สมเด็จพระจักรพรรดินีมาซาโกะ
| สมเด็จพระจักรพรรดินีมาซาโกะ | |
|---|---|
พระบรมฉายาลักษณ์ พ.ศ. 2562 | |
| จักรพรรดินีญี่ปุ่น | |
| ดำรงพระยศ | 1 พฤษภาคม พ.ศ. 2562 - ปัจจุบัน |
| พิธีสถาปนา | 22 ตุลาคม พ.ศ. 2562 |
| พระราชสมภพ | 9 ธันวาคม พ.ศ. 2506 โรงพยาบาลโทราโนะมง โตเกียว ประเทศญี่ปุ่น |
| พระราชสวามี | สมเด็จพระจักรพรรดินารูฮิโตะ (9 มิถุนายน พ.ศ. 2536 - ปัจจุบัน) |
| พระราชบุตร | เจ้าหญิงไอโกะ |
| ราชวงศ์ | ญี่ปุ่น (อภิเษกสมรส) |
| พระราชบิดา | ฮิซาชิ โอวาดะ |
| พระราชมารดา | ยูมิโกะ โอวาดะ |
| ศาสนา | ชินโต |
| ลายพระอภิไธย | |
| ราชวงศ์ญี่ปุ่น |
|---|
|
สมเด็จพระจักรพรรดิอากิฮิโตะ เจ้าชายมาซาฮิโตะ ฮิตาจิโนะมิยะ |
สมเด็จพระจักรพรรดินีมาซาโกะ (ญี่ปุ่น: 皇后陛下[1] (雅子); โรมาจิ: Kōgō Heka (Masako); อังกฤษ: Her Majesty the Empress Masako[2]) ทรงเป็นพระอัครมเหสีในสมเด็จพระจักรพรรดินารูฮิโตะ และทรงเป็นจักรพรรดินีญี่ปุ่นพระองค์ปัจจุบัน
ทรงได้รับการสถาปนาพระอิสริยยศขึ้นเป็นสมเด็จพระจักรพรรดินี หลังจากสมเด็จพระจักรพรรดินารูฮิโตะ พระราชสวามี เสด็จขึ้นครองราชย์เมื่อวันที่ 1 พฤษภาคม พ.ศ. 2562
สัญลักษณ์ประจำพระองค์ กุหลาบญี่ปุ่น (ハマナス)[1]
ที่ประทับหลัก พระตำหนักหลวง (御所) พระราชวังหลวงโตเกียว เขตชิโยดะ กรุงโตเกียว[3]
พระราชประวัติ
[แก้]มาซาโกะ โอวาดะ
[แก้]มาซาโกะ โอวาดะ (ญี่ปุ่น: 小和田 雅子) เกิดเมื่อวันที่ 9 ธันวาคม พ.ศ. 2506[1] (ปีโชวะที่ 38) ณ โรงพยาบาลโทรา-โนะ-มง (虎の門病院)[4] เขตมินาโตะ กรุงโตเกียว น้ำหนัก 3,870 กรัม ความยาวของลำตัว 51 เซนติเมตร[5]
เธอเป็นธิดาคนโตของนายฮิซาชิ โอวาดะ ข้าราชการกระทรวงการต่างประเทศ กับนางยูมิโกะ โอวาดะ (สกุลเดิม เองาชิระ) โดยเธอมีน้องสาวสองคน (ฝาแฝด) ได้แก่ เซ็ตสึโกะ โอวาดะ และเรโกะ โอวาดะ[6] เมื่อแรกเกิดเธอพักอาศัยกับบิดาและมารดาที่บ้านพักข้าราชการกระทรวงต่างประเทศ เขตเซตางายะ กรุงโตเกียว[7]
เมื่อเธออายุได้ 1 ขวบ บิดาได้รับการแต่งตั้งเป็นเลขานุการเอกประจำสถานทูตญี่ปุ่น ณ กรุงมอสโก สหภาพโซเวียต เธอจึงต้องย้ายตามครอบครัวไปพำนักที่สหภาพโซเวียต[5] โดยบ้านพักของครอบครัวโอวาดะอยู่แถบถนน Kutuzovsky ใจกลางกรุงมอสโก[8] เมื่อเธออายุเข้า 3 ขวบ เธอได้เข้าร่วมทำกิจกรรมกลุ่มที่โรงเรียนอนุบาลของรัสเซีย ในช่วงแรกเธอถึงกับร้องไห้เนื่องจากเธอไม่คุ้นเคยกับการใช้ชีวิตร่วมกับบุคคลอื่นและไม่เข้าใจภาษารัสเซีย แต่ไม่นานนัก เธอก็สามารถพัฒนาภาษารัสเซียได้อย่างรวดเร็ว อีกทั้งเธอได้พูดคุยกับน้องสาวเป็นภาษารัสเซีย จนบางครั้งถึงกับละเมอเป็นภาษารัสเซีย[5]
เดือนพฤษภาคม พ.ศ. 2511 บิดาได้รับการแต่งตั้งเป็นเลขานุการเอก คณะผู้แทนถาวรญี่ปุ่นประจำสหประชาชาติ ณ นครนิวยอร์ก เธอจึงได้ย้ายตามครอบครัวไปพำนักอยู่ที่เมืองริเวอร์เดล นครนิวยอร์ก สหรัฐอเมริกา ซึ่งเธอได้เข้าศึกษาที่โรงเรียนอนุบาลใกล้บ้าน ในช่วงแรกๆ เธอไม่เข้าใจในภาษาอังกฤษเลยจนระยะเวลาผ่านไป 4 เดือน เธอได้พูดภาษาอังกฤษเป็นครั้งแรก ด้วยประโยคว่า "May I go to the bathroom ?"[5]
พ.ศ. 2513 เธอเข้าศึกษาที่โรงเรียนประถมศึกษา P.S. 081 Robert J. Christen ที่นครนิวยอร์ก สหรัฐอเมริกา[8]
เดือนกุมภาพันธ์ พ.ศ. 2514 บิดาได้รับการแต่งตั้งให้เป็นรักษาการเลขานุการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ เธอจึงย้ายตามครอบครัวกลับประเทศญี่ปุ่น และเข้าศึกษาต่อในระดับชั้นประถมศึกษาปีที่ 1 ที่โรงเรียนประถมศึกษาฮารามาจิ (目黒区立原町) เขตเมงูโระ กรุงโตเกียว[5][9]
เดือนเมษายน พ.ศ. 2514 เธอย้ายเข้าเรียนระดับชั้นประถมศึกษาปีที่ 2 ณ โรงเรียนประถมศึกษาโทมิฮิซะ (立富久小学校) เขตชินจูกุ กรุงโตเกียว[9]
เดือนเมษายน พ.ศ. 2515 เธอย้ายเข้าเรียนระดับชั้นประถมศึกษาปีที่ 3 ณ โรงเรียนประถมศึกษาเด็นเอนโชฟูฟูตาบะ (田園調布雙葉小学校) เขตเซตางายะ กรุงโตเกียว[5]
เดือนเมษายน พ.ศ. 2519 เธอเข้าศึกษาระดับมัธยมศึกษาตอนต้นและตอนปลาย ณ โรงเรียนมัธยมศึกษาเด็นเอนโชฟูฟูตาบะ (田園調布雙葉中学校・高等学校) เขตเซตางายะ กรุงโตเกียว[10][11]
เดือนกรกฎาคม พ.ศ. 2522 บิดาได้รับการแต่งตั้งให้เป็นอัครราชทูตประจำสถานเอกอัครราชทูตญี่ปุ่น ณ สหรัฐอเมริกา และศาสตราจารย์พิเศษที่มหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ด เธอจึงย้ายตามครอบครัวไปพำนักอยู่ที่เมืองบอสตัน รัฐแมสซาชูเซตส์ สหรัฐอเมริกา และเข้าศึกษาต่อระดับมัธยมศึกษาปีที่ 5 ณ โรงเรียนมัธยมศึกษาตอนปลายเบลมอนต์ (Belmont High School)[11][12]
พ.ศ. 2524 เธอจบการศึกษาระดับมัธยมศึกษาตอนปลาย จากโรงเรียนมัธยมศึกษาตอนปลายเบลมอนต์ (Belmont High School)[13]
เดือนกันยายน พ.ศ. 2524 เธอศึกษาต่อระดับปริญญาตรี สาขาเศรษฐศาสตร์เชิงคณิตศาสตร์ มหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ด[13][14]
หลังจากที่ทรงเข้าศึกษาที่มหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ด ครอบครัวของเธอก็ได้ย้ายไปที่มอสโกตามบิดา จึงทำให้เธออาศัยอยู่ที่สหรัฐอเมริกาเพียงลำพังเป็นครั้งแรก โดยเธอพักอาศัยที่หอพักชื่อ "เธเยอร์ เฮาส์"[14][15]

เดือนมิถุนายน พ.ศ. 2528 เธอสำเร็จการศึกษาระดับปริญญาตรี จากมหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ด และเธอได้รับรางวัล "Magna Cum Laude" ซึ่งเป็นรางวัลที่มอบให้กับผู้ที่มีผลการเรียนโดดเด่น[15][16] (คล้ายกับเกียรตินิยมในมหาวิทยาลัยไทย) โดยวิทยานิพนธ์ของเธอมีชื่อว่า "External adjustment to import price shocks : oil in Japanese trade" (การปรับตัวจากภายนอกเพื่อรับมือกับภาวะราคานำเข้าที่ผันผวน : การค้าน้ำมันของญี่ปุ่น) เป็นการวิเคราะห์ผลกระทบของวิกฤตการณ์น้ำมันในทศวรรษ 1970 ที่มีต่อการค้าของญี่ปุ่น ซึ่งมีอาจารย์ที่ปรึกษาคือ ศาสตราจารย์เจฟฟรีย์ แซคส์ (Jeffrey Sachs)[16][17]
เดือนเมษายน พ.ศ. 2529 เธอศึกษาต่อระดับปริญญาโท คณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยโตเกียว โดยเธอเข้าศึกษาด้วยวิธีการสอบเข้า ซึ่งเป็นการสอบที่มีอัตราการผ่านเพียง 3% เท่านั้น[15]
เดือนตุลาคม พ.ศ. 2529 เธอสอบผ่านการคัดเลือกเป็นนักการทูตประเภท 1 ของกระทรวงการต่างประเทศ ซึ่งมีอัตราการแข่งขัน 1 ต่อ 40[15][16] โดยมีผู้ที่ผ่านการคัดเลือก 28 คน และเป็นผู้หญิงเพียง 3 คน[18]

การเสกสมรส
[แก้]การเฟ้นหาพระชายาของเจ้าชายฮิโระ (นารูฮิโตะ) นั้น มีอยู่ 3 กลุ่มเป้าหมาย[19] ได้แก่ กลุ่มธิดาของผู้ที่เคยเป็นว่าที่พระชายาในอดีตของมกุฎราชกุมารอากิฮิโตะ, กลุ่มธิดาของพระสหายในมกุฎราชกุมารอากิฮิโตะ, และกลุ่มหญิงสาวผู้ที่มีคุณสมบัติเหมาะสมในแวดวงคนรู้จักของเจ้าชายฮิโระ (นารูฮิโตะ) ซึ่งเธอจัดอยู่ในกลุ่มนี้
