, ศุขปรีดา และดุษฎี | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| ญาติ | อรรถกิจ พนมยงค์ (น้องชายร่วมบิดา) | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| การศึกษา | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| อาชีพ |
| ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| ลายมือชื่อ | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
ศาสตราจารย์ ปรีดี พนมยงค์ (11 พฤษภาคม พ.ศ. 2443 – 2 พฤษภาคม พ.ศ. 2526) บรรดาศักดิ์ อำมาตย์ตรี หลวงประดิษฐ์มนูธรรม[b] เป็นนักกฎหมาย นักวิชาการ[1] นักการทูต นักปฏิวัติ และรัฐบุรุษอาวุโสชาวไทย[2] ดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีไทยคนที่ 7 ใน พ.ศ. 2489 และดำรงตำแหน่งผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ ระหว่าง พ.ศ. 2484 ถึง 2488 ปรีดีเป็นหนึ่งในผู้ก่อตั้งและหัวหน้าคณะราษฎรสายพลเรือน และมีบทบาทสำคัญในการปฏิวัติสยาม พ.ศ. 2475 อันนำไปสู่การเปลี่ยนแปลงการปกครองจากสมบูรณาญาสิทธิราชย์สู่ราชาธิปไตยภายใต้รัฐธรรมนูญ เขายังเป็นผู้ริเริ่มก่อตั้งมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ (เดิมคือมหาวิทยาลัยวิชาธรรมศาสตร์และการเมือง) และธนาคารแห่งประเทศไทย (เดิมคือธนาคารชาติไทย)
ปรีดีถือกำเนิดในครอบครัวชาวนา ณ อำเภอกรุงเก่า มณฑลกรุงเก่า (ปัจจุบันคืออำเภอพระนครศรีอยุธยา จังหวัดพระนครศรีอยุธยา) แต่ได้รับโอกาสทางการศึกษาอย่างกว้างขวาง สำเร็จการศึกษาจากเนติบัณฑิตยสภาเมื่ออายุเพียง 19 ปี และได้รับทุนไปศึกษาต่อที่ประเทศฝรั่งเศสจนสำเร็จนิติศาสตรดุษฎีบัณฑิตจากมหาวิทยาลัยปารีสใน พ.ศ. 2469 ระหว่างพำนักในฝรั่งเศส เขาเป็นหนึ่งในผู้ก่อตั้งคณะราษฎร และเมื่อกลับสู่ประเทศสยามได้เข้ารับราชการเป็นผู้พิพากษา ผู้ช่วยเลขานุการกรมร่างกฎหมาย และอาจารย์กฎหมายปกครอง ภายหลังการปฏิวัติสยาม พ.ศ. 2475 เขามีบทบาทสำคัญในการร่างรัฐธรรมนูญ และเสนอ "เค้าโครงการเศรษฐกิจ" อันสะท้อนแนวคิดสังคมนิยมประชาธิปไตย แม้แนวคิดนี้จะถูกต่อต้านอย่างรุนแรงจากฝ่ายอนุรักษนิยมจนต้องลี้ภัยในระยะหนึ่ง แต่เขาก็สามารถกลับมาดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีในรัฐบาลพระยาพหลพลพยุหเสนาและจอมพล แปลก พิบูลสงคราม โดยมีบทบาทในการปฏิรูประบบราชการ การบริหารท้องถิ่น และการเจรจาแก้ไขสนธิสัญญาไม่เสมอภาคกับชาติตะวันตกอย่างมีนัยสำคัญ
ในช่วงสงครามโลกครั้งที่สอง ปรีดีได้รับการแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่งผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ในรัชสมัยของพระบาทสมเด็จพระปรเมนทรมหาอานันทมหิดล พระอัฐมรามาธิบดินทร ระหว่าง พ.ศ. 2484–2488 และเป็นผู้นำขบวนการเสรีไทยภายในประเทศ โดยดำเนินกิจกรรมต่อต้านรัฐบาลภายใต้ระบอบเผด็จการทหารของนายกรัฐมนตรีแปลก ซึ่งเป็นพันธมิตรกับจักรวรรดิญี่ปุ่นและฝ่ายอักษะ รวมถึงมีท่าทีเป็นปฏิปักษ์และประกาศสงครามต่อฝ่ายสัมพันธมิตร รวมทั้งสหรัฐอเมริกาและสหราชอาณาจักร ปรีดีมีบทบาทสำคัญในการรักษาผลประโยชน์ของชาติ ไม่ให้ประเทศไทยถูกจัดอยู่ในสถานะประเทศผู้แพ้สงคราม หลังสงครามยุติ พระบาทสมเด็จพระปรเมนทรมหาอานันทมหิดล พระอัฐมรามาธิบดินทร โปรดเกล้าฯ ยกย่องเขาในฐานะรัฐบุรุษอาวุโส[3]
อย่างไรก็ดี ความขัดแย้งทางการเมืองทวีความรุนแรงยิ่งขึ้น โดยเฉพาะภายหลังการสวรรคตของพระบาทสมเด็จพระปรเมนทรมหาอานันทมหิดล พระอัฐมรามาธิบดินทรใน พ.ศ. 2489 ซึ่งทำให้ปรีดีตกเป็นเป้าของข้อกล่าวหาว่ามีส่วนเกี่ยวข้อง จนนำไปสู่การลาออกจากตำแหน่งนายกรัฐมนตรีถึงสองครั้ง กระทั่งเกิดรัฐประหารใน พ.ศ. 2490 เขาจึงต้องลี้ภัยทางการเมือง ใน พ.ศ. 2492 ปรีดีร่วมมือกับพันธมิตรทางการเมืองเพื่อพยายามโค่นล้มรัฐบาลแปลก ผ่านเหตุการณ์กบฏวังหลวง แต่ไม่ประสบผลสำเร็จ ทำให้สูญเสียอำนาจทางการเมืองอย่างถาวร เขาจึงลี้ภัยไปยังประเทศจีน และในเวลาต่อมาได้พำนักอยู่ในประเทศฝรั่งเศสโดยถาวร มิได้เดินทางกลับสู่ประเทศไทยอีกเลยจนถึงแก่อสัญกรรม ณ กรุงปารีส เมื่อ พ.ศ. 2526[4] ต่อมาใน พ.ศ. 2529 ได้มีการอัญเชิญอัฐิของเขากลับประเทศไทย พร้อมทั้งได้รับพระราชทานผ้าไตรในพิธีทักษิณานุประทานโดยพระบาทสมเด็จพระมหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร
ปรีดีได้รับการยกย่องเชิดชูเกียรติอย่างสูง โดยมีการจัดตั้งอนุสรณ์ต่าง ๆ เพื่อระลึกถึงคุณูปการของเขา อาทิ วันปรีดี พนมยงค์ สถาบันปรีดี พนมยงค์ ตลอดจนอนุสาวรีย์ รวมถึงสถานที่และสิ่งมีชีวิตหลากหลายชนิดที่ได้รับการตั้งชื่อเพื่อเป็นเกียรติแก่เขา แม้ว่าปรีดีจะเคยตกเป็นเป้าของข้อกล่าวหาเกี่ยวกับการมีส่วนเกี่ยวข้องในการสวรรคตของพระบาทสมเด็จพระปรเมนทรมหาอานันทมหิดล พระอัฐมรามาธิบดินทร แต่ศาลยุติธรรมได้มีคำพิพากษาให้เขาเป็นฝ่ายชนะในคดีหมิ่นประมาททุกคดีที่เขาเป็นโจทก์ฟ้องร้อง[c] ปรีดีจึงยังคงได้รับการยกย่องอย่างต่อเนื่องในฐานะสัญลักษณ์ของนักประชาธิปไตย และนักต่อสู้ต่อต้านเผด็จการทหารในความทรงจำร่วมของสังคมไทย และใน พ.ศ. 2542 องค์การเพื่อการศึกษา วิทยาศาสตร์ และวัฒนธรรมแห่งสหประชาชาติ (ยูเนสโก) ได้ประกาศยกย่องเขาให้เป็นบุคคลสำคัญของโลก เนื่องในโอกาสครบ 100 ปีชาตกาล[5]
ชีวิตช่วงต้น
[แก้]ปรีดี เกิดเมื่อวันที่ 11 พฤษภาคม พ.ศ. 2443 ณ เรือนแพหน้าวัดพนมยงค์ ตำบลท่าวาสุกรี อำเภอกรุงเก่า มณฑลกรุงเก่า (ปัจจุบันคืออำเภอพระนครศรีอยุธยา จังหวัดพระนครศรีอยุธยา) ในครอบครัวชาวนาที่มีฐานะปานกลาง เป็นบุตรคนที่สองจากทั้งหมดห้าคนของเสียงและลูกจันทน์ ทั้งยังมีพี่น้องต่างมารดาอีกสองคน โดยหนึ่งในนั้นคือ อรรถกิจ สมาชิกคณะราษฎรซึ่งเคยดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ และอัครราชทูตไทยประจำกรุงสต็อกโฮล์ม บรรพบุรุษของปรีดีตั้งถิ่นฐานอยู่ใกล้วัดพนมยงค์มาอย่างยาวนาน โดยสืบเชื้อสายจากพระนมในราชสำนักกรุงศรีอยุธยานามว่า "ประยงค์" ผู้สร้างวัดในที่สวนของตนเอง ซึ่งภายหลังได้ชื่อตามผู้สร้างว่า "วัดพระนมยงค์" หรือ "วัดพนมยงค์" ครั้นเมื่อมีการประกาศใช้พระราชบัญญัติขนานนามสกุล พุทธศักราช 2456 ทายาทของตระกูลจึงได้รับนามสกุลว่า "พนมยงค์"[6][7]: 11
บรรพบุรุษรุ่นปู่และย่าของปรีดีประกอบกิจการค้าขาย มีฐานะเป็นคหบดีใหญ่[7]: 9 [8]: 2 แต่บิดาชอบชีวิตอิสระ ไม่ชอบประกอบอาชีพค้าขาย จึงหันไปยึดอาชีพกสิกรรม เริ่มต้นด้วยการทำป่าไม้ และต่อมาได้ไปบุกเบิกถางพงร้างเพื่อจับจองที่ทำนาบริเวณทุ่งหลวง อำเภอวังน้อย[8]: 4–6 อย่างไรก็ตาม เขากลับประสบปัญหาภัยธรรมชาติและสัตว์รังควาน ทำให้ผลผลิตออกมาไม่ดี ซ้ำรัฐบาลยังให้สัมปทานแก่บริษัทเอกชนแห่งหนึ่งในการขุดคลองผ่านที่ดินของเขา พร้อมทั้งเรียกเก็บค่าขุดคลองโดยไม่ชดเชยความเสียหายที่เกิดขึ้น[8]: 10 จึงทำให้บิดาของปรีดีต้องกู้เงินมาจ่ายเป็นค่ากรอกนา เป็นผลให้ฐานะทางเศรษฐกิจของครอบครัวตกต่ำลง และกลายเป็นหนี้สินอยู่หลายปี[8]: 11–14
จากการเติบโตในครอบครัวชาวนาที่เคยประสบกับปัญหาภัยธรรมชาติ การสูญเสียที่ดิน และการเป็นหนี้สินสะสม ทำให้ปรีดีซึมซับถึงความทุกข์ยากของชนชั้นชาวนาโดยตรง เขาตระหนักถึงการถูกเอารัดเอาเปรียบจากเจ้าที่ดินศักดินา ซึ่งเป็นผู้ถือครองทรัพยากรแต่เพียงฝ่ายเดียว ขณะที่ประชาชนจำนวนมากต้องแบกรับความเหลื่อมล้ำโดยไม่มีสิทธิ์ต่อรองใด ๆ สิ่งเหล่านี้กลายเป็นแรงผลักดันอันสำคัญในวัยเยาว์ที่กระตุ้นให้เขาคิดถึงความจำเป็นในการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างทางสังคม เศรษฐกิจ และการเมืองของประเทศ ซึ่งต่อมาหล่อหลอมให้เขากลายเป็นนักคิดหัวก้าวหน้า ผู้ต้องการปรับเปลี่ยนระบบอันไม่เป็นธรรมที่ฝังรากลึกอยู่ในสยาม[8]: 48–55
ปรีดีเริ่มสนใจในเรื่องการเมืองตั้งแต่อายุเพียง 11 ปี โดยได้รับอิทธิพลจากข่าวสารระดับนานาชาติในขณะนั้น โดยเฉพาะเหตุการณ์การปฏิวัติซินไฮ่ในประเทศจีน เมื่อ พ.ศ. 2454 ซึ่งเป็นการล้มล้างราชวงศ์ชิง และสถาปนาสาธารณรัฐจีน รวมถึงเหตุการณ์ในประเทศสยามเองคือกบฏ ร.ศ. 130 (พ.ศ. 2451) โดยเป็นความพยายามเปลี่ยนแปลงระบอบการปกครองสู่ระบอบสาธารณรัฐของกลุ่มนายทหารและพลเรือนปัญญาชน ซึ่งล้มเหลวและนำไปสู่การจับกุมและลงโทษอย่างรุนแรงต่อผู้เกี่ยวข้อง เหตุการณ์นี้กระทบใจปรีดีอย่างลึกซึ้ง แม้เขายังเป็นเพียงเด็ก แต่ก็แสดงความเห็นอกเห็นใจต่อกลุ่มผู้ถูกลงโทษ และตั้งคำถามกับระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์อย่างเงียบงันในใจ[9]
การศึกษา
[แก้]
แม้นเกิดในครอบครัวชาวนา แต่บิดาของเขาเป็นผู้ใฝ่รู้และเล็งเห็นประโยชน์ของการศึกษา และสนับสนุนให้บุตรได้รับการศึกษาที่ดีมาโดยตลอด[10]: 6 ปรีดีเริ่มเรียนหนังสือที่บ้านครูแสง ตำบลท่าวาสุกรี[7]: 13–4 และสำเร็จการศึกษาในระดับประถมที่โรงเรียนวัดศาลาปูน[7]: 20 อำเภอกรุงเก่า จากนั้นไปศึกษาชั้นมัธยมเตรียมที่โรงเรียนมัธยมวัดเบญจมบพิตร[7]: 23 แล้วย้ายไปศึกษาต่อที่โรงเรียนตัวอย่างประจำมณฑลกรุงเก่า (ปัจจุบันคือ โรงเรียนอยุธยาวิทยาลัย)[7]: 25 จนสอบไล่ได้ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 6 ซึ่งเป็นชั้นสูงสุดสำหรับหัวเมือง แล้วไปศึกษาต่อที่โรงเรียนสวนกุหลาบวิทยาลัย ใน พ.ศ. 2460 อายุได้ 17 ปี เข้าศึกษาที่โรงเรียนกฎหมาย กระทรวงยุติธรรม และศึกษาภาษาฝรั่งเศสที่เนติบัณฑิตยสภา[11]: 14 รู้สึกประทับใจกับอาจารย์ชาวฝรั่งเศสคนหนึ่งชื่อ เลเดแกร์ (Laydeker) ซึ่งเป็นที่ปรึกษากระทรวงยุติธรรมด้วย ต่อมาสอบไล่วิชากฎหมายชั้นเนติบัณฑิตได้ในขณะมีอายุ 19 ปี เขาเคยว่าความคดีเดียว โดยเป็นทนายความจำเลยในคดีที่จำเลยก่อให้เกิดความเสียหายต่อบริเวณสถานที่ของพระมหากษัตริย์ ซึ่งเขาให้เหตุผลจนชนะคดีว่าเป็นเหตุสุดวิสัย[12]: 28 ต่อมาเขาทำงานเป็นเสมียนกรมราชทัณฑ์โดยได้รับการสนับสนุนจากอธิบดี พระยาชัยวิชิตวิศิษฏ์ธรรมธาดา (ขำ ณ ป้อมเพชร์) ซึ่งปรีดียกย่องว่าได้รับความรู้เรื่องการบริหารรัฐกิจจากเขา[12]: 28–9
ต่อมาได้รับการคัดเลือกจากกระทรวงยุติธรรมให้ทุนไปศึกษาต่อที่ประเทศฝรั่งเศสใน พ.ศ. 2463[11]: 12 เขาใช้เวลาเรียนเตรียมภาษาฝรั่งเศส ภาษาละติน และภาษาอังกฤษก่อนหนึ่งปี[12]: 29 แล้วสามารถสอบเข้าศึกษาวิชากฎหมายที่มหาวิทยาลัยก็อง (Université de Caen) จนสอบไล่ได้ปริญญารัฐเป็น "บาเชอลีเย" สาขากฎหมาย (bachelier en droit) และได้ปริญญารัฐเป็น "ลีซ็องซีเย" สาขากฎหมาย (Licencié en Droit) ตามลำดับ[11]: 15–7 ทั้งนี้หลักสูตรลิซองซิเอของฝรั่งเศสได้รวบรวมความรู้หลายด้าน ทั้งการยุติธรรม ศาล มหาดไทย คลัง ต่างประเทศ[11]: 16 เขาสำเร็จการศึกษาระดับปริญญาเอกสาขานิติศาสตร์ จากคณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยปารีสใน พ.ศ. 2469 โดยเขาเสนอวิทยานิพนธ์ชื่อ "ในกรณีที่หุ้นส่วนคนหนึ่งถึงแก่ความตาย ฐานะของห้างหุ้นส่วนส่วนบุคคลจะเป็นอย่างไร (ศึกษาตามกฎหมายฝรั่งเศสและกฎหมายเปรียบเทียบ)" (Du Sort des Sociétés de Personnes en cas de Décès d'un Associé (Étude de droit français et de droit comparé))[11]: 17 [12]: 29 ซึ่งอุทิศให้แก่เลเดแกร์[11]: 14 นับเป็นคนไทยคนแรกที่ได้ปริญญาเอกแห่งรัฐ (doctorat d'état) เป็น "ดุษฎีบัณฑิตกฎหมาย" (docteur en droit) ฝ่ายนิติศาสตร์ (sciences juridiques)[11]: 19 นอกจากนี้เขายังสอบไล่ได้ประกาศนียบัตรการศึกษาชั้นสูงในสาขาเศรษฐศาสตร์การเมือง (diplôme d'études supérieures d'économie politique) อีกด้วย[12]: 29 [13]: 13–7
ใน พ.ศ. 2467 ปรีดีก่อตั้งสมาคมนักเรียนไทยในกรุงปารีส ชื่อ "สามัคยานุเคราะห์สมาคม" และได้รับเลือกตั้งเป็นประธานสมาคม ต่อมาเขาเกิดพิพาทกับพระวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าจรูญศักดิ์กฤดากร อัครราชทูตสยามประจำกรุงปารีส เนื่องจากขัดคำสั่งพระองค์ที่ห้ามส่งตัวแทนสมาคมนักเรียนไปยังสหราชอาณาจักรใน พ.ศ. 2469[12]: 30–1 ต่อมา บรรดาผู้บริหารสมาคมกำลังร่างคำร้องทุกข์ขอเพิ่มเงินเดือนเนื่องจากเงินบาทแข็งค่าขึ้นเมื่อเทียบกับสกุลฟรังก์ ทำให้อัครราชทูตหมดขันติ[12]: 32 พระองค์ทำหนังสือกราบบังคมทูลว่า ปรีดีเป็นหัวหน้าชักชวนนักเรียนขัดคำสั่งเอกอัครราชทูตเห็นจะเป็นภัยต่อราชบัลลังก์และให้เรียกตัวกลับ ด้านพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงดำริว่าไม่ทรงถือปรีดีเป็นภัยคุกคามต่อราชบัลลังก์ แต่มีการกระทำที่อวดดีแบบคนหนุ่ม และให้ยุบสมาคม[12]: 32–3 อย่างไรก็ดี บิดาของปรีดีถวายฎีกาขอให้ผ่อนผันการเรียกตัวปรีดีกลับประเทศจนกว่าจะสำเร็จปริญญาเอก[12]: 33–4 กระทรวงยุติธรรมโดยเจ้าพระยาพิชัยญาติขอเอาตัวเองเป็นประกันขอให้ปรีดีศึกษาต่อจนสำเร็จการศึกษา[11]: 19 อีกหลายปีถัดมา ปรีดีให้สัมภาษณ์ยอมรับว่าเขาตั้งใจปลุกปั่นนักเรียนให้เกิดสำนึกทางการเมืองจริงซึ่งจะนำไปสู่การเปลี่ยนแปลงทางการเมืองในอนาคต[12]: 34 นอกจากนี้ ปรีดียังถูกเพ่งเล็งจากกรณีไปพบผู้แทนสาธารณรัฐจีนคนหนึ่งโดยไม่ทราบสาเหตุ