วันที่ 18 ตุลาคม พ.ศ. 2529 บิดาของเธอในฐานะผู้อำนวยการสำนักงานสนธิสัญญา ได้รับเชิญให้เข้าร่วมงานเลี้ยงต้อนรับอินฟันตาเอเลนา ดัชเชสแห่งลูโก หรือเจ้าหญิงแห่งเสปน ณ พระราชวังโทงู และเธอก็ได้ติดตามบิดาไปด้วย จึงทำให้เธอได้พบกับเจ้าชายฮิโระ (นารูฮิโตะ) เป็นครั้งแรก[16][20][21] ถัดมาทั้งคู่ก็ได้พบกันอีกในงานเลี้ยงต่าง ๆ เช่น งานเลี้ยงสมาคมญี่ปุ่น-อังกฤษ, งานเลี้ยงน้ำชาที่พระราชวัง ทำให้ทั้งคู่ได้มีโอกาสสนทนากันแบบส่วนตัวกันเป็นครั้งคราว[21][22]
เดือนเมษายน พ.ศ. 2530 เธอลาออกจากมหาวิทยาลัยโตเกียว เพื่อเข้ารับราชการในกระทรวงการต่างประเทศ โดยประจำที่กองเศรษฐกิจ[15][16][23]
ณ พระราชวังโทงู ได้มีการจัดงานที่มีลักษณะการคล้ายการดูตัวอยู่หลายต่อหลายครั้ง เพื่อเป็นการเฟ้นหาบุคคลที่จะมาเป็นพระชายาของเจ้าชายฮิโระ (นารูฮิโตะ) ซึ่งเธอก็เป็นหนึ่งในบุคคลที่อยู่ในการพบปะเหล่านั้น โดยในตอนแรกชื่อเธอได้ถูกตัดออกจากตัวเลือกของการเป็นพระชายาอยู่ครั้งหนึ่ง เนื่องจากสำนักพระราชวังพยายามมองหาคนที่มีประวัติขาวสะอาดจริง ๆ แต่เธอกลับมีปัญหาทางด้านญาติผู้ใหญ่ นั่นคือ นายยูทากะ เองาชิระ ซึ่งมีศักดิ์เป็นตาของเธอ เขาเป็นอดีตประธานบริษัทชิสโซะ โดยบริษัทนี้เป็นต้นเหตุของโรคมินามาตะ[24][25][26] แต่ก็มีข้อถกเถียงกลับมาว่านายยูทากะ เองาชิระ ขึ้นรับตำแหน่งเพื่อฟื้นฟูกิจการบริษัทหลังการปรากฏของโรค ไม่ได้เกี่ยวข้องหรือเป็นส่วนหนึ่งของสาเหตุของการกำเนิดโรคนี้แต่อย่างใด[27]
อย่างไรก็ตามเจ้าชายฮิโระ (นารูฮิโตะ) ก็ทรงโปรดเธอไม่น้อย จนถึงขั้นตรัสเอ่ยขึ้นมากับทางหัวหน้าสำนักพระราชวังว่า "คุณมาซาโกะ โอวาดะนั้นเป็นไปไม่ได้หรือครับ" (小和田雅子さんではだめでしょうか)[26] เมื่อทางหัวหน้าสำนักพระราชวังได้ยินพระดำรัสของพระองค์ จึงพยายามทาบทามเธอเรื่อยมา[28] ในวันที่ 9 ธันวาคม พ.ศ. 2530 ซึ่งเป็นวันคล้ายวันเกิดของเธอ เจ้าชายฮิโระ (นารูฮิโตะ) ทรงให้เจ้าหน้าที่สำนักพระราชวังส่งช่อดอกไม้ไปให้เธอถึงบ้าน จากเหตุการณ์นี้จึงทำให้ชื่อของเธอเป็นที่กล่าวขานในฐานะว่าที่คู่หมั้นของเจ้าชาย และถูกจับจ้องจากสื่อมวลชน[21]
วันที่ 25 ธันวาคม พ.ศ. 2530 เธอได้ให้สัมภาษณ์กับหนังสือพิมพ์อาซาฮีว่า "ตอนที่ได้เป็นเจ้าหน้าที่กระทรวงการต่างประเทศอย่างเป็นทางการ ฉันเคยคิดว่าบางทีตัวเองอาจจะไม่ได้แต่งงาน... แต่ก็อยากจะทำให้ทั้งสองอย่างไปด้วยกันให้ได้"[22]
เดือนกรกฎาคม พ.ศ. 2531 เธอเดินทางไปยังสหราชอาณาจักร เพื่อปฏิบัติหน้าที่ในตำแหน่งผู้ช่วยทูตประจำสถานเอกอัครราชทูต พร้อมทั้งเข้าศึกษาต่อในสาขาความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ วิทยาลัยบัลลิออล มหาวิทยาลัยออกซฟอร์ด โดยเป็นทุนของกระทรวงการต่างประเทศที่ให้แก่ข้าราชการ อย่างไรก็ตามระหว่างที่เธอศึกษาอยู่ที่นี่ เธอตกเป็นเป้าสายตาของสื่อมวลชนญี่ปุ่นในฐานะของว่าที่พระคู่หมั้นของเจ้าชาย ซึ่งเธอก็พยายามหลีกเลี่ยงสื่อมวลชนมาโดยตลอด[23][29][30] จนเธอได้ออกมาให้สัมภาษณ์ว่า "ฉันไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับเรื่องการคัดเลือกคู่ครองของเจ้าชายแม้แต่น้อย และตั้งใจจะทำงานในฐานะเจ้าหน้าที่กระทรวงการต่างประเทศต่อไป"[21]
วันที่ 7 มกราคม พ.ศ. 2532 สมเด็จพระจักรพรรดิฮิโรฮิโตะ สวรรคต จึงทำให้มกุฎราชกุมารอากิฮิโตะเสด็จขึ้นครองราชย์เป็นสมเด็จพระจักรพรรดิอากิฮิโตะ จักรพรรดิพระองค์ที่ 125 แห่งประเทศญี่ปุ่น ส่วนเจ้าชายฮิโระ (นารูฮิโตะ) ทรงได้รับการสถาปนาอิสริยยศขึ้นเป็นมกุฎราชกุมารนารูฮิโตะ
เดือนมิถุนายน พ.ศ. 2533 เธอเดินทางกลับประเทศญี่ปุ่น โดยกลับมาปฏิบัติหน้าที่ในหน่วยกองอเมริกาเหนือ 2 ของกระทรวงการต่างประเทศ ซึ่งรับผิดชอบปัญหาความขัดแย้งทางการค้า[30]
วันที่ 16 สิงหาคม พ.ศ. 2535 เจ้าชายมีโอกาสได้พบกับเธออีกครั้งในรอบ 5 ปี ที่บ้านพักของเจ้าหน้าที่กระทรวงการต่างประเทศ[21] ซึ่งเป็นความตั้งใจของทางสำนักพระราชวังตามพระปณิธานอันแรงกล้าของเจ้าชาย จนทำให้ทั้งคู่ได้เจอกันอีกครั้ง[22]
วันที่ 3 ตุลาคม พ.ศ. 2535 เจ้าชายทรงเชิญเธอมาที่สนามล่านกเป็ดน้ำชินฮามะ เมืองอิชิกาวะ จังหวัดชิบะ และขอเธอแต่งงาน แต่ ณ ตอนนั้น เธอไม่ได้ให้คำตอบที่ชัดเจนนักแก่พระองค์ เนื่องจากเธอยังไม่มั่นใจ[31][22] แต่หลังจากนั้นพระองค์ก็มีการโทรศัพท์แสดงความรู้สึกต่อเธออยู่บ่อยครั้ง[22]
วันที่ 12 ธันวาคม พ.ศ. 2535 เจ้าชายได้เชิญเธอมาพบอีกครั้ง ณ พระราชวังโทงู ซึ่งเธอก็ได้ทำการตอบรับคำขอแต่งงานของพระองค์[28][31]
วันที่ 19 มกราคม พ.ศ. 2536 สภาราชวงศ์ญี่ปุ่นได้ทำการอนุมัติการอภิเษกสมรส[2] และมีการจัดงานแถลงข่าวการอภิเษกสมรส โดยพระดำรัสสำคัญของเจ้าชายที่ทรงตรัสต่อเธอคือ "ผมจะปกป้องคุณมาซาโกะอย่างเต็มที่จากนี้ไป" (雅子さんのことは僕が一生全力でお守りしますから)[32][33] ส่วนเธอได้ให้สัมภาษณ์ว่า "หลังจากคิดทบทวนอย่างถี่ถ้วนแล้ว ฉันคิดว่าบทบาทที่ควรจะทำตอนนี้คือการยอมรับข้อเสนอของพระองค์ และทำประโยชน์ในเส้นทางใหม่ที่เรียกว่าราชวงศ์"[21]
วันที่ 9 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2536 เธอลาออกจากการเป็นข้าราชการกระทรวงการต่างประเทศ[34] จากนั้นเธอได้เข้ารับการบรรยายที่เรียกว่า "โกชิงโงะ" (ご進講) ซึ่งเป็นการบรรยายเพื่อให้ความรู้ที่จำเป็นเกี่ยวกับราชวงศ์แก่บุคคลที่เป็นพระคู่หมั้น ซึ่งเธอเข้ารับการบรรยาย 4 วันต่อสัปดาห์ เป็นเวลาทั้งหมด 6 สัปดาห์[35]
วันที่ 12 เมษายน พ.ศ. 2536 มีการจัดพิธีโนไซ (納采の儀) หรือพิธีหมั้น[2] โดยตัวแทนจากสำนักพระราชวังจะเดินทางไปทำพิธีที่บ้านพักของครอบครัวโอวาดะ จากนั้นทำการกล่าวคำอวยพรต่อเธอและบิดามารดา และทำการมอบของหมั้นหมาย ซึ่งประกอบไปด้วยผ้าไหม 5 ม้วน, สาเก 1 ลัง, และปลาไทสด 1 กล่อง[36] หลังจากเสร็จสิ้นพิธี เธอและบิดามารดา เดินทางไปยังพระราชวังหลวงโตเกียวเพื่อเข้าเฝ้าสมเด็จพระจักรพรรดิอากิฮิโตะและสมเด็จพระจักรพรรดินีมิชิโกะ จากนั้นมกุฎราชกุมารนารูฮิโตะทรงมอบแหวนไข่มุกให้กับเธอ[37][38]

วันที่ 9 มิถุนายน พ.ศ. 2536 มีการจัดพิธีอภิเษกสมรส ซึ่งเธอสวมชุดที่เรียกว่า "จูนิฮิโตเอะ" (十二単) หรือกิโมโน 12 ชั้น และเกล้าผมในทรง "โอตสึเบรากาชิ" (大垂髪) เพื่อไปเคารพศาลเจ้า 3 แห่งในพระราชวังหลวงโตเกียว บ่ายวันเดียวกัน มีการจัดพิธี "โชเก็ง" (朝見の儀) หรือพิธีเข้าเฝ้าสมเด็จพระจักพรรดิอากิฮิโตะและสมเด็จพระจักรพรรดินีมิชิโกะ ณ ท้องพระโรงมัตสึโนมะ พระราชวังหลวงโตเกียว ซึ่งเธอสวมชุดราตรีสีขาวแขนกุด สวมเทียร์ร่ากับสร้อยคอที่ได้รับพระราชทานจากสมเด็จพระจักรพรรดินีมิชิโกะ[6] และเครื่องราชอิสริยาภรณ์รัตนมงกุฎ ชั้นประถมาภรณ์ (มงกุฎดอกพอโลเนีย) อีกทั้งวันดังกล่าวมีการประกาศให้เป็นวันหยุดราชการพิเศษอีกด้วย[39] พร้อมกันนี้ เธอได้รับการสถาปนาอิสริยยศเป็น "โคไตชิฮิ" (皇太子妃)[40] หรือพระวรชายาในมกุฎราชกุมาร ซึ่งสำนักพระราชวังได้ระบุพระนามของพระองค์ในภาษาอังกฤษว่า "Crown Princess Masako"[41] (มกุฎราชกุมารีมาซาโกะ)
เย็นวันเดียวกัน ทั้งสองพระองค์ได้เสด็จพระราชดำเนินโดยรถยนต์เปิดประทุนจากพระราชวังหลวงโตเกียว ไปยังตำหนักอากาซากะตะวันออก ในเขตพระราชฐานอากาซากะ (赤坂御用地) เป็นระยะทางกว่า 4 กิโลเมตร โดยมีประชาชนกว่า 190,000 คนร่วมรับเสด็จ รวมถึงมีการถ่ายทอดสดไปทั่วประเทศ ซึ่งมีประชาชนร่วมรับชมถึง 85.6%[28][42]
วันที่ 15 - 18 มิถุนายน พ.ศ. 2536 มีการจัดงานเลี้ยงฉลองการอภิเษกสมรสของทั้งสองพระองค์ ณ พระราชวังหลวงโตเกียว โดยมีการแบ่งการจัดงานออกเป็นวันละ 2 รอบ เป็นงานกลางวันและงานกลางคืน รวมมีการจัดงานทั้งสิ้น 6 ครั้ง[43]
วันที่ 25 มิถุนายน พ.ศ. 2536 ทั้งสองพระองค์ได้เสด็จพระราชดำเนินไปเคารพศาลเจ้าอิเซะ จังหวัดมิเอะ และสุสานจักรพรรดิจิมมุ จังหวัดนาระ เพื่อรายงานการอภิเษกสมรสต่อเทพเจ้าอามาเตราซุ และจักรพรรดิพระองค์แรกของญี่ปุ่นตามธรรมเนียมของราชวงศ์[44]
หลังการอภิเษกสมรส ทั้งสองพระองค์ประทับที่ตำหนักอากาซากะตะวันออกเป็นการชั่วคราว จนกระทั่งการปรับปรุงพระตำหนักโทงูเสร็จสิ้น จึงย้ายเข้าไปประทับในวันที่ 6 กรกฎาคม พ.ศ. 2537[45][46]
มกุฎราชกุมารีมาซาโกะ
[แก้]
หลังจากการอภิเษกสมรส พระองค์ทรงได้รับความกดดันเป็นอย่างมากในการให้กำเนิดรัชทายาทชาย ซึ่งในช่วงแรกนั้นมกุฎราชกุมารนารูฮิโตะและพระองค์ต่างก็คาดหวังที่จะทรงพระครรภ์โดยธรรมชาติ จนเวลาล่วงเลยมา 3 - 4 ปีหลังการอภิเษกสมรส พระองค์ก็ยังไม่ตั้งพระครรภ์[47] จนในเดือนมิถุนายน พ.ศ. 2541 ทั้งสองพระองค์ได้เริ่มเข้ารับการปรึกษาจากทางแพทย์ และได้เข้าสู่กระบวนการรักษาตามภาวะของการมีบุตรยากอย่างเต็มรูปแบบใน พ.ศ. 2542[47]
ถัดมาไม่นาน พระวรกายของพระองค์เริ่มมีการเปลี่ยนแปลงทางอุณหภูมิ แต่ผลการตรวจยังไม่แน่ชัดว่าทรงพระครรภ์หรือไม่ พร้อมกับปฏิกิริยาของทางพนักงานสำนักพระราชวังที่เปลี่ยนแปลงไป และมีการยกเลิกแผนกำหนดการเสด็จเยือนเยอรมนี จึงทำให้ในวันที่ 11 ธันวาคม พ.ศ. 2542 หนังสือพิมพ์อาซาฮีทำการพาดหัวข่าวว่าพระองค์ทรงแสดงอาการตั้งพระครรภ์แล้ว แต่ทางสำนักพระราชวังก็ออกแถลงการณ์ว่าการตั้งพระครรภ์ยังไม่เป็นที่ยืนยัน[47]
วันที่ 30 ธันวาคม พ.ศ. 2542 พระองค์ทรงเข้ารับการรักษาที่โรงพยาบาลสำนักพระราชวัง และมีการวินิจฉัยว่าทรงแท้ง[47][48] จนในวันที่ 21 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2543 มกุฎราชกุมารนารูฮิโตะทรงมีพระราชดำรัสถึงข่าวนี้ว่า "มีการรายงานข่าวในช่วงที่ยังไม่แน่นอนก่อนที่จะมีการวินิจฉัยทางการแพทย์ ซึ่งควรเป็นพื้นที่ส่วนตัว ข้าพเจ้าคิดว่ามาซาโกะอดทนได้ดีมากในสถานการณ์เช่นนั้น แต่ข้าพเจ้าก็ได้ยินมาว่ามีประชาชนไม่น้อยที่รู้สึกสับสนกับเรื่องนี้ ในอนาคตข้าพเจ้าหวังว่าจะมีการปฏิบัติต่อเรื่องลักษณะนี้อย่างระมัดระวังและรอบคอบ"[49]

วันที่ 12 เมษายน พ.ศ. 2544 มีการประกาศจากทางสำนักพระราชวังว่ามีแนวโน้มที่พระองค์จะทรงพระครรภ์อีกครั้ง และได้มีประกาศออกมาอย่างเป็นทางการในวันที่ 15 พฤษภาคม พ.ศ. 2544 ว่าจะทรงมีกำหนดการประสูติในช่วงเดือนพฤศจิกายน - ธันวาคม[50] จนกระทั่งในวันที่ 1 ธันวาคม พ.ศ. 2544 พระองค์ได้ทำการประสูติพระราชธิดา เจ้าหญิงโทชิ (ไอโกะ)[50] ซึ่งเป็นพระธิดาพระองค์แรกและพระองค์เดียวในมกุฎราชกุมารนารูฮิโตะกับมกุฎราชกุมารีมาซาโกะ
หลังการประสูติ ความกดดันจากผู้คนรอบข้างก็ยังไม่หายไป เนื่องจากกฎมณเฑียรบาลญี่ปุ่น มาตรา 2 กำหนดให้มีเพียงแค่ผู้ชายที่จะสามารถสืบราชสมบัติได้[51] จึงยังมีเสียงความคาดหวังให้พระองค์ทรงพระครรภ์ทายาทชายอีกครั้ง จึงทำให้ใน พ.ศ. 2546 พระองค์ประชวรโรคงูสวัดเนื่องจากความเครียด[52] และมีการประกาศว่าจะมีการรักษาพระองค์เป็นระยะยาว ซึ่งในวันที่ 10 พฤษภาคม พ.ศ. 2547 มกุฎราชกุมารนารูฮิโตะทรงมีพระดำรัสออกมาว่า "สุขภาพของมาซาโกะยังคงมีขึ้นๆ ลงๆ เธอพยายามอย่างเต็มที่ที่จะปรับตัวให้เข้ากับสภาพแวดล้อมของราชวงศ์ แต่ความพยายามนั้นก็อ่อนล้าเต็มที และเป็นความจริงที่ว่ามีคนที่พยายามลดทอนคุณค่าความสามารถและบุคลิกภาพของมาซาโกะ"[53][54][55][56]
พ.ศ. 2547 พระองค์ทรงประชวรโรคภาวะการปรับตัวผิดปกติ (適応障害)[57] จึงทำให้ไม่ค่อยเห็นภาพของพระองค์ปรากฏคู่กับพระราชสวามีในการปฏิบัติพระราชกรณียกิจเป็นต้นมา[55] ซึ่งในวันที่ 11 กรกฎาคม พ.ศ. 2551 มกุฎราชกุมารนารูฮิโตะทรงมีแถลงการณ์ถึงสาธารณชนให้พยายามเข้าใจพระองค์ว่า "ข้าพเจ้าอยากจะให้ทุกคนเข้าใจว่า มาซาโกะจะยังคงดำเนินตามความพยายามสูงสุดของเธอต่อไปด้วยกำลังใจจากผู้คนรอบข้าง โปรดเฝ้ามองเธอต่อไปด้วยความเห็นใจ"[58][59]
วันที่ 5 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2553 สำนักพระราชวังออกแถลงการณ์ถึงการประชวรโรคภาวะการปรับตัวผิดปกติ (適応障害) ของพระองค์ ว่าทรงป่วยมาเป็นระยะเวลากว่า 5 ปีแล้ว สาเหตุมาจากความเครียด และพระอาการของพระองค์ก็ดีขึ้นเรื่อยๆ โดยในช่วงแรกอาการของพระองค์ถือว่าอยู่ในขั้นรุนแรง ทำให้พลังกายและพลังใจของพระองค์อ่อนล้าจนไม่สามารถที่จะเสด็จออกจากพระตำหนักได้ ซึ่งในช่วงหลังพระองค์สามารถที่จะออกมาปฏิบัติพระราชกรณียกิจได้บ้างและได้มากขึ้นเรื่อย ๆ[60]
วันที่ 1 มีนาคม พ.ศ. 2553 เจ้าหญิงไอโกะ พระราชธิดา ทรงมีอาการปวดท้องและทรงรู้สึกวิตกกังวลอย่างมากระหว่างการเสด็จไปโรงเรียน[61] ทางสำนักพระราชวังได้ทำการสืบสวนกับทางโรงเรียนและออกมาแถลงว่า มีนักเรียนหลายคนรวมทั้งเจ้าหญิงไอโกะ ถูกนักเรียนชายจากห้องเรียนอื่นในชั้นเรียนเดียวกันกลั่นแกล้งโดยใช้ความรุนแรง (乱暴) โดยทางโรงเรียนได้ดำเนินการแก้ไขสถานการณ์เรียบร้อยแล้ว[61][62] ซึ่งทำให้พระองค์ได้เสด็จพระราชดำเนินไปส่งเจ้าหญิงไอโกะที่โรงเรียนด้วยพระองค์เองเป็นเวลาติดต่อกันถึง 1 ปี 7 เดือน จนกระทั่งเจ้าหญิงไอโกะสามารถเดินทางไปโรงเรียนได้ด้วยพระองค์เอง[63]
วันที่ 8 สิงหาคม พ.ศ. 2559 สมเด็จพระจักรพรรดิอากิฮิโตะทรงเผยแพร่พระราชสาสน์ต่อประชาชน ถึงพระราชประสงค์ของพระองค์ที่จะสละราชสมบัติผ่านวิดิโอ โดยทรงกังวลถึงพระชนมายุของพระองค์ต่อการปฏิบัติพระราชกรณียกิจในสถานะสัญลักษณ์ของประเทศ รวมถึงพระพลานามัยของพระองค์ที่อ่อนล้าลงอีกด้วย[64]
วันที่ 1 ธันวาคม พ.ศ. 2560 สภาราชวงศ์ญี่ปุ่นได้มีมติกำหนดวันสละราชสมบัติของสมเด็จพระจักรพรรดิอากิฮิโตะ เป็นวันที่ 30 เมษายน พ.ศ. 2562 และวันขึ้นครองราชย์ของจักรพรรดิพระองค์ใหม่ (มกุฎราชกุมารนารูฮิโตะ พระราชสวามี) ในวันที่ 1 พฤษภาคม พ.ศ. 2562[65]
สมเด็จพระจักรพรรดินีมาซาโกะ
[แก้]