วิชาชีพกฎหมาย
[แก้]เมื่อเดินทางกลับถึงจังหวัดพระนครในเดือนเมษายน พ.ศ. 2470[12]: 34 ปรีดีได้เข้ารับราชการในตำแหน่งผู้พิพากษาประจำกระทรวงยุติธรรม จากนั้นจึงได้รับการแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่งผู้ช่วยเลขานุการกรมร่างกฎหมาย (ซึ่งต่อมาได้พัฒนาเป็นสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา) และได้รับพระราชทานบรรดาศักดิ์เป็น อำมาตย์ตรี หลวงประดิษฐ์มนูธรรม[14] (ต่อมาได้กราบถวายบังคมลาออกจากบรรดาศักดิ์ใน พ.ศ. 2485[15]) เขามีบทบาทสำคัญในการร่างและปรับปรุงกฎหมาย โดยเฉพาะในส่วนของประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ รวมถึงทำหน้าที่เป็นที่ปรึกษากฎหมายของรัฐ และมีบทบาทในลักษณะของศาลปกครองในการวินิจฉัยข้อพิพาทระหว่างข้าราชการกับประชาชน[11] : 23 ใน พ.ศ. 2471 ขณะมีอายุ 28 ปี เขาได้รับแต่งตั้งเป็นกรรมการกรมร่างกฎหมาย และในช่วงเวลาดังกล่าว ปรีดีได้รวบรวมกฎหมายไทยตั้งแต่กฎหมายตราสามดวงจนถึงกฎหมายร่วมสมัยในขณะนั้นเป็นฉบับเดียว โดยใช้ชื่อว่า ประชุมกฎหมายไทย ซึ่งได้รับการตีพิมพ์เมื่อ พ.ศ. 2473 ที่โรงพิมพ์นิติสาสน์ อันเป็นกิจการส่วนตัวของเขา หนังสือเล่มนี้ได้รับความนิยมอย่างแพร่หลาย และสร้างรายได้ให้แก่เขาอย่างมาก[11] : 22

ควบคู่ไปกับงานในกรมร่างกฎหมาย ปรีดียังดำรงตำแหน่งอาจารย์ผู้สอนในโรงเรียนกฎหมาย กระทรวงยุติธรรม ในระยะแรก เขาสอนวิชากฎหมายแพ่งและพาณิชย์ บรรพ 3 ว่าด้วยลักษณะของหุ้นส่วน บริษัท และสมาคม ต่อมาใน พ.ศ. 2474 เขาเริ่มสอนวิชากฎหมายระหว่างประเทศ แผนกคดีบุคคล รวมถึงเป็นบุคคลแรกที่บุกเบิกการสอนวิชากฎหมายปกครอง (Droit Administratif)[11] : 22 วิชานี้ถือเป็นเครื่องหมายแห่งชื่อเสียงของปรีดี[12]: 35 เนื่องจากมีเนื้อหาเกี่ยวข้องกับแนวคิดกฎหมายมหาชน โดยเฉพาะหลักการแยกใช้อำนาจอธิปไตย ซึ่งเป็นแนวคิดตรงข้ามกับระบบสมบูรณาญาสิทธิราชย์[16] ซึ่งปลุกเร้าความตื่นตัวทางการเมืองในหมู่นักศึกษากฎหมายให้ตระหนักถึงสิทธิ หน้าที่ และความสำคัญของการมีส่วนร่วมในการปกครองตนเอง[11]: 24 ในการบรรยาย ปรีดีได้อธิบายหลักรัฐธรรมนูญ พัฒนาการของการบริหารราชการแผ่นดิน รวมถึงแนวคิดทางเศรษฐกิจการเมืองและการคลังสาธารณะเบื้องต้น[12]: 35 นอกจากนี้ หนังสือวิชากฎหมายปกครองที่เขาเรียบเรียงขึ้นยังกลายเป็นเครื่องมือสำคัญในการเผยแพร่แนวคิดประชาธิปไตย และจุดประกายความคิดทางการเมืองให้แก่ผู้คนในวงกว้าง โดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วงก่อนและระหว่างการปฏิวัติสยาม พ.ศ. 2475[17] : 19
สมาชิกคณะราษฎรกับบทบาทการเมืองช่วงแรก
[แก้]ส่วนร่วมในการปฏิวัติสยาม
[แก้]
ระหว่างศึกษาอยู่ในประเทศฝรั่งเศส ปรีดีเริ่มแลกเปลี่ยนความคิดเห็นเกี่ยวกับแนวทางการเปลี่ยนแปลงการปกครองกับร้อยโท ประยูร ภมรมนตรี เมื่อเดือนสิงหาคม พ.ศ. 2467[12]: 44 ต่อมาในเดือนกุมภาพันธ์ พ.ศ. 2469 เขาได้ร่วมกับผู้มีแนวคิดสอดคล้องกันอีก 5 คน จัดการประชุมอย่างเป็นทางการครั้งแรกเพื่อก่อตั้งคณะราษฎร ณ บ้านเลขที่ 5 ถนนซอเมอราร์ กรุงปารีส[12]: 45 ผู้ร่วมประชุมประกอบด้วย ร้อยโท แปลก ขีตตะสังคะ (ต่อมาคือแปลก พิบูลสงคราม), ร้อยตรี ทัศนัย มิตรภักดี, ตั้ว ลพานุกรม, จรูญ สิงหเสนี และแนบ พหลโยธิน โดยมีเป้าหมายเพื่อให้สยามบรรลุ "หลัก 6 ประการของคณะราษฎร" ปรีดีได้รับมอบหมายให้เป็นผู้ร่างนโยบายและโครงการสำหรับการปกครองภายหลังการเปลี่ยนแปลง[12]: 46
เมื่อเดินทางกลับประเทศ ปรีดีเข้ารับราชการเป็นอาจารย์สอนวิชากฎหมาย และมีศิษย์จำนวนมากที่เลื่อมใสในระบอบประชาธิปไตยและแนวคิดเศรษฐกิจแบบสังคมนิยม ซึ่งต่อมาได้เข้าร่วมกับคณะราษฎร อาทิ สงวน ตุลารักษ์, ดิเรก ชัยนาม ตลอดจนชักชวนผู้ที่มีจุดยืนร่วมกัน เช่น ประจวบ บุนนาค, จรูญ สืบแสง และวิลาศ โอสถานนท์[10] : 69–70 ในการประชุมครั้งหนึ่ง ปรีดีได้เสนอ "แผนเศรษฐกิจแห่งชาติ" ซึ่งเน้นรูปแบบสหกรณ์ โดยที่ประชุมมีมติให้เขาเป็นผู้ดำเนินการแผนนี้[10] : 71–2 สำหรับแนวทางในการเปลี่ยนแปลงการปกครอง ปรีดีเป็นผู้เสนอให้จับพระบรมวงศานุวงศ์และสมาชิกรัฐบาลที่สำคัญไว้เป็นตัวประกัน เพื่อหลีกเลี่ยงการสูญเสียชีวิตและความรุนแรงเช่นที่เกิดขึ้นในการปฏิวัติฝรั่งเศสและการปฏิวัติรัสเซีย[10] : 72
กระทั่งวันที่ 24 มิถุนายน พ.ศ. 2475 ปรีดีพร้อมสมาชิกคณะราษฎรได้ก่อการเปลี่ยนแปลงการปกครองจากสมบูรณาญาสิทธิราชย์เป็นราชาธิปไตยภายใต้รัฐธรรมนูญได้สำเร็จโดยไม่เกิดการนองเลือด หลังจากนั้น คณะราษฎรในฐานะฝ่ายบริหารได้นัดประชุมร่วมกับเสนาบดีและปลัดทูลฉลอง ณ พระที่นั่งอนันตสมาคม ภายในพระราชวังดุสิต เพื่อแถลงจุดมุ่งหมาย หลักการของระบอบใหม่ และนำเสนอร่างพระธรรมนูญการปกครองแผ่นดินฉบับเบื้องต้น พร้อมขอความร่วมมือในการบริหารราชการแผ่นดินต่อไป[18]
การประนีประนอมกับอำนาจเก่า
[แก้]ภายหลังการปฏิวัติ ปรีดีถือเป็นผู้มีบทบาทสำคัญในการจัดวางรูปแบบการปกครองในระบอบใหม่ เป็นผู้ร่างพระราชบัญญัติธรรมนูญการปกครองแผ่นดินสยามชั่วคราว เช่นเดียวกับรัฐธรรมนูญฉบับ 10 ธันวาคม พ.ศ. 2475 อันเป็นรัฐธรรมนูญถาวรฉบับแรกของสยาม สำหรับรัฐธรรมนูญฉบับหลังนี้ปรีดีได้ถวายแก้ข้อข้องใจของพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัวจนเป็นที่พอพระราชหฤทัย[17]: 23–5 ที่ใช้เป็นบรรทัดฐานของการปกครองในระบอบใหม่ เขายังได้รับแต่งตั้งจากสภาผู้แทนราษฎรให้เป็นเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎรคนแรก ด้วยตำแหน่งดังกล่าว ทำให้เขามีบทบาทด้านนิติบัญญัติในการวางหลักสิทธิ เสรีภาพ และความเสมอภาคให้แก่ราษฎร โดยเป็นผู้ยกร่างพระราชบัญญัติการเลือกตั้งฉบับแรก และเป็นผู้ริเริ่มสิทธิออกเสียงเลือกตั้งทั่วไป[19]
เขาเป็นสมาชิกคณะกรรมการราษฎรและรัฐมนตรีไม่สังกัดกระทรวงในรัฐบาลพระยามโนปกรณ์นิติธาดา นายกรัฐมนตรีคนแรก พระยามโนปกรณ์นิติธาดาแสดงออกหลายครั้งว่าปรีดีเป็นผู้บงการรัฐบาลบ้าง เป็นผู้คุมเสียงในสภาบ้าง[17]: 20 ในการร่างรัฐธรรมนูญถาวรฉบับแรก เขากับพระยามโนปกรณ์นิติธาดาเป็นปรปักษ์กันเพราะฝ่ายพระยามโนปกรณ์นิติธาดาพยายามร่างรัฐธรรมนูญให้คล้ายกับรัฐธรรมนูญเมจิที่พระมหากษัตริย์มีพระราชอำนาจอย่างกว้างขวาง[10]: 108–9 นอกจากนี้ ปรีดียังเสนอให้ปรับปรุงภาษีอากรบางชนิดโดยเร็ว เช่น ยกเลิกอากรนาเกลือ ภาษีสมพัตสร ปรับปรุงภาษีการธนาคารและการประกันภัย ลดภาษีโรงเรือนที่ดิน ลดและเลิกอัตราเก็บเงินค่าที่สวน การเก็บเงินค่านา มีการออกพระราชบัญญัติว่าด้วยการยึดทรัพย์สินของกสิกรเพื่อให้ทรัพย์สินที่มีความจำเป็นต่อการสร้างตัวของกสิกรถูกเจ้าหนี้ยึดไปไม่ได้[10]: 113–4 รัฐบาลยังออกกฎหมายหลายฉบับ เช่น พระราชบัญญัติห้ามเรียกดอกเบี้ยเกินอัตรา พระราชบัญญัติสำนักงานจัดหางาน พระราชบัญญัติภาษีเงินได้ซึ่งมีอัตราภาษีแบบก้าวหน้า[10]: 114–8

ขวา: "สมุดปกขาว" ฉบับชี้แจงและแก้ข้อเข้าใจผิดเกี่ยวกับเค้าโครงการเศรษฐกิจ
—ปรีดี พนมยงค์
ใน พ.ศ. 2476 ปรีดีได้เสนอเค้าโครงการเศรษฐกิจ ชื่อร่างว่า "พระราชบัญญัติว่าด้วยการประกันความสุขสมบูรณ์ของราษฎร" หรือ "สมุดปกเหลือง" ต่อรัฐบาลเพื่อใช้เป็นนโยบายเศรษฐกิจของประเทศ โดยดำเนินเศรษฐกิจแบบสหกรณ์ ทั้งยังมีวิสัยทัศน์เรื่องการตั้งหลักประกันสังคม[20]: 16–7 เขาประสงค์ให้รัฐบาลเป็นเจ้าของที่ดินและแรงงาน ให้จัดสรรที่ดินที่ไม่ได้ใช้ประโยชน์มาใช้เพื่อการกสิกรรม และให้แบ่งปันกำไรอย่างเสมอภาค[21] ฐาปนันท์ นิพิฏฐกุล อาจารย์คณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ระบุว่าความคิดทางเศรษฐกิจของปรีดีมาจากปรัชญาภราดรภาพนิยม (solidaritism) ซึ่งผสานระหว่างความคิดแบบสังคมนิยมกับเสรีนิยมแบบรูโซ[21]
หม่อมเจ้าวัลภากร วรวรรณ ซึ่งถือเป็นผู้เชี่ยวชาญด้านเศรษฐกิจผู้หนึ่ง ทรงเห็นด้วยกับเค้าโครงของปรีดีเช่นกัน[10]: 131 รายงานการประชุมกรรมการพิจารณาเค้าโครงเศรษฐกิจ เมื่อวันที่ 12 มีนาคม 2475 (นับแบบเก่า) ระบุว่าผู้เข้าร่วมประชุมส่วนใหญ่เห็นชอบกับแผนดังกล่าว[17]: 33–54 รัฐมนตรีบางคนไม่เห็นชอบโดยอ้างว่าทำไม่ได้บ้าง หรือใช้เวลา 50–100 ปีบ้าง นอกจากนี้พระยามโนปกรณ์นิติธาดายังให้มีมติของที่ประชุมว่าที่ประชุมยังเห็นไม่ลงรอยกัน และหากรัฐบาลเห็นชอบและประกาศใช้แผนดังกล่าว ถือว่าปรีดีประกาศโครงการเศรษฐกิจในนามของตนแต่ผู้เดียว[10]: 133–35
เค้าโครงเศรษฐกิจดังกล่าวถูกคัดค้านอย่างหนักจากกลุ่มอนุรักษนิยมและถูกกล่าวหาว่าเป็นคอมมิวนิสต์[22] พระยามโนปกรณ์นิติธาดายกพระบรมราชวินิจฉัยของพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัวที่ทรงไม่เห็นด้วยมาเป็นเครื่องชี้ขาดและตีตกไป สุพจน์ ด่านตระกูลเขียนว่าในสมุดปกเหลืองยังมีแผนตั้งสภาเศรษฐกิจแห่งชาติ หลักประกันสังคมหรือสังคมสงเคราะห์ และการตั้งธนาคารแห่งชาติซึ่งถูกล้มไปพร้อมกับแผนนั้น ในเวลาต่อมามีการจัดตั้งขึ้นทั้งสิ้น[17]: 32
เกิดความขัดแย้งขึ้นตามมาจนนำไปสู่การปิดสภาผู้แทนราษฎรและงดใช้รัฐธรรมนูญบางมาตรา ซึ่งพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัวมีส่วนสนับสนุนด้วยเพราะทรงวิตกเรื่องการจัดสรรที่ดินใหม่[23]: 19–20 พระยามโนปกรณ์นิติธาดาแถลงพาดพิงปรีดีว่า
ระหว่างเวลาที่หลวงประดิษฐ์ฯ [ปรีดี] เป็นรัฐมนตรีอยู่ในคณะรัฐบาลใหม่นั้นคราวใดที่มีการจับกุมลงโทษจีนที่เป็นคอมมิวนิสต์แล้ว หลวงประดิษฐ์ฯ มักจะท้วงว่า ผู้ซึ่งนับถือลัทธิคอมมิวนิสต์ไม่ควรมีความผิด ถ้าได้รับโทษต่อเมื่อใดที่เขายุยงหรือใช้กำลังกายก่อให้เกิดความไม่สงบขึ้นแล้วเมื่อนั้นจึงถือว่าผู้นั้นเป็นผู้ทำผิดกฎหมาย การที่ได้ยินหลวงประดิษฐ์ฯ กล่าวอยู่เช่นนี้เสมอ ๆ ทำให้ข้าพเจ้าและรัฐมนตรีบางท่านเกิดระแวงขึ้นมา ถึงโครงการเศรษฐกิจที่หลวงประดิษฐ์ฯ รับภาระไปนั้นว่าจะมีเข็มไปในทางคอมมิวนิสต์เสียกระมัง
การโฆษณาความเห็นต่อแผนเค้าโครงเศรษฐกิจของเขาโดยกลุ่มเจ้าและอนุรักษนิยมทำให้เกิดการต่อต้านและมีการแห่ถอนเงินจากธนาคาร การต่อต้านดังกล่าวทำให้ปรีดีเดินทางออกนอกประเทศชั่วคราวเพื่อลดความขัดแย้ง วันที่ 6 เมษายน พระยามโนปกรณ์นิติธาดาเข้าพบปรีดีและแจ้งเขาว่าการให้เขาออกนอกประเทศไปจะเป็นประโยชน์ต่อบ้านเมือง และรัฐบาลจะออกค่าใช้จ่ายให้ 1,000 ปอนด์ต่อปี[12]: 68 ก่อนถึงวันเดินทาง กระทรวงการต่างประเทศออกหนังสือสำคัญให้แก่ปรีดีโดยระบุว่าเขาเดินทางไปเพื่อ "ศึกษาภาวะทางเศรษฐกิจอื่น ๆ"[10]: 266–7
เขาเดินทางออกนอกประเทศโดยทางท่าเรือบีไอ ในวันที่ 12 เมษายน พ.ศ. 2476 หนังสือพิมพ์ ศรีกรุง ลงข่าวว่า มีคนไปส่งปรีดีที่ท่าเรือ 2,000 คน "ด้วยน้ำตาไหลพรากไปตาม ๆ กันเป็นส่วนมาก"[10]: 268 พร้อมกับภรรยา และเพื่อนอีก 3 คน เดินทางถึงสิงคโปร์เมื่อวันที่ 15 เมษายน และได้รับการต้อนรับให้พักอยู่กับคหบดีชาวไทยที่พำนักอยู่ที่นั่น[10]: 290 เขาและคณะเดินทางต่อไปยังเมืองท่ามาร์แซย์ ประเทศฝรั่งเศส แล้วนั่งรถไฟต่อไปยังกรุงปารีส เขาพำนักอยู่ที่ชานกรุงและพบปะกับนักเศรษฐศาสตร์และนักการเมือง บ้างก็เดินทางไปยังสหราชอาณาจักร[10]: 293 หลังจากนั้นรัฐบาลใหม่ออกกฎหมายต่อต้านคอมมิวนิสต์ ซึ่งทำให้เข้าใจได้ว่าต้องการขัดขวางปรีดีมิให้เดินทางกลับประเทศไทยอีก[12]: 71
รัฐบาลคณะราษฎร
[แก้]ภายหลังรัฐประหารเมื่อวันที่ 20 มิถุนายน พ.ศ. 2476 ซึ่งเป็นเหตุการณ์สำคัญที่ส่งผลให้พระยาพหลพลพยุหเสนา หนึ่งในแกนนำสายทหารบกของคณะราษฎรขึ้นดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี คณะรัฐมนตรีชุดใหม่ได้มีมติเรียกตัวปรีดีให้กลับจากประเทศฝรั่งเศสในเดือนกันยายนปีเดียวกันนั้น โดยในช่วงเวลาดังกล่าว ปรีดีกำลังศึกษาต่อในระดับปริญญาด้านศาสนาและปรัชญา ณ มหาวิทยาลัยในฝรั่งเศส[17]: 61 ขณะเดียวกัน ไสว สุทธิพิทักษ์ นักวิชาการ เล่าว่าปรีดีเคยแสดงความประสงค์จะเดินทางไปยังประเทศสเปนซึ่งกำลังอยู่ในระยะเปลี่ยนผ่านสู่ระบอบสาธารณรัฐภายหลังการปฏิวัติ เพื่อศึกษาระบบการเมืองการปกครองในเชิงเปรียบเทียบ[10]: 300–1
อย่างไรก็ตาม ก่อนหน้านั้นรัฐบาลได้กราบบังคมทูลพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัวอย่างเป็นทางการว่า จะไม่รื้อฟื้นการผลักดัน "เค้าโครงการเศรษฐกิจ" ของปรีดีอีก เพื่อคลายความกังวลเกี่ยวกับแนวคิดที่เคยถูกวิจารณ์ว่าเป็น "สังคมนิยมสุดโต่ง"[24]: 58–9 ปรีดีจึงตัดสินใจเดินทางออกจากเมืองท่ามาร์แซย์ ประเทศฝรั่งเศส เมื่อวันที่ 1 กันยายน พ.ศ. 2476 และเดินทางถึงสยามเมื่อวันที่ 29 กันยายนในปีเดียวกัน โดยมีเรือเอก ถวัลย์ ธำรงนาวาสวัสดิ์ ซึ่งดำรงตำแหน่งเลขาธิการคณะรัฐมนตรีในขณะนั้น เดินทางมารับด้วยตนเอง[10]: 302–4 นับจากนั้นเป็นต้นมา ปรีดีได้กลับเข้าสู่เวทีการเมืองไทยอย่างเต็มตัวอีกครั้ง และดำรงตำแหน่งสำคัญในรัฐบาลของนายกรัฐมนตรีที่มาจากคณะราษฎร ได้แก่ พระยาพหลพลพยุหเสนา และต่อมาคือแปลก พิบูลสงคราม
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย
[แก้]ปรีดีได้รับการแต่งตั้งเป็นรัฐมนตรีลอยในวันที่ 1 ตุลาคม พ.ศ. 2476[17] : 63 ทั้งนี้ แม้เขาจะมีตำแหน่งในรัฐบาลอย่างเป็นทางการ แต่ความไม่พอใจในตัวปรีดีจากกลุ่มอำนาจเก่า ยังคงดำรงอยู่และทวีความตึงเครียด จนกลายเป็นชนวนเหตุสำคัญที่นำไปสู่กบฏบวรเดชในที่สุด อย่างไรก็ดี เมื่อพระวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าบวรเดชพ่ายแพ้ กระแสต่อต้านปรีดีก็อ่อนกำลังลงอย่างเห็นได้ชัด[24] : 60 ต่อมา เมื่อพระยาพหลพลพยุหเสนาเตรียมกราบบังคมทูลขอพระบรมราชโองการแต่งตั้งปรีดีเป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัวมีพระราชกระแสรับสั่งผ่านโทรเลขว่า "ว่าการมหาดไทยไม่ขัดข้อง แต่ถ้าว่าการศึกษา ขัดข้อง"[10] : 327 ด้วยเหตุนี้ ปรีดีจึงยังไม่ยอมรับตำแหน่งในทันที เนื่องจากตนยังตกเป็นเป้าของข้อกล่าวหาเรื่องลัทธิคอมมิวนิสต์ จนกระทั่งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรได้เสนอญัตติเมื่อวันที่ 25 ธันวาคม พ.ศ. 2476 ให้มีการตั้งคณะกรรมการวิสามัญขึ้นสอบสวน โดยมีพระเจ้าวรวงศ์เธอ กรมหมื่นนราธิปพงศ์ประพันธ์เป็นประธาน ซึ่งในที่สุดคณะกรรมาธิการได้มีมติเอกฉันท์ว่า ปรีดีมิได้มีแนวคิดหรือพฤติการณ์ใดที่เข้าข่ายเป็นคอมมิวนิสต์[17] : 120 [10] : 329 [d] ภายหลังจากข้อกล่าวหานั้นถูกลบล้างโดยสมบูรณ์ เขาจึงได้รับการแต่งตั้งเป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทยอย่างเป็นทางการในวันที่ 24 มีนาคม พ.ศ. 2476 (ตามปฏิทินเก่า)[10] : 437
ในตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย ปรีดีมีบทบาทสำคัญอย่างยิ่งในการปฏิรูประบบราชการ เขาเป็นผู้ร่างพระราชบัญญัติระเบียบบริหารราชการแผ่นดิน พุทธศักราช 2476 ซึ่งกำหนดรูปแบบการบริหารราชการออกเป็น 3 ส่วน ได้แก่ ราชการส่วนกลาง ราชการส่วนภูมิภาค และราชการส่วนท้องถิ่น เพื่อนำไปสู่การกระจายอำนาจการปกครองอย่างมีระบบตามแนวทางประชาธิปไตย นอกจากนี้ เขายังเป็นผู้ร่างพระราชบัญญัติจัดระเบียบเทศบาล พุทธศักราช 2476 ซึ่งถือเป็นจุดเริ่มต้นของระบบเทศบาลในประเทศไทย[17] : 148 ในด้านการบริหาร เขาได้ดำเนินการซักซ้อมแนวทางกับข้าราชการกระทรวงมหาดไทยทุกระดับ ตั้งแต่ปลัดกระทรวงจนถึงนายอำเภอ เพื่อให้เกิดความเข้าใจในแนวนโยบายใหม่[17] : 153 อย่างไรก็ตาม ความพยายามในการปฏิรูปของเขาถูกต่อต้านจากรัฐมนตรีบางราย โดยเฉพาะในเรื่องการแต่งตั้งข้าหลวงประจำจังหวัดและนายอำเภอในเขตชายแดน ซึ่งมีข้อเสนอจากฝ่ายหนึ่งให้แต่งตั้งจากนายทหาร ขณะที่ปรีดียืนกรานให้แต่งตั้งจากพลเรือนเท่านั้น[10] : 439–41 ความขัดแย้งนี้ส่งผลให้เขาพิจารณาจะลาออกจากรัฐบาลเพื่อรักษาความสามัคคีในคณะราษฎร แต่พระยาพหลพลพยุหเสนาได้ร้องขอให้เขาอยู่ในตำแหน่งต่อไป[10] : 442
เมื่อพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงสละราชสมบัติใน พ.ศ. 2477 (ตามปฏิทินเก่า) รัฐบาลซึ่งปรีดีมีบทบาทนำ ได้เสนอให้สภาผู้แทนราษฎรมีมติเห็นชอบให้อัญเชิญพระวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าอานันทมหิดลขึ้นทรงราชย์แทน[12] : 106 ปรีดียังเป็นผู้มีบทบาทสำคัญในการเสนอรายชื่อและคัดเลือกคณะผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ในยุวกษัตริย์ด้วย[12] : 106–8
ในช่วงเวลานั้น ปรีดีเห็นว่า "การพัฒนาคน" เป็นรากฐานสำคัญของชาติ จึงมีแนวคิดในการสถาปนาสถาบันการศึกษาระดับอุดมศึกษาที่สามารถเข้าถึงประชาชนโดยทั่วไป เขาเป็นผู้ริเริ่มและผลักดันการก่อตั้งมหาวิทยาลัยวิชาธรรมศาสตร์และการเมือง (มธก.) เมื่อวันที่ 27 มิถุนายน พ.ศ. 2477 โดยตั้งใจให้เป็นมหาวิทยาลัยตลาดวิชาที่เปิดโอกาสทางการศึกษาให้แก่ราษฎรทุกระดับอย่างเท่าเทียม[17] : 126 [25] มธก. เกิดจากการควบรวมโรงเรียนกฎหมาย กระทรวงยุติธรรม กับคณะนิติศาสตร์และรัฐศาสตร์ของจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย และปรีดีได้รับแต่งตั้งเป็นผู้ประศาสน์การ (อธิการบดี) คนแรกของมหาวิทยาลัย[12] : 96 แหล่งทุนของมหาวิทยาลัยได้มาจากค่าสมัครของนักศึกษา และดอกผลจากธนาคารเอเชียซึ่งปรีดีเป็นผู้ก่อตั้ง โดยมหาวิทยาลัยถือหุ้นถึง 80%[26] : 126 เขายังได้มอบกิจการโรงพิมพ์นิติสาส์นเพื่อใช้เป็นโรงพิมพ์ตำราเรียนอีกด้วย[11] : 22 อย่างไรก็ตาม ภายหลังจากที่ปรีดีต้องลี้ภัยทางการเมือง รัฐบาลในเวลาต่อมาได้เปลี่ยนชื่อมหาวิทยาลัย โดยตัดคำว่า "วิชา" และ "การเมือง" ออก เหลือเพียง "มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์" เพื่อลดบทบาทด้านการเมืองของนักศึกษา[27] มธก. ยังถูกวิจารณ์ว่าเป็นฐานอำนาจของปรีดีที่ใช้คานอำนาจกับแปลก ซึ่งมีอำนาจในฝ่ายทหาร[12] : 96
ปรีดียังมีบทบาทในการผลักดันให้หน่วยงานของรัฐมีความเป็นอิสระในการพิทักษ์ผลประโยชน์ของประชาชน โดยเขาเสนอให้ยกฐานะกรมร่างกฎหมายขึ้นเป็นคณะกรรมการกฤษฎีกาซึ่งเป็นองค์กรอิสระไม่ขึ้นกับกระทรวงยุติธรรม และต้องได้รับความเห็นชอบจากสภาผู้แทนราษฎรในการแต่งตั้ง[17] : 149 หน้าที่ของคณะกรรมการนี้คือยกร่างกฎหมาย และทำหน้าที่ให้คำปรึกษาทางกฎหมายแก่รัฐบาล ปรีดียังพยายามผลักดันให้คณะกรรมการดังกล่าวทำหน้าที่เป็นศาลปกครอง แต่ไม่ประสบผลสำเร็จ เนื่องจากแนวคิดดังกล่าวถูกต่อต้านโดยขุนนางเก่าที่ถือแนวจารีตนิยม ไม่เห็นชอบให้ประชาชนมีสิทธิร้องเรียนต่อข้าราชการ[11] : 23 [17] : 151 นอกจากนี้ เขายังเสนอให้ยกกรมตรวจเงินแผ่นดินขึ้นเป็นสำนักงานการตรวจเงินแผ่นดินซึ่งมีอิสระในการตรวจสอบโดยไม่ต้องฟังคำสั่งจากฝ่ายบริหาร[17] : 151–2 รวมถึงออกพระราชบัญญัติสำคัญหลายฉบับ เช่น พระราชบัญญัติระเบียบข้าราชการพลเรือน ระเบียบข้าราชการตุลาการ และระเบียบการป้องกันราชอาณาจักร[17] : 152
เขายังดำเนินการยกร่างกฎหมายด้านแพ่งและอาญา โดยเฉพาะกฎหมายครอบครัว มรดก วิธีพิจารณาความแพ่งและอาญา ตลอดจนพระธรรมนูญศาลยุติธรรม ซึ่งกลายเป็นพื้นฐานสำคัญของระบบกฎหมายไทยในยุคใหม่ และยังมีผลต่อการประกาศใช้ประมวลกฎหมายในเวลาต่อมา รวมถึงการเจรจาแก้ไขสนธิสัญญาไม่เสมอภาคกับชาติตะวันตกด้วย[17] : 172–3
ในด้านการต่างประเทศ ปรีดีมีบทบาทสำคัญในการเจรจาแก้ไขสัญญากู้เงินและสนธิสัญญาไม่เสมอภาคจากยุคสมบูรณาญาสิทธิราชย์ โดยในที่ประชุมคณะรัฐมนตรีมีการเสนอว่าเงินกู้จากต่างประเทศในสมัยก่อนนั้นมีดอกเบี้ยสูงมาก ปรีดีจึงรับภารกิจเดินทางไปเจรจาขอลดดอกเบี้ย และเจริญสัมพันธไมตรีกับชาติต่าง ๆ[10] : 442–4 เขาเดินทางถึงเมืองตรีเยสเต ประเทศอิตาลีในเดือนตุลาคม พ.ศ. 2479 และได้รับการต้อนรับจากนายกรัฐมนตรีเบนิโต มุสโสลินี ซึ่งสัญญาจะยกเลิกสนธิสัญญาไม่เสมอภาค[10] : 446–7 ส่วนกับฝรั่งเศส เยอรมนี และสหราชอาณาจักร ได้รับคำตอบว่าจะพิจารณาแก้ไขในอนาคต โดยเฉพาะซามูเอล ฮอร์, ไวส์เคานต์เทมเพิลวูดที่ 1 ได้ตกลงลดอัตราดอกเบี้ยจากร้อยละ 6 เหลือร้อยละ 4 ช่วยประเทศประหยัดงบประมาณได้ปีละ 600,000–700,000 บาทต่อเนื่องเป็นเวลา 30 ปี[12] : 127 รัฐสภาไทยได้แสดงความชื่นชมในความสำเร็จของเขาในโอกาสดังกล่าว[12] : 127 เขายังเข้าเฝ้าสมเด็จพระจักรพรรดิฮิโรฮิโตะและสมเด็จพระจักรพรรดินีนางาโกะ ณ พระราชวังหลวงโตเกียว ประเทศญี่ปุ่น และพบกับเคซุเกะ โอกาดะ นายกรัฐมนตรีญี่ปุ่น โดยยืนยันว่าไทยจะไม่เข้าร่วมนโยบาย "ผิวเหลือง-ผิวขาว" และญี่ปุ่นก็ตกลงยกเลิกสนธิสัญญาไม่เสมอภาคตามที่ร้องขอ[10] : 449–51
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ
[แก้]
เมื่อจัดระเบียบวางแผนให้กระทรวงมหาดไทยแล้ว เขามอบหมายงานต่อให้พลเรือตรี ถวัลย์ ธำรงนาวาสวัสดิ์[17]: 153 ส่วนตัวเขาหันมารับตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศในวันที่ 12 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2478 (นับแบบเก่า) ปรีดีมีนโยบายเป็นมิตรกับทุกประเทศ และดำริปลดเปลื้องพันธกรณีของประเทศจากสนธิสัญญาอันไม่เป็นธรรม ได้แก่ สิทธิถอนคดีของกงสุลต่างประเทศจนกว่าออกประมวลกฎหมายแล้ว 5 ปี ซึ่งเป็นการเสียเอกราชทางการศาล การถูกจำกัดด้านเอกราชทางเศรษฐกิจ เช่น การห้ามเก็บอากรศุลกากรสินค้าบางชนิด การให้สัญชาติบริติชและฝรั่งเศสแก่คนในบังคับบริติชและฝรั่งเศสที่เกิดในประเทศ และห้ามเก็บอากรศุลกากรในแม่น้ำโขง เป็นต้น[10]: 471
ปรีดีเจรจาเรื่องสนธิสัญญาทางไมตรี พาณิชย์และการเดินเรือใหม่และสิ้นสุดลงในเดือนพฤศจิกายน พ.ศ. 2479 นานาประเทศลงนามในสนธิสัญญาฉบับใหม่ใน พ.ศ. 2480 ได้แก่ สวิตเซอร์แลนด์ เบลเยียม สวีเดน เดนมาร์ก สหรัฐอเมริกา นอร์เวย์ สหราชอาณาจักร อิตาลี ฝรั่งเศส (รวมการยกเลิกการห้ามเก็บภาษีศุลกากรในเขต 25 กิโลเมตรจากชายแดนด้วย) ญี่ปุ่นและเยอรมนี[10]: 474–5 โดยเจรจาขอยกเลิกสิทธิถอนคดี[17]: 158–60 ส่วนเรื่องอัตราศุลกากร ปรีดีเจรจาแก้ไขสนธิสัญญาจนเริ่มจากสหรัฐอเมริกาใน พ.ศ. 2463 แม้ยังมีการกำหนดเพดานสูงสุดของภาษีศุลกากรที่สยามสามารถเรียกเก็บได้อยู่เป็นเวลา 10 ปี จนในช่วงปี 2480–2481 สนธิสัญญาใหม่ทำให้ไทยมีอิสระเต็มที่ทางรัษฎากร[17]: 162 ความชอบในการแก้ไขสนธิสัญญากับต่างประเทศทำให้รัฐบาลขอพระราชทานเหรียญดุษฎีมาลา เข็มราชการแผ่นดินให้เป็นบำเหน็จ[17]: 170–1 เขายังมีส่วนเจรจาปักปันเขตแดนใหม่กับบริเตน ทำให้สยามได้ดินแดนเพิ่มขึ้นในแม่น้ำลายที่จังหวัดเชียงราย และดินแดนที่อยู่ในลุ่มแม่น้ำปากจั่นที่จังหวัดระนอง[17]: 173
เมื่อพระยาพหลพลพยุหเสนาลาออกจากตำแหน่งนายกรัฐมนตรีและไม่ขอรับตำแหน่งอีกใน พ.ศ. 2481 คณะราษฎรเสนอชื่อบุคคลเพื่อรับตำแหน่งนายกรัฐมนตรีรวม 4 คน รวมทั้งปรีดีด้วย แต่ผลปรากฏว่าแพ้แปลก เชื่อว่าสาเหตุส่วนหนึ่งเป็นเพราะปรีดีมีความคิดก้าวหน้าและถูกมองว่านิยมระบอบสาธารณรัฐ[24]: 70–1 อีกส่วนหนึ่งคือจำเป็นต้องเตรียมการป้องกันประเทศท่ามกลางสถานการณ์โลกที่ผันผวน[12]: 124
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง
[แก้]เมื่อปรีดีได้รับแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่ง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ใน พ.ศ. 2481 เขาได้ดำเนินการปฏิรูประบบภาษีและโครงสร้างทางการคลังของประเทศอย่างเป็นระบบและครอบคลุม โดยมีเป้าหมายเพื่อส่งเสริมเศรษฐกิจภายในประเทศ ลดความเหลื่อมล้ำ และสร้างกลไกรายได้ที่ยั่งยืนให้แก่รัฐ เริ่มต้นจากการประกาศใช้พิกัดอัตราอากรศุลกากรใหม่ ภายหลังการเจรจายกเลิกพิกัดอัตราเดิมที่ใช้มาตั้งแต่รัชสมัยของพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ซึ่งล้าสมัยและขัดกับแนวทางการค้าเสรีสมัยใหม่[17]: 179 ปรีดีได้ลดหรือยกเลิกการจัดเก็บอากรศุลกากรในสินค้าบางประเภท โดยเฉพาะสินค้าที่เกี่ยวเนื่องกับการพัฒนาเศรษฐกิจ เช่น วัสดุการเกษตร เครื่องมืออุตสาหกรรม เครื่องมือแพทย์ เครื่องมือวิทยาศาสตร์ และเครื่องมือการศึกษา อันเป็นการอุดหนุนกิจกรรมที่จำเป็นต่อการพัฒนาอย่างยั่งยืนของประเทศ พร้อมกันนี้เขายังได้เปลี่ยนการเก็บภาษีขาออกให้คิดตามราคาจริงของสินค้า (ad valorem) โดยยอมลดรายได้จากภาษีดังกล่าว เพื่อเอื้อให้เกษตรกร โดยเฉพาะชาวนา สามารถส่งออกข้าวได้ในราคาที่แข่งขันได้ในตลาดโลก[10]: 486–7
ในด้านการปรับโครงสร้างภาษีภายในประเทศ ปรีดีได้ริเริ่มการปฏิรูปภาษีอย่างกว้างขวาง โดยยกเลิกภาษีที่จัดเก็บอย่างไม่เป็นธรรมและมีลักษณะเป็นภาษีอัตราถอยหลัง ซึ่งเป็นภาษีที่เก็บจากผู้มีรายได้น้อยในอัตราสูงกว่าผู้มีรายได้มาก อาทิ ภาษีรัชชูปการ อากรค่านา อากรสวน ภาษีไร่อ้อย และภาษีไร่ยาสูบ ทั้งนี้ แม้การยกเลิกภาษีเหล่านี้จะทำให้งบประมาณของรัฐขาดดุลปีละประมาณ 12 ล้านบาท[10]: 491 แต่ปรีดีได้เพิ่มรายได้รัฐโดยการปรับปรุงภาษีที่มีอยู่เดิมให้มีความเป็นธรรมและประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น เช่น ภาษีเงินได้ ภาษีโรงค้า ภาษีธนาคาร และอากรแสตมป์ นอกจากนี้ยังจัดเก็บอากรใหม่เพิ่มเติม ได้แก่ อากรมหรสพ เงินช่วยบำรุงท้องที่ (เพื่อให้แก่ราชการท้องถิ่น) และเงินช่วยบำรุงการศึกษาชั้นประถมศึกษา การปฏิรูปภาษีอย่างเป็นระบบนี้ทำให้สามารถประมวลกฎหมายภาษีทั้งหมดเป็นประมวลรัษฎากรได้สำเร็จในวันที่ 1 เมษายน พ.ศ. 2482[10]: 491–4 ส่งผลให้รายได้ภาครัฐเพิ่มขึ้นถึงร้อยละ 25 จาก 132 ล้านบาทใน พ.ศ. 2481 เป็น 194 ล้านบาทใน พ.ศ. 2484[12]: 128