วันที่ 1 พฤษภาคม พ.ศ. 2562 เวลา 00:00 นาฬิกา กฎหมายพิเศษว่าด้วยการสละราชสมบัติของจักรพรรดิได้มีการบังคับใช้[66] จึงทำให้พระราชสวามีเสด็จขึ้นครองราชสมบัติเป็นสมเด็จพระจักรพรรดินารูฮิโตะ และพระองค์ก็ได้รับการสถาปนาพระอิสริยยศขึ้นเป็น "สมเด็จพระจักรพรรดินีมาซาโกะ" (ญี่ปุ่น: 皇后; โรมาจิ: Kōgō) เช่นกัน โดยในวันเดียวกัน มีการจัดพระราชพิธี "โซกุยโงโจเก็น" (即位後朝見の儀) หรือพระราชพิธีเข้าเฝ้าสมเด็จพระจักรพรรดิและสมเด็จพระจักรพรรดินี ณ ท้องพระโรงมัตสึโนมะ พระราชวังหลวงโตเกียว โดยมีพระบรมวงศานุวงศ์ทุกพระองค์ที่บรรลุนิติภาวะ, ประมุข 3 ฝ่าย, และตัวแทนประชาชนจากภาคส่วนต่างๆ เข้าร่วมพระราชพิธีนี้เพื่อถวายพระพรแด่สมเด็จพระจักรพรรดิและสมเด็จพระจักรพรรดินีพระองค์ใหม่[67][68]
วันที่ 22 ตุลาคม พ.ศ. 2562 มีการจัดพระราชพิธี "โซกุยเรเซเด็น" (即位礼正殿の儀) หรือพระราชพิธีบรมราชาภิเษก ซึ่งสมเด็จพระจักรพรรดินารูฮิโตะ จะเสด็จประทับบนพระราชบัลลังก์ "ทาคามิกูระ" (高御座) ส่วนสมเด็จพระจักรพรรดินีมาซาโกะจะเสด็จประทับบนพระราชบัลลังก์ "มิโชได" (御帳台) ณ ท้องพระโรงมัตสึโนมะ พระราชวังหลวงโตเกียว[69][70] โดยฉลองพระองค์ประกอบไปด้วย
- ฉลองพระองค์ชุด "จูนิฮิโตเอะ" (十二単) หรือกิโมโน 12 ชั้น โดยชุดคลุมชั้นนอกสุดมีสีขาว ส่วนชุดคลุมชั้นในจะเป็นสีเขียวอ่อน
- เกล้าพระเกศาแบบ "โอตสึเบรากาชิ" (御垂髪) และประดับด้วย "ฮิราบิไท" (平額)
- พระหัตถ์ถือฮิโอกิ (桧扇) หรือพัดญี่ปุ่นที่ทำจากไม้สน
มีผู้แทนจากประเทศต่างๆ จำนวน 160 ประเทศ เข้าร่วมในงานพระราชพิธีบรมราชาภิเษก[71] โดยนายประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และภริยา เข้าร่วมในฐานะตัวแทนประเทศไทย อีกทั้งได้มีการกำหนดให้วันที่ 22 ตุลาคม พ.ศ. 2562 เป็นวันหยุดพิเศษของญี่ปุ่น[72]

วันที่ 10 พฤศจิกายน พ.ศ. 2562 มีการจัดพระราชพิธี "โชกูงะ อนเร็ตสึ" (祝賀御列の儀) หรือพระราชพิธีขบวนแห่เฉลิมฉลองการขึ้นครองราชย์ ซึ่งสมเด็จพระจักรพรรดินารูฮิโตะและสมเด็จพระจักรพรรดินีมาซาโกะ ประทับรถยนต์พระที่นั่งเปิดประทุน เสด็จจากพระราชวังหลวงโตเกียว ไปยังพระตำหนักอากซากะ (赤坂御所) ในเขตพระราชฐานอากาซากะ (赤坂御用地) โดยมีประชาชนกว่า 119,000 คนร่วมรับเสด็จตลอดสองข้างทาง[73][74]
วันที่ 14 - 15 พฤศจิกายน พ.ศ. 2562 มีการจัดพระราชพิธี "ไดโจไซ" (大嘗宮の儀) ซึ่งเป็นโบราณราชพิธีหลังจากการขึ้นครองราชสมบัติของจักรพรรดิ โดยจัดขึ้นในตอนกลางคืนจนถึงเช้ามืดวันถัดไป พระราชพิธีนี้เป็นพิธีอธิษฐานของจักรพรรดิเพื่อให้ประเทศชาติและประชาชนสงบสุข รวมถึงขอให้พืชพรรณธัญญาหารอุดมสมบูรณ์ โดยพระองค์ได้เข้าร่วมพระราชพิธีนี้ด้วย ซึ่งทรงฉลองพระองค์ในชุด "จูนิฮิโตเอะ" (十二単) หรือกิโมโน 12 ชั้นสีขาวบริสุทธิ์ และเกล้าพระเกศาแบบ "โอตสึเบรากาชิ" (御垂髪)[75][76]
วันที่ 4 ธันวาคม พ.ศ. 2562 มีการจัดพระราชพิธี "เค็นโช มิกางูระ" (賢所御神楽の儀) ณ ศาลเจ้าเค็นโช พระราชวังหลวงโตเกียว เพื่อทำความเคารพต่อเทพีอามาเตราซุ ซึ่งถือเป็นพระราชพิธีสุดท้ายทีเกี่ยวข้องกับการขึ้นครองราชสมบัติ[77][78]
วันที่ 20 กันยายน พ.ศ. 2564 ทรงย้ายมาประทับที่พระตำหนักหลวง (御所) พระราชวังหลวงโตเกียว เขตชิโยดะ กรุงโตเกียว เป็นการถาวร หลังจากที่ได้มีการปรับปรุงพระตำหนักเสร็จสิ้นแล้ว พระตำหนักนี้จะเป็นที่ประทับหลักของสมเด็จพระจักรพรรดินารูฮิโตะ, สมเด็จพระจักรพรรดินีมาซาโกะ, และเจ้าหญิงไอโกะ พระราชธิดา [79]
พระราชกรณียกิจ
[แก้]
พิธีราชสำนัก
[แก้]- ทุกวันที่ 1 มกราคมของทุกปี มีการจัดพิธี "ชินเน็น-ชูกูงะ" (新年祝賀の儀) เพื่อรับการถวายพระพรปีใหม่ จากพระบรมวงศานุวงศ์และคณะรัฐมนตรี ณ ท้องพระโรงมัตสึโนมะ พระราชวังหลวงโตเกียว[80]
- ทุกวันที่ 2 มกราคมของทุกปี มีการจัดพิธี "ชินเน็น-อิปปัน-ซังงะ" (新年一般参賀) หรือการออกมหาสมาคมเนื่องในวันขึ้นปีใหม่ เพื่อรับการถวายพระพรจากประชาชน ณ สวนฝั่งตะวันออกของพระราชวังหลวงโตเกียว[81]
- ในเดือนมกราคมของทุกปี มีการจัดพิธี "โคโช ฮาจิเมะ" (講書始) ซึ่งเป็นการเสด็จออกรับฟังการบรรยายจากผู้ทรงคุณวุฒิในสาขาวิชามนุษยศาสตร์ สังคมศาสตร์ และวิทยาศาสตร์ โดยมีพระบรมวงศานุวงศ์ร่วมเสด็จด้วย ณ ท้องพระโรงมัตสึโนมะ พระราชวังหลวงโตเกียว[82]
- ในเดือนมกราคมของทุกปี มีการจัดพิธี "อูตาไก ฮาจิเมะ" (歌会始の儀) ซึ่งเป็นพิธีการขับร้องบทกวีในท่วงทำนองโบราณตามแบบแผนดั้งเดิมของญี่ปุ่น โดยมีพระบรมวงศานุวงศ์ร่วมเสด็จด้วย ณ ท้องพระโรงมัตสึโนมะ พระราชวังหลวงโตเกียว[83]
- ทุกวันที่ 23 กุมภาพันธ์ของทุกปี มีการจัดพิธี "เท็นโน-ทันโจบิ-อิปปัน-ซังงะ" (天皇誕生日一般参賀) หรือการออกมหาสมาคมเนื่องในวันเฉลิมพระชนมพรรษาของสมเด็จพระจักรพรรดินารูฮิโตะ เพื่อรับการถวายพระพรจากประชาชน ณ สวนฝั่งตะวันออกของพระราชวังหลวงโตเกียว[84]
- ในช่วงฤดูใบไม้ผลิและฤดูใบไม้ร่วงของทุกปี ทรงเข้าร่วมงานเลี้ยงน้ำชาที่สมเด็จพระจักรพรรดิเป็นเจ้าภาพ เพื่อต้อนรับแขกผู้มีเกียรติจากหลากหลายวงการในประเทศญี่ปุ่น ที่เขตพระราชฐานอากาซากะ (赤坂御用地) กรุงโตเกียว[85]
ตำแหน่งในองค์กร
[แก้]- พ.ศ. 2537 - พ.ศ. 2562 รองประธานกิตติมศักดิ์ สภากาชาดญี่ปุ่น (日本赤十字社)[86]
- พ.ศ. 2562 ประธานกิตติมศักดิ์ สภากาชาดญี่ปุ่น (日本赤十字社)[87] ซึ่งทรงดำรงตำแหน่งต่อจากสมเด็จพระจักรพรรดินีพระพันปีหลวงมิชิโกะ

สภากาชาดญี่ปุ่น
[แก้]ตำแหน่งประธานกิตติมศักดิ์ของสภากาชาดญี่ปุ่น (日本赤十字社) จะเป็นตำแหน่งที่สืบทอดกันมาของสมเด็จพระจักรพรรดินีแห่งญี่ปุ่น ซึ่งหลังจากที่สมเด็จพระจักรพรรดินีมาซาโกะทรงดำรงพระอิสริยยศนี้ ทรงได้ปฏิบัติหน้าที่เป็นองค์ประธานในการประชุมกาชาดแห่งชาติ และพระราชทานเครื่องอิสริยาภรณ์แก่บุคคลต่างๆ ตั้งแต่ปีแรกที่พระองค์ดำรงพระอิสริยยศ (พ.ศ. 2562)[88] จนถึงปัจจุบัน[89][90] ซึ่งในงานการประชุมกาชาด จะมีแค่พระบรมวงศานุวงศ์หญิงที่เข้าร่วม

การเลี้ยงไหม
[แก้]การเลี้ยงไหมเป็นหนึ่งในพระราชกรณียกิจที่สืบทอดกันมาของสมเด็จพระจักรพรรดินีแห่งญี่ปุ่น ตั้งแต่สมัยจักรพรรดินีเทเม เนื่องจากอุตสาหกรรมการผลิตไหมเคยเป็นเสาหลักของการส่งออกของญี่ปุ่นในยุคเมจิ แม้ว่าหลังจากสงครามโลกครั้งที่สอง อุตสาหกรรมการเลี้ยงไหมจะเริ่มซบเซาลง แต่ในราชวงศ์ญี่ปุ่น กิจกรรมนี้ยังคงได้รับการรักษาไว้โดยจักรพรรดินีพระองค์ต่อ ๆ มาในฐานะประเพณีอันทรงคุณค่า[91] ซึ่งหลังจากที่สมเด็จพระจักรพรรดินีมาซาโกะทรงดำรงพระอิสริยยศนี้ พระองค์ก็ทรงสืบสานหน้าที่ในการดูแลโรงเลี้ยงไหมที่ชื่อว่า "โมมิจิยามะ" (紅葉山) ภายในพระราชวังหลวงโตเกียว[92] ต่อจากสมเด็จพระจักรพรรดินีพระพันปีหลวงมิชิโกะ
การส่งเสริมเยาวชน
[แก้]การรำลึกถึงความสูญเสียจากสงคราม
[แก้]- ทรงวางดอกไม้แสดงความอาลัย เมื่อทรงเสด็จไปที่อนุสรณ์สถานที่เกี่ยวข้องกับการสูญเสียจากสงคราม โดย เฉพาะในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 เช่น อนุสรณ์สันติภาพฮิโรชิมา เพื่อรำลึกถึงเหตุการณ์การทิ้งระเบิดปรมาณู[95], อนุสรณ์หอคอยโคซากุระ เพื่อรำลึกถึงเหตุการณ์การล่มของเรือสึชิมะ มารุ (対馬丸)[96], อนุสาวรีย์ผู้เสียชีวิตในสงครามอิโอจิมะ[97]
- ทรงเข้าเยี่ยมศูนย์ดูแลผู้รอดชีวิตจากเหตุการณ์ปรมาณูที่ฮิโรชิมา[98], พูดคุยการผู้รอดชีวิตจากเหตุการณ์การล่มของเรือสึชิมะ มารุ (対馬丸)[99]