เพื่อลดการพึ่งพาภาษีขาออกและส่งเสริมเศรษฐกิจในประเทศ ปรีดีได้ใช้นโยบายภาษีเชิงยุทธศาสตร์ โดยเพิ่มอากรศุลกากรสำหรับสินค้าที่สามารถผลิตได้เองภายในประเทศเพื่อสนับสนุนอุตสาหกรรมท้องถิ่น และเพิ่มอัตราภาษีสรรพสามิต โดยเฉพาะสุราและฝิ่นซึ่งรัฐถือครองกิจการแต่เพียงผู้เดียว ทั้งนี้เพื่อควบคุมการบริโภคและเพิ่มรายได้[10]: 500–1 ปรีดียังผลักดันการขยายระบบชลประทานในพื้นที่ชายฝั่งเพื่อส่งเสริมการผลิตเกลือ และให้รัฐรับซื้อเกลือสมุทรในราคาที่แน่นอน[17]: 193 [12]: 129 นอกจากนี้ ปรีดียังส่งเสริมให้กรมสรรพสามิตเข้าซื้อกิจการของบริษัทบริติชอเมริกันทูแบโก พร้อมทั้งผลักดันกฎหมายให้รัฐผูกขาดกิจการยาสูบอย่างสมบูรณ์[10]: 502–3 เขายังนำรัฐเข้าเป็นเจ้าของโรงงานสุรา เช่น โรงงานสุราบางยี่ขัน[17]: 192 และมีบทบาทอย่างใกล้ชิดในการควบคุมการผลิตยาสูบ โดยถึงขั้นทดลองผสมยาสูบด้วยตนเองจนมีข่าวว่าเขามึนเมาจากการทดลอง[10]: 503 ปรีดียังเป็นผู้ริเริ่มให้มีการตรวจสอบทรัพย์สินของทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์ จนนำไปสู่คดีแพ่งระหว่างสำนักงานทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์กับพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว[12]: 133
ในด้านการเงินการธนาคาร ปรีดีได้รื้อฟื้นแนวคิดการจัดตั้งธนาคารกลางของประเทศขึ้นอย่างจริงจัง โดยเริ่มจากการก่อตั้งสำนักงานธนาคารชาติไทย ซึ่งมีสถานะเป็นธนาคารพาณิชย์ทั่วไป เพื่อใช้เป็นหน่วยงานต้นแบบและสถานที่ฝึกอบรมบุคลากรทางการเงิน ต่อมาใน พ.ศ. 2483 จึงมีการสถาปนาธนาคารชาติไทยขึ้นอย่างเป็นทางการ โดยมีหน้าที่เพิ่มขึ้นคือการออกธนบัตรและดูแลเสถียรภาพทางการเงินของประเทศ[10]: 525–8
ในช่วงใกล้การปะทุของสงครามโลกครั้งที่สอง ปรีดีได้แสดงวิสัยทัศน์ทางการเงินโดยคาดการณ์ถึงความเสี่ยงจากการถือเงินทุนสำรองเป็นสกุลปอนด์สเตอร์ลิงซึ่งอาจสูญเสียมูลค่าหากสหราชอาณาจักรเข้าสู่ภาวะสงคราม เขาจึงดำเนินการเปลี่ยนทุนสำรองระหว่างประเทศจากปอนด์สเตอร์ลิงเป็นทองคำแท่งและดอลลาร์สหรัฐ[26]: 144–5 [10]: 512–20 การดำเนินการครั้งนี้ส่งผลให้รัฐบาลมีกำไรถึง 5.05 ล้านบาท ซึ่งกลายเป็นทุนเริ่มต้นในการจัดตั้งสำนักงานธนาคารชาติไทย โดยไม่ต้องเบิกงบประมาณจากรัฐแม้แต่บาทเดียว[12]: 131 ปรีดียังได้ฝากทองคำบางส่วนไว้ในต่างประเทศ เช่น สหราชอาณาจักร สหรัฐอเมริกา และญี่ปุ่น ซึ่งต่อมาได้กลายเป็นทุนสำคัญของขบวนการเสรีไทยในต่างประเทศ[17]: 182 เขายังเป็นผู้ริเริ่มการจัดทำงบประมาณแผ่นดินให้เป็นระบบ และให้รัฐสภามีอำนาจพิจารณาให้ความเห็นชอบ อันเป็นหลักการของระบบรัฐสภาที่แท้จริง[17]: 182
เมื่อถึง พ.ศ. 2482 เกิดกรณีพิพาทอินโดจีนระหว่างฝรั่งเศสกับไทย ปรีดีได้เสนอแนวทางให้ดำเนินการเรียกร้องดินแดนอินโดจีนซึ่งเคยตกเป็นของฝรั่งเศสกลับคืนแก่ประเทศไทย โดยใช้กระบวนการทางกฎหมายและการทูต อย่างไรก็ตาม แปลกในฐานะนายกรัฐมนตรี กลับเลือกใช้วิธีการทางทหารในการทวงคืนดินแดน ซึ่งเป็นแนวทางที่แตกต่างจากของปรีดีอย่างสิ้นเชิง[17]: 193 นอกจากนี้ ปรีดียังได้ขัดขวางคำร้องขอกู้ยืมเงินจากรัฐบาลญี่ปุ่น โดยตั้งเงื่อนไขว่าญี่ปุ่นต้องชำระหนี้เป็นทองคำแท่ง ทำให้ญี่ปุ่นไม่พอใจและมองว่าปรีดีเป็นผู้ขัดขวางผลประโยชน์ของตน[12]: 143
ในด้านศาสนา ปรีดีมีบทบาทสำคัญในการปฏิรูปการปกครองคณะสงฆ์ โดยเขาเป็นผู้ร่างพระราชบัญญัติสงฆ์ พุทธศักราช 2484 ซึ่งมีผลยกเลิกพระราชบัญญัติคณะสงฆ์ ร.ศ. 121 ที่กำหนดให้การปกครองคณะสงฆ์เป็นลักษณะรวมศูนย์เด็ดขาด พระราชบัญญัติฉบับใหม่ของปรีดีได้เปลี่ยนรูปแบบการปกครองของคณะสงฆ์ให้เป็นประชาธิปไตยยิ่งขึ้น[e]
บทบาทในช่วงสงครามโลกครั้งที่สอง
[แก้]
ผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์
[แก้]เมื่อญี่ปุ่นเคลื่อนพลเข้าสู่ประเทศไทยในวันที่ 8 ธันวาคม พ.ศ. 2484 ปรีดี พร้อมด้วยดิเรก ชัยนาม รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศในขณะนั้น ได้แสดงจุดยืนคัดค้านการอนุญาตให้กองทัพญี่ปุ่นผ่านเข้าประเทศ ตลอดจนปฏิเสธข้อเสนอการเข้าร่วมเป็นพันธมิตรกับญี่ปุ่นอย่างชัดเจน[17] : 206–7 หลังเหตุการณ์ดังกล่าว ปรีดีพ้นจากตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง และได้รับการแต่งตั้งจากสภาผู้แทนราษฎรให้ดำรงตำแหน่งผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ ในวันที่ 16 ธันวาคม พ.ศ. 2484 แทนพระบาทสมเด็จพระปรเมนทรมหาอานันทมหิดล พระอัฐมรามาธิบดินทร ซึ่งขณะนั้นประทับอยู่ที่เมืองโลซาน ประเทศสวิตเซอร์แลนด์ การแต่งตั้งดังกล่าวแม้จะดูเหมือนเป็นตำแหน่งเชิงพิธี แต่ก็มีนัยทางการเมืองสำคัญ เนื่องจากสะท้อนถึงความขัดแย้งระหว่างปรีดีกับนายกรัฐมนตรีแปลก และความไม่พอใจของญี่ปุ่นต่อปรีดี ซึ่งในตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังได้ขัดขวางไม่ให้ญี่ปุ่นนำเงินเยนมาแลกเป็นเงินบาทเพื่อใช้ในการจัดซื้อเสบียง และปฏิเสธการกู้ยืมเงินเพื่อกิจการสงคราม[17] : 204–5, 208–9 [10] : 537–8, 540 อย่างไรก็ตาม ภายหลังจากที่ปรีดีพ้นจากคณะรัฐมนตรี รัฐบาลแปลกก็ได้ลงนามเป็นพันธมิตรทางทหารกับญี่ปุ่นเมื่อวันที่ 21 ธันวาคม และประกาศสงครามต่อสหราชอาณาจักรและสหรัฐอเมริกาในวันที่ 25 มกราคม พ.ศ. 2485 โดยปรีดีในฐานะผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ ได้หลีกเลี่ยงไม่ลงนามรับสนองพระบรมราชโองการในประกาศสงครามดังกล่าว ส่งผลให้การประกาศไม่สมบูรณ์ตามกฎหมาย[17] : 212 นอกจากนี้ เขายังดำเนินมาตรการถวายความปลอดภัยให้กับพระบรมวงศานุวงศ์ ด้วยการจัดให้อพยพไปพำนักอยู่ที่พระราชวังบางปะอิน[10] : 566
ในช่วงต้นปี พ.ศ. 2486 ปรีดีได้รับคำสั่งจากแปลกให้ไปรับหน้าที่ผู้เชี่ยวชาญด้านกฎหมายประจำกองบัญชาการทหารสูงสุด แต่เขาปฏิเสธโดยยืนยันว่าคำสั่งดังกล่าวเป็นโมฆะ เพราะขัดต่อกฎหมายเนื่องจากผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ไม่อยู่ภายใต้คำสั่งของฝ่ายบริหาร[10] : 547–9 ต่อมาในเดือนกันยายน แปลกได้ตั้งกรรมการสอบสวนข้อกล่าวหาว่าปรีดีวางแผนจับกุมตนเพื่อขัดขวางญี่ปุ่น แต่ผลการสอบสวนไม่สามารถระบุความผิดได้ชัดเจน ปรีดีจึงรอดพ้นจากการถูกกล่าวหา[10] : 553 เหตุการณ์เหล่านี้ตอกย้ำถึงความตึงเครียดทางการเมืองระหว่างปรีดีในฝ่ายที่ยึดมั่นในเอกราชและความเป็นกลาง กับแปลกซึ่งโน้มเอียงไปในแนวทางความร่วมมือกับญี่ปุ่นเพื่อคงอำนาจรัฐ
หลังรัฐบาลแปลกลาออกใน พ.ศ. 2487 เนื่องจากพ่ายแพ้ในการพิจารณาร่างพระราชบัญญัติสำคัญและเผชิญการต่อต้านหลังการทิ้งระเบิดกรุงเทพมหานครโดยฝ่ายสัมพันธมิตร ปรีดีเป็นผู้มีบทบาทสำคัญผลักดันให้พันตรี ควง อภัยวงศ์ ขึ้นดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี โดยมีความพยายามประสานกับพระเจ้าวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าอาทิตย์ทิพอาภา ซึ่งเป็นผู้สำเร็จราชการพระองค์อื่น แต่เมื่อพระองค์ไม่กล้าลงพระนามแต่งตั้งนายกรัฐมนตรี จึงลาออกจากตำแหน่ง เปิดทางให้การแต่งตั้งสำเร็จลุล่วง[17] : 224 [f] ในการจัดโครงสร้างรัฐบาลใหม่ ปรีดีได้แต่งตั้งพระยาพหลพลพยุหเสนาให้ดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีลอย, แม่ทัพใหญ่ (แทนตำแหน่งผู้บัญชาการทหารสูงสุดที่ถูกยกเลิกไป) และผู้บัญชาการทหารบก เพื่อรักษาดุลอำนาจทางทหาร และแต่งตั้งแปลกให้ดำรงตำแหน่งที่ปรึกษาราชการแผ่นดิน ทั้งนี้เพื่อเป็นการป้องกันไม่ให้เกิดรัฐประหารในช่วงเปลี่ยนผ่านของรัฐบาล[17] : 230–6
หัวหน้าขบวนการเสรีไทย
[แก้]
ในช่วงสงครามโลกครั้งที่สอง ปรีดีในฐานะผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ ได้เป็นผู้นำในการจัดตั้งองค์การต่อต้านการรุกรานของญี่ปุ่นหรือขบวนการเสรีไทยในประเทศ[26]: 195–200 โดยได้ติดต่อกับฝ่ายสัมพันธมิตรและส่งบุคคลออกนอกประเทศในลักษณะสายลับ พร้อมทั้งวางแผนให้ ทวี บุณยเกตุ ได้รับเลือกเป็นประธานสภาผู้แทนราษฎรไทยเพื่อจัดตั้งรัฐบาลพลัดถิ่นในต่างประเทศ แต่แผนดังกล่าวถูกขัดขวางโดยแปลก[17]: 215–7 เมื่อไม่สามารถจัดตั้งรัฐบาลพลัดถิ่นได้ ปรีดีจึงเปลี่ยนมาใช้แนวทางการจัดตั้งขบวนการเสรีไทยภายในประเทศ โดยได้รับการสนับสนุนจากสำนักงานบริการด้านยุทธศาสตร์ (OSS) ของสหรัฐอเมริกา และหน่วย 136 ของสหราชอาณาจักร ซึ่งตั้งรหัสนามให้ปรีดีว่า "รูธ" (Ruth) และทั้งสองฝ่ายได้ส่งตัวแทนเข้ามาในจังหวัดพระนครเพื่อดำเนินการลับ[17]: 218–9
ต่อมาในเดือนพฤษภาคม พ.ศ. 2488 ปรีดีแจ้งต่อทวีในฐานะรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศว่าไทยจะใช้อุบายบอกเลิกสัญญาทางการทูตกับญี่ปุ่น[10]: 556 [17]: 236–7 พร้อมทั้งเตรียมการให้สมาชิกเสรีไทยจำนวนกว่า 8 หมื่นคนทั่วประเทศพร้อมลุกขึ้นต่อต้านทหารญี่ปุ่นอย่างเปิดเผย แต่ฝ่ายสัมพันธมิตรได้ร้องขอให้ชะลอแผนนี้ไว้ก่อน[29] ขณะเดียวกัน ในด้านการเมืองระหว่างประเทศ รัฐบาลสหราชอาณาจักรยังปฏิเสธที่จะตอบรับการเจรจาเรื่องเอกราชของไทย จึงมีการกำหนดวันที่ 1 กันยายน พ.ศ. 2488 เป็นวันลุกฮือต่อต้านญี่ปุ่นทั่วประเทศ[10]: 557–8 อย่างไรก็ดี ญี่ปุ่นได้ประกาศยอมจำนนต่อฝ่ายสัมพันธมิตรเมื่อวันที่ 15 สิงหาคม ก่อนถึงวันนัดหมายดังกล่าว
บทบาททางการเมืองหลังสงครามโลกครั้งที่สอง
[แก้]ประกาศสันติภาพ
[แก้]
วันที่ 16 สิงหาคม พ.ศ. 2488 ภายหลังที่ญี่ปุ่นประกาศยอมจำนนต่อฝ่ายสัมพันธมิตรอย่างไม่มีเงื่อนไข ปรีดีในฐานะผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ ได้ออกประกาศสันติภาพในนามรัฐบาล โดยระบุว่าการประกาศสงครามต่อสหรัฐอเมริกาและสหราชอาณาจักรเมื่อวันที่ 25 มกราคม พ.ศ. 2485 นั้นเป็นโมฆะ โดยให้เหตุผลว่า เป็นการกระทำที่เกิดจากรัฐบาลเผด็จการของแปลกซึ่งไม่ชอบด้วยรัฐธรรมนูญ และขัดต่อเจตจำนงของประชาชนชาวไทย ปรีดีในฐานะประมุขแห่งรัฐชั่วคราวจึงประกาศว่าสถานะของประเทศไทยต่อประเทศคู่สงครามนั้นอยู่ในภาวะสันติ และแสดงเจตจำนงพร้อมให้ความร่วมมือกับองค์การสหประชาชาติในการธำรงรักษาสันติภาพของโลก ประกาศฉบับนี้มีผลในเชิงการทูตอย่างสำคัญ เนื่องจากช่วยให้ประเทศไทยสามารถแยกตัวออกจากฐานะพันธมิตรกับญี่ปุ่น ที่ไม่มีความชอบธรรมทางกฎหมาย อีกทั้งยังถือเป็นการลบล้างผลของนโยบายเผด็จการของแปลกที่มีต่อบทบาทของประเทศในเวทีระหว่างประเทศ ต่อมา รัฐบาลไทยได้ประกาศให้วันที่ 16 สิงหาคมของทุกปีเป็น "วันสันติภาพไทย"[26]: 202–9 [30] หลังจากนั้น ปรีดีได้ประกาศยุบขบวนการเสรีไทย ซึ่งถือว่าประสบความสำเร็จในภารกิจทางประวัติศาสตร์ ในฐานะขบวนการต่อต้านญี่ปุ่นภายในประเทศ[29]
แม้ว่าสงครามจะยุติลง แต่อาณาบริเวณเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ยังคงตกอยู่ภายใต้แรงเสียดทานทางภูมิรัฐศาสตร์ โดยเฉพาะอย่างยิ่งประเด็นการปลดอาวุธทหารญี่ปุ่นในดินแดนที่ญี่ปุ่นยึดครองอยู่ เจียง ไคเชก ผู้นำรัฐบาลชาตินิยมจีน เสนอต่อฝ่ายสัมพันธมิตรว่า จีนประสงค์จะปลดอาวุธทหารญี่ปุ่นในพื้นที่ภาคเหนือของประเทศไทยเหนือเส้นขนานที่ 16 องศาเหนือ ซึ่งครอบคลุมพื้นที่มากกว่า 40% ของประเทศ ปรีดีซึ่งตระหนักถึงผลกระทบต่ออธิปไตยของชาติ ได้ดำเนินการทางการทูตอย่างเร่งด่วน โดยส่งสาส์นไปยังแฮร์รี เอส. ทรูแมน ประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกา เพื่อขอให้ระงับแผนของจีน และสามารถบรรลุผลตามที่เสนอ[10]: 587–8 ขณะเดียวกัน ฝ่ายสัมพันธมิตรได้เสนอให้รัฐบาลไทยจับกุมผู้ที่ถูกกล่าวหาว่าเป็นอาชญากรสงคราม (รวมถึงแปลก) เพื่อส่งขึ้นศาลทหารระหว่างประเทศสำหรับตะวันออกไกล ณ กรุงโตเกียว ประเทศญี่ปุ่น[10]: 597 ปรีดีได้รับคำร้องขอจากแปลก ซึ่งในขณะนั้นเป็นอดีตนายกรัฐมนตรีที่มีบทบาทสำคัญในช่วงการประกาศสงคราม โดยมีจดหมายขอความช่วยเหลือให้หลีกเลี่ยงการส่งตัวไปต่างประเทศ[17]: 139–40 ปรีดีจึงใช้ช่องทางการทูตและกฎหมายภายในประเทศผลักดันให้มีการออกกฎหมายอาชญากรสงคราม และจัดตั้งศาลพิเศษขึ้นในประเทศไทย เพื่อให้พิจารณาคดีในประเทศแทนการส่งตัวบุคคลเหล่านั้นขึ้นศาลต่างประเทศ[10]: 598
ภายหลัง ฝ่ายสัมพันธมิตรได้แจ้งต่อปรีดีอย่างเป็นทางการว่า พวกเขาไม่ถือว่าประเทศไทยเป็นฝ่ายแพ้สงคราม เนื่องจากการเข้าสู่ภาวะสงครามของประเทศไทยใน พ.ศ. 2485 นั้นไม่มีสถานะที่ชอบด้วยกฎหมายและปราศจากความชอบธรรม ประเทศไทยจึงไม่ต้องถูกยึดครอง ไม่ต้องประกาศยอมจำนน และกองทัพไทยไม่จำเป็นต้องวางอาวุธ อีกทั้งฝ่ายสัมพันธมิตรยังแนะนำให้รัฐบาลไทยรีบออกแถลงการณ์ปฏิเสธการประกาศสงคราม เพื่อเป็นการลบล้างภาระผูกพันระหว่างประเทศที่รัฐบาลแปลกได้ทำไว้กับญี่ปุ่น[31][32] เมื่อสถานการณ์ภายในประเทศคลี่คลาย ปรีดีได้ดำเนินการอัญเชิญพระบาทสมเด็จพระปรเมนทรมหาอานันทมหิดล พระอัฐมรามาธิบดินทร เสด็จนิวัติประเทศไทยเมื่อวันที่ 5 ธันวาคม พ.ศ. 2488 โดยมีขบวนรับเสด็จอย่างสมพระเกียรติ ณ สถานีรถไฟกรุงเทพ (หัวลำโพง) พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงมีพระราชดำรัสขอบพระทัยปรีดีว่า "ข้าพเจ้าขอขอบใจท่านเป็นอันมากที่ได้ปฏิบัติกรณียกิจแทนข้าพเจ้า ด้วยความซื่อสัตย์สุจริตต่อข้าพเจ้าและประเทศชาติ ข้าพเจ้าขอถือโอกาสนี้ แสดงไมตรีจิตในคุณงามความดีของท่าน ที่ส่งเสริมความเจริญรุ่งเรืองให้แก่ประเทศชาติ และช่วยบำรุงรักษาความเป็นเอกราชของชาติไว้"[33]: 33 พร้อมกันนี้ พระองค์ยังได้มีพระบรมราชโองการสถาปนาปรีดีขึ้นเป็นรัฐบุรุษอาวุโส เมื่อวันที่ 8 ธันวาคม พ.ศ. 2488 เพื่อเป็นเกียรติยศในฐานะผู้กอบกู้เอกราชของชาติ และเมื่อวันที่ 11 ธันวาคม พ.ศ. 2488 พระองค์ยังพระราชทานเครื่องราชอิสริยาภรณ์อันเป็นโบราณมงคลนพรัตนราชวราภรณ์ ซึ่งเป็นเครื่องราชอิสริยาภรณ์ชั้นสูงสุดในสามอันดับแรกที่สามารถพระราชทานแก่สามัญชน[34]
นายกรัฐมนตรีและทูตสันถวไมตรี
[แก้]

หลังสงครามโลกครั้งที่สองสิ้นสุดลง ปรีดีได้พยายามธำรงไว้ซึ่งอำนาจทางการเมืองของตนผ่านการควบคุมกำลังตำรวจ สารวัตรทหาร และเครือข่ายสมาชิกขบวนการเสรีไทย[35]: 202 จนสถานเอกอัครราชทูตสหรัฐอเมริกาในประเทศไทยแสดงความกังวลถึงอาวุธของเสรีไทย โดยเปรียบเปรยว่าเสมือนเป็น "คลังแสงส่วนตัวของกองทัพส่วนตัว"[35]: 202 ภายหลังการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรในเดือนมกราคม พ.ศ. 2489 ซึ่งจัดขึ้นแทนชุดเดิมที่ยุบหลังสงคราม ปรีดีเห็นว่าควง อภัยวงศ์มีแนวคิดทางการเมืองเปลี่ยนแปลงไปจากอุดมการณ์ของคณะราษฎร จึงหันไปสนับสนุนดิเรก ชัยนามให้ดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี ทว่าภายหลังพ่ายแพ้ในสภาผู้แทนราษฎร ควงได้รับการสนับสนุนจากพรรคประชาธิปัตย์ให้จัดตั้งรัฐบาลเฉพาะกาลระหว่างเดือนมกราคมถึงมีนาคม พ.ศ. 2489 ต่อมาเมื่อรัฐบาลไม่เห็นชอบกับร่างกฎหมายที่ผ่านสภา จึงลาออกจากตำแหน่ง เปิดทางให้พรรคสหชีพและพรรคแนวรัฐธรรมนูญเสนอชื่อปรีดีขึ้นดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี[17]: 250 ในสมัยรัฐบาลของเขา มีการเจรจาแก้ไขความตกลงสมบูรณ์แบบกับสหราชอาณาจักร โดยเปลี่ยนจากการส่งมอบข้าวเปล่าให้เป็นการจำหน่ายแทน[17]: 251 นอกจากนี้ เขายังเป็นผู้ริเริ่มก่อตั้งหอสมุดดำรงราชานุภาพ[36]: 48 และประกาศใช้รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2489 ซึ่งเป็นรัฐธรรมนูญที่มีลักษณะเป็นประชาธิปไตยอย่างแท้จริง เนื่องจากกำหนดให้สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรและพฤฒสภามาจากการเลือกตั้งทั้งสองสภา เจ้าหน้าที่ทางการทูตของสหรัฐอเมริกาประเมินว่านโยบายของรัฐบาลในสมัยปรีดีไม่มีความโน้มเอียงสู่ลัทธิสังคมนิยม หากแต่ให้ความสำคัญกับการส่งเสริมสหกรณ์เกษตรกรและรัฐวิสาหกิจเท่านั้น[35]: 188
เมื่อวันที่ 9 มิถุนายน พ.ศ. 2489 พระบาทสมเด็จพระปรเมนทรมหาอานันทมหิดล พระอัฐมรามาธิบดินทรเสด็จสวรรคต ปรีดีในฐานะผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์และนายกรัฐมนตรี ได้เสนอให้รัฐสภาอัญเชิญสมเด็จพระเจ้าน้องยาเธอ เจ้าฟ้าภูมิพลอดุลยเดชขึ้นทรงราชย์สืบราชสันตติวงศ์ ซึ่งภายหลังรัฐสภามีมติเห็นชอบ ปรีดีจึงลาออกจากตำแหน่งนายกรัฐมนตรีในวันที่ 11 มิถุนายน พ.ศ. 2489 แต่สภาผู้แทนราษฎรยังคงเสนอให้เขากลับเข้าดำรงตำแหน่งเดิม[37]: 122–9 เขายังได้รับเลือกตั้งเป็นสมาชิกพฤฒสภา ก่อนตัดสินใจลาออกเพื่อสมัครรับเลือกตั้งเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรจังหวัดพระนครศรีอยุธยา เขต 2 ซึ่งเขาได้รับชัยชนะอย่างไม่มีคู่แข่ง[17]: 259 ทว่าจากเหตุการณ์การสวรรคต ได้กลายเป็นช่องทางให้กลุ่มอำนาจเก่าทางการเมือง เช่น พรรคประชาธิปัตย์ กลุ่มทหารสายแปลก และผู้ที่เสียผลประโยชน์หลังสงครามโลกครั้งที่สอง ใช้เป็นเครื่องมือในการโจมตีปรีดี ด้วยการกล่าวหาว่าเขาเกี่ยวข้องกับเหตุการณ์ดังกล่าว ทั้งจากการปล่อยข่าวผ่านสื่อมวลชน การใส่ร้ายในที่สาธารณะ ไปจนถึงการตะโกนว่า "ปรีดีฆ่าในหลวง" ในโรงภาพยนตร์ศาลาเฉลิมกรุง[38]: 54–55 [39][10]: 668 เหตุการณ์ดังกล่าวส่งผลให้เขาลาออกจากตำแหน่งนายกรัฐมนตรีในเดือนสิงหาคม พ.ศ. 2489 โดยถวัลย์ ธำรงนาวาสวัสดิ์ซึ่งได้รับการสนับสนุนจากกลุ่มปรีดีได้ขึ้นดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีแทน[37]: 129–134

ภายหลังการลาออก ปรีดีได้รับการเชิญจากรัฐบาลต่างประเทศให้เดินทางเยือนเป็นการส่วนตัว ซึ่งรัฐบาลไทยได้แต่งตั้งเขาเป็นทูตสันถวไมตรี โดยได้เยือนจีนเป็นประเทศแรก ต่อด้วยฟิลิปปินส์ สหรัฐอเมริกา สหราชอาณาจักร ฝรั่งเศส สวิตเซอร์แลนด์ เดนมาร์ก สวีเดน และนอร์เวย์ รวมทั้งสิ้น 9 ประเทศ ก่อนเดินทางกลับประเทศไทยเมื่อวันที่ 20 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2490[40][41] ในช่วงปลายปีนั้น ประเทศไทยได้รับการรับรองเป็นสมาชิกลำดับที่ 55 ขององค์การสหประชาชาติในวันที่ 16 ธันวาคม พ.ศ. 2489 ซึ่งปรีดีมีบทบาทสำคัญผ่านการใช้สายสัมพันธ์ส่วนตัวกับชาร์ล เดอ โกล ประธานรัฐบาลเฉพาะกาลแห่งสาธารณรัฐฝรั่งเศส และโจเซฟ สตาลิน ผู้นำสหภาพโซเวียต เพื่อมิให้ทั้งฝรั่งเศสและสหภาพโซเวียตใช้สิทธิยับยั้งในคณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติ[17]: 260–1
ปรีดียังมีบทบาทเชิงนโยบายภายในประเทศ โดยเสนอแนะต่อรัฐบาลให้พัฒนาเกษตรกรรม เช่น การปรับปรุงสายพันธุ์ฝ้าย การใช้เครื่องจักรกลในการผลิต การปฏิรูปอุตสาหกรรมเลี้ยงสัตว์และการประมง รวมถึงการจัดตั้งโครงการอาคารสงเคราะห์ สวนสาธารณะ และการส่งเสริมการท่องเที่ยว[10]: 747–50 เขายังเสนอให้มีการสร้างเขื่อนชัยนาท ซึ่งรัฐบาลให้ความเห็นชอบ[10]: 756 นอกจากนี้ ปรีดียังเป็นผู้นำทางการเมืองคนแรกที่เจรจาขอรับความช่วยเหลือทางเศรษฐกิจและการทหารจากสหรัฐอเมริกา ทั้งยังพยายามเข้าสู่ความเป็นพันธมิตรทางทหารกับสหรัฐอเมริกา โดยขอให้จัดส่งที่ปรึกษาทางทหารเข้ามาปรับปรุงกองทัพไทย แต่สหรัฐอเมริกาปฏิเสธเนื่องจากยังไม่ได้รับอนุมัติจากรัฐสภา[35]: 203–4 อย่างไรก็ดี ปรีดีมีความสัมพันธ์แน่นแฟ้นกับขบวนการเรียกร้องเอกราชในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ โดยเฉพาะเวียดนาม ซึ่งมีแนวคิดก่อตั้งสหพันธ์ชาติในภูมิภาค โดยเห็นว่าปรีดีเหมาะสมจะดำรงตำแหน่งผู้นำโดยธรรมชาติของสหพันธ์ดังกล่าว[35]: 205
ชีวิตระหว่างการลี้ภัย
[แก้]
ต่อมาในวันที่ 8 พฤศจิกายน พ.ศ. 2490 คณะทหารแห่งชาติซึ่งมีพลโท ผิน ชุณหะวัณ เป็นผู้นำ และมีแปลกเป็นผู้อยู่เบื้องหลังในฐานะหัวหน้าใหญ่ ได้ดำเนินการรัฐประหารเพื่อล้มล้างรัฐบาลของถวัลย์ โดยอ้างว่ารัฐบาลดังกล่าวไร้เสถียรภาพ และมีแนวโน้มจะโน้มเอียงไปทางฝ่ายซ้าย นอกจากนี้ คณะรัฐประหารยังหยิบยก ข้อกล่าวหาร้ายแรง โดยอ้างว่าปรีดีเป็นผู้บงการอยู่เบื้องหลังการลอบปลงพระชนม์ พระบาทสมเด็จพระปรเมนทรมหาอานันทมหิดล พระอัฐมรามาธิบดินทร การยึดอำนาจครั้งนี้สำเร็จอย่างราบคาบ และมีการนำกำลังทหารพร้อมรถถังเข้ายึด ทำเนียบท่าช้าง ซึ่งเป็นที่พำนักของปรีดี หวังจะควบคุมตัวเขา แต่เขาสามารถหลบหนีไปได้ด้วยการช่วยเหลือจากฝ่ายทหารเรือ โดยใช้ฐานทัพเรือสัตหีบเป็นที่หลบภัยชั่วคราว เมื่อพิจารณาแล้วเห็นว่ายังไม่อาจต่อสู้กับคณะรัฐประหารได้ จึงตัดสินใจลี้ภัยทางการเมืองโดยได้รับความช่วยเหลือจากสถานเอกอัครราชทูตสหราชอาณาจักรและสหรัฐอเมริกา เดินทางไปยังประเทศสิงคโปร์ และในเวลาต่อมาก็เดินทางต่อไปยังสาธารณรัฐจีน[42]: 50–60 ระหว่างนี้ รัฐบาลไทยได้ออกหมายจับปรีดีในข้อหาลอบปลงพระชนม์ และยื่นคำร้องไปยังรัฐบาลสหราชอาณาจักรเพื่อขอให้ส่งตัวเขากลับไทยในฐานะผู้ร้ายข้ามแดน แต่ถูกรัฐบาลสหราชอาณาจักรปฏิเสธ[10]: 784 เช่นเดียวกับรัฐบาลสหรัฐอเมริกาซึ่งปฏิเสธการออกวีซ่าแก่เขา เนื่องจากเกรงว่าการกระทำดังกล่าวจะส่งผลกระทบต่อความสัมพันธ์กับแปลก[35]: 208

หลังจากพำนักอยู่ในสาธารณรัฐจีนได้ราว 7 เดือน ปรีดีได้ลักลอบเดินทางกลับเข้าสู่ประเทศไทย เพื่อดำเนินการจัดตั้ง "ขบวนการประชาธิปไตย 26 กุมภาพันธ์" ซึ่งเป็นความพยายามในการกู้คืนอำนาจโดยอาศัยกำลังจากนายทหารเรือและอดีตสมาชิกขบวนการเสรีไทยหลายราย การก่อการดังกล่าวซึ่งเกิดขึ้นเมื่อวันที่ 26 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2492 เป็นที่รู้จักในเวลาต่อมาว่า "กบฏวังหลวง" อย่างไรก็ดี การยึดอำนาจล้มเหลว และภายหลังเหตุการณ์ปรีดีต้องลอบซ่อนตัวอยู่ในประเทศไทยเป็นเวลาราว 6 เดือน ก่อนลักลอบออกนอกประเทศอีกครั้งโดยใช้เรือจำปลาขนาดเล็กหลบหนีไปยังประเทศสิงคโปร์ และมุ่งหน้าต่อไปยังฮ่องกง ปรีดีได้บันทึกไว้ว่า ขณะที่เปลี่ยนเรือเพื่อเดินทางต่อไปยังเมืองชิงเต่า มณฑลชานตง เขาได้รับการต้อนรับจากสมาชิกพรรคคอมมิวนิสต์จีนในฐานะผู้ลี้ภัยทางการเมือง พร้อมทั้งได้รับเชิญให้เข้าร่วมในพิธีสถาปนาสาธารณรัฐประชาชนจีนด้วย[10]: 792–3 ในช่วงเวลานั้น รัฐบาลจีนได้มอบความช่วยเหลือโดยออกค่าใช้จ่ายทุกประการ และยังเสนอที่จะให้การสนับสนุนทางทหาร หากปรีดีประสงค์จะกลับมาใช้อำนาจในประเทศไทยอีกครั้ง แต่ปรีดีปฏิเสธข้อเสนอดังกล่าว[10]: 797–801 ระหว่างการพำนักในประเทศจีน เขาได้พบปะผู้นำระดับสูงหลายคน เช่น ประธานเหมา เจ๋อตง นายกรัฐมนตรีโจว เอินไหล และเติ้ง เสี่ยวผิง อีกทั้งยังได้รับเชิญให้เข้าร่วมพิธีศพของโฮจิมินห์ ประธานาธิบดีเวียดนามเหนือ และมีโอกาสพูดคุยกับเจ้าสุวรรณภูมา นายกรัฐมนตรีพระราชอาณาจักรลาว[10]: 806–7 ภายหลังใน พ.ศ. 2499 มีความพยายามจากฝ่ายแปลกและพลตำรวจเอก เผ่า ศรียานนท์ ในการชักชวนให้ปรีดีกลับประเทศเพื่อดำเนินคดีสวรรคตอีกครั้ง หวังจะใช้ปรีดีเป็นกลไกถ่วงดุลกับอำนาจของจอมพล สฤษดิ์ ธนะรัชต์ ซึ่งกำลังขยายอำนาจในเวลานั้น แต่รัฐบาลสหรัฐอเมริกาได้เตือนว่าการกระทำดังกล่าวอาจนำไปสู่ความไม่สงบในประเทศไทย[43] ต่อมาใน พ.ศ. 2501 ปรีดีได้เสนอแนวคิดแก่รัฐบาลจอมพล ถนอม กิตติขจร ให้มีการขุดคลองบริเวณคอคอดกระ เพื่อวัตถุประสงค์ด้านเศรษฐกิจและยุทธศาสตร์[17]: 8–9

ต้นเดือนพฤษภาคม พ.ศ. 2513 โจว เอินไหล นายกรัฐมนตรีจีน ทราบถึงความประสงค์ของปรีดีที่ต้องการเดินทางไปพำนักยังกรุงปารีส เพื่ออยู่ร่วมกับครอบครัว จึงได้ออกหนังสือเดินทางสำหรับคนต่างด้าวให้ปรีดีใช้ในการเดินทาง โดยมีกีโยม จอร์จ-ปีโก อดีตอุปทูตฝรั่งเศสประจำประเทศไทย ซึ่งเป็นมิตรเก่าของปรีดี ช่วยประสานงาน จนกระทั่งปรีดีเดินทางถึงปารีสเมื่อวันที่ 8 พฤศจิกายน พ.ศ. 2513 และพำนักอยู่ในประเทศฝรั่งเศสนับแต่นั้นเป็นต้นมา[10]: 839–40 อย่างไรก็ดี ในระยะแรกเขาต้องเผชิญปัญหาจากรัฐบาลไทยซึ่งไม่ออกหนังสือรับรองการมีชีวิตอยู่ และไม่จ่ายเงินบำนาญ ทำให้ต้องยื่นฟ้องร้องในศาล จนในที่สุดก็ได้รับสิทธิทั้งสองอย่างโดยชอบธรรม[10]: 841 ส่งผลให้เขาได้รับการยอมรับในสถานะพลเมืองไทยอย่างสมบูรณ์ตามกฎหมาย ได้รับเงินบำนาญและหนังสือเดินทางไทยอีกครั้ง[44]
เสียชีวิต
[แก้]
เวลา 11 นาฬิกาเศษของวันที่ 2 พฤษภาคม พ.ศ. 2526 ณ บ้านพักในย่านอ็องโตนี ชานกรุงปารีส ปรีดีถึงแก่อสัญกรรม ด้วยภาวะหัวใจวายเฉียบพลัน ขณะกำลังนั่งเขียนหนังสืออยู่ที่โต๊ะทำงานของตน ต่อมาครอบครัวได้อัญเชิญอัฐิของเขากลับสู่ประเทศไทยเมื่อวันที่ 7 พฤษภาคม พ.ศ. 2529 และในวันที่ 8 พฤษภาคม พระบาทสมเด็จพระมหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร ได้พระราชทานไตรจีวร 10 ไตร เพื่อใช้ในพิธีบำเพ็ญกุศลทักษิณานุปทานอัฐิ ซึ่งสื่อความหมายได้ว่าเป็นการแสดงออกถึงพระราชไมตรี หรืออาจถือเป็นการพระราชทานอภัยโทษโดยพฤตินัย[24]: 336–337
ชีวิตส่วนตัว
[แก้]ครอบครัว
[แก้]

ปรีดีสมรสกับท่านผู้หญิงพูนศุข ณ ป้อมเพชร์ ธิดาของมหาอำมาตย์ตรี พระยาชัยวิชิตวิศิษฏ์ธรรมธาดา (ขำ ณ ป้อมเพชร์) อดีตข้าราชการตุลาการผู้ทรงคุณวุฒิแห่งราชสำนักและอธิบดีกรมราชทัณฑ์คนแรก และคุณหญิงเพ็ง ชัยวิชิตวิศิษฏ์ธรรมธาดา (สกุลเดิม: สุวรรณศร) ซึ่งเป็นสตรีผู้มีชาติกำเนิดในตระกูลขุนนางฝ่ายกฎหมาย การสมรสระหว่างปรีดีกับพูนศุขมีขึ้นเมื่อวันที่ 16 พฤศจิกายน พ.ศ. 2471[45] ซึ่งในขณะนั้นปรีดีมีอายุ 29 ปี ขณะที่พูนศุขมีอายุเพียง 17 ปี จึงมีอายุอ่อนกว่าปรีดีถึง 12 ปี[12]: 36

ปรีดีและพูนศุขมีบุตร-ธิดาร่วมกัน 6 คน ได้แก่ ลลิตา, ปาล, สุดา, ศุขปรีดา, ดุษฎี และวาณี พนมยงค์ หลายคนในบรรดาบุตรธิดาเหล่านี้ต่อมาได้มีบทบาทสำคัญในสังคมไทย โดยเฉพาะด้านการศึกษา การต่างประเทศ และการเมือง สะท้อนการสืบทอดอุดมการณ์ประชาธิปไตยและจิตวิญญาณแห่งความยุติธรรมที่บิดามารดาวางรากฐานไว้ ตระกูลพนมยงค์จึงกลายเป็นสัญลักษณ์ของความมุ่งมั่นในการธำรงระบอบประชาธิปไตยและหลักนิติธรรมในสังคมไทย
ภาพยนตร์
[แก้]ก่อนที่สงครามโลกครั้งที่สองจะปะทุเต็มรูปแบบ ปรีดีได้เล็งเห็นถึงภัยจากการขยายตัวของลัทธิเผด็จการทหารในยุโรปและเอเชีย โดยเฉพาะอิทธิพลของลัทธิฟาสซิสต์ในประเทศอิตาลี ลัทธินาซีในประเทศเยอรมนี และลัทธิแสนยนิยมในประเทศญี่ปุ่น ซึ่งล้วนกำลังนำโลกเข้าสู่สงคราม ด้วยสำนึกของปัญญาชนผู้รักสันติ ปรีดีจึงริเริ่มโครงการสร้างภาพยนตร์แนวอุดมคติ ถ่ายทอดแนวคิดสันติวิธีให้สังคมโลกผ่านสื่อภาพยนตร์ และอำนวยการสร้างเรื่อง พระเจ้าช้างเผือก[46] ซึ่งถือเป็นผลงานวัฒนธรรมระดับชาติที่สะท้อนอุดมการณ์ทางการเมืองของเขาอย่างชัดเจน