การเยียวยาพื้นที่ภัยพิบัติ
[แก้]เหตุการณ์แผ่นดินไหวครั้งใหญ่ฮันชิง พ.ศ. 2538
[แก้]- วันที่ 20 มกราคม พ.ศ. 2538 ทรงตามเสด็จมกุฎราชกุมารนารูฮิโตะ (พระยศ ณ ขณะนั้น) เยือนประเทศในแถบตะวันออกกลางพร้อมกับ ซึ่งทรงเสด็จไปหลังจากการเกิดแผ่นดินไหวครั้งใหญ่ฮันชิง เพียง 3 วัน ด้วยผลกระทบจากแผ่นดินไหวครั้งนี้เกิดความเสียหายต่อประเทศญี่ปุ่นเป็นอย่างมาก ทั้งสองพระองค์จึงต้องทรงกลับประเทศญี่ปุ่นเร็วกว่ากำหนดการเดิมถึง 3 วัน[100]
- ทรงเสด็จเยี่ยมพื้นที่ที่ได้รับการประสบภัยหลังจากเกิดเหตุได้ 2 สัปดาห์ และทรงเสด็จอีกครั้งในเดือนมีนาคม[101]
- ทรงเสด็จเข้าร่วมพิธีรำลึกครบรอบ 10 ปี (พ.ศ. 2548), ครบรอบ 15 ปี (พ.ศ. 2553), และครบรอบ 30 ปี (พ.ศ. 2568) ของเหตุการณ์แผ่นดินไหวครั้งนี้[101][102]
เหตุการณ์แผ่นดินไหวและคลื่นสึนามิในโทโฮกุ พ.ศ. 2554
[แก้]เหตุการณ์พายุไต้ฝุ่นฮากิบิส พ.ศ. 2562
[แก้]เหตุการณ์แผ่นดินไหวในคาบสมุทรโนโตะ พ.ศ. 2567
[แก้]การกุศล
[แก้]- สมเด็จพระจักรพรรดินารูฮิโตะและสมเด็จพระจักรพรรดินีมาซาโกะทรงบริจาคเงิน 50 ล้านเยนให้กับกองทุนสนับสนุนอนาคตเด็ก (子供の未来応援基金へ) และ 50 ล้านเยนให้กับองค์การไม่แสวงหาผลกำไร (特定非営利活動法人) เนื่องจากสมเด็จพระจักรพรรดินีมาซาโกะทรงห่วงใยปัญหาเรื่องความยากจนของเด็กเป็นอย่างมาก โดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วงการระบาดของโควิด-19 ที่ยิ่งทำให้ภาวะความยากจนทวีความรุนแรงขึ้นไปอีก[109] ซึ่งการบริจาคเงินของราชวงศ์ญี่ปุ่นที่เป็นจำนวนมากกว่า 18 ล้านเยนต่อปีนั้น ต้องได้รับการอนุมัติจากสภานิติบัญญัติ ตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 8[110][111]
| ประเทศ | วันที่ | พระราชกรณียกิจ | เสด็จพร้อมด้วย |
|---|---|---|---|
| 5 - 15 พฤศจิกายน พ.ศ. 2537 | เสด็จเยือนเพื่อส่งเสริมความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ | มกุฎราชกุมารนารูฮิโตะ | |
| 20 - 28 มกราคม พ.ศ. 2538 | เสด็จเยือนเพื่อส่งเสริมความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ | มกุฎราชกุมารนารูฮิโตะ | |
| 20 - 28 มกราคม พ.ศ. 2538 | เสด็จเยือนเพื่อส่งเสริมความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ | มกุฎราชกุมารนารูฮิโตะ | |
| 8 - 9 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2542 | ทรงร่วมงานพระบรมศพของ | มกุฎราชกุมารนารูฮิโตะ | |
| 3 - 7 ธันวาคม พ.ศ. 2542 | ทรงร่วมงานอภิเษกสมรสของเจ้าชายฟีลิป ดยุกแห่งบราบันต์ | มกุฎราชกุมารนารูฮิโตะ | |
| 11 - 19 ธันวาคม พ.ศ. 2545 | เสด็จเยือนเพื่อส่งเสริมความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ | มกุฎราชกุมารนารูฮิโตะ | |
| 17 - 31 สิงหาคม พ.ศ. 2549 | เสด็จเป็นการส่วนพระองค์ตามคำเชิญของ | มกุฎราชกุมารนารูฮิโตะ | |
| 28 เมษายน - 3 พฤษภาคม พ.ศ. 2556 | ทรงร่วมงานบรมราชาภิเษกของ | มกุฎราชกุมารนารูฮิโตะ | |
| 2 - 6 กรกฎาคม พ.ศ. 2558 | ทรงร่วมงานบรมราชาภิเษกของสมเด็จพระราชาธิบดีตูโปอูที่ 6 | มกุฎราชกุมารนารูฮิโตะ | |
| ภายหลังการสถาปนาเป็นสมเด็จพระจักรพรรดินี | |||
| 17 - 20 กันยายน พ.ศ. 2565 | ทรงร่วมงานพระบรมศพสมเด็จพระราชินีนาถอลิซาเบธที่ 2 | สมเด็จพระจักรพรรดินารูฮิโตะ | |
| 22 - 29 มิถุนายน พ.ศ. 2567 | เสด็จเยือนเพื่อส่งเสริมความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ | สมเด็จพระจักรพรรดินารูฮิโตะ | |
| 17 - 23 มิภุนายน พ.ศ. 2566 | เสด็จเยือนเพื่อส่งเสริมความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ | สมเด็จพระจักรพรรดินารูฮิโตะ | |
| 13 - 20 กรกฎาคม พ.ศ. 2568 | เสด็จเยือนเพื่อส่งเสริมความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ[116] | สมเด็จพระจักรพรรดินารูฮิโตะ | |
พระเกียรติยศ
[แก้]| ธรรมเนียมพระยศของ สมเด็จพระจักรพรรดินีมาซาโกะ | |
|---|---|
ธงประจำพระอิสริยยศ | |
| สัญลักษณ์ | กุหลาบญี่ปุ่น (ハマナス) |
| คำยกย่อง | เฮกะ (陛下) |
| ลำดับโปเจียม | 2 |
ลำดับพระราชอิสริยยศ
[แก้]เครื่องราชอิสริยาภรณ์
[แก้]ญี่ปุ่น
[แก้]
เครื่องราชอิสริยาภรณ์รัตนมงกุฎ ชั้นประถมาภรณ์ (มงกุฎดอกพอโลเนีย) (2536)
ต่างประเทศ
[แก้]| ประเทศ | ปีที่ได้รับ (พ.ศ) | เครื่องราชอิสริยาภรณ์ | แพรแถบ |
|---|---|---|---|
| เครื่องราชอิสริยาภรณ์แห่งพระเจ้าเลโอโปลด์ ชั้นประถมาภรณ์[117] | |||
| Order of Queen Sālote Tupou III | |||
| Order of the Crown (Netherlands) ชั้น Honorary Cross | |||
| Order of the Redeemer ชั้น Grand Cross | |||
| Order of the Gold Lion of the House of Nassau | |||
| Order of the Crown of the Realm | |||
| เครื่องราชอิสริยาภรณ์นักบุญโอลาฟ ชั้นประถมาภรณ์ | |||
| 2535 | เครื่องอิสริยาภรณ์อิงฟังตึ เด. เอ็งรีกึ ชั้นประถมาภรณ์[118] | ||
| 2542 | เครื่องอิสริยาภรณ์กิตติคุณแห่งสาธารณรัฐออสเตรีย ชั้นมหาอิสริยาภรณ์ทอง พร้อมสายสะพาย[119] | ||
| 2543 | Hungarian Order of Merit ชั้น Grand Cross[120] | ||
| 2551 | เครื่องราชอิสริยาภรณ์อิซเบลลาชาวคาทอลิก ชั้นประถมาภรณ์[121] | ||
| 2568 | Order of Rio Branco ชั้น Grand Cross |
ปริญญากิตติมศักดิ์
[แก้]- พ.ศ. 2567 ปริญญานิติศาสตรดุษฎีบัณฑิตกิตติมศักดิ์ มหาวิทยาลัยออกซฟอร์ด[122]
พงศาวลี
[แก้]| คะเนะโยชิ โอวาดะ | ||||||||||||||||
| ทะเคะโอะ โอวาดะ | ||||||||||||||||
| ทะเคะโนะ โคงะ | ||||||||||||||||
| ฮิซาชิ โอวาดะ | ||||||||||||||||
| มะตะชิโระ ทะมุระ | ||||||||||||||||
| ชิซุกะ ทะมุระ | ||||||||||||||||
| สมเด็จพระจักรพรรดินีมาซาโกะ (มาซาโกะ โอวาดะ) | ||||||||||||||||
| ยะซุตะโร เองาชิระ | ||||||||||||||||
| ยุทะกะ เองาชิระ | ||||||||||||||||
| โยะเนะโกะ | ||||||||||||||||
| ยูมิโกะ เองาชิระ | ||||||||||||||||
| ทานิน ยะมะยะ | ||||||||||||||||
| ซึซึโกะ ยะมะยะ | ||||||||||||||||
| ซะดะโกะ นิวะ | ||||||||||||||||
เกร็ด
[แก้]วัยพระเยาว์
[แก้]- พระราชบิดาและพระราชมารดาเรียกพระองค์แบบลำลองว่า "มาจัง"[4]
- สมัยที่อาศัยอยู่ที่ต่างประเทศ พระราชบิดาและพระราชมารดาจะพยายามสนทนากับพระองค์ด้วยภาษาญี่ปุ่น อีกทั้งมักจะเล่านิทานพื้นบ้านของญี่ปุ่นให้ฟังซ้ำแล้วซ้ำเล่า จึงทำให้พระองค์มีนิสัยรักการอ่านติดพระองค์มา[123]
- หนังสือเล่มโปรดของพระองค์ในวัยพระเยาว์ คือ "Goodnight Moon" เขียนโดย Margaret Wise Brown[123], "Dog of Flanders" เขียนโดย Marie Louise de la Ramée[4]
- ทรงมีสัตว์เลี้ยงหลายชนิดอยู่ที่บ้าน เช่น สุนัข, แมว, หนูแฮมสเตอร์, ลูกเจี๊ยบ, หนูนา 50 ตัว, กิ้งก่าที่มีลำตัวยาว 20 เซนติเมตร, นกกระจาบญี่ปุ่น, และปลาทอง จึงทำให้ทรงเรียนรู้ถึงวัฏจักรชีวิตของสัตว์ และประสบการณ์การสูญเสียสัตว์เลี้ยงอันเป็นที่รัก[5]