ภาพยนตร์เรื่องนี้มีจุดประสงค์ส่งสารสันติภาพไปยังนานาอารยประเทศ โดยใช้การเล่าเรื่องเชิงอุปมา ผสมอุดมคติทางพระพุทธศาสนาและหลักสันติวิธี ข้อความพุทธภาษิต "นตฺถิ สนฺติปรํ สุขํ" ('ไม่มีสุขใดเสมอด้วยความสงบสันติ') ปรากฏเด่นในภาพยนตร์ แสดงจุดยืนมั่นคงของปรีดีต่อการคัดค้านสงครามทุกประเภท พร้อมสื่อว่าชาวไทยแม้รักสันติ แต่พร้อมต่อสู้ปกป้องประเทศจากภัยภายนอกด้วยความกล้าหาญและศักดิ์ศรี ไม่ยอมจำนนต่อจักรวรรดินิยมทั้งทางทหารและแนวคิดกดขี่[47]
งานเขียน
[แก้]ปรีดีเป็นผู้ใฝ่หาความรู้ทางสังคมศาสตร์และปรัชญาการเมืองอย่างลึกซึ้ง โดยเฉพาะช่วงลี้ภัยการเมืองในประเทศจีน เขามุ่งศึกษาความคิดของนักปรัชญาและนักปฏิวัติฝ่ายคอมมิวนิสต์ เช่น คาร์ล มาคส์, ฟรีดริช เอ็งเงิลส์, วลาดีมีร์ เลนิน, โจเซฟ สตาลิน และเหมา เจ๋อตง เพื่อนำมาเปรียบเทียบกับสังคมไทยทั้งด้านเศรษฐกิจ การเมือง ศาสนา และวัฒนธรรม ผลงานวิเคราะห์เหล่านี้ต่อมากลายเป็นบทความทางวิชาการที่มีคุณค่า
งานเขียนสำคัญที่ได้รับการยกย่องคือ "ความเป็นอนิจจังของสังคม" ซึ่งบูรณาการแนวคิดพุทธปรัชญาเข้ากับการวิเคราะห์วิวัฒนาการของสังคมมนุษย์ โดยชี้ว่าสังคมไม่หยุดนิ่ง หากเปลี่ยนแปลงอยู่เสมอ บทความนี้ได้รับการตีพิมพ์ซ้ำหลายครั้งและเป็นที่ศึกษาค้นคว้าในแวดวงสังคมศาสตร์และมนุษยศาสตร์อย่างต่อเนื่อง
สิ่งทั้งหลายในโลกนี้เป็นอนิจจัง ไม่มีสิ่งใดนิ่งคงอยู่กับที่ ทุกสิ่งที่มีอาการเคลื่อนไหวเปลี่ยนแปลงไปอย่างไม่หยุดยั้ง…พืชพันธุ์ รุกขชาติ และสัตวชาติทั้งปวง รวมทั้งมนุษยชาติที่มีชีวิตนั้น เมื่อได้เกิดมาแล้วก็เคลื่อนไหวเปลี่ยนแปลงโดยเจริญเติบโตขึ้นตามลำดับ จนถึงขีดที่ไม่อาจเติบโตได้อีกต่อไป แล้วก็ดำเนินสู่ความเสื่อมและสลายในที่สุด
จากความสนใจในศาสตร์แขนงต่าง ๆ และความห่วงใยต่ออนาคตของประเทศ ปรีดีจึงสร้างสรรค์งานเขียนจำนวนมาก ซึ่งสะท้อนทั้งวิสัยทัศน์ทางปัญญา ความเข้าใจบริบทประวัติศาสตร์ และความมุ่งมั่นผลักดันประชาชนให้มีส่วนร่วมในระบอบประชาธิปไตยอย่างแท้จริง ผลงานของเขาครอบคลุมด้านเศรษฐกิจ การเมือง ปรัชญา ประวัติศาสตร์ และนิติศาสตร์ ตั้งแต่งานนโยบายเศรษฐกิจ การอธิบายรัฐธรรมนูญเบื้องต้น งานเชิงปรัชญา การสะท้อนเหตุการณ์ร่วมสมัย ไปจนถึงการวิเคราะห์ปัญหาชาติพันธุ์และเอกภาพของชาติ อันแสดงถึงความเป็นนักคิดเชิงระบบที่รอบด้าน[48]
- คำชี้แจงเค้าโครงการเศรษฐกิจและเค้าร่างพระราชบัญญัติว่าด้วยการประกันความสุขสมบูรณ์ของราษฎรกับเค้าร่างพระราชบัญญัติว่าด้วยการประกอบเศรษฐกิจ, โรงพิมพ์ลหุโทษ, 2476
- บันทึกข้อเสนอเรื่อง ขุดคอคอดกระ, กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2502
- ชีวิตผันผวนของข้าพเจ้าและ 21 ปีที่ลี้ภัยในสาธารณรัฐราษฎรจีน (Ma vie mouvementee et mes 21 ans d' exil en Chine Populaire)
- ความเป็นมาของชื่อ "ประเทศสยาม" กับ "ประเทศไทย"
- จงพิทักษ์เจตนารมณ์ประชาธิปไตยสมบูรณ์ของวีรชน 14 ตุลาคม
- ประชาธิปไตย เบื้องต้นสำหรับสามัญชน
- ประชาธิปไตยและรัฐธรรมนูญเบื้องต้นกับการร่างรัฐธรรมนูญ
- ปรัชญาคืออะไร
- "ความเป็นไปบางประการในคณะผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์” ใน บางเรื่องเกี่ยวกับพระบรมวงศานุวงศ์
- บางเรื่องเกี่ยวกับการก่อตั้งคณะราษฎรและระบบประชาธิปไตย
- ข้อสังเกตบางประการเกี่ยวกับเอกภาพของชาติและประชาธิปไตย
- สำเนาจดหมายของนายปรีดีตอบบรรณาธิการสามัคคีสารเรื่อง ขอทราบความเห็นเกี่ยวกับเหตุการณ์ ๑๔-๑๕ ตุลาคม ๒๕๑๖ และสังคมสัญญาอันศักดิ์สิทธิ์แห่งรัฐธรรมนูญประชาธิปไตย, ปราโมทย์ พึ่งสุนทร, 2516
- ความเป็นเอกภาพกับปัญหาสามจังหวัดภาคใต้, สหพันธ์นิสิตนักศึกษาชาวปักษ์ใต้แห่งประเทศไทย, 2517
- อนาคตของเมืองไทยกับสถานการณ์ของประเทศเพื่อนบ้าน, ประจักษ์การพิมพ์, 2518
ความคิดทางการเมืองและเศรษฐกิจ
[แก้]หน่วยข่าวกรองของฝรั่งเศสในช่วงก่อนและระหว่างสงครามโลกครั้งที่สองได้จัดทำรายงานลับเกี่ยวกับแนวโน้มทางการเมืองของปรีดี โดยระบุว่าในช่วงวัยหนุ่ม เขา "เป็นตัวการได้รับค่าจ้างของพวกโซเวียต ... เป็นสาวกลัทธิคอมมิวนิสต์"[35]: 198 รายงานดังกล่าวสะท้อนให้เห็นถึงความหวาดระแวงของชาติตะวันตกในยุคที่กำลังเริ่มเข้าสู่สงครามเย็น ต่อบุคคลที่มีแนวคิดทางเลือกซึ่งท้าทายอำนาจของลัทธิเสรีนิยมแบบตะวันตก อย่างไรก็ดี ความเห็นนี้น่าจะเกิดจากการตีความอุดมการณ์ก้าวหน้าของปรีดี ซึ่งมุ่งเน้นไปที่การปฏิรูปสังคมให้มีความเป็นธรรมและส่งเสริมสิทธิเสรีภาพของประชาชน มากกว่าการยึดมั่นในระบอบคอมมิวนิสต์แบบเคร่งครัดตามแบบสหภาพโซเวียต
หลังสิ้นสุดสงครามโลกครั้งที่สอง ภาพลักษณ์ของปรีดีในสายตาชาติตะวันตก โดยเฉพาะกระทรวงการสงครามสหรัฐอเมริกาและสำนักอำนวยการยุทธศาสตร์ (OSS) ได้เปลี่ยนแปลงไปอย่างมีนัยสำคัญ รายงานสหรัฐอเมริกาในช่วงปลายทศวรรษ 2480 ถึงต้น 2490 ระบุชัดเจนว่าปรีดีเป็นผู้นิยมประชาธิปไตยอย่างแท้จริง และได้รับการยกย่องว่าเป็น "นักเสรีนิยมและรูปเคารพของเหล่าปัญญาชนหนุ่มชาวสยาม"[35]: 198 การประเมินนี้สะท้อนถึงการปรับทัศนะของชาติตะวันตกต่อผู้นำเอเชียที่มีแนวคิดปฏิรูปสังคมและไม่สังกัดอุดมการณ์คอมมิวนิสต์โดยตรง แม้ว่าจะมีแนวโน้มใกล้เคียงสังคมนิยมประชาธิปไตยในรูปแบบอิสระ
คณะผู้แทนทางทูตสหรัฐอเมริกาในประเทศไทย ณ เวลานั้นก็มีท่าทีสอดคล้องกัน โดยสรุปว่าปรีดีอาจเคยโน้มเอียงไปทางลัทธิคอมมิวนิสต์ในช่วงก่อนหน้านี้ แต่เมื่อถึง พ.ศ. 2488 เขาเป็นเพียง "นักสังคมนิยมอ่อน ๆ เท่านั้น"[35]: 198 บริบทนี้สะท้อนความพยายามของสหรัฐอเมริกาในการแยกแยะนักการเมืองสายปฏิรูปที่มุ่งสร้างความยุติธรรมและประชาธิปไตย ออกจากคอมมิวนิสต์หัวรุนแรง ทำให้ปรีดีกลายเป็นบุคคลที่ได้รับความสนใจและจับตามองจากทั้งฝ่ายอนุรักษนิยมและฝ่ายเสรีนิยมในระดับนานาชาติ ในฐานะผู้นำปัญญาชนที่มีอุดมการณ์อิสระ สามารถวิพากษ์และปฏิรูปสังคมได้โดยไม่ตกอยู่ภายใต้อิทธิพลของขั้วอำนาจใดอย่างสมบูรณ์
ความสนใจ
[แก้]ปรีดีได้รับอิทธิพลทางความคิดเกี่ยวกับระบอบประชาธิปไตยตั้งแต่ช่วงวัยเยาว์ โดยเฉพาะจากอาจารย์เทียนวรรณ และ ก.ศ.ร. กุหลาบ ซึ่งเป็นนักคิดหัวก้าวหน้าในสมัยนั้น ทั้งสองมีบทบาทสำคัญในการเผยแพร่แนวคิดประชาธิปไตยเสรีนิยมผ่านงานเขียนและการสอน ทำให้ปรีดีเริ่มซึมซับแนวคิดประชาธิปไตยตั้งแต่ยังศึกษาในระดับมัธยมศึกษา และกลายเป็นแรงผลักดันเบื้องต้นให้เขายึดมั่นในหลักสิทธิ เสรีภาพ และความเสมอภาคทางสังคมตลอดชีวิตการทำงานทางการเมืองของเขา[49]
นอกจากความสนใจในด้านการเมืองและกฎหมายแล้ว ปรีดียังมีความผูกพันอย่างลึกซึ้งกับพระพุทธศาสนา เขาศรัทธาในคำสอนของพุทธทาสภิกขุเป็นพิเศษ และได้รับหนังสือ "กฎบัตรของพุทธบริษัท" จากพุทธทาสภิกขุ ซึ่งปรีดีเก็บรักษาไว้อย่างหวงแหนโดยใส่ไว้ในกระเป๋าเสื้อนอกอยู่ตลอดเวลา แม้ในช่วงสุดท้ายของชีวิตก็ตาม[50][51]
ภาพลักษณ์
[แก้]พ่อนำชาติด้วยสมองและสองแขน
พ่อสร้างแคว้นธรรมศาสตร์ประกาศศรี
พ่อของข้านามระบือชื่อ 'ปรีดี'
แต่คนดีเมืองไทยไม่ต้องการ
—พรรคแสงธรรม มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์[52]: 7

ภาพลักษณ์ของปรีดี ถูกสร้างขึ้นทั้งด้านบวกและลบ โดยมีนัยสำคัญทางการเมืองและสังคม สะท้อนการต่อสู้ระหว่างระบอบเผด็จการทหาร อนุรักษนิยม และกษัตริย์นิยม กับอุดมการณ์เสรีนิยมและสังคมนิยม ฝ่ายทหารสร้างภาพลักษณ์ด้านลบเพื่อธำรงอำนาจ ขณะที่กลุ่มอนุรักษนิยมและกษัตริย์นิยมเน้นย้ำบทบาทสถาบันพระมหากษัตริย์ ส่วนฝ่ายเสรีนิยมและสังคมนิยมเชิดชูปรีดีในฐานะสัญลักษณ์ต่อต้านเผด็จการ[24]: 22–3 สุลักษณ์ ศิวรักษ์ นักเขียน ยกย่องปรีดีว่ามีความสำคัญเทียบได้กับผู้นำระดับโลก เช่น เหมา เจ๋อตง, โฮจิมินห์ และชวาหะร์ลาล เนห์รู นายกรัฐมนตรีอินเดีย[38]: 1 อีกทั้งยังถูกเปรียบเทียบกับสมเด็จพระนเรศวรมหาราชแห่งกรุงศรีอยุธยาและสมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราชแห่งกรุงธนบุรี[38]: 12 สุลักษณ์ยังมีบทบาทในการจัดตั้งกองทุน 100 ปี ชาตกาล ศาสตราจารย์ ดร.ปรีดี พนมยงค์ โดยให้เหตุผลว่าต้องการไถ่โทษที่ตนเคยเข้าใจเขาผิดในอดีต
ปรีดีได้รับการยกย่องว่าเป็น "มันสมองของคณะราษฎร" มีความซื่อสัตย์ มีอุดมการณ์ และความคิดก้าวหน้า แต่จุดยืนทางการเมืองสร้างความขัดแย้งต่อเนื่อง จากประกาศคณะราษฎร ฉบับที่ 1 เขาถูกมองว่าเป็นผู้ไม่นิยมราชาธิปไตย จนถูกตีความว่าเป็นสาธารณรัฐนิยม ภาพลักษณ์ดีขึ้นภายหลังกบฏบวรเดช โดยเฉพาะช่วงสงครามโลกครั้งที่สองเมื่อดำรงตำแหน่งหัวหน้าขบวนการเสรีไทยและนายกรัฐมนตรี อย่างไรก็ดี ฝ่ายอนุรักษนิยมยังไม่ไว้วางใจ แม้เขาแสดงเจตจำนงฟื้นฟูบทบาทสถาบันพระมหากษัตริย์
หลังการสวรรคตของพระบาทสมเด็จพระปรเมนทรมหาอานันทมหิดล พระอัฐมรามาธิบดินทร เกิดข่าวลือการลอบปลงพระชนม์ โดยพลโท ผิน ชุณหะวัณ และหลวงกาจสงคราม (เทียน เก่งระดมยิง) มีบทบาทในการกล่าวหาปรีดี ต่อมา กลุ่มทหารนอกราชการที่ดำเนินการรัฐประหารใน พ.ศ. 2490 ได้ออกหมายจับปรีดีในข้อหาลอบปลงพระชนม์ และกล่าวหาเพิ่มเติมว่าเป็นคอมมิวนิสต์และมีเป้าหมายตั้งตนเป็นประธานาธิบดี เพื่อทำลายความน่าเชื่อถือ และสร้างภาพลักษณ์เชิงลบ ฝ่ายอนุรักษนิยมสร้างภาพเขาเป็น "ปีศาจทางการเมือง" โดยพระพินิจชนคดี (พินิจ อินทรทูต) สรุปผลสอบสวนโยงถึงปรีดี หม่อมราชวงศ์เสนีย์ ปราโมช ยังลดบทบาทเขาในขบวนการเสรีไทย
ฝ่ายสนับสนุนพยายามแก้ต่าง ทั้งศิษย์ พันธมิตรทางการเมือง และปัญญาชน เช่น เดือน บุนนาค ไสว สุทธิพิทักษ์ รวมถึงนักเขียนอย่างอัศนี พลจันทร อิศรา อมันตกุล ดาวหาง และ อ. อุดากร แต่ไม่อาจลบล้างกระแสปีศาจการเมืองที่ครอบงำการเมืองไทยช่วงพุทธทศวรรษ 2490 ได้
กระแสดังกล่าวเริ่มอ่อนแรงเมื่อกลุ่มทหารหันไปจับตาการเคลื่อนไหวนักศึกษา ปรีดีชนะคดีหมิ่นประมาทกับสยามรัฐรายวัน และหม่อมราชวงศ์คึกฤทธิ์ ปราโมช ต่อมา เขาปฏิเสธการเป็นผู้แทนเจรจาผู้ลี้ภัยอินโดจีนในสมัยรัฐบาลจอมพล ถนอม กิตติขจร ภายหลังเหตุการณ์วันมหาวิปโยค เมื่อวันที่ 14 ตุลาคม พ.ศ. 2516 เขาใช้สื่อสิ่งพิมพ์และการสัมภาษณ์ตอบโต้กระแสโจมตี ชีวประวัติของปราโมทย์ พึ่งสุนทร และสุพจน์ ด่านตระกูล ก็ช่วยเผยแพร่แนวคิดของเขา กระแสนักศึกษาเพิ่มสูงสุดช่วงต้นทศวรรษ 2510 แต่ลดลงอย่างรวดเร็วจากความแตกต่างเชิงยุทธศาสตร์และสถานการณ์การเมือง
ภายหลังเหตุการณ์การสังหารหมู่ที่มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์เมื่อวันที่ 6 ตุลาคม พ.ศ. 2519 ปรีดียังถูกวิจารณ์เชิงลบ แต่สามารถชนะคดีหมิ่นประมาท กลุ่มปัญญาชนหันมายกย่องเขาเป็นสัญลักษณ์เสรีนิยม ใน พ.ศ. 2527 มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์พยายามฟื้นฟูภาพลักษณ์ของเขาในฐานะสัญลักษณ์ของมหาวิทยาลัย พร้อมสร้างอนุสาวรีย์ปรีดี พนมยงค์ พรรคประชาธิปัตย์ยังนำภาพลักษณ์นี้ไปใช้หาเสียงเลือกตั้งใน พ.ศ. 2535 ต่อมายูเนสโกยกย่องเขาเป็นบุคคลสำคัญของโลกใน พ.ศ. 2543 ช่วยลบภาพลักษณ์ด้านลบ รัฐยังสะท้อนการยอมรับโดยการเปลี่ยนชื่อถนนและสถานที่ เช่น ถนนเสรีไทย และเขายังได้รับการเสนอชื่อเป็นหนึ่งในบุคคลผู้ทรงอิทธิพลที่สุดในเอเชียแห่งศตวรรษ[53]
มรดก
[แก้]
วันสำคัญ
[แก้]ทุกวันที่ 11 พฤษภาคมของทุกปี ได้รับการกำหนดให้เป็น "วันปรีดี พนมยงค์" เพื่อระลึกถึงวันคล้ายวันเกิดของปรีดี วาระสำคัญที่มีการรำลึกอย่างกว้างขวางคือ โอกาสครบรอบ 100 ปีชาตกาล ของเขาใน พ.ศ. 2543 ซึ่งยูเนสโกได้ประกาศยกย่องให้ปรีดีเป็นหนึ่งในบุคคลสำคัญของโลก และบรรจุชื่อของเขาไว้ในปฏิทินเฉลิมฉลองบุคคลสำคัญของยูเนสโก เพื่อเชิดชูผลงานในด้านการส่งเสริมสันติภาพ การศึกษา และสิทธิมนุษยชนอย่างโดดเด่น[54]
ในการเฉลิมฉลองโอกาสดังกล่าว มีการจัดกิจกรรมหลากหลายทั้งในและต่างประเทศเพื่อยกย่องเกียรติคุณของปรีดี หนึ่งในกิจกรรมที่มีความโดดเด่น คือการประพันธ์ซิมโฟนีชื่อ "ปรีดีคีตานุสรณ์" โดยสมเถา สุจริตกุล ซึ่งแต่งขึ้นเพื่อถวายเป็นราชสดุดีและเกียรติประวัติของปรีดี ซิมโฟนีชิ้นนี้ได้รับการแสดงอย่างเป็นทางการในหลายเวที เป็นสัญลักษณ์ของการผสานระหว่างดนตรี ศิลปะ และประวัติศาสตร์ เพื่อสืบทอดเจตนารมณ์ของปรีดีไปยังคนรุ่นหลัง[55]
พันธุ์สัตว์
[แก้]เมื่อ พ.ศ. 2546 ได้มีการค้นพบสัตว์น้ำชนิดใหม่ของโลกในประเทศไทย คือ ปลาปล้องทองปรีดี (Schistura pridii) ภายในพื้นที่ของเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าเชียงดาว อำเภอเชียงดาว จังหวัดเชียงใหม่ โดยผู้ค้นพบคือชวลิต วิทยานนท์ ซึ่งได้ตั้งชื่อปลาดังกล่าวเพื่อเป็นเกียรติแก่ปรีดี[56] การตั้งชื่อวิทยาศาสตร์เช่นนี้นับเป็นการเชิดชูคุณูปการของปรีดีผ่านมรดกทางธรรมชาติของประเทศ