- ทรงแพ้ไข่มาตั้งแต่วัยพระเยาว์[124]
ระดับประถมศึกษา
[แก้]- ทรงอยู่ชมรมชีววิทยาที่โรงเรียนประถมศึกษาเด็นเอนโชฟูฟูตาบะ (田園調布雙葉小学校)[125]
- ทรงเคยเลี้ยงหนูขาว 3 ตัว โดยใส่ไว้ในถังสำหรับดองผักเพื่อเฝ้าดู แต่มันเพิ่มจำนวนขึ้นอย่างรวดเร็วจนเกือบ 50 ตัว แล้วหนู 50 ตัวนั้นแทะถังจนทะลุ และหนีออกไปหมด ทำให้เกิดความโกลาหล จนต้องรีบแจ้งเจ้าหน้าที่สาธารณสุข[125]
- ชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 ทรงได้เขียนในสมุดรวมผลงานการจบการศึกษาเอาไว้ว่าทรงอยากเป็นสัตวแพทย์[5]
ระดับมัธยมศึกษา
[แก้]- ทรงชอบมาโรงเรียนตอนเช้าตรู่ เพื่อทำความสะอาดกรงกระต่ายและเล้าไก่ และพางูไปอาบแดดที่พงหญ้าทีละตัว[126]
- ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 ทรงเป็นผู้ก่อตั้งชมรมซอฟต์บอลหญิงในโรงเรียน โดยทรงเล่นในตำแหน่งเบสสาม และเป็นมือตีอันดับสี่[4][126] สาเหตุที่ทรงก่อตั้งชมรมเนื่องจากพระองค์ทรงเป็นนักกีฬาซอฟต์บอลมาตั้งแต่ทรงพระเยาว์ และเด็กผู้ชายไม่ค่อยมาเล่นซอฟต์บอลกับพระองค์[12]
- ทีมซอฟต์บอลของพระองค์มีชื่อว่า "เด็นฟูตะ" โดยในระดับชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 พระองค์และทีมได้เข้าร่วมแข่งขันในระดับเขตและคว้าชัยชนะมาได้[126]
- ด้วยความที่พระองค์เล่นซอฟต์บอล จึงทำให้พระองค์มีผิวคล้ำแดดและบุคลิกคล้ายกับเด็กผู้ชาย จนพระขณิษฐาของพระองค์ เรียกพระองค์แบบติดตลกว่า Brother[4][12]
- เนื่องจากพระองค์ใช้ภาษาอังกฤษจนคล่องในช่วงวัยพระเยาว์ จึงทำให้พระองค์ถูกเลือกให้เป็นตัวแทนแข่งสุนทรพจน์ภาษาอังกฤษ[11]
- คุณครูประจำชั้นกล่าวถึงพระองค์ว่า "ทรงเป็นคนกระตือรือร้น มีมารยาทดี และลายมือสวยมาก ภาษาอังกฤษของเธอทั้งการเขียน การพูด และการอ่านยอดเยี่ยมทั้งหมด ได้เกรด 5 และวิชาอื่น ๆ ก็เกือบจะได้เกรด 5 ทุกวิชา"[11]
- พระสหายมักเรียกพระองค์ด้วยชื่อเล่นว่า "โอวะ"[4]
- คาโอรุ มินางาวะ แม่บ้านของครอบครัวพระองค์ในสมัยนั้น ได้กล่าวถึงพระองค์ว่า "ทรงเป็นคนที่เงียบและปรับตัวได้ดี"[127]
- คุณครูลิเลียน แคทช์ ณ โรงเรียนมัธยมศึกษาเบลมอนต์ สหรัฐอเมริกา ได้กล่าวถึงพระองค์ว่า ทรงเป็นนักเรียนดีเด่น, กระตือรือร้นในการเรียน, และทรงพระปรีชาในวิชาเคมี, ฟิสิกส์, คณิตศาสตร์, และภาษาเยอรมัน อีกทั้งยังทรงเรียนจบด้วยผลการเรียนที่อยู่ในกลุ่ม 10% แรกของชั้นปี[12]
- สมัยมัธยมศึกษาตอนปลาย พระองค์มีฉายาว่า "Slugger Masako" โดยมีที่มาจากพระปรีชาด้านซอฟต์บอลของพระองค์[12][128] อีกทั้งฉายาว่า "Brain" และ "Hard Worker Masako" เนื่องจากพระปรีชาทางด้านการเรียนของพระองค์[129][15]
- ทรงเป็นตัวแทนโรงเรียนเข้าร่วมการแข่งขันซอฟต์บอลระดับมัธยมศึกษาตอนปลาย และได้รับชัยชนะ[15]
- ชื่อของพระองค์เคยปรากฏอยู่ในคอลัมน์ "นักเรียนดีเด่นของโรงเรียนมัธยมศึกษาตอนปลายเบลมอนต์" ในหนังสือพิมพ์ท้องถิ่น[129]
- ทรงได้รับเลือกให้เป็นสมาชิกของ "National Honor Society" เนื่องจากทรงเป็นนักเรียนดีเด่น อีกทั้งยังได้รับรางวัล "German Consul General’s Award" จากกงสุลใหญ่เยอรมนี และ "Goethe-Institut Award" จากสถาบันเกอเธ่ สำหรับผลการเรียนภาษาเยอรมันดีเด่น[128]
ระดับมหาวิทยาลัย
[แก้]- ทรงมักจะใช้เวลาผ่อนคลายจากการเรียน ตามงานเต้นรำและคอนเสิร์ตของมหาวิทยาลัย[13]
- ทรงเป็นหนึ่งในผู้ก่อตั้งชมรมวัฒนธรรมญี่ปุ่นในมหาวิทยาลัย[15][130] และพระองค์ได้ดำรงตำแหน่งประธานชมรมเมื่อทรงเป็นนักศึกษาชั้นปีที่ 3[16][131]
- เอซร่า โวเกล ศาสตราจารย์กิตติมศักดิ์ ผู้เชี่ยวชาญด้านญี่ปุ่นและจีน ได้กล่าวถึงพระองค์ว่า "ทรงเป็นเด็กที่เงียบและกระตือรือร้น เป็นคนที่คำนึงถึงความสัมพันธ์ระหว่างญี่ปุ่น-สหรัฐอเมริกาอยู่เสมอ อีกทั้งยังมีความรับผิดชอบสูงมาก"[132]
- ทรงชอบเล่นกอล์ฟ ทรงเป็นตัวแทนของสภานักศึกษา และพระองค์มักจะแสดงออกถึงความเป็นอัตลักษณ์ของญี่ปุ่นออกมาอยู่เสมอ[133]
- ช่วงปิดเทอมฤดูร้อน พระองค์ได้ฝึกภาษาเยอรมันที่สถาบันเกอเธ่ ประเทศเยอรมนี เป็นเวลา 2 เดือน จึงทำให้พระองค์ตรัสภาษาเยอรมันได้[134][131]
- ทรงเคยฝึกภาษาฝรั่งเศสที่สถาบันเกรอนอบล์ ประเทศฝรั่งเศส จึงทำให้พระองค์ตรัสภาษาฝรั่งเศสได้[135]
- ทรงอยู่ชมรมพายเรือหญิงของมหาวิทยาลัย[29]
- ทรงเคยถูกทักบ่อยๆว่าพระพักตร์ไม่เหมือนคนญี่ปุ่น และมักมีคนทักพระองค์ว่าเหมือนลูกครึ่งเนปาล[136]
การทำงาน
[แก้]- ผู้ที่เป็นแรงบันดาลใจให้พระองค์ทำงานเป็นนักการทูตหญิง คือ มูราซามิ มิเอะ (村角泰)[137]
- การสอบคัดเลือกเป็นนักการทูต ส่วนใหญ่จะเป็นคำถามด้านกฎหมาย ซึ่งพระองค์ทรงจบปริญญาตรีสาขาเศรษฐศาสตร์มา จึงทรงไม่ทราบด้านกฎหมายมากนัก แม้แต่ศัพท์เฉพาะทางเศรษฐศาสตร์ที่ทรงศึกษามาก็เป็นภาษาอังกฤษ ทำให้ไม่ทรงคุ้นเคยกับคำศัพท์เหล่านั้นในภาษาญี่ปุ่น มีการกล่าวว่าพระองค์ทรงอ่านตำราภาษาญี่ปุ่นซ้ำแล้วซ้ำเล่าเพื่อเตรียมตัวสำหรับการสอบ[16]
- พระราชบิดาและพระองค์ต่างสอบผ่านการสอบคัดเลือกเป็นนักการทูต ซึ่งถือเป็นเรื่องที่หาได้ยากสำหรับบุคคลจากสองรุ่นในครอบครัวเดียวกันที่สามารถสอบได้ ถึงขนาดที่มีบทความพิเศษในหนังสือพิมพ์หลายฉบับว่าเป็นการถือกำเนิดของ "นักการทูตสองรุ่น คู่ที่สองในประวัติศาสตร์"[16]
- ในช่วงที่พระองค์รับราชการที่กระทรวงการต่างประเทศ พระองค์ทรงงานหนักมาก ทรงทำงานล่วงเวลาจนถึงเช้าตรู่สัปดาห์ละ 2-3 ครั้ง และชั่วโมงทำงานล่วงเวลาในหนึ่งสัปดาห์ก็เกิน 50 ชั่วโมง[15]
- พ.ศ. 2529 เป็นช่วงที่กฎหมายว่าด้วยโอกาสที่เท่าเทียมกันในการจ้างงานระหว่างเพศมีผลบังคับใช้ พระองค์ในฐานะผู้หญิงวัยทำงาน จึงได้รับการสัมภาษณ์จากสื่อมวลชนบ่อยครั้ง[15]
ความชอบส่วนพระองค์
[แก้]- อาหารที่ทรงโปรด: ลาซัญญา[6], ชานม, ผลไม้, สลัด, และหอยเชลล์[138]
- นักกีฬาเบสบอลที่ทรงโปรด: ชิเงรุ ทากาดะ (高田繁) แห่งทีมโยมิอูริไจแอนต์[4]
- กีฬาที่ทรงเล่น: ซอฟต์บอล, เทนนิส, สกี[139], และกอล์ฟ[133]
- งานอดิเรก: การฟังเพลง, เดินเล่น, ขับรถ, และเรียนภาษาต่างประเทศ[138]
- อาหารที่ทรงถนัดทำ: ไก่หมักไวน์พอร์ต, ลาซัญญา, หัวไชเท้าต้มซอส, และมูสโยเกิร์ต [138]
- หลังจากที่พระองค์ดำรงพระอิสริยยศมกุฎราชกุมารีแล้ว พระองค์ก็มักจะเสด็จไปที่ชั้นใต้ดินแผนกอาหารของห้างสรรพสินค้า Ginza Matsuya บ่อยครั้ง เพื่อซื้ออาหารจำพวกชีส[138]
- ภาพยนตร์ที่ทรงโปรด: Doctor Zhivago, Forbidden Games, และ Kramer vs. Kramer[139]
- ทรงสามารถตรัสภาษาอังกฤษ, ฝรั่งเศส, เยอรมัน, รัสเซีย, และทรงเคยเรียนภาษาเกาหลีอีกด้วย[140]
อ้างอิง
[แก้]- 1 2 3 "天皇皇后両陛下". 宮内庁 (ภาษาญี่ปุ่น). สืบค้นเมื่อ 2025-08-09.
- 1 2 3 "Their Majesties the Emperor and Empress". The Imperial Household Agency (ภาษาอังกฤษ). สืบค้นเมื่อ 2025-08-09.