ในอดีต เมื่อ พ.ศ. 2487 เอช. จี. ไดแนน (H. G. Deignan) นักปักษีวิทยาจากสถาบันสมิทโซเนียน สหรัฐอเมริกา ได้ค้นพบชนิดย่อยใหม่ของนกเขียวก้านตองหน้าผากสีทอง บริเวณดอยอ่างขางและดอยอินทนนท์ ซึ่งต่อมาได้รับการตั้งชื่อว่า นกปรีดี (Chloropsis aurifrons pridii) เพื่อสดุดีชื่อของปรีดี
นอกจากนี้ ไดแนนยังตั้งชื่อนกเขียวก้านตองปีกสีฟ้าชนิดย่อยอีกชนิดหนึ่งที่พบทางภาคใต้ของประเทศไทยว่า Chloropsis cochinchinensis seri-thai หรือชื่อสามัญว่า "นกเขียวก้านตองปีกสีฟ้า" หรือนิยมเรียกสั้น ๆ ว่า "นกเสรีไทย" เพื่ออุทิศเกียรติแด่ขบวนการเสรีไทย ซึ่งสะท้อนให้เห็นถึงการจดจำคุณูปการทางประวัติศาสตร์และอุดมการณ์ของปรีดีในระดับสากลผ่านการตั้งชื่อทางชีววิทยา[57]
สถานที่
[แก้]- อนุสรณ์สถานปรีดี พนมยงค์ มีอยู่ 2 ที่คือ บริเวณที่ดินถิ่นกำเนิดของปรีดี จังหวัดพระนครศรีอยุธยา เป็นอนุสรณ์สถานรำลึกปรีดี ตั้งอยู่ริมแม่น้ำเมือง ตรงข้ามวัดพนมยงค์ อนุสาวรีย์เป็นรูปสัญลักษณ์ที่แสดงถึงอุดมการณ์อันสำคัญยิ่งของปรีดี 3 ประการคือ สันติภาพ เสรีไทยและประชาธิปไตย[58] และห้องอนุสรณ์สถานบนตึกโดม มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ เป็นอนุสรณ์แห่งแรกที่ก่อสร้างขึ้นเพื่อรำลึกถึงปรีดี[59]
- สถาบันปรีดี พนมยงค์ มูลนิธิปรีดี พนมยงค์ ได้จัดสร้างอาคารสถาบันปรีดี พนมยงค์ ขึ้น ณ ซอยทองหล่อ ถนนสุขุมวิท 55 สำหรับใช้ดำเนินกิจกรรมอันเป็นประโยชน์ต่อสังคมและราษฎรไทย เปิดอย่างเป็นทางการเมื่อวันที่ 24 มิถุนายน 2538[60]
- ในมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์มีการตั้งอนุสรณ์แก่เขา ได้แก่ หอสมุดปรีดี พนมยงค์ เป็นหอสมุดกลางของมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์,[61] วิทยาลัยนานาชาติปรีดี พนมยงค์ ใช้สำหรับการเรียนการสอนหลักสูตรนานาชาติ โดยจัดตั้งขึ้นในวาระครบ 100 ปี ชาตกาลของเขา[62][63] เช่นเดียวกับมหาวิทยาลัยธุรกิจบัณฑิตย์ มีการตั้งชื่อคณะนิติศาสตร์ตามชื่อเขา[64]
- ห้องประชุมเฉลิมพระเกียรติฯ 6-1 (ปรีดี พนมยงค์) ชั้น 6 อาคารเฉลิมพระเกียรติฯ ใช้เป็นห้องประชุมสำหรับพิธีปฐมนิเทศนักศึกษาใหม่ และพิธีประสาทปริญญาบัตรสำหรับผู้สำเร็จการศึกษา และกิจกรรมอื่นๆ ตั้งอยู่ภายในมหาวิทยาลัยธุรกิจบัณฑิตย์
อื่น ๆ
[แก้]- ถนนปรีดี พนมยงค์ มีอยู่ 3 สาย คือที่ถนนสุขุมวิท 71, ถนนใจกลางเมืองพระนครศรีอยุธยา และภายในมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ศูนย์รังสิต
- สะพานปรีดี-ธำรง สะพานข้ามแม่น้ำป่าสักอันเป็นทางเข้าออกหลักของเกาะเมืองพระนครศรีอยุธยา ตั้งตามชื่อปรีดี พนมยงค์ และถวัลย์ ธำรงนาวาสวัสดิ์[65]
- ถนนประดิษฐ์มนูธรรม เป็นถนนเลียบทางพิเศษฉลองรัช (ทางด่วนสายรามอินทรา-อาจณรงค์) มีความยาว 12 กิโลเมตร
- แสตมป์ ชุดที่ระลึก 111 ปีชาตกาล ปรีดี พนมยงค์ โดยบริษัท ไปรษณีย์ไทย จำกัด วางจำหน่ายครั้งแรก 11 พฤษภาคม พ.ศ. 2554[66]
ในวัฒนธรรมสมัยนิยม
[แก้]ใน พ.ศ. 2567 มีการสร้างแอนิเมชันแนวประวัติศาสตร์เรื่อง ๒๔๗๕ รุ่งอรุณแห่งการปฏิวัติ โดยนคราสตูดิโอ กำกับโดยวิวัธน์ จิโรจน์กุล เขียนบทโดยปัณฑา สิริกุล, วิวัธน์ จิโรจน์กุล และปราชญ์ สามสี เนื้อหานำเสนอเหตุการณ์การปฏิวัติสยาม พ.ศ. 2475 โดยหนึ่งในตัวละครสำคัญคือปรีดี พนมยงค์ ซึ่งได้รับการพากย์เสียงโดยสุเมธ องอาจ
ลำดับสาแหรก
[แก้]| ลำดับสาแหรกของปรีดี พนมยงค์ | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
| |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
เครื่องราชอิสริยาภรณ์
[แก้]ปรีดี พนมยงค์ ได้รับพระราชทานเครื่องราชอิสริยาภรณ์ทั้งไทยและต่างประเทศ ดังนี้
เครื่องราชอิสริยาภรณ์ไทย
[แก้]- พ.ศ. 2488 –
เครื่องราชอิสริยาภรณ์อันเป็นโบราณมงคลนพรัตนราชวราภรณ์ (น.ร.) (ฝ่ายหน้า)[13] - พ.ศ. 2488 –
เครื่องราชอิสริยาภรณ์จุลจอมเกล้า ชั้นที่ 1 ปฐมจุลจอมเกล้า (ป.จ.) (ฝ่ายหน้า)[13] - พ.ศ. 2484 –
เครื่องราชอิสริยาภรณ์อันเป็นที่เชิดชูยิ่งช้างเผือก ชั้นสูงสุด มหาปรมาภรณ์ช้างเผือก (ม.ป.ช.)[67] - พ.ศ. 2480 –
เครื่องราชอิสริยาภรณ์อันมีเกียรติยศยิ่งมงกุฎไทย ชั้นสูงสุด มหาวชิรมงกุฎ (ม.ว.ม.)[68] - พ.ศ. 2478 –
เหรียญพิทักษ์รัฐธรรมนูญ (พ.ร.ธ.)[69] - พ.ศ. 2481 –
เหรียญดุษฎีมาลา เข็มราชการแผ่นดิน (ร.ด.ม.(ผ))[70] - พ.ศ. 2484 –
เหรียญช่วยราชการเขตภายใน การรบสงครามอินโดจีน (ช.ร.)[71] - พ.ศ. 2481 –
เหรียญรัตนาภรณ์ รัชกาลที่ 8 ชั้นที่ 1 (อ.ป.ร.1)[72] - พ.ศ. 2475 –
เหรียญเฉลิมพระนคร 150 ปี (ร.ฉ.พ.)
ต่างประเทศ
[แก้]
ญี่ปุ่น :
- พ.ศ. 2478 –
เครื่องราชอิสริยาภรณ์อาทิตย์อุทัย ชั้นที่ 1[73][74]
- พ.ศ. 2478 –
ไรช์เยอรมัน :
ฝรั่งเศส :
- พ.ศ. 2473 –
เครื่องอิสริยาภรณ์วิชาการศึกษา ชั้นที่ 2[77] - พ.ศ. 2482 –
เครื่องอิสริยาภรณ์เลฌียงดอเนอร์ ชั้นสูงสุด[78][79]
- พ.ศ. 2473 –
เบลเยียม :
- พ.ศ. 2482 –
เครื่องราชอิสริยาภรณ์เลออปอล ชั้นสูงสุด[80]
- พ.ศ. 2482 –
อิตาลี :
- พ.ศ. 2482 –
เครื่องราชอิสริยาภรณ์นักบุญมอริซและลาซารัส ชั้นที่ 1[81]
- พ.ศ. 2482 –
สหราชอาณาจักร :
- พ.ศ. 2482 –
เครื่องราชอิสริยาภรณ์นักบุญไมเคิลและจอร์จ ชั้นที่ 1[82]
- พ.ศ. 2482 –
สหรัฐ :
สวีเดน :
- พ.ศ. 2490 –
เครื่องราชอิสริยาภรณ์วาซา ชั้นที่ 1[10]: 741
- พ.ศ. 2490 –
เชิงอรรถ
[แก้]- ↑ ไม่มีนามสกุล เนื่องจากพระราชบัญญัติขนานนามสกุลเริ่มมีใน พ.ศ. 2456
- ↑ ต่อมาได้กราบถวายบังคมลาออกจากบรรดาศักดิ์ใน พ.ศ. 2485
- ↑ โปรดดู: ดคีดำหมายเลขที่ 7236/2513 คดีหมายเลขที่ 113/2514 คดีหมายเลขที่ 4226/2521
- ↑ โปรดดูเอกสารต้นฉบับ เช่น รายงานคณะกรรมการวิสามัญฯ ลงวันที่ 27 กุมภาพันธ์ 2476 ที่จัดทำโดยสำนักงานเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎร
- ↑ พระราชบัญญัติสงฆ์ พุทธศักราช 2484 ใช้ได้เพียง 20 ปี ก็มีเหตุการณ์ไม่ราบรื่นเกิดขึ้นในสังฆมณฑล จนนำคณะสงฆ์กลับไปสู่การปกครองระบอบเผด็จการโดยคณะเดียวภายใต้พระราชบัญญัติสงฆ์ พุทธศักราช 2505[28]
- ↑ ควง อภัยวงศ์เล่าว่า พระเจ้าวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าอาทิตย์ทิพอาภาไม่กล้าลงพระนามแต่งตั้งเขาเป็นนายกรัฐมนตรี จึงลาออกจากตำแหน่งผู้สำเร็จราชการ[17] : 227–8
อ้างอิง
[แก้]- ↑ Banomyong, Pridi (2000). Baker, Chris; Phongpaichit, Pasuk (บ.ก.). Pridi by Pridi: Selected Writing on Life, Politics, and Economy. Bangkok: Silkworm Books. ISBN 9747551357.
- ↑ "พระบรมราชโองการ ประกาศ ยกย่องนายปรีดี พนมยงค์ เป็นรัฐบุรุษอาวุโส" (PDF). ราชกิจจานุเบกษา. 11 December 1945. สืบค้นเมื่อ 4 April 2023.
- ↑ "พระบรมราชโองการ ประกาศ ยกย่องนายปรีดี พนมยงค์ เป็นรัฐบุรุษอาวุโส" (PDF). Royal Thai Government Gazette. 11 December 1945. สืบค้นเมื่อ 4 April 2023.
- ↑ พนมยงค์, สถาบันปรีดี. "2 พฤษภาคม 2526 : 40 ปี อสัญกรรม รัฐบุรุษอาวุโส ศาสตราจารย์ ดร.ปรีดี พนมยงค์". สถาบันปรีดี พนมยงค์ PRIDI BANOMYONG INSTITUTE : Pridi.or.th. สืบค้นเมื่อ 2025-09-18.
- ↑ UNESCO: MS Data Thailand เก็บถาวร 2009-07-28 ที่ เวย์แบ็กแมชชีน, UNESCO
- ↑ ชีวประวัติย่อของปรีดี พนมยงค์ สกุล พนมยงค์ และ สกุล ณ ป้อมเพชร์ เก็บถาวร 2011-08-19 ที่ เวย์แบ็กแมชชีน, โครงการปรีดีพนมยงค์กับสังคมไทย, 2526, หน้า 163
- 1 2 3 4 5 6 วิชัย ภู่โยธิน. (2538). ก้าวแรกแห่งความสำเร็จ ดร.ปรีดี พนมยงค์ เก็บถาวร 2012-10-19 ที่ เวย์แบ็กแมชชีน, ไทยวัฒนาพานิช, ISBN 974-08-2445-5
- 1 2 3 4 5 นาวี รังสิวรารักษ์. (2544). รัฐบุรุษผู้ยิ่งใหญ่ ปรีดี พนมยงค์ เก็บถาวร 2011-08-19 ที่ เวย์แบ็กแมชชีน, สำนักพิมพ์ดับเบิ้ลนายน์, ISBN 974-604-957-7
- ↑ ปรีดี พนมยงค์, เรื่องการมีจิตสำนึกอภิวัฒน์ของข้าพเจ้า ชีวิตผันผวนของข้าพเจ้าและ 21 ปีที่ลี้ภัยในสาธารณรัฐราษฎรจีน เก็บถาวร 2011-08-19 ที่ เวย์แบ็กแมชชีน, สำนักพิมพ์เทียนวรรณ, 2529, หน้า 14
- 1 2 3 4 5 6 7 8 9 10 11 12 13 14 15 16 17 18 19 20 21 22 23 24 25 26 27 28 29 30 31 32 33 34 35 36 37 38 39 40 41 42 43 44 45 46 47 48 49 50 51 52 ไสว สุทธิพิทักษ์, ดร.ปรีดี พนมยงค์ เก็บถาวร 2021-07-21 ที่ เวย์แบ็กแมชชีน, บพิธการพิมพ์, 2493
- 1 2 3 4 5 6 7 8 9 10 11 12 13 14 บุนนาค, เดือน (1999). "ท่านปรีดีนักกฎหมาย". ใน โสภณศิริ, สันติสุข (บ.ก.). ปรีดีปริทัศน์: รวมทัศนะนักวิชาการต่อปรีดี พนมยงค์ (PDF) (1 ed.). คณะกรรมการดำเนินงานฉลอง 100 ปี ชาตกาลนายปรีดี พนมยงค์ รัฐบุรุษอาวุโส ภาคเอกชน. ISBN 9747833441. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิม (PDF)เมื่อ 2011-08-19. สืบค้นเมื่อ 2009-11-19.
- 1 2 3 4 5 6 7 8 9 10 11 12 13 14 15 16 17 18 19 20 21 22 23 24 25 26 27 28 29 30 31 Na Pombhejara, Vichitvong (1983). Pridi Banomyong And The Making Of Thailand's Modern History (PDF). ISBN 9742601755.
- 1 2 3 ปรีดี พนมยงค์, ชีวประวัติย่อของปรีดี พนมยงค์, สำนักพิมพ์มูลนิธิเด็ก, 2544, ISBN 974-7834-15-4
- ↑ ราชกิจจานุเบกษา, พระราชทานบรรดาศักดิ์ เก็บถาวร 2016-03-04 ที่ เวย์แบ็กแมชชีน, เล่ม 45, วันที่ 2 ธันวาคม พ.ศ. 2471, หน้า 2718
- ↑ ราชกิจจานุเบกษา ประกาศสำนักนายกรัฐมนตรี เรื่อง พระราชทานพระบรมราชานุญาตให้ข้าราชการกราบถวายบังคมลาออกจากบรรดาศักดิ์ เก็บถาวร 2014-09-01 ที่ เวย์แบ็กแมชชีน
- ↑ ทิพวรรณ (บุญทวี) เจียมธีรสกุล, วิทยานิพนธ์เรื่องความคิดทางการเมืองของปรีดี พนมยงค์ : ระยะเริ่มแรก เก็บถาวร 2011-08-19 ที่ เวย์แบ็กแมชชีน, 2528, หน้า 409–421, 423–424
- 1 2 3 4 5 6 7 8 9 10 11 12 13 14 15 16 17 18 19 20 21 22 23 24 25 26 27 28 29 30 31 32 33 34 35 36 37 38 39 40 41 42 ด่านตระกูล, สุพจน์ (1971). ชีวิตและงานของ ดร.ปรีดี พนมยงค์. พระนคร: ประจักษ์การพิมพ์.
- ↑ ชัยพงษ์ สำเนียง เล่าเรื่องอภิวัฒน์ 2475, ประชาไท, 20 มิ.ย. 2552, เรียกข้อมูลวันที่ 10 พ.ย. 2552
- ↑ ประมาณ อดิเรกสาร, Unseen ราชครู, สื่อวัฏสาร, 2547, หน้า 186, ISBN 974-92685-3-9
- 1 2 สถาบันวิทยาศาสตร์สังคม (ประเทศไทย), เค้าโครงการเศรษฐกิจของหลวงประดิษฐ์มนูธรรม, ศิษย์อาจารย์ฉบับที่ 3, สำนักพิมพ์สุขภาพใจ, 2541
- 1 2 Ashayagachat, Achara (11 May 2013). "Father of Thai democracy, forever misunderstood". Bangkok Post. สืบค้นเมื่อ 2020-06-21.
- ↑ เฉลิมเกียรติ ผิวนวล, ความคิดทางการเมืองของปรีดี พนมยงค์ เก็บถาวร 2011-08-19 ที่ เวย์แบ็กแมชชีน, สำนักพิมพ์มูลนิธิโกมลคีมทอง, 2529, หน้า 146-147
- ↑ ใจจริง, ณัฐพล (2013). ขอฝันใฝ่ในฝันอันเหลือเชื่อ: ความเคลื่อนไหวของขบวนการปฏิปักษ์ปฏิวัติสยาม (พ.ศ. 2475-2500) (1 ed.). ฟ้าเดียวกัน. ISBN 9786167667188.
- 1 2 3 4 5 อ้างอิงผิดพลาด: ป้ายระบุ
<ref>ไม่ถูกต้อง ไม่มีการกำหนดข้อความสำหรับอ้างอิงชื่อมรกต - ↑ ปรีดี พนมยงค์ : ชีวิต งาน และธรรมศาสตร์
- 1 2 3 4 อ้างอิงผิดพลาด: ป้ายระบุ
<ref>ไม่ถูกต้อง ไม่มีการกำหนดข้อความสำหรับอ้างอิงชื่อปรีดี-เปรม - ↑ อ้างอิงผิดพลาด: ป้ายระบุ
<ref>ไม่ถูกต้อง ไม่มีการกำหนดข้อความสำหรับอ้างอิงชื่อปรีดีกับธรรมศาสตร์ - ↑ "ปรีดี พนมยงค์ กับพระพุทธศาสนา". คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2016-06-13. สืบค้นเมื่อ 2016-06-19.
- 1 2 วิชิตวงศ์ ณ ป้อมเพชร, ปรีดี พนมยงค์ กับปฏิบัติการเสรีไทย เก็บถาวร 2011-08-19 ที่ เวย์แบ็กแมชชีน, คณะกรรมการดำเนินงานฉลอง 100 ปี ชาตกาล ปรีดี พนมยงค์ รัฐบุรุษอาวุโส ภาคเอกชน, 2543, ISBN 974-7833-69-7, หน้า 47–56
- ↑ ชาญวิทย์ เกษตรศิริ, 16 สิงหาคม 2488 ประวัติศาสตร์ที่ "ให้จำ" กับ "ให้ลืม", ประชาไท, เรียกข้อมูลวันที่ 17 พ.ย. 2552
- ↑ จดหมายของปรีดี พนมยงค์ ถึง พระพิศาลสุขุมวิท เรื่องหนังสือจดหมายเหตุของเสรีไทยเกี่ยวกับปฏิบัติการในแคนดี นิวเดลฮี และ สหรัฐอเมริกา เก็บถาวร 2011-08-19 ที่ เวย์แบ็กแมชชีน, อมรินทร์การพิมพ์, 2522
- ↑ United States Department of State, Foreign relations of the United States : diplomatic papers, 1945 เก็บถาวร 2011-07-16 ที่ เวย์แบ็กแมชชีน, Volume VI, 1945, pp.1278-1279
- ↑ สุพจน์ ด่านตระกูล, ปรีดี พนมยงค์ กับ ในหลวงอานันท์ และกรณีสวรรคต เก็บถาวร 2011-08-19 ที่ เวย์แบ็กแมชชีน, สถาบันวิทยาศาสตร์สังคม (ประเทศไทย), 2541
- ↑ "พล.อ. เปรม กับเครื่องราชฯ โบราณมงคลนพรัตนราชวราภรณ์ ซึ่งสามัญชนน้อยคนได้รับพระราชทาน". ศิลปวัฒนธรรม. 28 May 2019. สืบค้นเมื่อ 12 May 2021.