- ↑ "皇居". 宮内庁 (ภาษาญี่ปุ่น). สืบค้นเมื่อ 2025-08-09.
- 1 2 3 4 5 6 7 "雅子さま、呼び名の系譜 オワ、ハードワーカー、ブレイン". NEWSポストセブン (ภาษาญี่ปุ่น). สืบค้นเมื่อ 2025-08-10.
- 1 2 3 4 5 6 7 8 "雅子さまが受けられた小和田家の教育方針 [早期教育・幼児教育] All About". All About(オールアバウト) (ภาษาญี่ปุ่น). สืบค้นเมื่อ 2025-08-09.
- 1 2 3 "The Princess Bride". People Magazine. June 21, 1993. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2012-05-10. สืบค้นเมื่อ 2009-11-21.
- ↑ หนังสือ "歴代皇后人物系譜総覧" หน้า 292
- 1 2 "雅子さまの幼少期のロシアやアメリカでの海外生活がエリートの礎に!ワケは?". 皇室cafe (ภาษาญี่ปุ่น). 2024-10-19. สืบค้นเมื่อ 2025-08-09.
- 1 2 https://mi-mollet.com/articles/-/19164?per_page=1
- ↑ หนังสือ "歴代皇后人物系譜総覧" หน้า 293
- 1 2 3 4 "ニックネームは「ブレイン(頭脳)」。ハーバード大学で磨きをかける雅子さま | 〜新しい時代の皇后の軌跡〜「雅子さまの生き方」 | mi-mollet(ミモレ) | 明日の私へ、小さな一歩!(1/3)". mi-mollet(ミモレ) (ภาษาญี่ปุ่น). สืบค้นเมื่อ 2025-08-10.
- 1 2 3 4 5 "皇后雅子さま が"スラッガー(強打者)・マサコ"だったボストンの高校時代 米紙回想(飯塚真紀子) - エキスパート". Yahoo!ニュース (ภาษาญี่ปุ่น). สืบค้นเมื่อ 2025-08-10.
- 1 2 3 https://mi-mollet.com/articles/-/19188?page=3&per_page=1
- 1 2 尚子, 友納 (2019-07-10). "雅子皇后「日本文化」に誇りを持ったハーバード大学時代". 文春オンライン (ภาษาญี่ปุ่น). สืบค้นเมื่อ 2025-08-12.
- 1 2 3 4 5 6 7 8 9 10 https://www.news-postseven.com/archives/20190517_1372039.html/2
- 1 2 3 4 5 6 7 8 https://mi-mollet.com/articles/-/19471?page=2&per_page=1
- ↑ "External adjustment to import price shocks : oil in Japanese trade | WorldCat.org". search.worldcat.org. สืบค้นเมื่อ 2025-08-12.
- ↑ นิตยสาร "毎日新聞" ฉบับวันที่ 17 ตุลาคม พ.ศ. 2529
- ↑ นิตยสาร "文藝春秋" ฉบับเดือนมีนาคม พ.ศ. 2536
- ↑ "雅子さま、55歳に 感想発表で皇后となる不安や健康についても". BBCニュース (ภาษาญี่ปุ่น). สืบค้นเมื่อ 2025-08-09.
- 1 2 3 4 5 6 https://friday.kodansha.co.jp/article/222904?page=1
- 1 2 3 4 5 "雅子さま、記者に「ご苦労さまです」とお声を掛ける優しさ". NEWSポストセブン (ภาษาญี่ปุ่น). สืบค้นเมื่อ 2025-08-12.
- 1 2 https://dot.asahi.com/articles/-/226639?page=1
- ↑ https://dot.asahi.com/articles/-/34840?page=2
- ↑ https://president.jp/articles/-/70744?page=1
- 1 2 https://president.jp/articles/-/70744?page=2
- ↑ หนังสือ "友納 2015" หน้า 135-136
- 1 2 3 https://president.jp/articles/-/70744?page=3
- 1 2 https://dot.asahi.com/articles/-/226639?page=2
- 1 2 "皇太子妃に小和田雅子さん内定/復刻 - 社会 : 日刊スポーツ". nikkansports.com (ภาษาญี่ปุ่น). สืบค้นเมื่อ 2025-08-12.
- 1 2 https://dot.asahi.com/articles/-/250364?page=1
- ↑ https://dot.asahi.com/articles/-/250364?page=2
- ↑ คลิปงานแถลงข่าว https://www.youtube.com/watch?v=04TC_U17nEI
- ↑ หนังสือ "読売新聞社 1993" หน้า 93
- ↑ หนังสือ "読売新聞社 1993" หน้า 90
- ↑ หนังสือ "皇太子さま雅子さまご成婚記念写真集 平成の華燭" ISBN 4-7638-0323-9
- ↑ หนังสือ "友納 2015" หน้า 22-24
- ↑ หนังสือ "読売新聞社 1993" หน้า 84-87
- ↑ "法律第三十二号(平五・四・三〇)". www.shugiin.go.jp. สืบค้นเมื่อ 2025-08-16.
- ↑ "皇太子同妃両殿下 - 宮内庁". www.kunaicho.go.jp (ภาษาญี่ปุ่น). คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2014-12-24. สืบค้นเมื่อ 2025-07-19.
- ↑ "Their Imperial Highnesses the Crown Prince and Crown Princess". www.kunaicho.go.jp. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2008-12-22. สืบค้นเมื่อ 2025-07-19.
- ↑ วิดิโอการถ่ายทอดสด https://www.youtube.com/watch?v=13xZGi6Ge1Y
- ↑ หนังสือ "読売新聞社" หน้า 14–15
- ↑ หนังสือ "友納" หน้า 164–167
- ↑ "「仙洞御所」は元「東宮御所」だった建物…同じ建物なのに名前が変わる理由 「仙洞御所」とはどのような場所なのか フジテレビ 皇室担当解説委員 橋本寿史|FNNプライムオンライン". FNNプライムオンライン. 2022-07-06. สืบค้นเมื่อ 2025-10-29.
- ↑ "宮内庁関係年表(慶応3年以後)". 宮内庁 (ภาษาญี่ปุ่น). สืบค้นเมื่อ 2025-10-29.
- 1 2 3 4 "不妊治療に流産も…漫画家も絶句した、雅子妃出産までの「いばらの道」". FRaU | 講談社 (ภาษาญี่ปุ่น). 2019-12-02. สืบค้นเมื่อ 2025-07-23.
- ↑ https://news.yahoo.co.jp/articles/7733eba7860b92f3697b55879ecfb56da1ceeb37?page=2
- ↑ "皇太子殿下お誕生日に際し(平成12年) - 宮内庁". www.kunaicho.go.jp. สืบค้นเมื่อ 2025-08-17.
- 1 2 "不妊治療に流産も…漫画家も絶句した、雅子妃出産までの「いばらの道」". FRaU | 講談社 (ภาษาญี่ปุ่น). 2019-12-02. สืบค้นเมื่อ 2025-07-23.
- ↑ "e-Gov 法令検索". laws.e-gov.go.jp. สืบค้นเมื่อ 2025-07-19.
- ↑ "皇太子殿下お誕生日に際し(平成16年) - 宮内庁". www.kunaicho.go.jp. สืบค้นเมื่อ 2025-08-17.
- ↑ https://president.jp/articles/-/70744?page=4
- ↑ "「人格否定発言」から21年 雅子皇后を悲嘆させた「朝日スクープ」と宮内庁の思惑(デイリー新潮)". Yahoo!ニュース (ภาษาญี่ปุ่น). สืบค้นเมื่อ 2025-07-23.
- 1 2 https://bunshun.jp/articles/-/67423?page=2
- ↑ "デンマーク・ポルトガル・スペインご訪問に際し(平成16年) - 宮内庁". www.kunaicho.go.jp. สืบค้นเมื่อ 2025-08-17.
- ↑ 「文藝春秋」編集部 (2023-12-07). "《宮内庁幹部が告白》「雅子さまは人権侵害を受けてきた」適応障害を発症された本当の理由". 文春オンライン (ภาษาญี่ปุ่น). สืบค้นเมื่อ 2025-07-23.
- ↑ "Crown Prince Naruhito defends ailing wife". Irish Examiner. 2008-07-11. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2021-05-14. สืบค้นเมื่อ 2021-05-14.
- ↑ Japan's crown prince seeks public understanding for ailing princes gmanews.tv.
- ↑ "公表事項 - 宮内庁". www.kunaicho.go.jp. สืบค้นเมื่อ 2025-08-17.
- 1 2 日本テレビ. "愛子さま、登校できず 一部の児童が乱暴で|日テレNEWS NNN". 日テレNEWS NNN (ภาษาญี่ปุ่น). สืบค้นเมื่อ 2025-06-15.
- ↑ "【魚拓】愛子さまご欠席 野村一成東宮大夫の会見一問一答 (1/5ページ) - MSN産経ニュース". ウェブ魚拓 (ภาษาญี่ปุ่น). สืบค้นเมื่อ 2025-06-15.
- ↑ 井上絵美里 (2024-02-28). "【愛子さまご卒業へ】学習院18年間の思い出 運動会での組体操に雅子さまが涙《初等科》、広島で抱かれた平和への願い《中等科》も (2/4)". 女性セブンプラス (ภาษาญี่ปุ่น). สืบค้นเมื่อ 2025-06-14.
- ↑ "天皇陛下、生前退位希望を示唆". BBCニュース (ภาษาญี่ปุ่น). สืบค้นเมื่อ 2025-07-24.
- ↑ "なぜ天皇陛下の退位は4月末日になったか 安倍首相との"バトル"の結果は?". PRESIDENT Online(プレジデントオンライン) (ภาษาญี่ปุ่น). 2017-12-11. สืบค้นเมื่อ 2025-07-24.
- ↑ "e-Gov 法令検索". laws.e-gov.go.jp. สืบค้นเมื่อ 2025-07-24.
- ↑ "天皇陛下御在位20周年記念 公文書特別展示会 | 26.即位後朝見の儀 | 国立公文書館". www.archives.go.jp. สืบค้นเมื่อ 2025-07-25.
- ↑ คลิปพระราชพิธี https://www.youtube.com/watch?v=u5A6XXbiB5M
- ↑ "Naruhito: Japan's emperor proclaims enthronement in ancient ceremony" (ภาษาอังกฤษแบบบริติช). 2019-10-22. สืบค้นเมื่อ 2025-07-25.
- ↑ คลิปงานพระราชพิธี https://www.youtube.com/watch?v=9rxMw8-mhAs
- ↑ https://www.mofa.go.jp/mofaj/gaiko/bluebook/2020/html/tokushu1_01.html
- ↑ "国民の祝日について - 内閣府". warp.da.ndl.go.jp (ภาษาญี่ปุ่น). คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2024-11-30. สืบค้นเมื่อ 2025-07-25.
- ↑ https://www3.nhk.or.jp/news/special/japans-emperor6/articles/articles_ceremony_03.html
- ↑ คลิปงานพระราชพิธี https://www.youtube.com/watch?v=PrPqHrUD3a0
- ↑ https://www3.nhk.or.jp/news/special/japans-emperor6/articles/articles_ceremony_13.html
- ↑ คลิปงานพระราชพิธี https://www.youtube.com/watch?v=xiFw4gYETkA
- ↑ 産経新聞 (2019-12-04). "皇居で「賢所御神楽の儀」 一連の即位関連儀式、終了へ". 産経新聞:産経ニュース (ภาษาญี่ปุ่น). สืบค้นเมื่อ 2025-07-26.