- 1 2 3 4 5 6 7 8 9 อ้างอิงผิดพลาด: ป้ายระบุ
<ref>ไม่ถูกต้อง ไม่มีการกำหนดข้อความสำหรับอ้างอิงชื่อJSS - ↑ ศิวรักษ์, ส. (2012). "ชีวิตและงานของสมเด็จฯกรมพระยาดำรงราชานุภาพ ในฐานะที่เป็นพยานทางประวัติศาสตร์ในเรื่องการสร้างสรรค์สติปัญญาอย่างของไทยเราเอง" (PDF). วารสารดำรงราชานุภาพ. 12 (43). ISSN 1513-6884. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิม (PDF)เมื่อ 2020-06-29. สืบค้นเมื่อ 2020-06-02.
- 1 2 อ้างอิงผิดพลาด: ป้ายระบุ
<ref>ไม่ถูกต้อง ไม่มีการกำหนดข้อความสำหรับอ้างอิงชื่อสุพจน์43 - 1 2 3 อ้างอิงผิดพลาด: ป้ายระบุ
<ref>ไม่ถูกต้อง ไม่มีการกำหนดข้อความสำหรับอ้างอิงชื่อสศิวรักษ์ - ↑ ประสิทธิ์ ลุลิตานนท์, ลายพระหัตถ์ ม.จ.ศุภสวัสดิ์ฯ เก็บถาวร 2012-10-19 ที่ เวย์แบ็กแมชชีน, แผนกงานจ้าง อัลลายด์พริ้นเตอรส์, โรงพิมพ์โพสต์พับลิชชิ่ง จำกัด, วันที่ 30 ตุลาคม พ.ศ. 2517, หน้า 3–4
- ↑ วิชิตวงศ์ ณ ป้อมเพชร, บางหน้าในประวัติศาสตร์ไทย อัตชีวประวัติของรัฐบุรุษอาวุโส ปรีดี พนมยงค์ เก็บถาวร 2011-08-19 ที่ เวย์แบ็กแมชชีน, แสงดาว, 2549, ISBN 974-9818-83-0, หน้า 409–416
- ↑ วันชัย ตันติวิทยาพิทักษ์, 100 ปี ของ สามัญชนนาม ปรีดี พนมยงค์, นิตยสารสารคดี, เรียกข้อมูลวันที่ 28 ม.ค. 53
- ↑ ประทีป สายเสน, กบฏวังหลวงกับสถานะของปรีดี พนมยงค์ เก็บถาวร 2011-08-19 ที่ เวย์แบ็กแมชชีน, สำนักพิมพ์อักษรสาส์น, 2532, ISBN 974-7248-22-7
- ↑ สมศักดิ์ เจียมธีรสกุล: พูนศุข พนมยงค์ ให้สัมภาษณ์กรณีสวรรคต พฤษภาคม 2500
- ↑ สุพจน์ ด่านตระกูล, ม.จ. ศุภสวัสดิ์ฯ รับสั่งว่า ในหลวงและสมเด็จพระราชชนนีไม่ทรงเชื่อว่า...ปรีดีฯ สมคบปลงพระชนม์ ร.8 เก็บถาวร 2011-08-19 ที่ เวย์แบ็กแมชชีน, สำนักพิมพ์สันติธรรม, 2529, หน้า 46, 69
- ↑ นรุตม์, หลากบทชีวิต ท่านผู้หญิงพูนศุข พนมยงค์ เก็บถาวร 2012-10-19 ที่ เวย์แบ็กแมชชีน, แพรวสำนักพิมพ์, อมรินทร์พริ้นติ้งกรุ๊พ, หน้า, 2535, ISBN 974-8359-86-7
- ↑ พระเจ้าช้างเผือก ถ่ายช้างได้ดีที่สุดในโลก เก็บถาวร 2010-02-06 ที่ เวย์แบ็กแมชชีน, มูลนิธิหนังไทย, เรียกข้อมูลวันที่ 11 พ.ย. 2552
- ↑ สุรัยยา (เบ็ญโส๊ะ) สุไลมาน, [http://www.openbase.in.th/files/pridibook008.pdf กระบวนทัศน์สันติวิธีของปรีดี พนมยงค์ กรณีศึกษา
- ↑ บรรณานุกรมงานของปรีดี พนมยงค์ เก็บถาวร 2009-12-19 ที่ เวย์แบ็กแมชชีน, ห้องสมุดอิเล็กทรอนิกส์ ปรีดี-พูนศุข, สืบค้นเมื่อ 11 พฤศจิกายน 2552
- ↑ ปรีดีเคยเจอเขาทั้งสอง ! ก.ศ.ร. กุหลาบ และ เทียนวรรณ สถาบันปรีดี สืบค้นเมื่อ 19 ตุลาคม 2563
- ↑ สัมพันธ์ ก้องสมุทร, ดอกโมกข์ ดอกไม้แห่งพุทธะและธรรมมาตา เก็บถาวร 2012-10-19 ที่ เวย์แบ็กแมชชีน, ปีที่ 2 ไตรมาสที่ 1 ฉบับที่ 5, หน้า 93
- ↑ ข่าวสด, เปิดหนังสือกฎบัตรพุทธบริษัท, วันที่ 12 กันยายน พ.ศ. 2553 ปีที่ 20 ฉบับที่ 7227 ข่าวสดรายวัน
- ↑ คณะกรรมการโครงการ "ปรีดี พนมยงค์กับสังคมไทย". มิตรกำสรวล เนื่องในมรณกรรมของรัฐบุรุษอาวุโส ปรีดี พนมยงค์ (PDF). กรุงเทพฯ : อมรินทร์การพิมพ์: โครงการ "ปรีดี พนมยงค์กับสังคมไทย". คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิม (PDF)เมื่อ 2020-10-27. สืบค้นเมื่อ 2020-06-20.
- ↑ Asia Week, Asian of the century เก็บถาวร 2010-01-27 ที่ เวย์แบ็กแมชชีน
- ↑ This system is currently under maintenance
- ↑ กฤษณา อโศกสิน, หน้าต่างบานใหม่ เก็บถาวร 2011-07-28 ที่ เวย์แบ็กแมชชีน, สกุลไทย, ฉบับที่ 2387 ปีที่ 46 ประจำวันอังคารที่ 18 กรกฎาคม 2543
- ↑ ชวลิต วิทยานนท์, ปลาปล้องทองปรีดี ปลาชนิดใหม่ของโลก, นิตยสารสารคดี ปีที่ 19 ฉบับที่ 222, หน้า 38
- ↑ "นกสวยงามกับเสรีไทย". คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2016-07-31. สืบค้นเมื่อ 2016-07-17.
- ↑ อนุสรณ์สถานปรีดีพนมยงค์[ลิงก์เสีย]
- ↑ ลานปรีดี พนมยงค์ จาก es.foursquare.com
- ↑ ประวัติสถาบันปรีดี พนมยงค์, เว็บไซต์สถาบันปรีดี พนมยงค์
- ↑ "ประวัติหอสมุดปรีดี พนมยงค์". คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2017-05-06. สืบค้นเมื่อ 2016-06-19.
{{cite web}}: ระบุ|accessdate=และ|access-date=มากกว่าหนึ่งรายการ (help); ระบุ|archivedate=และ|archive-date=มากกว่าหนึ่งรายการ (help); ระบุ|archiveurl=และ|archive-url=มากกว่าหนึ่งรายการ (help) - ↑ "Pridi Banomyong International College". คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2018-07-08. สืบค้นเมื่อ 2016-06-19.
{{cite web}}: ระบุ|accessdate=และ|access-date=มากกว่าหนึ่งรายการ (help); ระบุ|archivedate=และ|archive-date=มากกว่าหนึ่งรายการ (help); ระบุ|archiveurl=และ|archive-url=มากกว่าหนึ่งรายการ (help) - ↑ DMNEWS บล็อกข่าวส่งเสริมคนดี. (11 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2552). วิทยาลัยนานาชาติ"ปรีดี พนมยงค์" มิติใหม่ธรรมศาสตร์ สร้างนักศึกษาสู่ตลาดโลก. [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก . (เข้าถึงเมื่อ: 21 กรกฎาคม 2553).
- ↑ เกี่ยวกับคณะ–คณะนิติศาสตร์ ปรีดี พนมยงค์[ลิงก์เสีย]
- ↑ เกื้อกูล ยืนยงอนันต์. (2527). ความเปลี่ยนแปลงภายในเกาะเมืองพระนครศรีอยุธยาระหว่าง พ.ศ. 2438-2500. พระนครศรีอยุธยา : ภาควิชาประวัติศาสตร์ คณะวิชามนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ วิทยาลัยครูพระนครศรีอยุธยา. ถ่ายเอกสาร.
- ↑ ปณท ออกแสตมป์100ปี หลวงพ่อปัญญา-ปรีดี พนมยงค์
- ↑ ราชกิจจานุเบกษา, แจ้งความสำนักนายกรัฐมนตรี เรื่อง พระราชทานเครื่องราชอิสริยาภรณ์, เล่ม ๕๘ ตอนที่ ๐ ง หน้า ๑๙๔๕, ๑๙ มิถุนายน ๒๔๘๔
- ↑ ราชกิจจานุเบกษา, ประกาศ พระราชทานเครื่องราชอิสริยาภรณ์, เล่ม ๕๔ ตอนที่ ๐ ง หน้า ๒๒๑๓, ๑๓ ธันวาคม ๒๔๘๐
- ↑ ราชกิจจานุเบกษา, แจ้งความ พระราชทานเหรียญพิทักษ์รัฐธรรมนูญ, เล่ม ๕๒ ตอนที่ ๐ ง หน้า ๑๓๙, ๒๑ เมษายน ๒๔๗๘
- ↑ ราชกิจจานุเบกษา, แจ้งความสำนักนายกรัฐมนตรี เรื่อง พระราชทานเหรียญดุษฎีมาลา เข็มราชการแผ่นดิน, เล่ม ๕๕ ตอนที่ ๐ ง หน้า ๔๐๓๒, ๒๗ กุมภาพันธ์ ๒๔๘๑
- ↑ ราชกิจจานุเบกษา, แจ้งความสำนักนายกรัฐมนตรี เรื่อง พระราชทานเหรียญช่วยราชการเขตภายใน, เล่ม ๕๘ ตอนที่ ๐ ง หน้า ๑๙๔๗, ๒๓ มิถุนายน ๒๔๘๔
- ↑ ราชกิจจานุเบกษา, แจ้งความสำนักนายกรัฐมนตรี เรื่อง พระราชทานเหรียญรัตนาภรณ์, เล่ม ๕๕ ตอนที่ ๐ ง หน้า ๒๙๕๙, ๒๘ พฤศจิกายน ๒๔๘๑
- ↑ ราชกิจจานุเบกษา, แจ้งความ เรื่อง ให้ประดับตราต่างประเทศ, เล่ม ๕๒ ตอนที่ ๐ ง หน้า ๓๓๗๔, ๑๖ กุมภาพันธ์ ๒๔๗๘
- ↑ ปรีดี พนมยงค์. Ma Vie Movementee et mes 21 Ans D' Exil en Chine Populaire, แปลและเรียบเรียงโดย วิชิตวงศ์ ณ ป้อมเพชร จากหนังสือ บางหน้าของประวัติศาสตร์ ประสบการณ์ของบุคคลสำคัญต่าง ๆ ในอดีต -- กรุงเทพฯ : สำนักพิมพ์พิทยาคาร, พ.ศ. 2522
- ↑ ราชกิจจานุเบกษา, แจ้งความสำนักนายกรัฐมนตรี เรื่อง ให้ประดับเครื่องราชอิสริยาภรณ์ต่างประเทศ, เล่ม ๕๕ ตอนที่ ๐ ง หน้า ๑๖๒, ๑๘ เมษายน ๒๔๘๑
- ↑ ปรีดี พนมยงค์, ชีวิตผันผวนของข้าพเจ้า และ 21 ปีที่ลี้ภัยในสาธารณรัฐราษฎรจีน เก็บถาวร 2011-08-19 ที่ เวย์แบ็กแมชชีน, บทที่ 3 การเข้าพบมุสโสลินีฯ, สำนักพิมพ์เทียนวรรณ, 2529, หน้า 43
- ↑ ราชกิจจานุเบกษา, พระราชทานพระบรมราชานุญาตประดับตราต่างประเทศ, เล่ม ๔๗ ตอนที่ ๐ ง หน้า ๔๑๖๔, ๘ กุมภาพันธ์ ๒๔๗๓
- ↑ ราชกิจจานุเบกษา, แจ้งความสำนักนายกรัฐมนตรี เรื่อง ให้ประดับเครื่องอิสริยาภรณ์ต่างประเทศ, เล่ม ๕๖ ตอนที่ ๐ ง หน้า ๙๒๘, ๒๖ มิถุนายน ๒๔๘๒
- ↑ ปรีดี พนมยงค์ ชีวิตผันผวนของข้าพเจ้า และ 21 ปีที่ลี้ภัยในสาธารณรัฐราษฎรจีน เก็บถาวร 2011-08-19 ที่ เวย์แบ็กแมชชีน, สำนักพิมพ์เทียนวรรณ, 2529, หน้า 9
- ↑ ราชกิจจานุเบกษา, แจ้งความสำนักนายกรัฐมนตรี เรื่อง ให้ประดับเครื่องราชอิสริยาภรณ์ต่างประเทศ, เล่ม ๕๖ ตอนที่ ๐ ง หน้า ๑๗๙๘, ๒๕ กันยายน ๒๔๘๒
- ↑ ราชกิจจานุเบกษา, แจ้งความสำนักนายกรัฐมนตรี เรื่อง ให้ประดับเครื่องราชอิสริยาภรณ์ต่างประเทศ, เล่ม ๕๖ ตอนที่ ๐ ง หน้า ๒๕๕๖, ๒๐ พฤศจิกายน ๒๔๘๒
- ↑ ราชกิจจานุเบกษา, แจ้งความสำนักนายกรัฐมนตรี เรื่อง ให้ประดับเครื่องราชอิสริยาภรณ์ต่างประเทศ, เล่ม ๕๖ ตอนที่ ๐ ง หน้า ๒๖๕๐, ๔ ธันวาคม ๒๔๘๒
บรรณานุกรม
[แก้]- Banomyong, Pridi (2000). Pridi by Pridi: Selected Writings on Life, Politics, and Economy (ภาษาอังกฤษ). Silkworm Books. ISBN 978-974-7551-35-8.
- Mektrairat, Nakarin (2010). Siamese revolution of 1932 (การปฏิวัติสยาม พ.ศ. 2475) (5 ed.). Samesky (ฟ้าเดียวกัน). ISBN 9786169023869.
แหล่งข้อมูลอื่น
[แก้]- สถาบันปรีดี พนมยงค์ เว็บไซต์สถาบันปรีดี พนมยงค์
- ห้องสมุดอิเล็กทรอนิกส์ ปรีดี-พูนศุข เก็บถาวร 2009-06-08 ที่ เวย์แบ็กแมชชีน รวบรวมประวัติ ภาพ และผลงานของ ปรีดี พนมยงค์ และภรรยา พูนศุข พนมยงค์
- 100 ปีของสามัญชน นาม ปรีดี พนมยงค์ นิตยสารสารคดี ฉบับที่ 182 เดือน เมษายน 2543
- สัมภาษณ์ปรีดี พนมยงค์ รัฐบุรุษอาวุโส เมื่อ พ.ศ. 2525 ในโอกาสครบรอบ 50 ปี การปฏิวัติเปลี่ยนแปลงการปกครอง พ.ศ. 2475
- สัมภาษณ์พิเศษ ฯพณฯ ปรีดี พนมยงค์ เก็บถาวร 2011-08-19 ที่ เวย์แบ็กแมชชีน ในโอกาสครบรอบ 48 ปีแห่งการเปลี่ยนแปลงการปกครอง (24 มิ.ย. 2523)
| ก่อนหน้า | ปรีดี พนมยงค์ | ถัดไป | ||
|---|---|---|---|---|
| ควง อภัยวงศ์ | นายกรัฐมนตรีไทย คนที่ 7 (ครม. 15) (24 มีนาคม พ.ศ. 2489 – 23 สิงหาคม พ.ศ. 2489) |
ถวัลย์ ธำรงนาวาสวัสดิ์ | ||
| พระยาไชยยศสมบัติ | รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง สมัยที่ 1 (20 ธันวาคม พ.ศ. 2481 – 16 ธันวาคม พ.ศ. 2484) |
เภา เพียรเลิศ บริภัณฑ์ยุทธกิจ | ||
| พระยาศรีวิสารวาจา | รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง สมัยที่ 2 (24 มีนาคม พ.ศ. 2489 – 23 สิงหาคม พ.ศ. 2489) |
วิจิตร ลุลิตานนท์ | ||
| พระยาศรีเสนา | รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ (12 กรกฎาคม พ.ศ. 2479 – 21 ธันวาคม พ.ศ. 2481) |
เจ้าพระยาศรีธรรมาธิเบศ | ||
| พระยาพหลพลพยุหเสนา | รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย (29 มีนาคม พ.ศ. 2477 – 12 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2478) |
ถวัลย์ ธำรงนาวาสวัสดิ์ | ||
| สถาปนาตำแหน่ง | ผู้ประศาสน์การมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ (11 เมษายน พ.ศ. 2477 – 18 มีนาคม พ.ศ. 2495) |
เดือน บุนนาค (รักษาการ) | ||
| เจ้าพระยาพิชเยนทรโยธิน | ผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ (16 ธันวาคม พ.ศ. 2484 – 20 กันยายน พ.ศ. 2488) |
สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระยาชัยนาทนเรนทร |
- บทความคัดสรร
- ชาวไทยที่ได้รับการฉลองวาระครบรอบโดยยูเนสโก
- บุคคลที่เกิดในปี พ.ศ. 2443
- บุคคลที่เสียชีวิตในปี พ.ศ. 2526
- ปรีดี พนมยงค์
- สกุลพนมยงค์
- นายกรัฐมนตรีไทย
- รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทยไทย
- รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศไทย
- รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังไทย
- รัฐมนตรีไทยที่ไม่ได้ประจำกระทรวง
- สมาชิกคณะราษฎร
- สมาชิกขบวนการเสรีไทย
- สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรไทยแบบแต่งตั้ง
- สามัญสมาชิกเนติบัณฑิตยสภา
- นักปฏิวัติ
- นักปรัชญา
- นักกฎหมายชาวไทย
- นักกฎหมายมหาชน
- นักการทูตชาวไทย
- นักเศรษฐศาสตร์ชาวไทย
- นักประวัติศาสตร์ชาวไทย
- นักวิชาการชาวไทย
- นักเขียนชาวไทย
- ผู้อำนวยการสร้างภาพยนตร์ชาวไทย
- ผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ของไทย
- ผู้ได้รับเครื่องอิสริยาภรณ์เลฌียงดอเนอร์
- บรรดาศักดิ์ชั้นหลวง
- บุคคลจากโรงเรียนมัธยมวัดเบญจมบพิตร
- บุคคลจากโรงเรียนสวนกุหลาบวิทยาลัย
- บุคคลจากโรงเรียนอยุธยาวิทยาลัย
- ศิษย์เก่ามหาวิทยาลัยก็อง
- บุคคลจากมหาวิทยาลัยปารีส
- อธิการบดีมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์
- ศาสตราจารย์
- บุคคลจากอำเภอพระนครศรีอยุธยา
- ชาวไทยเชื้อสายจีน
- ข้าราชการฝ่ายตุลาการชาวไทย
- บุคคลในสงครามโลกครั้งที่สอง
- ชาวไทยที่เสียชีวิตในประเทศฝรั่งเศส
- สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรจังหวัดพระนครศรีอยุธยา
- ผู้เขียนอัตชีวประวัติชาวไทย
- สมาชิกเครื่องราชอิสริยาภรณ์อาทิตย์อุทัยชั้นที่ 1
- สายลับในสงครามโลกครั้งที่สอง
- สายลับชาวไทย
- ผู้ลี้ภัยชาวไทย
- บุคคลในประวัติศาสตร์ไทย พ.ศ. 2475–2516
- บุคคลในประวัติศาสตร์ไทย พ.ศ. 2516–2544
- ผู้ก่อตั้งพรรคการเมืองในประเทศไทย
- ชาวไทยในสงครามโลกครั้งที่สอง