- ↑ คลิปงานพระราชพิธี https://www.youtube.com/watch?v=ObCTYrxYUCc
- ↑ 産経新聞 (2021-09-20). "天皇ご一家、御所にご移動 一連のお引っ越しが終了". 産経新聞:産経ニュース (ภาษาญี่ปุ่น). สืบค้นเมื่อ 2025-07-27.
- ↑ https://www3.nhk.or.jp/news/html/20250101/k10014683861000.html
- ↑ "皇居で2年ぶりの新年一般参賀 天皇陛下「安らかでよい年に」". 毎日新聞 (ภาษาญี่ปุ่น). สืบค้นเมื่อ 2025-07-26.
- ↑ "講書始". 宮内庁 (ภาษาญี่ปุ่น). สืบค้นเมื่อ 2025-07-26.
- ↑ "令和6年歌会始の儀 - 宮内庁". www.kunaicho.go.jp. สืบค้นเมื่อ 2025-07-26.
- ↑ "一般参賀(宮殿)". 宮内庁 (ภาษาญี่ปุ่น). สืบค้นเมื่อ 2025-07-26.
- ↑ "天皇、皇后両陛下主催の春の園遊会…ちばてつやさんや宇津木妙子さんら招き赤坂御苑で始まる". 読売新聞オンライン (ภาษาญี่ปุ่น). 2025-04-22. สืบค้นเมื่อ 2025-07-26.
- ↑ หนังสือพิมพ์ "毎日新聞" ฉบับวันที่ 1 เมษายน พ.ศ. 2537 หน้า 30
- ↑ "組織概要|日本赤十字社". warp.da.ndl.go.jp (ภาษาญี่ปุ่น). คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2024-12-03. สืบค้นเมื่อ 2025-08-17.
- ↑ "名誉総裁皇后陛下ご臨席、令和元年全国赤十字大会|写真ギャラリー|赤十字について|日本赤十字社". 日本赤十字社 (ภาษาญี่ปุ่น). 2019-05-24. สืบค้นเมื่อ 2025-08-20.
- ↑ "令和6年全国赤十字大会ご臨席 - 宮内庁". www.kunaicho.go.jp. สืบค้นเมื่อ 2025-08-20.
- ↑ "ご臨席(令和7年全国赤十字大会)(明治神宮会館(渋谷区))". 宮内庁 (ภาษาญี่ปุ่น). สืบค้นเมื่อ 2025-08-20.
- ↑ https://dot.asahi.com/articles/-/261583?page=1
- ↑ "ご養蚕(初繭搔き)(紅葉山御養蚕所)". 宮内庁 (ภาษาญี่ปุ่น). สืบค้นเมื่อ 2025-08-20.
- ↑ "V&A子ども博物館ご訪問". 宮内庁 (ภาษาญี่ปุ่น). สืบค้นเมื่อ 2025-07-30.
- ↑ "ご訪問(千代田区立九段幼稚園(こどもの日にちなみ))(千代田区立九段幼稚園(千代田区))". 宮内庁 (ภาษาญี่ปุ่น). สืบค้นเมื่อ 2025-07-30.
- ↑ "ご供花(広島平和都市記念碑(原爆死没者慰霊碑)(広島市))". 宮内庁 (ภาษาญี่ปุ่น). สืบค้นเมื่อ 2025-07-30.
- ↑ "ご供花(小桜の塔(那覇市))". 宮内庁 (ภาษาญี่ปุ่น). สืบค้นเมื่อ 2025-07-30.
- ↑ "ご拝礼(硫黄島戦没者の碑(天山慰霊碑))". 宮内庁 (ภาษาญี่ปุ่น). สืบค้นเมื่อ 2025-07-30.
- ↑ "ご訪問(広島原爆養護ホーム矢野おりづる園(広島市))". 宮内庁 (ภาษาญี่ปุ่น). สืบค้นเมื่อ 2025-07-30.
- ↑ "ご視察、関係者とのご懇談(対馬丸記念館(那覇市))". 宮内庁 (ภาษาญี่ปุ่น). สืบค้นเมื่อ 2025-07-30.
- ↑ https://www2.nhk.or.jp/archives/movies/?id=D0009170108_00000
- 1 2 "陛下、脳裏に焼き付く「忘れられない記憶」 阪神大震災30年、神戸の街に見た「努力」(共同通信)". Yahoo!ニュース (ภาษาญี่ปุ่น). สืบค้นเมื่อ 2025-07-27.
- ↑ "ご視察(殿下のみ),ご臨席(阪神・淡路大震災15周年追悼式典),ご懇談(遺族代表)(兵庫県公館(神戸市))". 宮内庁 (ภาษาญี่ปุ่น). สืบค้นเมื่อ 2025-07-27.
- ↑ "皇太子ご夫妻、福島避難民を激励 「お元気で」と - 47NEWS(よんななニュース)". www.47news.jp. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2014-08-18. สืบค้นเมื่อ 2025-07-29.
- ↑ 日本テレビ. "皇太子ご夫妻 宮城県の被災地訪問|日テレNEWS NNN". 日テレNEWS NNN (ภาษาญี่ปุ่น). สืบค้นเมื่อ 2025-07-29.
- ↑ 産経新聞 (2019-12-26). "両陛下、宮城・福島の台風被災地お見舞い". 産経新聞:産経ニュース (ภาษาญี่ปุ่น). สืบค้นเมื่อ 2025-07-26.
- ↑ "被災状況ご視察(久手川町(輪島市))". 宮内庁 (ภาษาญี่ปุ่น). สืบค้นเมื่อ 2025-07-30.
- ↑ "被災者お見舞(輪島市立輪島中学校(輪島市))". 宮内庁 (ภาษาญี่ปุ่น). สืบค้นเมื่อ 2025-07-30.
- ↑ "災害対応尽力者お労い(輪島市役所(輪島市))". 宮内庁 (ภาษาญี่ปุ่น). สืบค้นเมื่อ 2025-07-30.
- ↑ https://www.news-postseven.com/archives/20200614_1569649.html/2
- ↑ "THE CONSTITUTION OF JAPAN". www.kantei.go.jp. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2013-12-14. สืบค้นเมื่อ 2025-07-27.
- ↑ 産経新聞 (2020-04-06). "陛下ご即位に伴う1億円、寄付先が決定". 産経新聞:産経ニュース (ภาษาญี่ปุ่น). สืบค้นเมื่อ 2025-07-27.
- ↑ "天皇・皇族の外国ご訪問一覧表(平成元年~平成10年) - 宮内庁". www.kunaicho.go.jp. สืบค้นเมื่อ 2025-08-21.
- ↑ "天皇・皇族の外国ご訪問一覧表(平成11年~平成20年) - 宮内庁". www.kunaicho.go.jp. สืบค้นเมื่อ 2025-07-28.
- ↑ "天皇・皇族の外国ご訪問一覧表(平成21年以降) - 宮内庁". www.kunaicho.go.jp. สืบค้นเมื่อ 2025-07-28.
- ↑ "天皇・皇族の外国ご訪問一覧表(令和元年以降)". 宮内庁 (ภาษาญี่ปุ่น). สืบค้นเมื่อ 2025-07-28.
- ↑ https://www3.nhk.or.jp/news/html/20250713/k10014862281000.html
- ↑ "Banquet for King Philippe and Queen Mathilde of Belgium". Newmyroyals & Hollywood Fashion. 2016-10-11. สืบค้นเมื่อ 2025-08-17.
- ↑ "ENTIDADES ESTRANGEIRAS AGRACIADAS COM ORDENS PORTUGUESAS - Página Oficial das Ordens Honoríficas Portuguesas". www.ordens.presidencia.pt. สืบค้นเมื่อ 2025-08-17.
- ↑ https://www.parlament.gv.at/dokument/XXIV/AB/10542/imfname_251156.pdf
- ↑ https://www.yuko2ch.net/mako/makok/src/1414662868552.jpg
- ↑ https://www.boe.es/boe/dias/2008/11/10/pdfs/A44705-44705.pdf
- ↑ "皇后さま オックスフォード大学総長から名誉法学博士号を贈られる 1991年に天皇陛下も | TBS NEWS DIG (1ページ)". TBS NEWS DIG (ภาษาญี่ปุ่น). 2024-06-28. สืบค้นเมื่อ 2025-08-17.
- 1 2 https://allabout.co.jp/gm/gc/184138/3/
- ↑ หนังสือ "人間皇太子さま 雅子さまとの“ちょっと気になる話“" หน้า 57
- 1 2 https://mi-mollet.com/articles/-/19164?page=2
- 1 2 3 https://allabout.co.jp/gm/gc/184138/2/
- ↑ นิตยสาร "文春" ฉบับวันที่ 6 กันยายน 2555 หน้า 47
- 1 2 https://mi-mollet.com/articles/-/19188?page=2&per_page=1
- 1 2 https://mi-mollet.com/articles/-/19188?page=2&per_page=1
- ↑ "祝61歳! 皇后雅子さまの知性あふれる美貌を約40年分プレイバック". 25ans (ภาษาญี่ปุ่น). 2024-12-09. สืบค้นเมื่อ 2025-08-10.
- 1 2 https://bunshun.jp/articles/-/12737?page=3
- ↑ "Harvard expert Ezra Vogel praises Empress Masako in remarks to Japanese media". South China Morning Post (ภาษาอังกฤษ). 2019-10-18. สืบค้นเมื่อ 2025-08-18.
- 1 2 "Japanese Princess Bridges Cultures | News | The Harvard Crimson". www.thecrimson.com. สืบค้นเมื่อ 2025-08-19.
- ↑ นิตยสาร "婦人公論" ฉบับเดือนกรกฎาคม 2537 หน้า 23
- ↑ "フランスご訪問に際し(平成30年)". 宮内庁 (ภาษาญี่ปุ่น). สืบค้นเมื่อ 2025-08-12.
- ↑ หนังสือพิมพ์ "朝日" เดือน มกราคม พ.ศ. 2536
- ↑ https://mi-mollet.com/articles/-/19471?per_page=1
- 1 2 3 4 นิตยสาร "女性自身" ฉบับวันที่ 1 มีนาคม 2554 หน้า 39 และฉบับวันที่ 27 กุมภาพันธ์ 2557 หน้า 154
- 1 2 หนังสือ "週刊女性" พ.ศ. 2536
- ↑ หนังสือ "小和田雅子さん 素顔の29年" หน้า 118 - 121
แหล่งข้อมูลอย่างเป็นทางการ
[แก้]- เว็บไซต์สำนักพระราชวังอิมพีเรียล (Imperial Household Agency) ภาษาอังกฤษ https://www.kunaicho.go.jp/eindex.html
- เว็บไซต์สำนักพระราชวังอิมพีเรียล (Imperial Household Agency) ภาษาญี่ปุ่น https://www.kunaicho.go.jp/
- ประกาศสํานักนายกรัฐมนตรี เรื่อง หลักเกณฑ์การทับศัพท์ภาษาเยอรมัน สเปน ญี่ปุ่น และมลายู ลงวันที่ 13 มีนาคม พ.ศ. 2561
| ก่อนหน้า | สมเด็จพระจักรพรรดินีมาซาโกะ | ถัดไป | ||
|---|---|---|---|---|
| สมเด็จพระจักรพรรดินีมิจิโกะ | จักรพรรดินีญี่ปุ่น (1 พฤษภาคม 2562 – ปัจจุบัน) |
ยังดำรงพระอิสริยยศ | ||
| สมเด็จพระจักรพรรดินารูฮิโตะ | ลำดับโปเจียมแห่งราชวงศ์ญี่ปุ่น (ลำดับที่ 2) |
สมเด็จพระจักรพรรดิ พระเจ้าหลวงอากิฮิโตะ |